วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 21:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2010, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 20:38
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1171319404.gif
1171319404.gif [ 33.93 KiB | เปิดดู 2534 ครั้ง ]
"เลื่อนตัวเองขึ้น แต่อย่าลดคนอื่นลง"

อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์เดินไปตามชายหาด ช่วงหนึ่งของการสนทนา

อาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต ตามลำดับ

อาจารย์กล่าวว่า "เธอลองทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้ดูหน่อยสิ"

ลูกศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงจนเหลือเพียง 1 ฟุต

จึงทำให้เส้น 3 ฟุตโดดเด่นขึ้นมา แล้วศิษย์ก็สบตาอาจารย์พลางขอความเห็นว่า "เช่นนี้ ใช้ได้หรือยังครับ"

อาจารย์เขกหัวศิษย์เบา ๆ แล้วบอกว่า " คนที่คิดจะยกตนเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้น

ไม่ใช่วิธีที่ดี ดังนั้นถ้าเลือกใช้วิธีนี้ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลวไม่พัฒนา

ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง "

แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้น 2 เส้นให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต แล้วอาจารย์ก็สาธิตให้ดู

ด้วยการขีดเส้น 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต แล้วกล่าวว่า "จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเธอคือศัตรู

แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า"

เขาคือคนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม หากไร้คู่แข่ง

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม

นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข้ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอจะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง

ดังนั้นเมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แกร่งและฉลาดล้ำ ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น

คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน

ถึงแม้จะทำให้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ

ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม

กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขาอย่างเสรีนั้น

ย่อมมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน

การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม

แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะ พร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย

และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งหรืออดีตศัตรูของเธอเองด้วย

เป็นสังคมแห่งความสำเร็จบนพื้นฐานของมิตรภาพโดยแท้

ที่มา :เว็บไซต์ กรมประชาสัมพันธ์

.....................................................
"เพียงมีวาสนา ถึงสุดขอบฟ้าก็พานพบ หากไร้วาสนา แม้ไขว่คว้าก็คลาดคลา"


แก้ไขล่าสุดโดย บอระเพ็ด. เมื่อ 25 เม.ย. 2010, 10:12, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2010, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


tongue :b8: ขออนุโมทนาสาธุการด้วยจ้า :b20: smiley :b4:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2010, 22:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 20:38
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

อย่าลืมปิดฝาขวดน้ำตาล
Posted by กฤตบวรวิชญ์

พอเบิกตาตื่น สิ่งแรกที่เห็นก็คือความหมองมัว
ในขณะที่สมองของเธอกำลังจัดแจงข้อมูลต่างๆให้เข้าที่เข้าทางอยู่นั้น
ร่างของเธอจึงยังคงแผ่ร่าอยู่บนเบาะนุ่มๆของเตียงนอน

ในโลกแห่งความฝัน ซึ่งบัดนี้มันได้กลับกลายไปเป็นอดีตแล้วนั้น
ช่างสะดุดใจให้เธอต้องทบทวนเรื่องราวกลับมาคิดอีกครั้ง

กล่าวกันว่า
ความฝันที่เกิดมักมีอิทธิพลจากการนึกคิดเมื่อตอนก่อนหลับ
ซึ่งก็จริงอยู่ เพราะก่อนที่เธอจะย่างก้าวสู่นิททราฝัน
ความรู้สึกนึกคิดของเธอในขณะนั้นก็กำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องความรักที่เพิ่งพลัดพรากจากไป
เป็นภาพใบหน้าของชายคู่รัก ซึ่งบัดนี้ได้เป็นอดีต ผสมกับเหตุการณ์ต่างๆที่เคยสัมผัสผ่านมาร่วมกัน
คลุกเคล้าว่ายเวียนราววิญญาณที่ยังเฝ้าหลอกหลอน เพราะยังไม่ได้รับการสวดส่งให้ไปผุดไปเกิด

สิ่งดังกล่าวคงไม่สำคัญเท่าไหร่นัก
หากความรักของเธอนั้นเป็นรักที่ด้านชา
แต่นี่ไม่ใช่
เพราะนี่เป็นรักแรกและรักเดียวที่เธอให้ความทุ่มเท
เป็นรักที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความวาดหวังถึงอนาคตอันสดใส
เป็นรักที่สอดคล้องกับจินตนาการแห่งความเพ้อฝัน
เป็นรักที่ไตร่ตรองหลายเที่ยวก่อนจะเปิดใจ
เป็นรักที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสารพัดเหตุผลที่เด็กสาวผู้หนึ่งมี
แต่เหตุผลที่เธอคิดนั้นจะผิดหรือถูก ก็คงจะขึ้นอยู่กับตัวเธอเองเป็นผู้ตัดสิน
เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ผลแห่งการกระทำก็ย่อมที่จะตกมาที่เธอ

เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลกผู้มีรัก โลภ โกรธ หลง
ที่เมื่อทำอะไร โดยมอบใจและความทุ่มเทให้กับสิ่งนั้นอย่างเหลือล้น
แต่เผอิญสิ่งที่คาดไว้กลับไม่เป็นดังคิด ก็ย่อมจะก่อเกิดความผิดหวังจนสุดแสนจะทำใจ
และเมื่อยิ่งปล่อยให้มันลุกลามจนไม่ยอมยับยั้ง สิ่งที่ว่านั้นก็ชักจะเริ่มเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้น
หมายมั่นที่จะหาหนทางตอบสนองความบาดเจ็บคืนกลับให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่มีว่างเว้น
ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปดูภาพเหตุการณ์เมื่อคราวแรกรักแรกเจอแล้ว
มันช่างต่างกันราวขาวกับดำไม่มีผิด
แต่เธอก็หารู้ตัวไม่ว่า....
กำลังล่วงล้ำเข้าสู่ดินแดนแห่งมายากรรมโดยถลำลึกเข้าไปทุกที

“ช่างมันเถอะ”
บทปลอบใจตัวเองที่พอกระทำได้ เกิดขึ้นพร้อมๆกับการยันร่างจากท่านอนเป็นท่านั่ง
สมองก็กระทำการเหวี่ยงเรื่องราวที่เกาะติดอยู่ให้หลุดออกไปไกลแสนไกล
มุ่งหวังที่จะให้ดินแดนแห่งปัจจุบันก่อเกิดเป็นพื้นที่ว่าง
แต่กว้างพอที่จะให้ต้นกล้าใหม่ๆในมีโอกาสงอกงามขึ้นมา
แต่แล้วก็กระทำได้เพียงประเดี๋ยวเดียว
เพราะไม่ว่าเธอจะเหลียวตาไปทางไหน
ก็ดูเหมือนว่าคราบเก่าๆ แห่งเรื่องราวของชายผู้ที่เธออยากลืม จะยิ่งแจ่มชัดขึ้นเป็นเท่าตัว

บนหัวเตียง มีสิ่งละเล็กสิ่งละน้อยวางอยู่มากมาย
ส่วนใหญ่จะเป็นของจำพวกสื่อแทนใจจำพวกของที่ระลึก ตุ๊กตา รูปถ่าย ฯลฯ
และในวันนี้ดูเหมือนว่าของที่ระลึกชิ้นหนึ่งจะกระชากอารมณ์ของเธอได้ยิ่งนัก
มันเป็นนาฬิกาทราย ของขวัญที่อดีตคู่ใจเคยมอบให้เมื่อคราความรักยังเอิบอิ่ม
เป็นตัวแทนแห่งนัยยะที่บัดนี้ได้กลายเป็นคำลวง

ซึ่งเมื่อครานั้น เขาเคยฝังนิยามไว้กับของที่ระลึกชิ้นนั้นว่า
ความรักจะถูกเติมเต็มพร้อมๆกับกาลเวลา ดวงใจของเขาจะพร่องลงเรื่อยๆ
เพื่อจะลงไปเติมเต็มและหล่อรวมกับดวงใจของเธอให้กลายเป็นเนื้อเดียว
ประดุจดั่งนาฬิกาทรายที่ท้ายที่สุดแล้ว จุดสิ้นสุดคือความเป็นหนึ่งเดียว
ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งอยากจะสำลัก
เพื่อขยอกเอาความน้ำเน่าที่เขาได้มอบให้ออกมาให้หมดไส้หมดพุง
อย่าให้หลงเหลือไว้เป็นเชื้อแห่งความคำนึงอีกต่อไป คำหวานในครานั้น
บัดนี้มันได้แปรเปลี่ยนเป็นของปรุงแต่งสังเคราะห์ที่แฝงไว้ด้วยสารเคมี
ซึ่งตัวเธอเองไม่อยากแม้แต่จะแตะต้องมันอีก

ขยับสายตาไล่ไปอีกนิด เป็นกรอบรูปถ่ายใบเล็ก ที่มีรูปใบหน้าของเธออิ่มยิ้ม
แต่สิ่งหนึ่งที่ดูแปลกไป ทำให้รูปนั้นดูไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่ควรจะเป็น
คงอยู่ที่ตรงส่วนกึ่งกลางของขนาดรูปถ่ายโดยรวม
ที่ได้ถูกตัดออกเป็นรอยยิกยักเลี้ยวไล้ไปอย่างไม่มีที่ทางอันแน่นอน
ที่มาที่ไปของการกระทำนั้น เกี่ยวเนื่องมาจากการประสงค์ที่จะหักห้ามใจ
โดยส่วนที่ถูกตัดออกไปนั้น ก็คือส่วนที่เป็นร่างของชายคู่ใจ

ในเมื่ออยากจะลืม เหตุใดเล่าเธอถึงยังเก็บสิ่งของต่างๆไว้อยู่?
นั่นเพราะเธอกำลังยืนอยู่ระหว่างรอยต่อแห่งความรู้สึก
โดยเท้าหนึ่งยังย่างอยู่บนฝั่งแห่งความห่วงหา
ส่วนอีกเท้านั้นได้ทอดผ่านไปยังฝั่งแห่งการทำใจ
มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสับสน
เปรียบเสมือนน้ำขุ่นที่ยังไม่ได้ผ่านการตกตะกอนลงสู่ก้นบึ้ง
อารมณ์สามารถลู่ไหวไปตามแรงลมได้อย่างไม่อาจยุดยั้ง
เป็นฤดูกาลที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เช่นเดียวกับความรู้สึกภายในที่เธอเป็นอยู่

ดวงตาแดงก่ำขึ้นอีกครั้ง
เมื่อความอ่อนไหวกับความเข้มแข็งขัดคอกันคราวใด
ท่อน้ำตาของเธอก็ชักจะได้รับการใช้งานอยู่ทุกทีไป
ผู้หญิงก็เป็นเสียเช่นนี้ ทุ่มเท อ่อนไหว พร้อมที่จะให้อภัยทุกเมื่อกับเหตุการณ์ที่แม้จะเพิ่งเจ็บมา
แต่เมื่อมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ดังใจคิด อารมณ์เหล่านั้นก็ชักจะอัดอั้นยิ่งขึ้นทุกที
เปรียบเสมือนก้อนเมฆ ที่สั่งสมขึ้นจากไอน้ำ เกาะรวมกันเป็นกลุ่มก้อน
ยิ่งนานแรงดันภายในก็ยิ่งทวีมากตาม

สุดท้ายมันก็แปรสภาพเป็นความชุ่มฉ่ำ
ไหลผ่านร่องแก้มสู่หน้าผาชันตรงบริเวณปลายคาง
แล้วจึงหยดลงสู่หน้าขาเบื้องล่างที่ห่อหุ้มไว้ด้วยกางเกงนอน
ต่างบ้างก็ตรงที่ความชุ่มฉ่ำซึ่งเกิดขึ้นนี้ มันได้กำเนิดขึ้นจากความอ่อนแอ
เธอเอามือป้ายเช็ดน้ำตา รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กขี้แงที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง
นานเท่าไหร่แล้วที่เธอได้ปล่อยให้ตัวเองเป็นอยู่เช่นนี้
ตัวตนที่แท้จริงแต่ดั้งเดิมหายไปไหนหมด
ไม่น่าเชื่อว่าแค่ผู้ชายคนเดียว
จะสามารถเปลี่ยนชีวิตของเธอไปได้ถึงเพียงนี้

เธอหยุดลงตรงมุมเล็กๆอันเป็นที่วางของส่วนผสมชงชากาแฟ
จากนั้นหยิบแก้วกาแฟขึ้นมา ตักกาแฟดำใส่ลงไปในก้นถ้วยหนึ่งช้อนชา
ตามด้วยครีมเทียมสองช้อนชา สุดท้ายคือน้ำตาลทรายไร้คลอเรสตรอรอล(รักษาหุ่น)

แต่พอเอื้อมมือไปหยิบขวดโหลน้ำตาลทรายขึ้นมา
ไม่ทันเปิดฝาออกก็สังเกตว่ามีมดเข้าไปอยู่ในนั้นมากมาย
ทั้งที่อยู่บนผิวหน้าและฝังร่างเข้าไปด้านใน ชวนให้คิดสงสัยว่ามันเข้าไปได้อย่างไรกัน
จนเมื่อขยับมือไปแตะฝาปิดดู จึ่งได้รู้ว่าที่แท้ฝานั้นปิดไม่สนิท
เปิดช่องทางให้พวกมดได้เข้าไปดูดกินความหวานภายในได้อย่างง่ายได้

คิดแล้วก็ช่างไม่ต่างไปจากตัวเธอเอง
ที่เปิดช่องให้ชายผู้นั้นเข้าลิ้มรสหวานภายในเสียจนเต็มอิ่ม
เมื่อสมใจอยากแล้วชายผู้นั้นก็ได้จากไปอย่างที่มดพวกนี้จะกระทำ
สุดท้ายสิ่งที่ทิ้งเหลือไว้ในขวดโหลก็คงหนีไม่พ้น ร่องรอยแห่งการกิน
ซึ่งทำให้คุณค่าโดยรวมของน้ำตาลลดน้อยตามไปด้วย

และแล้วคำเตือนบางอย่างที่เธอได้รับจากแม่อยู่บ่อยๆ ก็แจ่มชัดขึ้น
“อย่าลืมปิดฝาขวดน้ำตาลให้ดีละ เดี๋ยวมดมันจะเข้าไปกิน”

.....................................................
"เพียงมีวาสนา ถึงสุดขอบฟ้าก็พานพบ หากไร้วาสนา แม้ไขว่คว้าก็คลาดคลา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 20:38
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




scarecrow6.gif
scarecrow6.gif [ 152.9 KiB | เปิดดู 2443 ครั้ง ]
คนเผาขยะ
Posted by กฤตบวรวิชญ์

เสียง มโหรีปี่พาทย์ ยังคงบรรเลงเพลงพระธรณีกรรแสงอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนาน
ตราบใดที่ความตายยังเกิดขึ้นอยู่คู่กับมวลมนุษย์
บทเพลงบทนี้ก็คงจะไม่ล้าหลังไปจากยุคสมัยแน่นอน

เสียง โหยหวนจากการดีด สี ตี เป่า ที่แว่วเวียนอยู่ในอากาศ
สามารถยุเย้าอารมณ์เศร้าให้กับผู้ฟังที่อยู่ในงานศพได้เป็นอย่างดี
แม้บางคราวจะมีเสียงสอดแทรกจากพวกขี้เมาบ้างแต่นั้นก็แค่ส่วนหนึ่งของพวก ด้อยมารยาท

โลงศพยังคงตั้งแน่นิ่งอยู่ใกล้กับลานอภิธรรม
ดอกไม้ที่ล้อมรอบโลงแอร์เริ่มแห้งเหี่ยว กลิ่นและรูปลักษณ์ที่เคยงดงามก็เริ่มโรยรา
แต่ก็น่าแปลกที่มนุษย์ยังถือความเชื่อ ใช้ความสวยงามมาประดับเคียงคู่อยู่กับความตาย
และหากความตายคือสิ่งที่สวยงาม เหตุไฉนเล่ามนุษย์บางคนยังพยายามที่จะหลีกหนีความตาย

กลิ่นควันธูปเทียนยังคงคละคลุ้งเคียงคู่อยู่กับดวงวิญญาณของผู้ตาย
ปี่พาทย์ยังคงโลมเล้าบรรเลงอยู่อย่างอึกทึก
ป้าย ชื่อผู้มีเกียรติบนพวงหรีดยังคงอวดศักดาอยู่คู่กับโลงศพ
นานมาแล้วที่มนุษย์ใช้ลายปากกา เพื่อสื่อความอาลัย
ซึ่งก็คงนานพอที่จะทำให้พวกเขาเริ่มเอือมระอาต่อความตาย

รูปถ่ายครึ่งท่อนในฉากแก้วข้างโลงศพ ยังคงมีสีหน้าและแววตาเช่นเดิม
ไม่มีความเศร้า ไม่มีความสุข เป็นสีหน้าที่เงียบเชียบและเดียวดาย
เบื้องล่างรูปถ่ายบอกถึงวันที่ ชาตะ มรณะ และ อายุรวมถึงวันตาย ไว้อย่างลงตัว
ซึ่งเมื่อคิดดูให้ลึกซึ่งมนุษย์ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากสินค้าที่วางขายอยู่ตามท้องตลาด
มีวันผลิต และ วันหมดอายุ ตามกาลเวลาอันสมควร

ปี่พาทย์หยุดบรรเลงชั่วขณะ พระสงฆ์สี่รูปเดินเรียงหน้าเข้าประจำที่ตรงลานสวดอภิธรรม
น้ำดื่มถูกยกมาถวายต่อหน้าพระสงฆ์ ตาลปัตรทั้งสี่ถูกยกขึ้นมาบังหน้าพระสงฆ์ทั้งสี่รูป
“ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น”
คำ กลอนบน ตาลปัตร เรียงแถวต่อคำกลอนกันอย่างลงตัวด้วยความหมายที่กินใจ
ร่างผู้ตายภายในโลงศพถูกเชื่อมต่อเข้ากับพระสงฆ์ทั้งสี่รูปโดยมีสายสิญย์ เป็นสื่อ
เสียงสวดคาถาภาษาบาลี เริ่มเปล่งเสียงสำเนียงสอดประสานอย่างมีมนต์ขลัง

ชาย วัยกลางคนในชุดแต่งกายที่ดูซ่อมซอยกมือขึ้นพนมไหว้พระสงฆ์ทั้งหมด
ก่อนที่จะลุกขึ้นออกไปจากที่สวดอภิธรรม เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ
และเขาก็ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับคนทั่วๆไปเช่นกัน ด้วยเหตุนี้
การกระทำใดของเขาจึงไม่ตกเป็นที่สนใจของบุคคลรายรอบ

ชายผู้นี้มาพร้อมกับพระสงฆ์ทั้งสี่ เขามีวัดเป็นบ้าน
และอาศัยข้าวก้นบาตรประทังชีพ เขามาจากไหน? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? ไม่มีใครรู้
แต่แกอาศัยวัดที่นี่มานานหลายปี และดูทีท่าว่าจะไม่ไปอยู่ที่อื่นเสียด้วยซ้ำ

เขา เดินมาข้างเมรุ เงยหน้าขึ้นมองตรงจุดสูงสุดของปล่องควัน
ไม่มีคำพูดและอารมณ์ใดๆแฝงอยู่บนใบหน้า เงียบขรึมและมั่นคง
อาจจะดูแข็งกระด้าง แต่จริงๆแล้วมันคือความเข็งแกร่ง

เขา เบือนสายตาไปที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆเมรุ
ต้นไม้ต้นนี้มีอายุที่ยาวนานพอสมควร ลำต้นของมันเติบใหญ่ขึ้นตามกาลเวลา
แผ่กิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เขาเดินมาที่โคนของต้นไม้ต้นนั้น แอบอิงเงาของมันเป็นที่ร่ม
แล้วนั่งกอดเข่าหลังพิงโคนต้น ดั่งเฝ้าคอยถ้าอะไรสักอย่าง

ลม ยามบ่ายยังพัดอย่างต่อเนื่อง แม้พลังของลมจะไม่รุนแรงมากนัก
แต่ก็สามารถกระชากเอาใบไม้ที่อ่อนแอและไร้พลังให้ร่วงหล่นลงมาแนบอกแม่พระธรณี
ใบแล้ว ใบเล่า ให้มากองทับถมกับใบไม้เหี่ยวๆที่ร่วงหล่นมาก่อนหน้านี้

ลมหายใจของเขาเริ่มแผ่วเบาลง
แต่สมองของเขากลับทำงานหนักขึ้น
เขาไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ ความหมายของใบไม้ที่ร่วงหล่นถึงมีคุณค่า แตกต่างไป
จากที่เขาเคยมองเมื่อครั้งก่อนๆ ธรรมชาติ กำลังสอนให้เขาคิด
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองจุดสูงสุดของต้นไม้ ที่ตรงนั้นมันช่างดูสง่างามเสียเหลือเกิน
มันคือยอดที่ไม่มีมีส่วนไหนสูงเทียบเท่า
แต่มันก็ดูเหนื่อยล้าเมื่อเทียบกับใบไม้ที่อยู่ในชั้นต่ำกว่า
ทุกครั้งที่กระแสลมปะทะร่างของมันจนโยกไหวสั่นคลอน
ดูมันช่างวุ่นวายและไม่มีความสุขเอาเสียเลย

ในขณะเดียวกัน
พวกใบไม้เบื้องล่างที่ดูด้อยศักดิ์กว่ากลับมีชีวิตที่สงบร่ม เย็น
มันคือความแตกต่างที่ธรรมชาติได้ชดเชยให้เกิดความสมดุล
“และถ้าเป็นตัวฉัน ในตอนนี้ฉันจะอยู่ตรงส่วนไหนของต้นหนอ” เขาแอบคิดอยู่ในใจ

เงย หน้าขึ้นไปมองตรงยอดสุดของต้นไม้
ก่อนจะละสายตามองมาเป็นชั้นๆ จนถึงใบที่อยู่ชั้นต่ำสุด
สีหน้าของเขาเริ่มเผยรอยยิ้ม แม้มันจะเป็นยิ้มแห้งๆแต่มันก็เป็นยิ้มที่หาดูได้ยาก
เขามองตรงส่วนนั้นอยู่เนิ่นนาน ดูภาคภูมิใจกับมัน
เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด ถึงบังเกิดอารมณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้
ปกติเขาเป็นคนด้านชากับความรู้สึกมานาน
จนเกือบลืมไปว่า ตัวเขาเองก็มีความรู้สึกเหมือนเช่นคนอื่นๆ

ใบ หน้าเขาดูมีความสุขขึ้น เขาได้พบธาตุแท้ของตัวเองเป็นครั้งแรก
เขาชอบในความต่ำต้อยที่สงบสุข
เขาภูมิใจที่ได้คลุกคลีกับคำเหยียดหยาม มากกว่าที่จะได้คลุกคลีกับคำเยินยอที่เสแสร้ง
มันคือความรู้สึกที่เกิดมาจากจิตใต้สำนึกอันใสซื่อบริสุทธิ์

ใบไม้ เหี่ยวยังคงร่วงโรยอยู่เรื่อยๆ
เขาพบสัจธรรมอีกอย่างที่ตัวเขาเองได้เคยมองผ่านมาโดยตลอด
เขามองไปที่ใบไม้หนาทึบ มันมีสีเขียวอ่อน เขียวเข้ม และเหลือง สลับซับซ้อนกันไป
บางใบกำลังผลิแย้มต้อนรับโลกใหม่
บางใบก็เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วหลาย
ฤดูกาลจนสีใบแก่จัด และบางใบก็เริ่มเหี่ยวแห้งโรยรา
ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตมนุษย์เลย
เราเริ่มที่จุดกำเนิด ผ่านการเจริญวัย แล้วก็มาสิ้นสุดลงที่ความตาย

ความคิดของเขา ชะงัก เมื่อ เสียงสวดของพระสงฆ์เงียบลง
เขารู้ดีถึงสัญญาณเตือนด้วยความเคยชิน ปี่พาทย์เริ่มบรรเลงอีกครั้ง
ซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนจะปลุกระดมความเศร้าโศกได้มากกว่าครั้งก่อนเสียอีก
เขาเดินไปบนเชิงเทินของเมรุ เพื่อรอที่จะทำหน้าที่ของตนต่อไป

พระสงฆ์ชักสายสิญย์ขึ้นสู่เชิงเทินหน้าเมรุ
โดยมีขบวนญาติๆตามหลังและผู้ทำหน้าที่หามโลงศพของผู้ตายขึ้นตามไป
ภรรยา และลูกๆของผู้ตายร่ำไห้ปานว่าจะขาดใจ
หลายคนพลอยร่ำไห้ตามไปด้วยจนหน้าแดงก่ำ
รูปถ่ายที่ไร้อารมณ์ยังแนบอยู่กับอกเสื้อของภรรยาผู้ตาย
แม้ว่าการโอบกอดครั้งนี้ จะไม่เหมือนการโอบกอดเมื่อครั้งที่สามียังมี ชีวิตอยู่ก็ตาม

คน มากหน้าหลายตาอัดแน่นอยู่บนเชิงเทิน
เช่นเดียวกับลานดินด่านล่างที่มีจำนวนไม่น้อยกว่ากัน
พิธีการสำคัญใกล้เริ่มขึ้น เด็กๆบนลานดินต่างจับจองสมรภูมิที่เหมาะและตนถนัดที่สุด
แม้มันจะไม่ใช่การรบ แต่มันก็เป็นการวัดความสามารถที่อาศัยความเชี่ยวชาญใน เชิงยุทธ์อยู่พอควร

ฝาโลงเปิดออกให้บุคคลใกล้ชิดได้ดูหน้าผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย
สีหน้าหมองคล้ำของร่างแน่นิ่งในกล่องไม้ ดูเหมือนจะไม่รับทราบเรื่องราวใดๆที่เป็นอยู่ภายนอก
เวลาเดียวกันเสียงร่ำไห้ก็ดังอยู่เป็นระยะๆ แทนคำอำลาที่ไม่มีความหมายใดซ่อนเร้น
นอกจากความเศร้าและอาลัยอาวรณ์

ประตูตู้เผาถูกเปิดออกด้วยมือของชายแต่งตัวซ่อมซอที่มากับพระ
โลงไม้สี่เหลี่ยมถูกใส่เข้าไปในช่องไฟทันทีที่ได้เวลาอันสมควร
ดอกไม้จันทน์ พวงหรีด ถูกบรรจุและเผาไปพร้อมกับร่างของผู้ตาย
ภรรยา และลูกๆยังคงร่ำร้อง เช่นเดียวกับญาติสนิท
และผู้มาร่วมพิธีบางคนที่ยืนน้ำตาคลอเบ้า
กัลปพฤกษ์ ถูกหว่านไปหน้าลานดิน
เด็กๆแย่งชิงกันอย่างสนุกสนานผู้ใหญ่บางคนเข้าร่วมวงด้วยเพื่อต้องการเก็บ
เหรียญห่อกระดาษแก้วไว้เป็นที่ระลึก มันช่างดูวุ่นวายในช่วงเวลาที่น่าจะโศกเศร้า

ควันสีดำพุ่งฟุ้งกระจายออกจากยอดเมรุไปตามแรงลม
แขก เหลื่อหลายคนเริ่มทยอยกันกลับบ้าน
ญาติๆเริ่มพากันมานั่งที่เต๊นข้างล่างหน้าเมรุ
บนเชิงเทินเมรุแลโล่งขึ้น เหลือก็แต่พ่อ แม่ ภรรยา และลูกๆของผู้ตาย
ที่ยังคงยืนอาลัยอาวรณ์อยู่หน้าเตาเผา
พระสงฆ์ชักแถวเดินกลับวัด
แต่ชายแต่งตัวซ่อมซอที่มากับพระยังกลับไม่ได้
เพระภาระหน้าที่ของเขายังไม่จบสิ้น

คนเริ่มบางตาจนนับจำนวนถูก ความตายเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่เคยถวิลหา
แต่ก็ได้มาทุกคนขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะเร็วหรือช้าต่างกัน
ควัน ที่พุ่งผ่านยอดเมรุเปลี่ยนเป็นสีเทาและค่อยๆเบาบางลงเรื่อยๆ
พ่อ แม่ ภรรยา และลูกๆของผู้ตายลงมานั่งอยู่ในเต๊น
ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยยังคงเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา

ชายแต่งตัวซ่อมซอกลับมานั่งที่โคนต้นไม้ใหญ่ข้างเมรุ
เขาไม่ได้รู้สึกเศร้าเลยแม้แต่น้อย
ไม่ใช่เพราะผู้ตายไม่ใช่ญาติโกโหติกากับเขา
หาก แต่ภาพความเศร้าที่เขาได้เห็นมันกลายเป็นสิ่งชินตาที่เขาได้สัมผัสมาอย่าง โชกโชน
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองตรงยอดเมรุอีกครั้ง กลุ่มควันเริ่มเบาบางลงทุกขณะ
ใบไม้เหี่ยวใบหนึ่งร่วงลงมาผ่านหน้าเขาไป มัน ลงซบแน่นิ่งกับอกแม่พระธรณี
เช่นเดียวกับใบอื่นๆที่ร่วงหล่นมาก่อนหน้านี้
เขาหยิบมันขึ้นมามองดู เหี่ยวแห้งและไร้ความหมาย
เขาถือมันไปรวมวางกับใบอื่นๆ ที่กองรวมกันอยู่ก่อนหน้านั้น
เขาหยิบไฟแช๊คขึ้นมาและรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
ไฟติดขึ้นแล้วมันลามเลียใบไม้แห้งอย่างรวดเร็ว
กลุ่มควันโขมง พวยพุ่งขึ้น เขานั่งมองมันย่อย สลายไปกับเปลวไฟ

ลมยังคงพัด เชื่อแน่ว่าใบไม้จะต้องทยอยกันร่วงหล่นต่อไปเรื่อยๆไม่มีอันจบสิ้น
เขาหยิบไม้กวาดขึ้นมาดู ใช้จิตวิญญาณแทรกซึมเข้าไปในเนื้อไม้
เหมือนมีพลังบางอย่างแอบแฝงอยู่ภายใน มันล้ำลึกเกินจะบรรยายออกมาจากสีหน้า
คล้ายกับว่าเขาได้พบสิ่งที่ปรารถนา และไม่อาจจะละทิ้งมันได้อีกต่อไป
“ใครเคยคึดถึงบ้างว่าถ้าไม่มีไม้กวาด โลกนี้จะสกปรกสักเพียงใด”
ชายผู้นั้นแอบพร่ำรำพันกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มแห้งๆที่ยากจะบรรยายความรู้สึก

กองไฟเริ่มมอด ควันไฟก็เริ่มจางลง เศษใบไม้เริ่มเป็นผงเถ้า
เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ เมื่อผ่านการเผาก็หลงเหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน
หากจะต่างกันบ้างก็ตรงที่ชื่อเรียก แม้นไม่มีสรรพนามคำว่ามนุษย์และขยะมากั้นกลาง
สุดท้ายจุดจบของของสองสิ่งก็คงคล้ายกัน
หากนำผงเถ้าขยะและผงเถ้ามนุษย์มาคลุกเคล้ารวมกัน
คงไม่มีใครสามารถที่จะแยกแยะได้อย่างหมดจด

เขาเงยหน้าขึ้นมองยอดเมรุอีกครั้ง มันสงบลงแล้ว
แต่หน้าที่คนเผาขยะอย่างเขายังไม่จบสิ้น
ดวงตะวันอ่อนแสงโรยรา เขากำไม้กวาดแน่นและพร้อมที่จะเผชิญอนาคตอย่างทรนงตน

.....................................................
"เพียงมีวาสนา ถึงสุดขอบฟ้าก็พานพบ หากไร้วาสนา แม้ไขว่คว้าก็คลาดคลา"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 20:38
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




A7438577-17.jpg
A7438577-17.jpg [ 182.41 KiB | เปิดดู 2428 ครั้ง ]
มาจาก…..โลตัส

โดย สรรพเดช

ในสังคมเมืองที่แออัดยัดเยียดไปด้วยการแข่งขัน ส่งผลให้จิตใจคนเมืองหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาผลประโยชน์เสียเป็นส่วนใหญ่

เมื่อเป็นเช่นนั้น สถาบันครอบครัวของหลายๆคนจึงเกิดช่องว่างให้เห็น
การที่เวลาชีวิตส่วนมากถูกนำไปทุ่มเทให้กับงานและธุรกิจจนหมด
ความผูกพันและความสัมพันธ์ภายในครอบครัวก็เลยลดน้อยตามอย่างอัตโนมัติ

ในยุคที่ศักดิ์ศรีของช้างเท้าหน้าและช้างเท้าหลังไม่มีมนต์ขลัง
การร่วมมือกันกอบโกยเงินทองจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของพวกคนเมือง
ภาระ หน้าที่ของฝ่ายหญิงที่ต้องเป็นแม่ศรีเรือนที่ดี คอยทำกับข้าวให้สามี คอยเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้าน
ดูจะเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากในยุคปัจจุบัน การจ้างพี่เลี้ยงเด็กจึงเป็นทางออกสำหรับหลายๆครอบครัว

“ สุรสีห์ “ หัว หน้าครอบครัวของครอบครัวหนึ่งซึ่งมีปัญหานี้เช่นกัน
เนื่องจากเขาและครอบครัวต้องเอาเวลาส่วนมากไปทุ่มเทให้กับการงาน
เพื่อที่จะได้มีเงินรองรับอนาคตของบุตรชายในภายหน้า

บุตรชายของ สุรสีห์ ตอนนี้พึ่งมีอายุ ๔ ขวบ และกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนประถมชื่อดังของจังหวัดที่เขาอยู่
ทุกเย็นพอเลิกงาน สุรสีห์ จะต้องมารับบุตรชายกลับบ้านเป็นกิจวัตร

วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อฟอร์ด เรนเจอร์ จอดลงหน้าโรงเรียน
เด็กน้อยผิวขาว รางจ้ำม้ำ ก็เงื้อมมือเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งในรถทันที
เมื่อประตูรถปิดรถคันนั้นก็แล่นฉิวออกไป…..

“ แม่ล่ะครับ “ เสียงไสๆบริสุทธิ์จากเด็กน้อยถาม พ่อ ซึ่งกำลังขับรถอยู่

“ แม่ยังเคลียงานไม่เสร็จเลยลูก แม่ก็เลยให้พ่อกลับมาก่อน “

“ แล้วแม่จะกลับกับใครล่ะครับ “ เด็กน้อยถามต่อทันที

“ แม่ของลูกเขาเอาตัวรอดเก่ง…ลูกไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวเพื่อนที่ทำงานก็มาส่งเองแหละ”

“ แล้วแม่ไม่หิวเหรอพ่อ”

“ เดี๋ยวแม่หนูก็คงแวะกินข้าวตรงร้านแถวนั้นเองแหละ”

“ พ่อไม่เป็นห่วงแม่เหรอครับ…..ไหนพ่อบอกว่ารักแม่ไง”

“ เออ……” สุรสีห์อุทานเบาๆ แล้วนึกถึงคำพูดของเด็กน้อย

“ ใช่…เรายุ่งกับงานมากจนเกินไปจนลีมใส่ใจซึ่งกันและกันเชียวหรือนี่”

“ พ่อพูดอะไรครับเมื่อกี้ผมไม่ได้ยิน”

“ อ๋อ…พ่อบอกว่าพ่อยังรักและเป็นห่วงแม่ของลูกเหมือนเดิมครับ”

ฟอร์ด เรนเจอร์หยุดร่างลงตรงหน้าร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง เป็นร้านอาหารธรรมดาไม่หรูหรามากนัก
สองพ่อลูกเดินเข้าไปในร้าน เลือกนั่งลงที่โต๊ะๆหนึ่ง
เด็กเสริฟเดินเข้ามาบริการทันทีเมื่อลูกค้าผู้มาใหม่จัดแจงที่นั่งกันเสร็จ

“ จะรับอะไรดีค่ะ” เสียงใสๆจาก สาวเสริฟ คนสวยถาม

“ ขอเป็นผัดผักแอบรัก แล้วก็ข้าวผัดคนถัดไปก็แล้วกันครับ”
เด็กเสริฟสาวถึงกับหน้าแดงเมื่อสุรสีห์พูดจบ

“ ไม่มีหรอกค่ะพี่เมนูที่ว่า” เด็กเสริฟตอบอย่างขัดๆเขินๆ

“ งั้นก็ขอเป็น…ยำรวมมิตรจิตเสน่ห์หา กับ ข้าวเปล่าเคล้าสัมพันธ์ก็แล้วกันนะครับ”

“ ก็ไม่มีอีกนั้นแหละพี่” สีมะเขือเทศกำลังลุกลามบนใบหน้าของสาวเสริฟมากขึ้นทุกที

“ ไหนบอกว่าจะมากินข้าวมันไก่ยังไงล่ะพ่อ แล้วนี่มาสั่งอะไรก็ไม่รู้ …
ตอนแม่มาด้วยพ่อไม่เคยสั่งอะไรมากมายอย่างนี้เลยนี่” ลูกชายสุรสีห์เอ๋ยขึ้น

“ อ๋อ…พ่อก็แค่อยากให้ลูกได้ลองกินอาหารแปลกๆดูบ้าง แต่พี่คนสวยเขาบอกว่าไม่มีเสียอีก..
ถ้างั้นก็สั่งข้าวมันไก่ดีกว่า…ขอข้าวมันไก่สองจานนะครับน้อง”
เมื่อแก้ตัวกับลูกชายเสร็จ สุรสีห์ก็บอกเมนูที่ต้องการกับสาวเสริฟ

“ ค่ะ…เดี๋ยวรอสักครู่นะค๊ะ” เด็กเสริฟสาวยิ้มชื้นๆก่อนเดินจากไป

“ วันนี้มีการบ้านมั้ยลูก” สุรสีห์ถามขึ้นแล้วยกเก้วน้ำเปล่าขึ้นดี่มดับกระหาย

“ มีครับ…ครูบอกว่าให้กลับมาถามผู้ปกครองว่า ข้าวที่เรากินได้มาจากไหน
แล้วกลับไปบอกให้ครูฟังในวันพรุ่งนี้ครับ “

“ อ๋อ…เป็นคำถามที่ง่ายมากลูก ข้าวทีเรากินอยู่ทุกเม็ดได้มาจากการปลูกของชาวนาทั้งนั้นแหละลูก”

“ชาวนาคือใครกันล่ะพ่อ คล้ายๆกับชาวประมงหรือเปล่า” เด็กน้อยทำหน้าสงสัย

สุรสีห็ค่อนข้างอึ้งกับคำถามของลูกชาย เขาไม่นึกเลยว่าลูกชายของเขา
ซึ่งสอบไล่ได้อันดับต้นๆเสมอจะไม่รู้จักชาวนา หรือเป็นเพราะความสะเพร่าของเขาเอง
ที่ไม่เคยปลูกฝังให้ลูกได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของชาวนา สุรสีห์ฉุกคิดขึ้นมาทันที

“ แล้วไอ้คอมพิวเตอร์ที่ลูกคลุกคลีกับมันอยู่ทุกวัน มันไม่เคยบอกลูกเลยเหรอว่า
ชาวนาเป็นใคร มีหน้าตาอย่างไร และสำคัญอย่างไร” สุรสีห์ถามลูกชายขึ้นบ้าง

“ ครับ มันไม่เคยบอก “ ความไร้เดียงสายังคงปกคลุมอยู่บนใบหน้าของเด็กน้อย

“ ก็วันๆลูกเอาแต่เล่นเกมส์ไม่ใช่เหรอ ?”

“ ครับ…แต่มันสนุกมากนะครับ “ เด็กชายยิ้มพร้อมกระดิกคิ้วทั้งสองข้าง

“ ได้แล้วจ๊ะ …ข้าวมันไก่ “ เด็กเสริฟสาวคนเดิมกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับจัดแจงข้าวมันไก่ให้สองพ่อลูก
สุรสีห์ ส่งยิ้มหวานๆให้เด็กเสริฟสาวอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่เธอจะเดินไปบริการโต๊ะอื่นต่อ

“ พ่อยังไม่ตอบผมเลยว่าชาวนาเป็นใคร “ เด็กน้อยท้วงขึ้นอีกครั้ง

“ ทานข้าวให้หมดก่อน แล้วเดี๋ยวตอนขับรถกลับบ้านพ่อจะเล่าให้ลูกฟังอย่างละเอียด “
สุรสีห์ก้มหน้าทานข้าวต่อ เมื่อเด็กน้อยเห็นเช่นนั้นก็ลงมือทานข้าวด้วย

“ ใครกินหมดก่อนชนะ“

วิธีหลอกเด็กซึ่งดูจะเป็นวิธียอดนิยมถูกสุรสีห์งัดมาใช้อีกครั้ง
เมื่อเด็กน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาทานข้าวอย่างขมักเขเม้น
สำหรับเด็กในวัยนี้ หากสามารถทำอะไรที่ชนะผู้ใหญ่ได้
ดูจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และอลังการที่สุดภายใต้ความคิดที่ไร้เดียงสา
ฟอร์ด เรนเจอร์ คันเดิมเคลื่อนที่ออกจากร้านอาหาร เมื่อเสร็จภาระกิจการปรนนิบัติกระเพาะอาหาร

“ บอกได้แล้วยังครับพ่อ…ว่าชาวนาเป็นใคร “เด็กน้อยถามขึ้นอีกครั้ง

“นี่ถ้าหากไม่ค่ำเสียก่อน พ่อจะพาลูกไปดูไห้เห็นกับตาเลยว่าข้าวมันมาจากไหน และชาวนาคือใคร
แต่วันนี้คงหมดสิทธิ์แล้วละ..เพราะมันใกล้จะมืดเสียแล้ว”

“ อยู่ไกลมั้ยพ่อ”

“ ไม่ไกลหรอกลูก…เดี๋ยววันหลังพ่อจะพาไปดู”

“ แล้วผมจะตอบคุณครูว่ายังไงดีครับพรุ่งนี้ “ เด็กน้อยท้วงขึ้นอีกครั้ง

“ ลูกก็..ตอบ คุณครูไปว่า ข้าวที่เรากินได้มาจากการเพาะปลูกของชาวนา
และชาวนาที่ลูกสงสัยว่าเป็นใครนั้น อันที่จริงเขาก็เป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเรา
นี่แหละเพียงแต่ว่า ชาวนาเขาต้องอยู่กับตมกับโคลน
เนื้อตัวผิวพรรณของเขาจะไม่ขาวสดใสเหมือนกับเรา “

“ ดูต่ำต้อยน่ะพ่อ “

“ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ และคราวหลังอย่าพูดแบบนี้อีก…
เพราะนั่นคือการดูถูกผู้มีพระคุณต่อเรา “

เด็กน้อยทำตามที่พ่อสั่งทันที

“ ลูก รู้มั้ยว่าข้าวที่ลูกกินอยู่ทุกวัน มันได้มาด้วยความเหนื่อยยากลำบากขนาดไหน
กว่าที่จะออกมาเป็นข้าวสวยให้เราได้แทะกินอย่างอร่อยปากนั้น มันต้องผ่านกรรมวิธีมากมาย
ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ปลูก คือการไถและคราด แล้วยังมีการเตรียมเมล็ดพันธ์เพื่อใช้ในการปักดำหรือหว่าน ซึ่งแต่ละขั้นตอนผู้เป็นชาวนาเขาต้องเอาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ทนหลังขดหลังแข็ง อาบเหงื่อต่างน้ำ
เผชิญหน้ากับแดดกล้าจนผิวตัวดำด้าง เท้าก็ต้องผุพังเพราะต้องลุยน้ำลุยโคลนอยู่เป็นวันวัน
แล้วเมื่อต้นกล้าเริ่มหยั่งรากแตกกองอกงามขึ้น ชาวนาก็ต้องหมั่นตรวจตราระดับน้ำในนาอย่าให้ขาดตกบกพร่อง และยังต้องคอยถากถางพวกวัชพืชที่อาจจะรุกรานตามริมคันนา
มิฉะนั้นมันจะไปแย่งปุ๋ยแย่งอาหารของต้นข้าวได้ เมื่อต้นกล้าเริ่มเติบโตขึ้นมาอีกหน่อย
ชาวนาก็ต้องใส่ปุ๋ยให้ต้นข้าวเจริญเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ เพื่อผลผลิตที่ตามมาจะได้มีคุณภาพที่ดี
และ เมื่อต้นข้าวเริ่มตั้งท้องออกรวง พวกแมลงศัตรูพืช หนู นก ก็ยังมาคอยรังควาญ
บั่นทอนผลผลิตให้ลดน้อยลงไปอีก

หากจะคิดทำนาเป็นธุรกิจในสมัยปัจจุบันดูจะเป็นการเสี่ยงต่อการขาดทุนมากๆ
เพราะค่าใช้จ่ายต่างๆมันยิ่งทวีสูงขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ราคาข้าวยังคงมีราคา ถูก
แถมเวลาไปขายยังถูกพ่อค้าคนกลางขูดเลือดปูเอาอีก “

“ ฟังดูน่าสงสารนะครับพ่อ “

“ ใช่…ชาวนาคืออาชีพที่น่าสงสาร แต่ยังน่ายกย่องนับถือที่สุด
เพราะพวกเขาคือผู้สร้างที่ไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น และ นั่นคือบรรพบุรุษโดยแท้ของเรานะลูก
เพราะตอนที่วัฒนธรรมต่างๆของพวกตะวันตกยังไม่ลุกลามเข้ามา
โคตรเง้าของพวกเราเขาก็ทำนากันทั้งนั้นแหละ “

“ แสดงว่าผมก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขมาจากชาวนาด้วย ใช่มั้ยพ่อ “

“ ถูกต้องนะครับ… ลูกมีสายเลือดของชาวนาผสมอยู่ด้วย เพราะปู่ของลูกเป็นชาวนา “

“ แล้วทำไมพ่อไม่ทำนาเหมือนปู่ล่ะครับ “ เด็กน้อยถามด้วยความไร้เดียงสา
แต่คำถามนั้นกับแทงใจดำ สุรสีห์เอาเต็มๆ เขาหวนคิดถึงตอนวัยเด็ก ที่เคยอยู่กับทุ่งกับนา
เคยเก็บผักเก็บหญ้าหาปูหาปลาตามลำห้วยลำคลอง
เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าว ท้องทุ่งที่บ้านก็จะมีคนในหมู่บ้านมากมายมาช่วยกันลงแขกเก็บเกี่ยวข้าว
และเขาก็มักจะเข้าไปร่วมขวางแข้งขวางขาอยู่ด้วย เขาชอบทำปี่ซังข้าวมาเป่าเล่น
และเสียงของมันก็ยังก้องอยู่ในความรู้สึกคล้ายกับว่าเรื่องราวเหล่านั้นเพิ่งผ่านไปไม่นาน
มันคือความอิสระที่ไร้กฎเกณฑ์
ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมสุดท้ายแล้ว เขากลับเลือกที่จะดำเนินชีวิตภายใต้กฎเกณฑ์ของสังคมเมืองแทน มันอาจเป็นความคิดที่มักง่ายและเห็นแก่ตัว
แต่เขาก็ตัดสินใจทำไปแล้ว เขายอมขายมรดกที่นาซึ่งพ่ออุตส่าห์บุกบั่นถากถางมาด้วยความยากลำบาก
เขาขายดินที่เคยเหยียบย่ำ เคยหล่อเลี้ยงชีวิตเพียงเพื่อแลกกับดินผืนน้อยในสังคมเมือง
เขาไม่แน่ใจว่าความสะดวกสบายที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้จะเป็นความสุขที่แท้จริงของชีวิตหรือเปล่า

“ พ่อครับ! ทำไมถึงเงียบไปล่ะครับ” เด็กน้อยเขย่าขาสุรสีห์ เมื่อเห็นอาการผิดสังเกต

“ อ๋อ!....ไม่มีอะไรหรอกครับ แล้วเมื่อตะกี้ลูกถามพ่อว่าอะไรหรือครับ ไหนลองถามใหม่อีกครั้งซิ”

“ ผมถามว่าทำไมพ่อถึงไม่ทำนาเหมือนกับปู่”

“ สาเหตุที่พ่อไม่ทำนามีอยู่ 3 ข้อ ด้วยกันก็คือ หนึ่งพ่อขี้เกียจ สอง พ่อขี้คร้าน
ส่วนข้อสามก็คือ พ่อไม่ขยัน เป็นไงเหตุผลฟังขึ้นไม่ลูก “

เด็กน้อยทำหน้างงๆกับคำพูดของพ่ออยู่พักหนึ่ง ..แล้วก็หัวเราะออกมาทันทีเมื่อเริ่มเข้าใจ

“ พ่อครับ...แล้วถ้าเกิดประเทศของเราไม่มีชาวนาเหลืออยู่ มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างมั้ยครับ”

“ มีผลกระทบแน่นอนครับ เพราะชาวนาเป็นผู้สร้างอาหารให้กับเรา
ถ้าเกิดผู้สร้างมีน้อยหรือไม่มีเลยในขณะที่ผู้บริโภคกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ
ก็จะนำมาซึ่งความไม่สมดุลและเมื่อถึงเวลานั้นข้าวที่เรารับประทาน อยู่ทุกวันก็จะมีราคาสูงขึ้น”

“ มีอะไรข้องใจอีกไม่ลูก “

“ มีครับ…เมล็ดข้าวที่เรากินอยู่ทุกวันมันมาจากส่วนไหนของต้นข้าวหรือครับ
และต้นข้าวมันมีหน้าตาอย่างไร เหมือนกับต้นมะม่วงหรือเปล่า “

“ ลูกรู้จักต้นหญ้าเจ้าชู้หรือเปล่าครับ”

“ ที่เมล็ดของมันชอบติดเสื้อผ้าใช่มั้ยพ่อ “

“ นั่นแหละใช่…..ส่วน ต้นข้าวมันก็พวกพืชตระกูลเดียวกับพวกหญ้าเจ้าชู้นี่แหละ
แต่ต้นข้าวมันวิเศษกว่าเพื่อนก็ตรงเมล็ดของมัน สามารถเป็นอาหารให้กับสรรพสัตว์มากมาย
มันจึงกลายเป็นหญ้าที่สูงค่ากว่าหญ้าธรรมดาไงล่ะ
…ส่วนที่ลูกสงสัยว่าเมล็ดข้าวมาจากส่วนไหนของต้นข้าวนั้น
คำตอบก็คือ เมื่อต้นข้าวถึงวัยเจริญพันธ์มันก็จะออกรวงมากจากกลางลำต้น
ซึ่งแต่ละรวงก็จะมีเมล็ดข้าวมากมายเกาะติดอยู่
เมื่อเมล็ดข้าวแก่พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวเมล็ดของมันก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ทอง
ซึ่งคนส่วนมากนิยมเรียกว่า ข้าวเปลือก เมื่อนำข้าวเปลือกไปเข้าโรงสี
เราก็จะได้เมล็ดข้าวสวยอย่างที่เราหุงกินนั่นเอง”

“ แล้วเปลือกข้าวมันหายไปไหนหมดล่ะพ่อ “

“ มันกันถูกแยกให้ไปรวมกันที่อื่น เพื่อรอนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อ เช่น
นำไปเป็นเชื้อเพลิงในการเผาถ่าน นำไปทำปุ๋ย ฯลฯ
…แต่ตอนนี้ชื่อของมันเปลี่ยนแล้วนะลูก มันถูกเรียกว่า แกลบ แทน “

“ฟังดูชีวิตของข้าว มันมั่วมากเลยนะพ่อแล้วทำไมเวลากินมันง่ายนิดเดียวล่ะพ่อ “

“ เรื่องกินมันง่ายทั้งนั้นแหละลูกเอ๊ย
มนุษย์ส่วนมากเขาชอบการบริโภค มากกว่าการสร้างทั้งนั้นแหละลูก…
ถึงบ้านแล้ว มีอะไรจะถามพ่ออีกมั้ยลูก “

“ ไม่มีแล้วครับ “

“ งั้นเราเข้าบ้านไปดูทีวีกันดีกว่าน๊ะ” สุรสีห์ชวนลูกชาย

บ้านยังคงมืดสนิท สุรสีหืรู้ดีว่าภรรยายังไม่ได้กลับมาถึงบ้านอย่างแน่นอน
เขาจึงไขประตูบ้านเข้าไปข้างใน

ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังดูทีวีอยู่ในบ้านอย่างสนุกสนาน
ก็ได้มีรถยนต์คันหนึ่งมา จอดอยู่หน้าบ้าน
แล้วภรรยาสุรสีห์ก็ออกมาจากรถ พร้อมกับข้าวของถือหิ้วอยู่ในมือมากมาย
รถยนต์ของเพื่อนภรรยาสุรสีห์ขับออกไปทันทีเมื่อเสร็จภารกิจ

“ แม่มาแล้ว “ เด็กชายรีบวิ่งออกไปรับแม่ที่หน้าบ้านอย่างดีใจ

“ ทำไมแม่มาช้าครับ “

“ วันนี้งานเยอะจ๊ะลูก แล้วเมื่อกี้แม่ก็ไปซื้อของที่โลตัสกับเพื่อนมาด้วย “

“มีขนมมั้ยครับ “

“ ไม่มีหรอกจ๊ะ แม่รีบก็เลยซื้อมาแต่เฉพาะข้าวสารกับเครื่องใช้จำเป็นเท่านั้นเอง
แล้วขนมในตู้เย็นลูกทานหมดแล้วเหรอจ๊ะ “

“ ยังไม่หมดครับ “

“ ถ้างั้นก็ทานไปก่อนน่ะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ค่อยซื้อมาให้ใหม่…เข้าบ้านกันเถอะ ลูก”

“ แม่ครับ…แม่ไม่เคยโกหกผมใช่มั้ยครับ “

“ จ๊ะ…ทำไมล่ะลูก “

“ คือ…ผมจะถามอะไรแม่ซักหน่อย ว่าข้าวในถุงที่แม่ถืออยู่นั้นได้มาจากไหน “

“ ก็แม่ซื้อมาจากโลตัสซิครับ ทำไมลูกถึงถามแปลกๆล่ะ “

“ไม่มีอะไรครับผมแค่อยากรู้ “

“ ไป…เข้าบ้านกันดีกว่า พ่อไปไหนล่ะจ๊ะลูก “

“ พ่อนอนดูทีวีอยู่ครับ “

ในห้องนอนที่มีแอร์เป็นตัวควบคุมอุณหภูมิ สามพ่อแม่ลูกนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงนุ่มๆ
และคลุมร่างไว้ด้วยผ้าห่มผืนหนา เด็กน้อยนอนอยู่ระหว่างกลางพ่อกับแม่
เขานอนยังไม่หลับ เพราะจิตใจกำลังพะวักพะวงอยู่กับเรื่องคำตอบที่จะต้องใช้ตอบครูในวันพรุ่ง
เขารู้สึกสับสนกับข้อมูลที่แตกต่างกัน ข้อมูลของพ่อที่ว่าข้าวมาจากชาวนานั้น
แม้จะฟังดูคล้ายนิทานปรัมปราแต่ก็ยังมีข้อน่าเชื่อถืออยู่บ้าง
ส่วนอีกข้อมูลของแม่ที่ตัวเขาเอง ได้เห็นและได้สัมผัสอยู่อย่างเคยชินนั้น
ก็เป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถืออยู่ไม่แพ้กัน เขาลังเลที่จะเลือกเอาเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นหลัก
เขาครุ่นคิดวกวนอยู่นาน จนในที่สุดก็เผลอหลับไป

เช้าวันใหม่ ฟอร์ด เรน เจอร์ ถอยออกจากโรงรถอีกครั้ง วันนี้ก็เหมือนกับวันอื่นๆที่ผ่านมา
ทุกอย่างมันซ้ำซากจำเจจนมองดูคล้ายละครชีวิตน้ำเน่าเรื่องยาว
ทุกเช้าพวกเขาทั้งสาม พ่อ แม่ ลูก จะต้องขึ้นรถคันเดียวกันเสมอก่อนที่จะแยกย้ายกันลงคนละที่
หน้าโรงเรียนคือป้ายแรกที่จะต้องจอดให้สมาชิกตัวน้อยลง
ก่อนที่สองสามีภรรยาจะไปยังที่ทำงานประจำของตนต่อไป

ในห้องเรียนหลังจากเข้าแถวเสร็จ

“ เมื่อวานครูให้การบ้านอะไรใครจำได้บ้างจ๊ะ “ ครูหญิงร่างท้วมๆถามขึ้น

“ จำได้ครับ / ค่ะ “ เด็กนักเรียนตัวน้อยทั้งห้องตอบพร้อมๆกัน

“ แล้วใครรู้บ้างหรือยังจ๊ะว่าข้าวที่เรากินได้มาจากไหน “ คุณครูถามขึ้นอีกครั้ง

“ รู้ครับ “ เด็กน้อยคนหนึ่งลุกขึ้นยืนอย่างมั่นใจพร้อมที่จะตอบ เขาคือลูกชายของสุรสีห์นั่นเอง

“ ตอบมาเลยจ๊ะ เด็กชายสุรชาติ “ คุณครูชี้นิ้วไปยังลูกชายของสุรสีห์ที่ยืนอยู่

“ ข้าวที่เรากินได้มาจาก โลตัส ครับ” ลูกชายของสุรสีห์ยืนยืดอกอย่างมั่นใจเมื่อเสร็จสิ้นคำตอบ

คุณครูถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กน้อย
เพื่อนในห้องบางคนที่พอรู้เรื่องก็หัวเราะกันเป็นการใหญ่
ส่วนพวกที่ไม่รู้เรื่องก็พลอยหัวเราะกับเพื่อนๆไปด้วย
ลูกชายของสุรสีห์แปลกใจกับพฤติกรรมของเพื่อนๆและคุณครูนัก
เขาไม่ค่อยแน่ใจในความหมายของสายตาและเสียงหัวเราะ ที่คนรอบข้างกำลังมีกับเขา
เมื่อความมั่นใจหดหายไป ร่างน้อยที่เคยยืนอย่างมั่นคง
องอาจก็เริ่มเปลี่ยนกิริยาบถเป็นยืนก้มหน้าแทน
เมื่อครูสาวเหลือบมาเห็นอาการของลูกชายสุรสีห์เช่นนั้น
ก็รีบเดินเข้ามาปลอบพร้อมกับส่งสัญญาณใบ้ให้เด็กนักเรียนในห้องเงียบเสียง

“ ไหนหนูลองบอกครูซิจ๊ะ ว่าหนูได้คำตอบมาจากไหน”
ครูสาวเอามือลูบหัวของลูกชายสุรสีห์ไปพลางๆระหว่างที่กำลังรอคอยคำตอบ

“ ก็ผมเห็นแม่ไปซื้อข้าวที่โลตัสอยู่เป็นประจำนี่ครับ”

“ อย่างนี้นี่เอง...แล้วหนูอยากฟังคำตอบจากเพื่อนๆดูมั้ยครับ”

“ อยากฟังครับ”

“ เอ้า...ใครตอบได้ว่าข้าวมาจากไหนยกมือขึ้น”
เมื่อครูสาวถามจบเด็กชายตัวดำร่างผอมคนหนึ่งก็ชูมือขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ตอบมาเลยจ๊ะ เด็กชายบุญเลิศ”

“ ข้าวที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ ได้มาจากการเพาะปลูกของชาวนาครับ”

“ เก่งมากจ๊ะ...นั่งลงได้” ครูสาวชมเชยนักเรียนที่ตอบคำถามได้ถูก

แล้วก็หันหน้ากลับมาที่ลูกชายของสุรสีห์ ’’ เข้าใจหรือยังครับ...ว่าข้าวได้มาจากไหน”

“ รู้แล้วครับ เมื่อวานพ่อก็ยังเล่าให้ผมฟังอยู่เลย”

“ แล้วทำไมหนูถึงไม่เชื่อคำบอกเล่าของคุณพ่อล่ะครับ”

“ คุณพ่อชอบพูดโกหก ผมก็เลยไม่อยากจะเชื่อ”

“ ฮือ! “ ครูสาวยิ้มกับลูกชายสุรสีห์ แล้วก็เดินไปหน้าห้องเรียน
หยิบรูปภาพที่เตรียมมาประกอบกับการสอนเรื่องชาวนาและข้าวอย่างละเอียด
ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยข้อคิดไว้กับนักเรียนในห้องว่า
“ สิ่งใดก็ตามที่สร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก
สิ่งนั้นเราก็ควรที่จะใช้มันให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์ที่สุด อย่าใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีวันหมดสิ้น ข้าวที่เรากินอยู่ทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกัน
มันต้องผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยากลำบากมากมาย
เพราะฉะนั้นเราทุกคนในฐานะผู้บริโภค ก็ควรที่จะใช้ข้าวให้เป็นประโยชน์มากที่สุด อย่ากินทิ้งกินขว้าง
ส่วนอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ด้อยไปกว้าข้าว นั่นก็คือชาวนาหรือที่เรียกอีกชื่อว่าผู้สร้างชีวิต
ปัจจุบันชาวนามีจำนวนน้อยลงทุกวันเพราะไร้ผู้สืบทอด อาชีพชาวนาที่น่านับถือนั้น
กำลังถูกเด็กรุ่นหลังดูถูกเหยียดหยามว่าเป็น อาชีพที่ต่ำต้อยและไร้ศักดิ์ศรี...
แล้วนักเรียนล่ะคิดอย่างนั้นหรือเปล่าค่ะ”

“ ไม่คิดเช่นนั้นครับ / ค่ะ’’

“ ดีจ๊ะ....พวกเราจะต้องไม่ดูถูกเหยียดหยามผู้มีพระคุณต่อเราเป็นอันขาด...
เพราะนั่นหมายถึงการเนรคุณ”

.....................................................
"เพียงมีวาสนา ถึงสุดขอบฟ้าก็พานพบ หากไร้วาสนา แม้ไขว่คว้าก็คลาดคลา"


แก้ไขล่าสุดโดย บอระเพ็ด. เมื่อ 25 เม.ย. 2010, 10:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2010, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 20:38
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

"ความหวังก่อนตาย"
โดย สรจักร ศิริบริรักษ์

ตาเคยเห็นรอยเลือดจางเป็นจุดที่ด้านในของยกทรงครั้งแรก เมื่อก่อนพ่อแม่จะตายเพียงสองวัน
จำได้ว่าตอนนั้นตกใจเล็กน้อย แม้จะอายุยี่สิบห้า แต่ตาก็ไม่รู้อะไรกับเรื่องทางสรีระมากนัก
คิดเอาเองประสาคนต่างจังหวัดที่มีโอกาสรับข่าวสารน้อยว่า คงเป็นอาการนมคัดอย่างที่เคยได้ยิน
ตาตั้งใจจะรอถามแม่ ซึ่งอยู่ระหว่างเร่ขายทุเรียนกวนตามงานวัด
ทั้งฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง โดยมีพ่อเป็นคนขับ ทั้งสองไปทีละหลายวันถึงสัปดาห์

ครอบครัวของตาประกอบด้วยพ่อ ซึ่งเป็นอดีตจ่าทหารเรือสัตหีบ
แม่เป็นลูกจ้างติดรถเร่ขายของตามงานวัด ทั้งสองแต่งงานกันง่ายๆแบบคนจนที่ดี
พ่อลาออกเอาเงินบำเหน็จซื้อที่ขนาดพองามลงเงาะ ทุเรียน มังคุดได้อย่างละแปลง
กลายเป็นไร่นาสวนผสมที่พอเลี้ยงชีพได้โดยอัตคัด

ตา เป็นพี่สาวคนโต มีหน้าที่หุงหาอาหาร ดูแลงานบ้าน
สามหน่อถัดจากตาเป็นผู้ชายสองและคนสุดท้ายเป็นผู้หญิง
ภาระในการเลี้ยงส่งลูกทั้งสี่หนักหนาสากรรจ์ ตาถูกให้ออกโรงเรียนหลังจบชั้นป.๗
เพราะไม่เห็นประโยชน์ว่าทำไมผู้หญิงต้องเรียนสูง
ความที่เคยอยู่รถเร่สมัยยังสาว แม่เห็นลู่ทางหารายได้โดยรับซื้อทุเรียนร่วงตามสวน
ทดลองกวนขาย ความที่เป็นทุเรียนแท้ไม่เติมแป้งทำให้ติดตลาด และทำรายได้เพิ่มน่าพอใจ
พ่อจึงเอา มอเตอร์ไซค์คู่กายมาต่อเป็นรถพ่วงขนวัตถุดิบ และพาแม่ไปขายทุเรียนกวนตามตลาดนัด

ส่วนจักรยานคันเก่า น้องเก๋คนสุดท้องใช้เป็นพาหนะไปโรงเรียนที่ตั้งอยู่ห่างไปสิบกิโล
ด้วยความคิดแบบทหาร พ่อให้ความสำคัญกับลูกชาย และส่งเสียเล่าเรียนเต็มที่ในฐานะผู้สืบสกุล
พ่อมักพูดปลูกฝังลูกชายทั้งสองให้สอบเป็นนายร้อย ชดเชยความรู้สึกต่ำต้อยของพ่อ
ความจนมักมากับความทุกข์ เมื่อน้องชายทั้งสองเรียนระดับอาชีวะ

เช้าวันหนึ่งรถสองแถวที่บรรทุกนักเรียนเข้าเมืองเกิดเทกระจาด
สองหนุ่มน้อยซึ่งแต่งตัวไปเรียนแต่เช้าถูกรถบรรทุกทับจนตายคาซากรถ
ทั้งบ้านร่ำไห้เหมือนจะขาดใจ
หลังจากพ่อแม่ทำใจกับการสูญเสียลูกชายได้
ตาจึงมีโอกาสหาความรู้ใส่ตนอีกครั้ง แต่ด้วยเรื้อโรงเรียนมานาน
เธอจึงเลือกเรียนเย็บผ้า ด้วยหวังทำรายได้เสริมยามว่างจากสวน

ส่วนน้องเก๋คนเล็กสุด และห่างจากเธอสิบปีได้รับการฟูมฟักเช่นไข่ในหิน
ให้เป็นหน้าตาของพ่อแม่ ตายังจำคำของพ่อได้ว่า
“ ดูแลน้องให้ดีนะลูก เคี่ยวเข็ญมันเข้า พ่อแม่ไม่มีปริญญาก็อยากเห็นลูกได้ปริญญาสักคน ”
ความตายของลูกชายเปลี่ยนนิสัยพ่อ จากที่ไม่เคยฟังใคร กลายเป็นพ่อที่อบอุ่น
สำหรับลูกสาวทั้งสอง พ่อมักพูดถึงความฝันของตัวเองให้ลูกฟังทุกวัน จนมันกลายเป็นภาระที่คน
ในครอบครัวจะต้องช่วยกันส่งเสริมสมาชิกคนเล็กสุด ให้ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจาก
มหาวิทยาลัยมีชื่อให้จงได้

ทุกข์ซ้ำกรรมซัด เสมือนเป็นคำสั่งเสีย
หลังจากพ่อแม่เดินทางไปขายของงานวัดที่ศรีราชาเพียงสี่วัน
ผู้มีพระคุณทั้งสองก็สังเวยชีวิตบนทางหลวง ขณะขับรถพ่วงข้างฝ่าลมหนาวกลับบ้าน
ร่างของพ่อกระเด็นไปติดไม้ใหญ่ ทุเรียนกวน กระจายเกลื่อนถนนปนกับเลือดสีแดงฉาน
จากร่างแม่ซึ่งขาดเป็นสองท่อน

ตาล้มพับทันทีที่เพื่อนบ้านวิ่งมาแจ้งข่าว ดวงตะวันดับแล้วพร้อมจันทรา
ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสาวที่ยังเหลืออีกหนึ่งชีวิต
ถ้าไม่ใช่เพราะความปรารถนาของพ่อตาก็ไม่รู้จะมีชีวิตต่อไปทำไม

หลังพิธีศพผ่านพ้น หญิงสาวบอกตนเองว่า เธอมีภาระอันยิ่งใหญ่ประการหนึ่งคือ
ส่งน้องเรียนปริญญาให้ได้ เมื่อเสร็จภารกิจ เธอจะปลงผมบวชตลอดชีวิต
แผนการชีวิตถูกวางตามกำลังสมองที่มี เธอตัดสินใจพาน้องเข้าเมืองหลวงด้วยความ
เชื่อว่าการอยู่เมืองหลวงจะทำให้น้องสาวฉลาด หูตากว้างไกล
หญิงสาวพบสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของพ่อมีเงินแปดพันกว่าบาท
อาจฟังดูเล็กน้อยสำหรับคนกรุง แต่มากโขสำหรับชาวบ้านธรรมดาที่อยู่ในสังคมเกษตร
หญิงสาวถือสมุดไปขอถอนเงินเพื่อใช้เป็นทุนเข้ากรุงเทพฯ ธนาคารปฏิเสธการจ่าย
เพราะ เธอไม่ใช่เจ้าของบัญชี เธอคู้ตัวไหว้แล้วไหว้อีกจากโต๊ะนี้ไปโต๊ะโน้น
ทุกคนตอบห้วนๆว่าผิดระเบียบ จนถึงผู้จัดการใหญ่ซึ่งอธิบายว่า
มรณบัตรของพ่อแม่ไม่ช่วยให้ธนาคารฝ่าฝืนระเบียบได้
มีทางเดียวคือเธอต้องร้องต่อศาล ขอเป็นผู้จัดการมรดกของบิดามารดา
คนจนไม่มีอำนาจต่อกร เธอหมดปัญญาเอาความกับธนาคาร จำต้องทิ้งเงินไป
หญิงสาวตัดใจขายที่สวนในราคาไร่ละห้าพันบาท ได้เงินแปดหมื่น พาน้องสาวเข้า
เรียนต่อที่กรุงเทพฯ
เป็นครั้งแรกที่สองพี่น้องได้สัมผัสกรุงเทพฯด้วยตนเอง อากาศเหม็นแสบจมูก เต็ม
ด้วยฝุ่น ผู้คนมากมายล้วนหน้าดำคร่ำเครียด เดินขวักไขว่เหมือนมดปลวก
เพื่อนสมัยเรียนด้วยกันที่ระยองมารับเธอตามที่มีจดหมายบอก
สองพี่น้องเช่าห้องเล็กๆ ชานกรุงเทพฯใกล้บ้านเช่าของเพื่อนเป็นที่ซุกหัวนอน
หญิงสาวแบ่งเงินซื้อจักรมือสองรับงานเย็บผ้าจากโรงงาน รายได้ไม่มากแต่พอดำรง
ชีวิตให้ผ่านคืนวันไปได้ และด้วยปณิธานอันมุ่งมั่นเธอก็พาน้องไปสอบเรียนต่อม.๔
อันที่จริงการเรียนของเก๋ก็อยู่ในระดับดีมากตามมาตรฐานต่างจังหวัด
แต่ที่นี่ เด็กสาวติดอันดับสำรองเกือบสุดท้าย
ตาเป็นคนพาน้องสาวไปกราบตักครูใหญ่เพื่อขอความกรุณา
น้ำตาแห่งความทุกข์ยากราดรดโคนต้นไม้แห่งความปรานีในหัวใจครูใหญ่ จนผลิดอกออกผล
ในท้องฟ้าอับโชค บางครั้งเมฆขาวก็ลอยผ่านมาพอได้เห็น

อาการเลือดออกจากหัวนมของตายังเกิดเป็นระยะ แต่ไม่มีอะไรร้ายแรง
นอกจากเจ็บตึงเป็นบางครั้งและมีตกขาวร่วมด้วย เธอเคยปรารภกับเพื่อนแบบอายๆ
"สงสัยว่าจะเกิดจากการถีบจักรวันละสิบสี่ชั่วโมง"

วันรุ่งขึ้นเพื่อนรักเอายาแคปซูลมาให้สามชุด กินแล้วไม่ดีขึ้น
หลังจากนั้นเพื่อนมักแวะเวียนเอายารูปร่างแปลกๆมาฝากเสมอ
ส่วนเก๋นั้นเป็นเด็กดี แต่งตัวไปเรียนแต่ก่อนสว่าง
กลับบ้านช่วยพี่สาวเย็บผ้า ซักเสื้อผ้า ทำกับข้าว ดูแลความสะอาดห้องขนาดสี่คูณสี่เมตร
ว่างจากนั้นก็ท่องตำราทำการบ้าน ตลอดสามปีที่ย้ายมากรุงเทพฯ
สองพี่น้องไม่เคยพักผ่อน ดูหนัง ดูละคร
อาหารหลักที่ทำไว้กินครั้งละหลายๆ วันก็คือแกงส้มหรือไม่ก็ต้มจับฉ่าย
เก๋ทำหน้ายุ่งยากทุกครั้งที่พี่สาวถามเรื่องผลการเรียน เธอไม่อยากทำให้พี่สาวผิดหวังในตัวเธอ
ความฝันสูงสุดคือได้เห็นน้องสาวขึ้นรับพระราชทานปริญญาบัตร พ่อแม่คงมองเห็นจากสวรรค์เบื้องบน

ตาอ่านใบแจ้งผลการเรียนไม่เข้าใจ เพราะสมัยที่เธอเรียนใช้ระบบเปอร์เซนต์ เธอนำไปปรึกษาเพื่อน
“ วิชาอื่นก็ดีหรอกนะ เว้นแต่ภาษาอังกฤษ น้องเธอตกภาษารู้ไหม ? เด็กต่างจังหวัด
ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ ลูกคนกรุงเทพฯดูเคเบิ้ลทีวี ดูหนังฝรั่ง ฟังเพลงฝรั่ง พวกเราสู้เขาไม่ได้หรอก ”
เพื่อนสาวแนะนำอย่างคนเห็นโลกมามาก
“ ถ้าเรียนพิเศษเพิ่มจะดีไหมนะ ? ” ตาขมวดคิ้ว ใบหน้าผอมเต็มไปด้วยริ้วรอย
กังวล ดูเผินๆเหมือนอายุสี่สิบ
โอ๊ย ! ดีอยู่แล้ว แต่เงินล่ะ จะเอาเงินมาจากไหน ? เดือนละสามสี่พันเชียวนะเธอ
อย่านึกว่าขี้ไก่ เก็บเงินไว้ซื้อเนื้อซื้อปลากินเองเถอะ ผอมจะเป็นผีดิบอยู่แล้ว ”
สามปีในกรุงเทพฯ สุขภาพของหญิงสาวทรุดโทรมลงอย่างมาก อาจเป็นเพราะ
อากาศสกปรกหรือความอับทึบของห้องเช่า หรือมุงานเกินไป
ระยะหลังนอกจากจะมีก้อนแข็งในเต้านมแล้ว เธอยังมีระดูขาวออกกะปริบกะปรอยถี่ขึ้น
กลิ่นเหม็นคาวสกปรกตาเจียดเงินฝากเพื่อนซื้อยาต้ม “ มุตกิดระดูขาว ”
เธอบอกเพื่อนเช่นนั้น เพื่อนแนะนำให้ไปหาหมอ เธอปฏิเสธเพราะค่ายาคงหลายร้อย
“ พี่เป็นอะไร ? ” เก๋ถามเมื่อได้กลิ่นสมุนไพรจากหม้อต้มยาน้ำดำ
“ ตกขาว ” เธอไม่เคยบอกน้องเรื่องความผิดปกติมากกว่านั้น
“ ไปหาหมอดีกว่านะ หลังๆนี้พี่ดูซูบจังเลย ”
“ ไม่หรอก....เสียดายเงิน อยากเก็บไว้ให้เก๋เรียนพิเศษมากกว่า อีกสองเดือนก็สอบไล่แล้วนี่ ”

เก๋ปฏิเสธไม่ยอมเรียนพิเศษ ไม่ว่าจะบังคับอย่างไร
เว้นแต่ว่าพี่สาวจะยอมไปหาหมอที่โรงพยาบาล
การไปหาหมอเป็นเรื่องใหญ่ ค่ารักษา รายได้ที่ต้องเสียจากการหยุดงานทั้งวัน
และความรู้สึกอับอายที่ต้องเปลื้องผ้าให้หมอตรวจตรงนั้น ตาแทบทำใจไม่ได้
ขณะนั่งรอแพทย์ตั้งแต่แปดโมงเช้าจนสิบโมง ผู้คนขวักไขว่นั่งนอนยืนเดินบนทางเดินแคบๆ
บางคนผอมเหมือนตายซาก มี น้ำหนองเฟะที่แผล กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเหม็นแทบเป็นลม
เธออยากลุกวิ่งหนีออกมาจากสถานที่แห่งความหดหู่ หญิงสาวมิได้อาทรสุขภาพของตนเอง
เธอยอมมาโรงพยาบาลเพื่อน้อง
พยาบาลเรียกเธอเข้าไปในห้อง หมอหนุ่มถามเธอด้วยคำถามน่าอับอาย
มีสามีหรือยัง ?มีเพศสัมพันธ์กับใครบ้าง ? ไม่มีเลยหรือ ? จริงหรือ ?
อย่าโกหกหมอนะ และยังสั่งให้เธอถอดเสื้อผ้า ตรวจภายใน
เธอน้ำตาไหลพราก เมื่อหมอใช้มือคลำหน้าอก รู้สึกว่าเอาความเป็นหญิงที่สงวนมาตลอด
ชีวิตถูกช่วงชิงไปเสียแล้วโดยชายแปลกหน้าที่อ้างตัวว่าเป็นหมอ
พยาบาลเรียกเธอขึ้นนอนบนเตียงมีขาหยั่ง เจ็บแปล๊บเมื่อถูกตัดชิ้นเนื้อขนาดเม็ดถั่วไปตรวจ
เธอไม่เข้าใจ และไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดอธิบายให้เธอเข้าใจ

ในสัปดาห์ต่อมา เมื่อโหนรถเมล์ไปฟังผลการตรวจตามที่หมอนัด เธอก็พบกับหมอ
ที่เคยตรวจและหมอผู้หญิงแก่ๆอีกคน ทั้งสองมีสีหน้าไม่สู้ดี สบตากันก่อนจะบอกเธอว่า
เธอเป็นมะเร็งลุกลามทั่วตัวแล้ว
การใช้ยาบำบัดอาจช่วยต่อชีวิตไปได้ ๕๐% ทั้งสองพูดอะไรอีกบางอย่าง เช่นว่า
หากมารักษาแต่เนิ่นๆ ก็หายขาดได้ แต่ตาไม่ได้ยิน ในสมองอื้ออึงเหมือนมีพายุพัด
ตาไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไร
ไม่มีน้ำตาของความเจ็บปวด เธอเจ็บปวดมามากพอแล้ว
ในสมองก้องด้วยคำว่า “ มะเร็งระยะลุกลาม ”
หมอบอกค่ายาเข็มละห้าร้อยบาท ต้องฉีดทุกสัปดาห์เพียงเพื่อยืดเวลาชีวิตไปอีกระยะ
เมื่อลงรถเมล์ หญิงสาวก้าวข้ามถนนไปยังโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่หรูหรา
พนักงานชุดฟอร์มสีม่วงมองการแต่งกายของเธอด้วยสายตาเหยียด
อากาศเย็นยะเยือกจากแอร์ทำให้ร่างผอมสั่นสะท้าน
เธอกำมัดเงินที่เตรียมไว้เป็นค่ายาจนชุ่มด้วยเหงื่อ
มีเพียงสองทางเลือกสำหรับคนจนอย่างเธอ...ตัวเองหรือน้อง ?

“ สมัครติววิชาให้น้องค่ะ ” เธอตัดสินใจเด็ดขาด

การที่เก๋ได้ติวภาษาอังกฤษและอื่นๆ กลับยิ่งทำให้เธอขาดความมั่นใจ
ที่โรงเรียนมีผู้คนมากมาย เด็กส่วนใหญ่มีรถขับมาเรียน แต่งกายสวยงาม พูดไทยปนอังกฤษ
เพื่อนร่วมชั้นพากันหัวเราะเมื่อได้ยินเธออ่านออกเสียงภาษาอังกฤษหน้าชั้น
เก๋เครียด ภาระที่พ่อสั่งเสียหนักนัก เธอพยายามตั้งใจเรียน แต่ไม่อาจฝ่าข้ามขีดจำกัดของตนเองได้
โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ

เก๋เชื่ออย่างฝังใจว่า
"ถ้าเธอทำคะแนนทดสอบเอนทรานซ์แบบจำลองที่สถาบันแห่งนี้จัดทำได้ถึงครึ่ง
เธอก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และในทางกลับกันถ้าเธอไม่ผ่านการทดสอบ
เธอก็หมดโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยปิดที่ทุกคนคาดหวัง"
หากพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ เธออาจร้องขอความเห็นใจ แต่นี่...ประตูปิดตายแล้ว
เหลืออีกเพียงสี่เดือนก็ถึงเวลาสอบเอนทรานซ์ เก๋ทุ่มตัวสอบเต็มที่กับการทดสอบ
เอนทรานซ์แบบจำลองของสถาบันติววิชา

ตาสังเกตเห็นความเครียดของน้องสาว
ซึ่งเชื่อมั่นอย่างไม่มีทางโน้มน้าวให้เป็นอย่างอื่น
“ ถ้าหนูทำแบบทดสอบของสถาบันไม่ได้ หนูก็จะไม่สอบเอนทรานซ์ เพราะ
อาจารย์บอกว่าไม่เคยมีใครที่ตกการทดสอบที่นี่จะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ”
ก่อนทดสอบ ๑ วันเก๋แทบไม่นอน คืนนั้นเด็กสาวนั่งท่องตำราจนตีสอง และตื่นตีสี่
กว่าอ่านหนังสือต่อ เห็นชัดว่าเธอเครียดมาก ดูมันยิ่งใหญ่กว่าการสอบเอนทรานซ์จริงๆเสียอีก
เธอออกจากบ้านไปสอบที่สถาบันหน้าปากซอยตั้งแต่หกโมงเช้า

ค่ำวันนั้นเธอกลับมาด้วยอาการกะปลกกะเปลี้ย ไม่พูดจา
ตาเปิดพัดลมไล่อากาศอบอ้าว ปล่อยให้น้องนอนนิ่งๆโดยไม่กวนใจ
หลังจากนั้นนับชั่วโมงเธอจึงพูดเบาๆ แล้วสะอื้น “ ไม่มีทางหรอกพี่ หนูทำไม่ได้ ”
ตากอดน้องสาว รู้ดีว่าการทดสอบครั้งนี้สำคัญมากเพียงใด

หลังจากวันนั้น เก๋มักจะนั่งเหม่อลอย รอผลการทดสอบซึ่งจะส่งมาให้ทางไปรษณีย์
สายวันหนึ่ง ขณะที่เก๋ไปโรงเรียน บุรุษไปรษณีย์ก็นำจดหมายจากสถาบันกวดวิชามาส่ง
ตาออกไปรับ เธอเปิดอ่านผลการทดสอบด้วยมือสั่นเทา ร่างของเธอซวนเซเล็กน้อย
ครู่หนึ่ง ตาก็แต่งตัวออกจากบ้านตกเย็นเมื่อเก๋กลับมาถึงบ้าน ตายื่นจดหมายให้
มันคือจดหมายฉบับเมื่อเช้า เก๋เปิดอ่านด้วยท่าทีลังเลและกลัวเนื้อความในจดหมาย
เธอพึมพำน้ำตาไหล “ ไม่น่าเชื่อเลยพี่ หนูคิดว่าตัวเองทำได้ไม่ถึงครึ่ง ”
หลัง วันนั้นเก๋เกิดความเชื่อมั่นอย่างมาก เธอมุมานะดูหนังสือจนสอบผ่านอย่างสวยงาม
ช่วงนั้นเองที่ตาเป็นลมแน่นิ่งคาจักรเย็บผ้า เพื่อนบ้านจับขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไปส่งโรงพยาบาลหมอรับไว้ทันที

แม้จะมีปณิธาน อันแรงกล้า ที่จะสนับสนุนน้องสาวให้บรรลุความสำเร็จในชีวิตอย่างที่พ่อปรารถนา
แต่ตาไม่อาจฝืนสังขาร มะเร็งแพร่กระจายไปที่มดลูก ปอด ตับ และกะโหลกศีรษะ
เธอยังดำรงสัมปชัญญะไว้ได้ โดยมีความหวังเท่านั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง
เก๋ร้องไห้โฮเมื่อทราบความจริง เธอย้ายมากินนอนที่โรงพยาบาลเฝ้าพี่สาว
ด้วยความอนุเคราะห์ของสมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศไทย
ทำให้สองพี่น้องไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาตัว
“ พี่ตาไม่ตายนะ พี่ต้องอยู่เป็นกำลังใจให้เก๋ ” เด็กสาวกอดพี่ร้องไห้

ตารู้สึกผิดที่ทำให้น้องเสียกำลังใจ เธอสัญญาว่าจะอยู่ต่อไป
เธอไม่ปริปากถึงอาการเจ็บในช่องท้องที่ลุกลาม เหมือนมีหนอนนับพันกัดกินภายใน
เธออ้อนวอนขอให้น้องทำให้ดีที่สุด เพื่อเป็นของขวัญให้กับพ่อแม่และตัวเอง
เก๋ไม่มีทางดิ้น ถ้าเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
อาจเป็นกำลังใจที่จะช่วยให้พี่ต่อสู้กับโรคร้าย
ด้วยพลังความรักที่มีเธอใช้เวลาอันสงบในโรงพยาบาลดูหนังสือเต็มที่
นั่นนำความสุขใจมาสู่พี่สาวเป็นอย่างยิ่ง

มะเร็งลุกลามถึงระยะสุดท้าย หมอต้องให้มอร์ฟีนระงับปวด ดูเผินๆจึงคล้ายกับว่า
การตั้งใจสอบของเก๋ทำให้พี่สาวอาการดีขึ้น เธอจึงยิ่งมุมานะเพื่อความอยู่รอดของพี่สาว
ดังนั้นทุกครั้งที่ตาลืมตาตื่น จะเห็นน้องสาวก้มหน้าอยู่กับกองหนังสือมากมาย
การสอบเอนทรานซ์ผ่านไป เก๋กลับจากสอบด้วยสีหน้าเชื่อมั่น “ หนูต้องสอบได้อยู่แล้ว
เพราะทำทดสอบผ่านคะแนนดีด้วย ” พี่สาวยิ้มระโหย แต่เห็นชัดว่าสุขใจ

วันสุดท้ายในชีวิตหญิงผู้อาภัพมาถึง ตรงกับวันประกาศผลเอนทรานซ์
เธอตื่นแต่เช้ากินอาหารได้มากเป็นพิเศษ ม่านตาขยายกว้างและแจ่มใส
พูดคุยนานและไม่มีอาการหอบ เก๋ดูแลพี่จนรับยาเรียบร้อย
จึงขอตัวไปดูผลการสอบเอนทรานซ์ด้วยหัวใจเบิกบาน พี่สาวเธอดูดีขึ้นมาก
แต่เมื่อกลับมาถึง หัวใจที่พองโตของเก๋พลันสลาย ตาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ขอบตาลึกโหล ริมฝีปากซีดเซียว นัยน์ตาไร้ประกาย
เก๋ทิ้งผลไม้ในมือ ร้องไห้โฮ วิ่งไปกอดพี่สาว ประคองศีรษะแนบอก
“ พี่จ๋า พี่อย่าทิ้งเก๋ไปนะ เก๋ทำให้พี่ทุกอย่างแล้ว ”
หญิงสาวเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆ มุมปากกระตุกยิ้มเหน็ดเหนื่อย
“ ผลการสอบเป็นอย่างไร ? ”
“ เก๋ติดพยาบาลอย่างที่พ่อแม่และพี่อยากให้เป็น เก๋ทำทุกอย่างแล้วนะ พี่ทิ้งเก๋ไปไม่ได้นะ
เก๋สอบได้แล้ว พี่ได้ยินไหม ? เก๋สอบได้...”
น้ำตาอุ่นไหลตามร่องแก้ม ตกบนหน้าผากหญิงสาวผู้อาภัพ
“ ถ้าพี่ตายเก๋จะอยู่กับใคร...โฮ...พี่จ๋า...เก๋จะเป็นพยาบาลรักษาไข้พี่เอง ได้ยินมั้ย ? ”
เธอตะโกนด้วยเสียงแผ่วหวิว ปิ่มว่าจะขาดใจ
“ น้องพี่ ” ตากระซิบแหบระโหย “ น้องต้องอยู่ต่อไป ทำชื่อเสียงให้พ่อแม่
น้องต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง ” เธอปิดเปลือกตาลง หายใจหอบ “
พี่มีเวลาไม่มากแล้ว จงฟังพี่ให้ดี น้องเป็นคนมีความสามารถแต่ขาดความมั่นใจ
น้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เพราะเชื่อว่าตัวเองผ่านการทดสอบ
พี่ดีใจและมีความสุขใจอย่างที่สุด มันเป็นของขวัญล้ำค่าก่อนตาย น้องเอ๋ย....
พี่มีเงินฝากในธนาคาร เหลือจากการขายที่สวนหกหมื่น ขอให้น้องเบิกมาใช้เป็นทุน...”
แม้จะหอบหายใจแรง หน้าตายังอาบแต้มด้วยความสุขอันยิ่งใหญ่

“ น้องจ๋า พี่ต้องขอโทษ พี่ได้ทำสิ่งไม่สมควร พี่แอบอ่านและปลอมแปลงจดหมาย
ผลการทดสอบของน้อง พี่รู้ว่ามันสำคัญ แต่ถ้าพี่ไม่ทำ เราคงไม่มีวันนี้
พี่ดีใจและ...ขอบ...คุณ..”ตาสิ้นใจตายอย่างสงบ
หลังจากหาวัดตั้งศพพี่สาวได้ เก๋จึงไปที่ธนาคารเพื่อเบิกเงินจัดการงานศพ
แต่เธอไม่สามารถเบิกเงินได้เพราะไม่ใช่เจ้าของบัญชี เว้นแต่จะมีคำสั่งศาล
ซึ่งเธอก็หมดปัญญาจ้างทนายเด็กสาวจำต้องขายจักรเย็บผ้า สมบัติชิ้นเดียวของพี่สาว
เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในพิธีศพ

หลังพิธีผ่านพ้น
เก๋ตัดสินใจโกนหัวบวชชีให้พ่อแม่และพี่สาวเพื่อทดแทนคุณ
และเป็นการขอขมาลาโทษที่โกหกพี่สาวก่อนตายว่า ตนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
จนทุกวันนี้เด็กสาวยังบวชเป็นชี เธอมักถามตัวเองว่า
การที่พี่สาวผู้อาภัพ ผู้ซึ่งไม่เคยได้รับความสุขใดๆในชีวิต
แม้ก่อนตายยังถูกน้องสาวโกหก เพียงเพื่อให้ได้รับความสุขลวงๆ นั้นนะ..ถูกหรือผิด ?

รูปภาพ

.....................................................
"เพียงมีวาสนา ถึงสุดขอบฟ้าก็พานพบ หากไร้วาสนา แม้ไขว่คว้าก็คลาดคลา"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร