วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 12:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2009, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อัญญาสิ เขียน:

อ้างคำพูด:
และอีกอย่าง.ผมเป็นชาวพุทธที่ไม่เน้นการคิดและศึกษาว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนหรือเป็นเทพ
แต่ผมศึกษาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
ที่เห็นว่าเป็นสิ่งดี(สิ่งดีของผมคือไม่ทำให้คนอื่นทุกข์ใจร้อนใจเสียหาย...
ไม่ใช่ว่าเห็นตามบัญญัติของสังคมที่บอกว่าสิ่งนั้นเรียกว่าดีสิ่งนี้เรียกว่าไม่ดี)


Astroboy เขียน:

และอีกที่อย่างที่พยายามจะบอกและตั้งคำถามมาคือ

ทำไมต้องตามคนผู้นี้กันด้วยครับ
ก่อนที่จะดับทุกข์เคยคิดไหมครับว่า เหตุใดต้องไปดับทุกข์เพื่อค้นหาความสุขของตัวเอง
เพราะเหมือนที่บอกครับ วันนี้คุณทราบรึเปล่าครับว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร
เพื่อใช้เวรใช้กรรมนั้นแน่ใจได้อย่างไร เพราะว่าออกมาจากคำพูดของคนที่พวกคุณพยายามจะบอกว่านี่คืออัจฉริยะกระนั้นหรือ

และก็ยืนยันว่าไม่ได้มาเพื่อเชิญชวนทั้งสิ้นครับ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับคุณ อัญญาสิ


อันนี้แรงเกินไปนะคุณ
ที่มาเรียกพระพุทธเจ้าว่าคนคนนี้



สิ่งที่น่ารังเกียจมาก คือเวลาเราไปเยี่มบ้านเพื่อน หรือไปบ้านใคร
เราต้องยกมือไหว้ผู้ใหญ่ในบ้านนั้น เพราะมันสิ่งที่คนในบ้านนั้นเคารพ

อย่ามีนิสัยหยาบกระด้างจนไม่ยกมือไหว้ใครในบ้านนั้น เพราะคิดว่าตัวเองสูงกว่า
ถ้าไม่คิดว่าจะเข้าไปในบ้านเขา รับไม่ได้ ก้อย่าเข้าไป
ถ้าเข้าไปแล้วต้องไหว้พ่อแม่เขา
หรือไม่ก็แสดงการเคารพคารวะผู้ที่คนอื่นเขาเคารพ


เวลาตัวเองพูดยังต้องมีจริตในการพูดกับพระเจ้า ว่าคำไหนต้องใช้กับพระเจ้า
การพูดถึงพระพุทธเจ้าของเราก็เหมือนกัน
ให้เกียรติกันบ้าง

อยากสูงส่งก็เชิญทำไป แต่ไม่จำเป็นต้องเหยียบกันอย่างนี้

คุณเองเชื่อฟังพ่อแม่หรือเปล่า แล้วเชื่อทำไม
คุณเชื่อพระเจ้าคุณหรือเปล่า เชื่อทำไม
ก็เหตุผลเดียวกันนั่นแหละ

เราเชื่อพระพุทธเจ้าก็เหตุผลเดียวกับคุณเชื่อในพระเจ้านั่นแหละ
เราหวังพึ่งท่าน เราศรัทธาท่าน เราต้องการท่านนำทางชีวิตและวิญญานของเราไปสู่ที่อันควร




ไม่ว่าใครจะพยามบอกอย่างไรว่าศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้เชื่อ คุณก็ไม่พยามจะเข้าใจหรอก



ไม่ว่าใครพยามจะพูดอธิบายว่าศาสนาพุทธเป้นอย่างไร
ดูเหมือนคุณไม่รับเอาซะเลย ไม่พยามทำความเข้าใจเอาซะเลย
มันเปล่าประโยชน์
คุณกลับไปที่ของคุณเถอะ เชื่ออะไรก้ทำไป
อย่ามาข้องแวะวุ่นวายให้มันขุ่นเคืองใจกันเลย

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2009, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้ความสงสัยของบัวในตม..... :b6: :b6:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2009, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมยอมรับว่าไม่ได้อ่านรายละเอียดเพราะไม่มีเวลา และต้องการความสงบ

คุณastroboyทำให้ผมต้องออกมาครับ

วิทยาศาสตร์ไม่เคยสอนให้ใครก้าวร้าว

วิทยาศาสตร์ไม่ทำให้ใครโอหัง

ตรงข้าม

นักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงนั้นนอบน้อมถ่อมตน

ศาสนานั้นเป็นเรื่องของความศรัทธา เป็นเรื่องของสัจจธรรม

ไม่ใช่เรื่องตรรกวิทยา

พุทธศาสนาเป็นเรื่องของการตรัสรู้อยู่เหนือตรรกและปัญญา

ไม่ใช่เรื่องของลางสังหรณ์

อย่าบ้าปรัชญาตระวันตกให้มากมายนัก

แอะอะก็ตรรกะ

ผมจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง

พุทธไม่ใช่ศาสนาของบุคคล

พุทธเป็นศาสนาของสภาวะ

พระพุทธเจ้าเป็นพุทธองค์หนึ่งในจำนวนพุทธมากมาย

เพราะฉนั้นที่คุณยกคำถามที่เป็นบุคคลาธิฐานอย่างโอหังขาดความเคารพจึงไม่ถูกต้อง

ไม่มีความรู้

คุณลองอธิบายสภาวะของหลุมดำให้ฟังหน่อย

แล้วบอกผมด้วยว่าหลุมดำเป็นอะไร

มีรูปร่างอย่างไร เหมือนกับอะไร

แล้วค่อยมาคุญเรื่องนิพพานกัน

แต่อย่าดึงเอาสิ่งที่คนบูชาครึ่งค่อนโลกลงมาอย่างขาดความเคารพ

อย่าคิดว่ารู้เรื่องวิทยาศาสตร์แล้วเก่ง

ผมก็เรียนมาทางวิทยาศาสตร์

ปรัชญญาผมก็ศึกษา

คุณอธิบายเรื่องหลุมดำมาก่อน

ผมจะหาเวลามาคุยด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2008, 22:13
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ได้เข้ามาดูบอร์ดนี้นานเลยครับ

ถ้าอยากให้ตอบอีกครั้งก็ไม่มีปัญหา

ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีเวลาว่างครับเรียนหนักมาก

เสาร์อาทิตย์นี้ต้องต่างจังหวัดด้วยครับ


ไม่เกินวันอังคารนี้ ผมเข้ามาตอบคำถามที่เหลือแน่ครับ

อดใจรอหน่อยนะครับ และยืนยันเลยนะครับว่า

ถ้าผมได้เข้ามาพูดในบอร์ดนี้ครั้งหน้า

รับรองได้เลย

http://www.dhammajak.net/forums/

สั่นสะเทือนแน่ครับ

เพราะว่าครั้งหน้าผมจะพูดให้พวกคุณวิเคราะห์ฝ่ายเดียวบ้างแล้วครับ

ขอบคุณสำหรับหลายคนที่พยายามเข้ามาติดตามครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ทางเว้บช่วยพิจารณาด้วยละกันครับว่าถ้ากระทู้มันส่อไปในทางศาสนาเปรียบเทียบ
ก็ควรจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง

ถ้าคุณ astroboy ต้องการคุยลักษณะนั้น ให้ไปห้องศาสนาของพันทิพย์
ที่นั่นมีผู้ทรงภูมิทุกศาสนา ยอมรับกระทู้ของทุกศาสนา



ที่นี่เขามีขอบเขตว่าเป็นเว็บเผยแพร่คำสอนศาสนาพุทธครับ
ใครสงสัยอะไรในพุทธก็ถามได้คุยได้
แต่ไม่ใช่้ว่ามาใช้อุบายแกล้งถาม
จะได้สบช่ิองหาเรื่องคุยเปรียบเทียบศาสนาให้มันวุ่นวายขึ้นมา


ถ้าคุณอยากเผยแผ่ศาสนาคุณ คุณก็ไปหาช่องทางของคุณเองครับ
ไม่ต้องไปวุ่นวายกับช่องทางของศาสนาอื่นเขา

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b40: :b39: เป็นเพียงกระทู้เดียวที่ K.คามินธรรม โพส์ไว้เยอะมากๆ อ่านทีจุใจเลยทั้งคนตั้งคำถาม ทั้งคนตอบ..... :b35:

:b43: :b44: :b43: แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าทำไมเจ้าของกระทู้ถึงไม่บอกว่าตัวเองนับศาสนาอะไร...?

ผมอยากจะบอกว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนคนทั้งโลก(ทั้งคนธรรมดาและคนที่บวชเป็นพระ) มีอยู่ 3 สิ่งหลักๆ คือ
1. ให้การศึกษาแก่ตนเอง ขยันเล่าเรียนเพื่อจะได้ประกอบสัมมาอาชีพเลี้ยนตนเองและครอบครัวได้ และไม่เบียดเบียนใคร
2. ให้รู้ถึงหลักกฏแห่งกรรมว่าตนเองเคยทำกรรมอะไรไว้บ้างในอดีต เพราะกฏแห่งกรรมเป็นตัวที่ผลักและดันให้เกิดผลที่ตามมาในปัจจุบันและอนาคต ต้องเข้าใจในกฏแห่งกรรม
3. สามารถแก้ความทุกข์/ดับทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวเองได้ พยายามหาวิธีดับทุกข์เพื่อให้ชีวิตผ่อนคลายจากความทุกข์ (ซึ่งต้องเข้าใจเหตุและผลที่มาจากความทุกข์ให้ได้ก่อนจึงหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งนั่นก็์คือต้องใช้สติและสัมปชัญญะ ผนวกรวมกันเป็นความไม่ประมาท) :b40: :b42:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b20: :b20: :b20:
ว่าด้วยเรื่องของหลักการศรัทธาเชื่อมั่น
โดยใช้ตรรกะเป็นบรรทัดฐาน

ศรัทธา VS ตรรกะ
น่าสนใจค่ะ
ศรัทธาความเชื่อ มีความกว้างขวางโดยนัย
ตรรกะมีข้อจำกัดถ้าต้องให้แสดงผลเป็นรูปธรรม
คงต้องมีข้อตกลงกันโดยเปิดใจและเพื่อการศึกษาอย่างแท้จริง
ทำความเข้าใจโดยการเทียบเคียง แบบฉันใดก็ฉันนั้น

เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้สนทนาและผู้อ่านต่อไป
:b35: :b35: :b35:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2009, 02:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เตือนคุณ Astroboy

จงใช้สรรพนามแทน องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของศาสนาพุทธ ให้เหมาะสมด้วย

ส่วนสรรพนามแทนพระเจ้าของคุณ จะใช้ว่าอะไรๆเชิญตามสบาย

เพราะการมาขอความรู้แบบปัญญาชน ควรให้เีกียรติกันเหมือนที่เราๆ ให้เกียรติคุณแล้ว

และคุณเองควรตระหนักว่า กำลังเป็นตัวแทนพวกศรัทธาความเชื่อของต่างศาสนา ที่เว็บนี้อนุเคราะห์ให้เข้ามาแลกเปลี่ยนหลักธรรมกันได้แบบบัณฑิต พึ่งเจรจากับบัณฑิต

ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2009, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2008, 08:42
โพสต์: 67

ที่อยู่: สังขตธาตุ

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นด้วยกับคุณแมวขาวมณีครับ

การสนทนาธรรมด้วยการใช้เหตุผล ไม่พิมพ์ข้อความที่เป็นการดูถูกกระทบกระทั่งซึ่งกันและกันก็ไม่เป็นไร

ศาสนาพุทธเราเปิดกว้างอยู่แล้ว แต่ควรอยู่ในกรอบที่ทางเวปกำหนดไว้

ทุกคนยินดีสนทนากับทุกศาสนา

ถ้าผิดกฏ ทางเวปก็จะลบตามความเหมาะสมทั้งสองฝ่ายครับ

.....................................................
เราคือใจที่บริสุทธิ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2009, 11:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


มีข้อสงสัยในคำถามของท่าน Astroboy นิดหน่อยครับ กรุณาตอบด้วยเหตุผลทีนะครับ

กับคำถามเรื่องไก่กับไข่ที่ท่านว่า
ประเด็นอยู่ตรงที่ ไก่ตัวแรก ไข่ฟองแรก ชีวิตแรก เกิดขึ้นได้อย่างไร ศาสนาพุทธอธิบายไว้ว่าอย่างไร


นึกสงสัยครับว่าทำไมผมถึงต้องสงสัยประเด็นเดียวกับท่าน เพราะเรื่องนี้กระผมไม่ได้มองที่ประเด็นที่ท่านถาม แต่ประเด็นของกระผมอยู่ตรงที่ อะไรทำให้เราต้องมาสงสัยเรื่องพวกนี้ครับ ท่านตอบกระผมได้หรือไม่ว่าทำไมต้องอยากรู้เรื่องพวกนี้ครับ รู้แล้วมันจะมีอะไรดีขึ้น ถ้ารู้ว่าชีวิตแรกคือใคร แล้วเราจะสงสัยมั้ยว่าชีวิตแรกเกิดขึ้นอย่างไร เกิดขึ้นทำไม เพื่ออะไร ถ้ารู้แล้วเราก็ต้องมาสงสัยมั้ยว่าทำไมจึงต้องเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น(หมายถึงคำตอบของคำถามที่ว่าเกิดมาเพื่ออะไร)แล้วเราจะต้องมาต่อยอดความสงสยต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดรึป่าว

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผมขอบอกคุณตามตรงครับว่าคุณเองช่าง โลกแคบจริงๆครับ เพราะที่บอกว่าคุณกล้าบอกไหมว่าหนังสือเล่มนั้นดีที่สุดหนังสือเล่มนั้นดี ที่สุด จะเล่าให้ฟังคร่าวๆถึงสรรพคุณของหนังสือเล่มนี้แล้วมาดูด้วยตาคุณเอง
เคย สังเกตไหมว่าทำไมกินเนสท์บุ๊ค ถึงไม่เคยลงว่าหนังสือที่คนอ่านกันและมีอัตราการอ่านมากที่สุดในโลกคือ หนังสืออะไร ทั้งนี้ข้อมูลพวกนี้น่าจะมีอยู่ในกินเนสท์บุ๊ค และเพราะว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของชาวมุสลิม และก็รู้อยู่ว่ากินเนสท์บุคเป็นของใคร
หนังสือเล่มนี้มีอายุกว่า 14 ศตวรรษแล้ว แต่ทุกอย่างยังคงสภาพเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลภายในแม้แต่ 1 ตัวอักษร ไม่ว่าจะอยู่ ณ จุดใดบนโลกถ้าคุณหยิบยกขึ้นมาคุณก็จะเจอว่ามันคือหนังสือเล่มนี้เล่มเดียว อาจมีต่างกันเพียงแค่คำนำสำนักพิมพ์ หรือรูปแบบของรูปเล่มเท่านั้น
ข้อ ความภายในหนังสือเล่มนั้นสำหรับผมแล้วมากกว่าปรัชญา มากกว่าคุณค่าทางภาษา มีหลักตรรกะและหลักวิทยาศาสตร์มากมาย และความจริงอันมากมาย เป็นหนังสือที่ คนมุสลิมนั้น อ่านแล้วอ่านอีก จะเป็นร้อยหรือเป็นพันรอบ จะจำได้ หรือวิเคราะห์มามากมายก็ยังยอมรับว่านี่คือสิ่งมหัศจรรย์ มีองค์กรณ์มากมายถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อพิสูจน์สิ่งนี้โดยเฉพาะ พิสูจน์แล้วพิสูจน์อีกแต่ก็ยังหาความขัดแย้งที่ขัดกับหลักตรรกะและข้อมูลทาง วิทยาศาสตร์ในศตวรรษ 20 ตัวอย่างเช่นบอกถึงการบังเกิดชีวิตไว้อย่างที่วงการวิทยาศาสตร์ตกตะลึง สภาพการอยู่ในครรภ์มารดาตั้งแต่การปฏิสณธิถึงหลังคลอด ทั้งๆที่ข้อมูลนี้อายุนานกว่า 14 ศตวรรษแล้ว มีหนังสือที่ไหนที่กล้ายืนยันข้อมูลของอนาคตในทางด้านตรรกะ ที่คุณบอกว่ายังไม่พบปราชญ์คนใดที่มีสติปัญญาจนคิดอะไรไม่ล้าสมัย ผมถึงบอกไงว่าคุณเองก็โลกแคบที่ไม่เคยรู้จักหนังสือเล่มนี้ และผมก็เป็นคนหนึ่งที่ยืนยัน คุณจะเชื่อหรือไม่บอกแล้วว่าต้องลองเห็นด้วยตาเหมือนที่คุณบอกให้ผมไปดู คัมภีร์ของคุณ ซึ่งเดี๋ยวผมจะวิเคราะห์ช่องโหว่ให้ฟัง และไม่ได้มีเจตนาเชิญชวนสู่ศาสนา เพราะคุณเองก็รู้อยู่ว่า เคยไหมที่จะมีมุสลิมออกมาเชิญชวนดังเช่นคริสเตียน เพราะอะไร ?


เค้าเชื่อหนังสือที่ว่าใช้ตรรกะพิสูจน์ได้ :b34: :b34: :b34: อยู่อย่างแคบๆในหน้าหนังสือ...โถ พ่อคุณ
ในเมื่อไม่เชื่อไม่มีศรัทธา ไม่สามารถออกมาจากกรอบของหนังสือนั้นๆ แล้วมาศึกษา พร้อมทั้งปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญารู้ (แม้ว่ามีพยานบุคคลหมายถึงพระสุปฏิปันโนที่แม้ยังมีชีวิตอยู่ก็มีกระดูกเป็นแก้วแล้ว...) ...ว้า...ไม่ต่อดีกว่าหาประโยชน์ไม่ได้เลย
ท่านๆทั้งหลายปล่อยเค้าไปตามกรรมของเค้าได้แล้วค่ะ

อยากขอนะคุณ Astroba เปิดใจหน่อย แต่คงกลัวผิดกฏของหนังสือคุณแต่ถ้ามันไม่ได้ตีกรอบไว้มากมาย :b12: ก็ลองมาเรียนรู้จริงๆจังๆกับเราก็จะดีนะ :b13: ยินดีต้อนรับคนที่ชอบศึกษา แต่คงต้องกล้าๆหน่อย เป็นกำลังใจ :b4: :b4: ให้
:b29: :b29: :b29:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2009, 20:17
โพสต์: 15


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่านะ..อย่าไปคุยกับคนประเภทนี้ให้เสียเวลาเลยครับ...
พวกเดียรถีย์..คนขวางโลกพวกนี้..วัยรุ่นเซ็ง.....เซ็งเจ้าของกระทู้โว้ย..
ก่อนไป..ขอถามหน่อย...
คุณ Astroboy. คุณเคยเตะลูกบอลเข้ากำแพงมั๊ย..[url]ตรรกะของคุณ[/url]กล่าวไว้ว่า..
Action เท่ากับ Reaction..
ป่วยการที่คุณจะมาแสดงความคิดเห็น..ที่แสนจะทุเรศของคุณ..ในบอร์ดนี้..เขาตอบคุณหลายๆกระทู้..
คุณ..เคย ตรรกะ..ของคุณมั๊ย....ดูเหมือนว่าคุณกำลังจะเตะลูกบอลเข้ากำแพง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 21:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุยกันเรื่องหลักการศรัทธาเชื่อมั่นของปุถุชนคนทั่วๆไป
หรือเฉพาะศรัทธาฯของ คุณAS. คนเดียวที่แบบ ใช้หลักตรรกู อุปทานหมู่ จิตวิทยา
เจ้าวิชาการทางโลก ที่เอาไว้ประกอบอาชีพหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง บำรุงบำเรอกายสังขาร ที่เป็นของหยาบๆประกอบกันขึ้นมาอย่างหยาบๆ
ของหยาบๆใช้เครื่องมือหยาบๆวัด-ตวงก็สมควรกัน

:b38: :b38: :b38: :b38:
เห็นด้วยกับคุณ VJZing แหะ ไม่ใช่วัยรุ่น แต่โ ค-- เซ็ง
:b9: :b9: :b9:
ธรรมชาติของไก่ มักพอใจแต่ข้าวปลือก,ข้าวสาร,อาหารเม็ด เสียเวลาและก็โง่ด้วยที่จะมาบอกมันถึงความสวยงามของเพชร พลอยเพราะมันมีปัญญารู้แค่นั้น ไม่เหมือนข้าวเปลือกอาหารเม็ดที่มันสามารถจิกกิน รู้สึกได้ว่าอิ่มท้อง เพราะสัมผัสได้ ตวงได้ด้วยกระเพาะตัวเองนี่ถ้าไม่ได้ยินมันร้อง กะต๊ากๆ ก็คงไม่ได้หันมาดูว่าที่แท้...มันเป็นไก่ นี่เอง...

:b8: ท่านๆทั้งหลายเก็บพระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแสดงในที่อันควรเถิด :b8:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2009, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


การบำเพ็ญธรรมยิ่งสูง การใส่ร้ายก็ยิ่งมาก
ธรรมะยิ่งสูง บ่อนทำลายจะตามมา :b8:


เว็บนี้เป็นเว็บของพระพุทธศาสนานะครับ คุณ Astroboy ถ้าไม่มีศรัทธาในพุทธศาสนา
ถึงจะมีคนหาเหตุผลมาตอบคำถามคุณมากเท่าใด ก็คงจะยังไม่เป็นที่พอใจของคุณอยู่ดี
เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่เวลาตอบคำถามก็จะเอาคำสอนของพระพุทธองค์ มาตอบซึ่งเป็นสัจจธรรม
ถ้าหากคุณไม่มีศรัทธาในพุทธศาสนามาก่อน ก็คงยากที่คุณจะเชื่อและเข้าใจ

ทางที่ดี คุณนับถือศาสนาใดอยู่ ก็ควรไปศึกษาคำสอนของศาสนานั้นๆ ศึกษาให้กระจ้างแจ้ง
ให้บรรลุธรรมไปเลย เพราะไม่ว่าศาสนาใด ต่างก็มีผู้สำเร็จธรรมได้ทั้งนั้น หากว่าคำสอนนั้นไม่ถูก
บิดเบือนเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง คำสอนของแต่ละศาสนาก็เป็นเหมือนเครื่องมือ ให้ผู้คนเข้าถึงธรรมะ ธรรมะคือแก่นของแต่ละศาสนา

ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ก็ควรมองผู้นับถือศาสนาอื่น เหมือนผู้ร่วมบำเพ็ญธรรม มีความเมตตากรุณา
ไม่สร้างความแตกแยกให้ผู้อื่น ไม่ดูถูกดูแคลนผู้นับถือศาสนาอื่นที่ไม่เหมือนตน พระศาสดาของศาสนาต่างๆ ก็คงจะคิดเช่นนี้เหมือนกัน. :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2009, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2009, 22:30
โพสต์: 61


 ข้อมูลส่วนตัว


Astroboy เขียน:
สวัสดีครับ
ก็ตามหัวข้อนั่นเลยนะครับ
ผมเพียงต้องการที่จะศึกษา และทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการเชื่อมั่นของชาวพุทธน่ะครับ

ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนนะครับว่าผมไม่ใช่ชาวพุทธ ไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ ทั้งสิ้นที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ศาสนาของท่านทั้งสิ้น เป็นเพียงแค่การเปิดประเด็นความคิดและคำถามเท่านั้น ถ้าเกิดว่าผมพูดจาอะไรผิดไป หรือไปทำให้ผู้ใดเดือดร้อนก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

รบกวนเพื่อนๆ พี่ๆ หน่อยนะครับ ช่วยตอบคำถามของผมเป็นข้อๆ ทีครับ เอาแบบเชิงตรรกะนะครับ ไม่ใช่ยึดพื้นฐานจากการศรัทธาเป็นหลัก ว่ากันด้วยเหตุผล และสัจธรรมครับ อ่านคำถามให้จบก่อนด้วยนะครับ แล้วค่อยตอบ ผมยอมรับในความผิดถ้าหากว่าผมหลงผิดไปครับ ขอบคุณครับ


1. ทุกวันนี้เรามีศาสนาเพื่ออะไร ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตามบรรพบุรุษ หรือ สัจธรรม

ทำไมคุณต้องกำหนดว่ามีแค่สองอย่างนี้ล่ะ? คำว่า ศาสนา ที่คุณหมายถึงนั้น คุณคิดว่ามันคืออะไร
คุณคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องมีนั้นหรือ
ผมถามว่า คนอาศัยบ้านดำรงชีวิตอยู่เพื่ออะไร ? จำเป็นไหมที่ต้องมีบ้าน ไม่มีได้ไหม และบ้านให้ประโยชน์อะไร? คนที่มีรถ มีเพื่ออะไร? จำเป็นไหมที่ต้องมี?


2. จะเชื่อมั่นในศาสนาพุทธอย่างไรว่าเป็นศาสนาที่คิดว่าถูกต้องที่สุดแล้วที่คุณเลือกที่จะนับถือ

คำว่า เป็นศาสนาที่คิดถูกต้องที่สุดแล้ว คุณ หมายความอย่างไร คิดอะไรถูกต้อง คิดอะไรผิดล่ะ
ผมยังไม่เคยได้ยินว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่คิดถูกต้องที่สุด ส่วนศาสนาอื่นคิดยังไม่ถูก

การจะเชื่อมั่นในศาสนาใด ก็ต้องตีความหมายของคำว่า ศาสนา ว่าหมายถึงอะไร
แล้วคุณจะให้ความหมายของคำว่า ศาสนา ว่ามันหมายถึงอะไร

สำหรับผมแล้ว คำว่าศาสนา ผมเองหมายถึง หลักวิชาการที่ประกอบด้วยเหตุและผล
ฉะนั้น ถ้าผมจะเชื่อมั่นในศาสนานี้ ก็ด้วยการศึกษา คิดพิจารณาตามด้วยเหตุและผลตามความเป็นจริง
และพิสูจน์ได้ด้วยตัวผมเอง

แต่ ที่คุณบอกว่า เป็นศาสนาที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ผมไม่เห็นด้วยกับการที่คุณจะนำคำนี้มาใช้ในการตัดสินใจเลือก นับถือศาสนาหรือเชื่อมั่นในศาสนา เพราะมันก่อให้เกิดการเปรียบเทียบแบบไร้ประโยชน์
หรือว่าตัวคุณเองนั้นเลือกที่จะนับถือศาสนาที่คิดถูกต้องที่สุด


3. จะเชื่อในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร แล้วทุกเรื่องนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง

3.1 พระพุทธเจ้านั้นเป็นตามความเชื่อของชาวพุทธนั้น เป็นคน หรือเป็น เทพเจ้า หรือเป็นพระเจ้า
ถ้าคำตอบนั้นเป็นคน แล้วมีความพิเศษมากกว่าคนอย่างพวกเราอย่างไร ทำไมถึงคิดเช่นนั้น
ถ้าคำตอบนั้นเป็นอย่างอื่น แล้วมีสิ่งใดที่สามารถยืนยันในความพิเศษมากกว่าคนอย่างเรา

พระพุทธเจ้า ตามความเชื่อของชาวพุทธ เป็นมนุษย์

ที่คุณบอกว่า "มีความพิเศษมากกว่าคนอย่างพวกเราอย่างไร" ความพิเศษในที่นี้คุณหมายถึงสิ่งใด

แต่สำหรับผม ความพิเศษของพุทธเจ้า คือ ปัญญา ความรู้ ที่คิดเ ช่นนี้เพราะ ศึกษาจากหลักวิชาการ
ที่มีในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่ายังไม่มีใครคิดหรือรู้ได้แบบนี้




3.2 กฎหมายนั้นถูกร่างขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และมาจากบรรทัดฐาน และความคิดเห็นของคนในสังคมนั้นๆที่จะร่างกฎหมายออกมาเพื่อให้สังคมนั้นอยู่ร่วมกันได้

ผมถามนิดว่า กฎหมายนั้นร่างขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่ใครล่ะเป็นคนร่าง? แล้วคุณเชื่อมั่นคนร่างกฎหมายได้อย่างไรว่าเขาจะทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม คุณลองคิดดูไหมว่า กฎหมายเกิดจากแนวความคิดของกลุ่มคนบางกลุ่มที่มีโอกาสจัดทำ เพียงอาศัยความเป็นไปของสังคมในขณะนั้นเขียนขึ้นมา หรือเขียนตามสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ปรารถนา ผมเกิดมานาน อยู่ใต้กฎหมาย แต่ผมไม่เคยได้มีสิทธิ์ในการที่จะเสนอว่าควรจะเขียนกฎหมายแบบใดขึ้นมาเลย มีแต่ว่าเราต้องศึกษากฎหมายและทำตามให้ถูกต้อง

เช่นเดียวกับความดีและความชั่วที่เกิดจากบรรทัดฐานของคนทั่วไปที่มีจิตใจตรงกันว่าการกระทำต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือชั่ว

กฎหมาย กับความดีและชั่ว ไม่เป็นเช่นเดียวกัน กฎหมายเกิดจากกลุ่มคนช่วยกันร่าง ด้วยอาศัยเหตุผลสิ่งที่ถูกต้อง ที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคิดว่าถูกต้องและเป็นธรรม ส่วนความดีความชั่วนั้น เป็น
สิ่งที่เรานั้น รู้แ ละเ รียนรู้ ได้ด้วยตัวเอง ด้วยสัญชาติญาณของความเป็นมนุษย์ หามีใครกำหนดไม่


เพราะฉะนั้นการกำหนดความดีและความชั่วทุกวันนี้ใครเป็นผู้กำหนด เกิดจากคนด้วยกันเองใช่หรือไม่

ไม่มีใครกำหนดว่าอะไรเป็นสิ่งดีสิ่งชั่ว เรารู้และเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำกันทุกวันนี้ ความดีและความชั่วที่ถูกต้องนั้นเป็นเช่นไร

เป็นสิ่งที่สามารถทำและทดลองให้เห็นได้ ยกตัวอย่าง ให้คุณถือปืนไปยิงใครก็ได้คนหนึ่งในที่สาธารณะ แล้วคุณอย่าหนีไปไหน ให้รอดูว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น แล้วคุณเองจะรู้ว่าสิ่งที่คุณทำนั้นเป็นอย่างไร แต่คุณไม่ต้องไปคิดว่ามันเป็นสิ่งดีหรือชั่ว แต่ให้คุณดูว่า เหตุและผลมันเป็นอย่างไรเท่านั้น

ผู้กำหนดที่แท้จริงคือใคร ถ้าเราอยู่ในโลกนี้คนเดียวแล้วเราทำชั่วจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง

ไม่มีใครกำหนด

ตามความเป็นจริง คนจะอยู่บนโลกคนเดียวไม่ได้ การที่สมมุติขึ้นแบบนี้ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด
ที่จะคิด ถึงแม้จะสรุปความคิดนั้นได้ สิ่งที่คิดนั้นก็เกิดขึ้นไม่ได้ ผมจึงพิจารณาว่าไม่มีประโยชน์อันใด
ที่จะนำมาคิดให้เสียเวลา


ตามตรรกะแล้วการกราบไหว้รูปปั้นนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นสิ่งดี เพราะเหตุอันใดถึงบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะเกิดจากความเชื่อและความคิดเห็นของคนในสังคมที่เห็นพ้องต้องกัน

ตรงนี้คุณถามเองตอบเองแล้ว ใครบอกว่าเป็นสิ่งที่ดี ?


ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วถ้าน้ำท่วมรูปปั้นนั้นขึ้นมา เป็นไปไม่ได้เลยที่รูปปั้นนั้นจะช่วยตัวเองโดยการหนีน้ำท่วมได้ แต่ก็ยังคงขอความคุ้มครองและกราบไหว้จากสิ่งนั้น ทั้งที่เขาเองยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

ตรงนี้คุณเอาอะไรมาคิด เหตุผลมันมีอยู่ในตัวแล้ว รูปปั้นเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ทำไมต้องหนีน้ำท่วมแล้วรูปปั้นจะหนีทำไม คุณคิดว่ารูปปั้นกลัวตายนั้นหรือ การที่คุณคิดว่ารูปปั้นนั้นช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แสดงว่าคุณอุปาทานยึดถือว่ารูปปั้นนั้นมีชีวิตนะสิ หรือเป็นคำพูดที่ว่ากระทบบุคคลที่
ไปกราบไหว้นับถือว่าเขาเป็นคนอย่างไรใช่ไหม?

ผมว่าคนเราก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงอยู่แล้ว ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าความคิดเป็นเหตุเป็นผลหน่อย ตรงนี้ไม่น่าเอามากล่าวเลย


สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดจากอุปทานหมู่ ที่มีคนมาบอกว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และสามารถช่วยเหลือเราได้ ทั้งที่ความจริงมันก็ขัดกับหลักตรรกะและหลักสัจธรรมอยู่

เป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งคุณเองก็ยังรู้ความเป็นจริงของมัน แล้วคุณรู้เหตุผลทุกคนไหมล่ะว่า
ทำไมคนที่เข้าไปกราบไหว้สิ่งนั้นเพื่ออะไร ผมขอแนะนำให้คุณลองไปในสถานที่ใดก็ได้ ที่มีคนมากราบไหว้ขอพระ แล้วคุณก็ไปถามเหตุผลทุกคนที่เข้ามากราบไหว้ แล้วคุณจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มากกว่าที่จะมานั่งคิด รู้ตามความจริงดีกว่า

การกราบไหว้สิ่งต่างๆ นั้นมีมานานแล้ว

แม้ศาสนาอื่นๆ ก็ยึดถือขอพร เช่นศาสนาคริสต์ มีโบสถ์ มีไม้กางเขน มีพระเยชู มีน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นสิ่งไม่มีชีวิต น้ำท่วมก็หนีไม่ได้ แต่คนหลายคนก็ยังยึดถือเชื่อมั่นอยู่ขอพร


หลักธรรมคำสอนต่างๆ คัมภีร์ต่างๆ ศาสนาทุกศาสนา ที่ทุกคนก็ต่างเห็นตรงกันว่าสอนให้เป็นคนดี ก็เช่นเดียวกัน มีใครสามารถยืนยันในความถูกต้องได้นอกจากบุคคลที่เห็นพ้องต้องกันกับหลักนั้นเท่านั้น

ทำไมจะต้องให้คนอื่นมายืนยัน ทำไมไม่พิสูจน์ด้วยตัวเอง และคิดด้วยปัญญาของตัวเองสิ ว่า
อันไหนมันมีเหตุผลอย่างไร



สวรรค์ และนรกนั้นใครสามารถยืนยันได้ว่ามีจริงคนที่เคยบอกว่าเคยไปนรกสวรรค์นั้นมีสิ่งใดบ้างที่สามารถมายืนยันหรือพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงได้

ใครจะมายืนยันหรือไม่ จะมีประโยชน์อะไร หรือจะเป็นตัวช่วยให้เรานับถือศาสนานั้นๆ จะมีหรือไม่ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า

แล้วจะเชื่อได้อย่างไรในหลักธรรมที่วันนี้เรายึดถือกันอยู่ทั้งๆที่รู้ว่าเราเองก็มีส่วนที่จะกำหนดความถูกต้องของสังคมนั้น หรือว่าเกิดจากการคิดว่าความคิดเห็นของคนเพียงหนึ่งคนว่าดีที่สุด แล้วจึงยึดถือแนวทางปฏิบัติของคนผู้นี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต

หลักธรรมที่คุณหมายความนี้ ไม่ได้เป็นของใคร และเราไม่ได้กำหนด


หลักธรรม ของชาวพุทธ ที่เขานับถือนั้น คือ สภาพธรรมชาติของมนุษย์
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องของสภาพธรรมชาติของมนุษย์


และการบรรลุถึงธรรมขั้นต่างนั้นมีความน่าเป็นหรือไม่ว่าที่จะเกิดจากอุปทาน ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

คำว่า บรรลุธรรมนั้น คือ มีปัญญารอบรู้ตามลำดับ ใ นสิ่งที่ศึกษาอยู่ ไม่ใช่อุปาทาน

เช่น เด็กประถม ก็มีความรู้ในระดับวัยความรู้ของตนเอง เมื่อโตขึ้นไปเรียนมัธยม ก็มีความรู้อีกระดับ
เมื่อเรียนสูงขึ้นก็มีความรู้ตามขึ้นไป เป็นลำดับขั้น


3.3 ทุกสิ่งมีเกิดก็ย่อมมีดับ

3.3.1 พืชที่งอกเงยจากพื้นดินนั้น เกิดจากการนำแร่ธาตุในดินมาสร้างส่วนประกอบของลำต้น แต่เมื่อมันดับมันก็ต้องย่อยสลายกลายเป็นแร่ธาตุในดินเหมือนเดิม แน่นอนสสารนั้นย่อมไม่วันทำให้หายไปจากจักรวาล และไม่มีผู้ใดที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ คาร์บอน 1 อะตอม ไม่มีผู้ใดสร้างขึ้นมาได้ และไม่มีใครทำให้มันหายไปได้ ในหลักตรรกะแล้วมันจะเนรมิตสสารสัก 1 อะตอม ขึ้นมาเองกระนั้นได้อย่างไร หรือไม่มันก็มีอยู่ก่อนแล้วจากระยะเวลาที่ลบอนันต์ ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ


คุณคิดว่า สสารทุกอย่างต้องสูญหายไปหมด ไม่ใช่อย่างนั้น สสารนั้นคือสภาพธรรมชาติที่มันเป็นอย่าง
นั้น มันเป็นธาตุ

คำว่า เกิดดับ ในที่นี้ หมายถึงว่า สสารนั้นรวมตัวกันเป็นสภาพต่างๆ แต่จะรวมตัวเป็นอยู่อย่างนั้น
ตลอดไปไม่ได้ มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของปัจจัยต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย

ผมคิดเอาเองว่า ถ้าอสุจิผสมกับไข่ ถ้ามันไม่เปลี่ยนโดยไม่แบ่งเซลล์ มันก็ผสมกันอยู่อย่างนั้น แต่นี่
ธรรมชาติมันแบ่งมันเอง ไม่มีใครแบ่งใช่ไหมมันแตกเซลล์มันเอง ขยายตัวเป็นรูปเป็นร่าง เกาะกลุ่มกัน
สิ่งที่เป็นไปอย่างนี้ เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้น และธรรมชาติที่เกิดขึ้นแบบนี้มันก็จะเปลี่ยนรูปไปตลอดเวลา
การที่มันเปลี่ยนรูปไปนั่นแหละมันก็ดับสภาพความเป็นธรรมชาติเดิมของมันแล้วมันก็เป็นสภาพธรรมชาติ
ใหม่ เช่น เซลล์ไข่ หนึ่งเซลล์ เกิดขึ้นมาตามสภาพธรรมชาติประกอบกันรวมตัวกันของธาตุต่างๆ ซึ่งธาตุต่างๆ เหล่านี้ถูกเหตุและปัจจัยนำมารวมกัน เมื่อมันเกิดขึ้นแบบนี้อยู่ มันจะคงเป็นเซลล์ไข่แบบนั้นอยู่
ไม่ได้ตลอด เมื่อมันมีอสุจิมาผสม มันก็ดับไปจากการเป็นเซลล์ไข่อย่างเดียว เกิดเป็นเซลล์ไข่ที่มีอสุจิ
ผสมอยู่ และธรรมชาติมันก็ทำปฏิกิริยากันทางธรรมชาติแบ่งตัวเซลล์ออกเป็นสอง มันก็ดับจากเซลล์ไข่ที่มีอสุจิผสมอยู่เป็นเซลล์ไข่สองเซลล์ และธรรมชาติก็เปลี่ยนแปลงไปอีก มันก็เกิดดับไปอย่างนี้ จะเห็นได้ว่าธรรมชาติความเป็นจริงมันเป็นของมันเอง นี่แหละธรรมะ


3.3.2 ไข่กับไก่นั้นอะไรเกิดก่อนกัน ทุกวันนี้ยังไม่มีชีวิตไหนที่อุบัติขึ้นมาเองโดยปราศจากชีวิตก่อนหน้านั้น หรือไม่มีชีวิตไหนในพิภพจักรวาลนี้ที่อุบัติขึ้นมาเองโดยปราศจากชีวิตก่อนหน้านั้น เช่นพ่อแม่ หรือเซลล์ที่เป็นต้นแบบ ประเด็นที่น่าสนใจมากกว่าคือใครคือไก่ตัวแรกหรือไข่ฟองแรก หรือใครคือชีวิตแรก ชีวิตแรกนั้นมาจากลบอนันต์หรือไม่ ถ้ามองในแง่ของตรรกะแล้ว ทุกชีวิตนั้นย่อมเกิดและตายเป็นสัจธรรม เพราะฉะนั้นมี ณ จุดเวลาหนึ่งที่ชีวิตนั้นอุบัติขึ้นมาแน่นอน และที่น่าสังเกตอีกอย่างคือชีวิต ถึงแม้ว่าวิวัฒนาการจะก้าวไกลขนาดไหน คนจะสร้างอะไรได้มากมาย แต่ไม่มีใครสร้างชีวิตด้วยสิ่งที่ไม่ได้มาจากชีวิตอยู่ก่อนแล้วได้ ศพที่มีทุกอย่างเหมือนตอนมีชีวิต แต่ถ้าเป็นศพแล้ว จะใส่พลังานหรือจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใดๆก็ตาม ก็ไม่มีใครสามารถที่จะให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ นี่เป็นสิ่งยืนยันได้หรือไม่ว่าการมีอยู่ของวิญญาณนั้นมีอยู่จริง
แล้วสภาพหลังการตายที่ยังเป็นสมมติฐานอยู่จะมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นรกสวรรค์นั้น มีสิ่งที่พิสูจน์ได้หรือไม่ อยากทราบว่าในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

ผมถามนิดนึงว่า ยามปกติ คนเรานั้นคุยกัน รู้กันอยู่ ดูโทรทัศน์ได้ คุยกับเพื่อน ญาติได้ ร้องเพลงได้
สภาพที่เรารู้ตัวอยู่ในขณะที่เรามีชีวิตนี้ คุณจะเรียกสภาพรู้ตัว นี้ว่าอย่างไร

และผมลองทดลอง โดยให้คุณกินยานอนหลับ ไป สภาพที่คุณรู้ตัวอยู่ พูดคุยกันได้ ร้องเพลงได้ หายไปไหน ทำไมจึงนอนนิ่งเฉย

และเมื่อหลังจากตื่นขึ้นมาแล้ว ทำไมเราจึงรู้สึกตัวเหมือนเดิม สภาพรู้ตัวนี้ มันกลับมาได้อย่างไร
และสภาพรู้ตัวนี้ เป็นธรรมชาติ หรือว่า คุณสร้างมันขึ้นมา

เรื่องนรกสวรรค์ ยังไม่ต้องพูดถึง เอาแค่สภาพรู้ตัวนี้ล่ะ ว่าเราจะพิสูจน์ได้ไหมว่า มันหายไปไหนหลังจาก คนเราตาย และเมื่อคนเราตายสภาพรู้ตัวเนี่ยทำไมมันจึงหายไป

มันจึงเป็นสภาพธรรมชาติ ที่เกินปัญญาที่เราจะรู้ได้หมด
แม้แค่ตัวเราเองก็ยังศึกษาให้รู้ได้ไม่หมด
เรื่องนรกสวรรค์ ชีวิตหลังความตาย ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่จะศึกษาได้ ไม่หมด

เมื่อมีบุคคลที่สามารถรู้เกี่ยวกับเรื่องนรกสวรรค์ หรือชีวิตหลังความตาย จึงเป็นเรื่องที่รอให้เรานั้นได้
ศึกษาและพิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยตัวเอง

คำสอนเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่เปิดเผย รอให้เราเข้าไปพิสูจน์


3.4 อำนาจที่มองไม่เห็น แต่มันคือสัจธรรม เพราะทุกคนยอมรับว่ามันมีจริงๆ

ผมไม่เข้าใจว่า "อำนาจที่มองไม่เห็น " คืออะไร และมันเกี่ยวกับ สัจจธรรม ยังไง
และ การยอมรับว่ามีจริง นั้นหรือ คือสัจจธรรม และถ้าใครไม่ยอมรับ มันก็ไม่ใช่สัจจธรรมล่ะสิ


กล่องที่ตั้งอยู่นิ่งๆ กับที่นั้น จะเคลื่อนที่ได้ก็ต่อเมื่อมีแรงมากระทำกับมัน อิเล็กตรอนโคจรอยู่รอบนิวเคลียส ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์โคจรอยู่ในกาแลกซีทางช้างเผือกเพราะมีอำนาจหรือแรงชนิดหนึ่งทำให้มันสามารถโคจร ร่างกายของมนุษย์ที่มีการเติบใหญ่ และแก่ชราก็มีอำนาจหรือแรงชนิดหนึ่งที่คอยเปลี่ยนแปลงความสมดุล มวลสาร พลังงานต่างๆในร่างกาย สรุปคือ ทุกๆ สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดจากอำนาจของการเปลี่ยนแปลง ในจักรวาลแห่งนี้ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง การเกิด และดับ ล้วนเกิดจากอำนาจเหล่านี้ทั้งสิ้น อำนาจนี้มาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งนี้แหละที่หลายคนพยายามตอบออกมาว่ามันคือ ธรรมชาติ

สิ่งเหล่านี้มันก็เป็นของมันอย่างใคร ไม่มีใครไปกำหนดให้มันเป็นไป คุณจะเรียกกระบวนการอย่างนี้
ว่าอย่างไร สิ่งที่คุณเรียกมัน มันคือสิ่งที่คุณตั้งชื่อเรียกมัน ให้คุณเข้าใจหรือคนเข้าใจ แต่กระบวน
การของมันก็เป็นอย่างนั้น ตามเหตุผลของมัน


ธรรมชาติคืออะไร การอุบัติขึ้นมาเองหรือเปล่า

ไม่ต้องให้ความหมายมัน ว่ามันคืออะไร มันเป็นสภาพของมันอย่างไร ใครจะเรียกมันหรือไม่
ใครจะให้ความสำคัญต่อมันหรือไม่ หรือใครจะตีความหมายของมันอย่างไร มันก็เป็นของมันอย่างนั้น
ตามเหตุและผลของมัน


ถ้าเป็นเช่นนั้นขัดกับหลักตรรกะแน่นอน หรือเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่อย่างอนันต์หรือเปล่า มีจิตใจหรือไม่ ถ้าไม่มีทำไมถึงเนรมิตจิตใจคนได้งดงามขนาดนี้ ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

3.5 กาลเวลา เวลาที่เปลี่ยนแปลงมีอำนาจคอยขับเคลื่อนทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าหรือไม่ เวลามีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดหรือไม่ เราสามารถมองในแง่ของตรรกะได้อย่างไร ทำมาปัจจุบันหยุดอยู่ ณ กาลเวลาจุดนี้ ที่มนุษย์สามารถสร้างเครื่องบิน เพื่อที่จะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ทั้งๆที่น่าจะมีมาตั้งนานแล้ว และยังพัฒนาสติปัญญาได้เพียงแค่นี้อยู่ แต่ไม่สามารถที่จะบินด้วยปีกของตัวเองได้ เพราะมนุษย์ไม่มีปีก แล้วทำไมไม่วิวัฒนาการปีกขึ้นมาทั้งๆที่ใครต่อใครต้องการที่จะบินขึ้นไปบนฟ้ามานานแล้ว ทุกคนสามารถตอบในเรื่องอดีตได้ แต่ไม่มีใครที่จะสามารถยืนยันในเรื่องอนาคตของตัวเองได้ แล้วมนุษย์จะวิวัฒนาการได้จริงหรือเปล่า และขนาดไหน และถึงเมื่อไหร่

กาลเวลา คุณคิดอย่างไรกับกาลเวลา?
ผมคิดว่า กาลเวลา คือโลกหมุนตัวเองอยู่ตลอด แค่นั้นเอง ทำให้เรามืดสว่าง ไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่สิ่งที่เรากำหนดขึ้นมานั้น เป็นสิ่งที่เรากำหนดเรียกกันเอง นับกันเองว่าเป็นเดือนเป็นปี
ถึงเราจะกำหนดไม่กำหนดว่าจะกี่เดือนกี่ปี มันก็ไม่สำคัญ เพราะโลกมันก็หมุนรอบตัวเองของมันอย่างนั้น

วิวัฒนาการ เกิดจากปัญญาของมนุษย์ ถ้าคนสมัยก่อนมีปัญญามาก ก็ผลิดเครื่องบินได้
แต่ก็ต้องเป็นปัญญาความรู้ในเรื่องของการทำเครื่องบิน

อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันก็คือ เหตุและผล นั่นเองที่เกี่ยวเ นื่องเ ชื่อมโ ยงกันไป
ไม่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาที่มนุษย์กำหนด เป็นวันเดือนปีขึ้นมา


3.6 ชาติภพต่างๆ ของคนเรานั้นมีจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงสมมติฐาน การอ้างถึงชาติภพในอดีตนั้น เราสามารถมองในแง่ของตรรกะได้อย่างไร มีหลักฐานอันใดที่พิสูจน์ได้ที่ไม่ใช่จากคำพูดของผู้อื่นที่กล่าวต่อกันมา และการที่มีผู้บอกว่าสามารถรู้ถึงอดีตชาติของตนเองได้นั้น มีความน่าจะเป็นหรือไม่ที่จะเกิดจากอุปทานหมู่ เช่นเดียวกัน

ถ้าถามว่าชาติภพ คืออดีต ที่เราเคยเกิดเป็นอะไรนั้น ตอบได้เลยว่า เกินปัญญาที่จะรู้ได้ แต่ไม่ได้
หมายความว่าไม่เชื่อ และไม่ได้หมายความว่าจะเชื่อ รอให้มีัปัญญา ที่สามารถจะพิสูจน์ได้จึงจะตอบ
คำถามนี้ได้

แต่้ถ้ามองในเหตุผล
เช่น ตอนเกิดมา ร่างกายเราเป็นอีกแบบ ตัวเล็ก เบา แขนสั้น
มาปัจจุบัน ตัวโต ร่างใหญ่
ถามว่า ถ้าคนบอกว่า เมื่อก่อนที่เราจะโต เราตัวเล็ก แขนสั้น น้ำหนักเบาเป็นต้น เราจะเชื่อไหม แน่นอนทุกคนต้องเชื่อ เพราะเรารู้ เรามีปัญญา รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไรนั่นเอง

อดีตชาติ ก็น่าจะเป็น เหตุผลเดียวกัน แต่ว่า มันเกินปัญญาที่เราจะพิสูจน์ให้รู้คำตอบได้ในตอนนี้
เมื่อคนอื่นนำมาพูด ถ้าจะเชื่อก็ควรใช้ความคิด

3.7 การเวียนว่ายตายเกิดนั้นจะเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง แน่นอน การเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นสัจธรรม แต่สภาพก่อนการเกิดและสภาพหลังการตายนั้น มีใครบ้างที่มีเครื่องพิสูจน์ หรือหลักฐาน ที่บ่งบอกถึงสภาพก่อนการเกิดและสภาพหลังการตายมีหลักตรรกะอย่างไรที่สามารถบ่งบอกได้ การชดใช้เวรกรรมในชาติก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงได้อย่างไร และแรกเกิดของคนในชาติแรกนั้นเป็นเช่นไร เกิดมาเพื่ออะไร และเราจะเชื่อในเรื่องของการนิพพานได้อย่างไร

จะเชื่อได้ก็ต้องมีปัญญา จึงจะเชื่อได้



พอแล้วครับปวดหัวแล้วครับวันนี้

ใช้สติปัญญาที่มนุษย์มีอย่างอเนกอนันต์ค่อยๆ ไตร่ตรอง ไม่ใช่เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์จึงเขวี้ยงมันทิ้งและหนีไปซะ แต่จงเดินหน้าหาทุกข์ที่มาเผชิญและต่อสู้กับมัน ทุกวันที่จะมีสักกี่คนที่จะพยายามค้นหาความประจักษ์ในตัวเอง และจะมีซักกี่คนที่จะกล้ายืนยันตอบคำถามได้อย่างมั่นใจ 100% ว่า มนุษย์เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน ความเชื่อที่คุณเชื่อกันมาจะเป็นจริงได้ตามความเชื่อนั้นหรือไม่ ถ้าตามหลักศาสนาแล้วการงานทุกสิ่งที่ทำนั้นคือสิ่งที่ถูก แต่สิ่งที่ถูกจริงๆ คืออะไร มั่นใจได้อย่างไร มองดูคำถามข้อที่ 1 เยอะๆ

ภายในจิตใจของมนุษย์นั้นสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าทิฐิ ถ้าลองได้เชื่อหรือศรัทธาสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว เจ้าทิฐินี้ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างเต็มเปี่ยมเช่นเดียวกัน จนไม่สามารถจะใส่สิ่งอื่นเข้าไปในจิตใจได้อีก ถึงแม้ว่าสิ่งที่จะใส่เข้าไปนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า ถูกต้องกว่า มันก็จะไม่ยอมเปิดทางให้สิ่งอื่นเข้าไปง่ายๆ

ทุกอย่างอาจจะมีการผิดพลาดบ้างเป็นสัจธรรมที่ไม่มีมนุษย์คนไหนถูกต้องเสมอ

ผมก็พร้อมที่รับฟังคำตอบของพี่ๆ ทุกคนครับ ซึ่งจริงๆแล้วผมเองก็มีคำตอบของทุกอย่างในใจของผมอยู่แล้วครับ อยากทราบคำตอบของผม ก็ติดต่อได้ที่เมล์ผมก็ได้ครับ
ขอโทษครับที่อาจไม่ถูกใจใครหลายคน และไม่ได้เรียงร้อยให้มันสวย

ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบนะครับ




ความศรัทธา คือความเลื่อมใสที่ประกอบไปด้วยปัญญา

ชาวพุทธที่มีความศรัทธาในศาสนา คือเลื่อมใสในคำสอนด้วยปัญญา
แต่ก็มีบางคน ที่เลื่อมใสแต่ยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง จนนำมาซึ่งความเชื่อถือที่ผิดๆ
ซึ่งต้องรอให้ตนเองนั้นเกิดปัญญาความรู้ จึงจะแก้ไขความเชื่อที่ผิดๆนั้นได้

ฉะนั้น สิ่งสำคัญที่จะนับถือศาสนาพุทธ ให้ถูกต้อง ต้องศึกษาให้เข้าใจ แล้วลองนำไปปฏิบัิติ
และดูผลที่ได้รับว่าเป็นอย่างไร เราจะได้รู้เกิดปัญญาความเข้าใจในสิ่งนั้น แล้วเลือกเอาว่า
จะยึดถือปฏิบัติต่อไป หรือว่าละทิ้ง ด้วยเหตุผลในสิ่งที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์

ธรรมะพระพุทธเจ้า ที่ท่านสอนทั้งหลาย ก็เพื่อเป็นไปให้เกิดความสุขเท่านั้นเอง
ใครจะเชื่อหรือไม่ พระพุทธเจ้าไม่เดือดร้อน
ท่านเผยแผ่หลักคำสอนไว้ เผื่อทว่า ใครคนใดพอที่จะมีปัญญาพิสูจน์ตามได้ก็จะเข้าใจได้ และจะรู้ได้
ว่าสิ่งที่ท่านบอกไว้จริงหรือไม่อย่างไร

แต่คนเรามักเอาศาสนา มาเป็นสิ่งแบ่งแยก กลุ่มคน หรือจะเพื่ออะไรก็ตาม
ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่คนไม่มีปัญญากระทำกัน

น่าจะเอาศาสนา มาเป็น วิชา ความรู้อย่างหนึ่ง ที่เราน่าจะศึกษา เพื่อให้เกิดความรู้พิสูจน์ตามคำสอน
ว่าจริงหรือไม่ ถ้าเป็นประโยชน์ใดต่อเรา ก็เลือกเอาไปใช้

แต่จะนับถือเจ้าของศาสนาหรือไม่ เป็นสิ่งที่บังคับใครไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุผลความเชื่อของคนนั้นว่าเขา
เชื่ออย่างไรด้วยเหตุผลตนเอง

ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คนเราจะเปิดมุมมองของศาสนาใหม่ ว่าเป็นเพียง หลักวิชาการอย่างหนึ่ง
ที่เรานั้นสามารถเข้าไปศึกษาและพิสูจน์ตามคำสอน
ให้เหมือนกับที่เราเรียนวิชาต่างๆ วิทย์ คณิต เป็นต้น



แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 153 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร