วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 20:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2008, 01:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


:b10: มีหมอดูท่านทักครับ ว่าผมมีองค์เทพครับ ต้องรับขันธ์ ถ้าไม่รับ ชีวิตจะมีแต่ความตกต่ำสินหวังครับ :b5:

คือผมก็ไม่ได้ลบหลู่หรือไม่เชื่อนะครับ แต่ ผมก็ยังมีอะไรในใจหน่อยนึงคือผมก็วิปัสนามานืดหน่อยครับเลยมีปัญหาจะถามผู้รู้ทั้งหลายครับคือ

1) ทำไมต้องรับขันธ์ด้วยครับ พวก ขันธ์ 5 ขันธ์ 8 อะไรพวกนี้ คือ คนเราทุกคนก็มีขันธ์เป็นของตนไม่ใช่หรือครับ ขันธ์ 5 ก็ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน แต่ขันธ์ 8 อันนี้ไม่รู้อะครับ :b6:
2) เคยได้ยินว่า คนที่มีเทพแล้วไม่รับท่านจะโดนท่านลงโทษ ต่างๆ บางคนเป็นบ้า ล้มละลายไปเลยก็มี จริงหรือเปล่าครับ :b21: หากท่านเทพ ทำอย่างนั้น ท่านไม่บาปหรือครับ :b20: ที่ทรมาณเรา หรือเป็นเพราะวิบากกรรมเราเอง
3)หมอบอกว่าถ้าไม่รับเทพ เดี๋ยว จะโดนสัมภเวสี หรือ มาร มาประทับแทน เพราะร่างผม เหมอะ มาก สำหรับเรื่อง พวกนี้ครับ :b5: ทำไงดีครับ ผมไม่อยากเป็นเจ้าทรงอะ :b2: :b2:

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2008, 02:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยฟังมาว่าถ้ารับแล้วจะไม่ต้องได้ผุดได้เกิดอีก
เป็นทาสเขาไปชั่วกัปชั่วกัลล์
ก็เราไปสาบานตัวให้เขาใช้ร่างกายจิตใจเราเสียแล้ว

อย่ายุ่งกับไสยศาสตรืมนต์ดำดีกว่าครับ
อย่าข้องแวะเลยจะดีที่สุด

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2008, 02:47 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2008, 17:29
โพสต์: 191

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่หมอดูบอกว่ามีองค์องค์ก็คือผู้ที่เรามีสิ่งที่ผูกพันกันมาแต่ว่าเราก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า
คนที่พูดนั้นเขารู้จริงหรือเปล่า สิ่งที่จะบอกก็คือทุกสิ่งนั้นเกิดจากจิต
จิตเป็นผู้ที่ทำให้เราคิดเราทำในทุกสิ่งออกมา
เมื่อเราทำสิ่งใดเราก็จะได้รับสิ่งนั้นการที่หมอดูดูว่ามีองค์ต้องไปรับขันธ์
ขันธ์ที่ว่าก็คือขันธ์5ก็คือต้องถือศีล5อย่างเคร่งครัดในเมื่อเราเองก็มีศิล
ที่เราทำอยู่ทุกวันนั้นก็เป็นศีล5อยู่แล้วคำของหมอดูก็เป็นคำที่เขาพูด
เรามีจิตที่มีธรรมธรรมในจิตของเราเราก็ต้องพิจารณาให้ได้ว่าสิ่งที่พูดนั้นป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด
จิตที่อยู่ในกายกายที่อยู่ในตัวคนเรานี้มีกายที่เราใช้ในการดำเนินชีวิต
การดำเนินชีวิตของเราเป็นการที่เราต้องทำในสิ่งที่เราควรทำ
การทำในสิ่งที่ควรทำก็ทำให้เราไม่มีเหตุที่ให้เกิดความทุกข์ๆเกิดขึ้นได้ถ้าเราไปคิดและไปทำใน
สิ่งที่ไม่ดีเรามีกายกับใจใจเป็นสิ่งที่คอยรับรู้สิ่งต่างๆ
เมื่อมีการเกิดขึ้นกับสิ่งที่มากระทบทางใจก็ทำให้เรามีความรู้สึกสุขหรือทุกข์
ทุกสิ่งนั้นไม่ได้เป็นเพราะเรามีองค์ไม่ไปรับองค์ๆจะลงโทษการที่เราจะเป็นอย่างไร
อยู่ที่เรานั้นทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือคิดในสิ่งใดทำสิ่งใดเกิดทุกข์ไหม
ไม่เกี่ยวกับการรับขันธ์และมีองค์ๆคือการที่เรามีความผูกพันกันมาตั้งแต่ในภพชาติใด
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เป็นอดีดปัจจุบันเรามาเกิดเป็นมนุษย์เราก็ต้องทำในสิ่งที่มนุษย์ทำ
การที่เราจะไปเป็นร่างทรงนั้นเราก็เป็นเพียงเรามีจิตที่มีใจที่ไปหลงต่อสิ่งที่เกิดความรู้สึกว่า
เรามีสิ่งที่พิเศษกว่าคนอื่นเรามีเทพเจ้าเรามีความรู้สึกที่เป็นสิ่งที่เราไม่เคยรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเห็น
และสัมผัสได้เมื่อเราเกิดความอยากกิเลสก็จะทำให้เราเกิดความอยากที่จะมีการรับรู้
และอยากรู้ในสิ่งที่ตนเองมี การมีองค์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีการที่เราพิสูจน์ได้ว่า
เรามีจริงหรือไม่มีเพียงแต่มีก็ไม่เป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความที่ทำให้เราพ้นจากความทุกข์ได้
อย่างแท้จริงเพราะความทุกข์นั้นเกิดที่กายกับใจ ใจเป็นผู้รับเมื่อรับมาเราก็คิดๆแล้วก็สงสัยสงสัยแล้วก็คิด ถามว่าการทำในสิ่งที่คิดแล้วความทุกข์ในใจนั้นจะหายไปหรือไม่
เมื่อเราไปรับมาก็ทุกข์ไม่รับก็ทุกข์ๆเพราะคิดคิดไปทั้งหมดเพราะฉนั้นสิ่งที่ควรทำคือ
อย่าคิดแล้วไม่ต้องไปรับหรือทำอะไรการทำที่เราเกิดทุกข์เป็นทางที่เราคิดไปในสิ่งที่ไปรับรู้มา
เมื่อรับรู้แล้วหลงคิดหลงไปทำในสิ่งที่คิดแล้วความทุกข์ก็ไม่ได้หมดไปจากจิตเลย
แล้วเราจะไปทำเพื่ออะไรการที่มีองค์สิ่งที่ควรทำคือสร้างบุญให้มากบุญที่มากที่สุด
ก็คือการนั้งสมาธิและทำวิปัสสนานั้นคือบุญสูงสุดที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง
กายกับใจนั้นแหละเป็นสิ่งที่เราควรที่จะทำความรู้สึกตัวเข้าเรามีความรู้สึกตัวเราก็จะพบทางสว่าง
ที่เราไม่ต้องไปรับขันธ์หรือไปทำพิธีใดๆเพียงแต่ให้เรารู้ว่ากายกับใจนี้มันไม่เที่ยงไม่มีตัวตน
แล้วเราก็ปล่อยวางจิตที่หลงคิดหลงปรุงแต่งเท่านี้เราก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานธรรมะ
อยู่ที่กายกับทำไมต้องไปรับเอาสิ่งที่ไม่มีใครเห็นไม่มีใครสัมผัสได้มาเป็นสิ่งที่ทำให้เรา
เกิดความรู้สึกที่เกิดความทุกข์การที่เราอยู่ได้มาทุกวันนี้เราก็อยู่ได้โดยไม่ได้รับขันธ์ๆ
คือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญานที่อยู่ในกายกับใจแยกออกเป็น2อย่างคือ
รูปกับนามการรู้รูปนามนั้นแหละเป็นการปฏิบัติที่ควรทำขันธ์5นั้นอยู่ที่กายกับใจ
แล้วไม่ต้องไปคิดอะไรมากเรามีจิตที่เป็นจิตที่ดีใครก็ไม่สามารถทำอะไรได้เรารู้ถึงเหตุ
ที่เกิดว่าเกิดจากอะไรเราก็ดับมันที่เหตุใจเท่านั้นที่เป็นสิ่งทำให้เรากลัวเพราะคำพูดที่ได้ยินมา
เป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าเราเป็นอะไรไหมถ้าเราไม่รับรับแล้วต้องเป๋นร่างทรงแล้วเป็น
ร่างทรงจะเป็นยังไงถ้าเป็นแล้วต้องเป็นอย่างไรทุกอย่างเป็นเพราะเราคิดเมื่อเราไม่ไปคิดก็จะ
ไม่เกิดความทุกข์ขอให้ดูให้ดีว่าจิตตอนนี้เป็นอย่างไรถ้ารู้ได้นั้นแปลว่าเราก็มีสิ่งที่ทำให้เราพ้นทุกข์
ได้แล้วนั้นคือเรามีสตินั้นเอง
ขอให้เจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2008, 06:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


:b20: :b20:

ขอบคุณ คุณ คามินธรรม และคุณ Puy ครับ :b19:

แต่กระผมก็ยังกังวล นิดหน่อย ตามประสาคนจิตอ่อนอะครับ :b14:
ก็แล้วคิดเอาเองว่า ถ้าผมกรวดน้ำให้บรรดาเทพทั้งหลายหลายโดยที่ผมไม่รับขันธ์ จะได้หรือไม่ครับ เพื่อความสบายใจของตัวเองอะครับ :b3: :b24: beby s005

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2008, 07:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


บทความ ของท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์





การนับถืออำนาจดลบันดาลภายนอก
ต่างจากนับถือพระพุทธศาสนาโดยสาระสำคัญอย่างไร



การนับถืออำนาจเร้นลับดลบันดาลแบบนั้น ทำให้คนหวังพึ่งส่งภายนอก ไม่เพียรพยายามทำการด้วยตนเอง มัวแต่คิดอ้อนวอนเอาอกเอาใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือรอคอยฤทธิ์เดชของคนอื่น

ตัวเองไม่มีอะไรดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาหรือความสามารถ หรือคุณธรรม ความดี มีแต่จมถอยลง เลยไม่ได้ฝึกฝนพัฒนาตน อย่างดีก็ได้แค่เข้าหลักที่ว่า ศาสนาช่วยเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เอาพอปลอบใจอุ่นใจ

แต่พระพุทธศาสนาไม่ใช่มีไว้เพียงเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ถ้าเป็นเช่นนั้น พระพุทธศาสนาก็ไม่ต้องเกิดขึ้น เพราะอินเดียก่อนพุทธกาล เขามีที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่แล้ว และมีมานานแล้ว แต่ที่พระพุทธศาสนาต้องเกิดขึ้น ก็เพราะปัญหาจากที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจนี่แหละ

ที่ว่าศาสนาเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจนั้น จะต้องถามต่อไปว่า ยึดเหนี่ยวแบบดึงลง หรือยึดเหนี่ยวแล้วดึงขึ้น

ศาสนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฤทธานุภาพอะไร ๆ นั้น เมื่อเชื่อถือหวังพึ่งแล้ว ถ้าเป็นอย่างที่ว่าเมื่อกี้ก็ดึงลง ทำให้หลงใหลหมกจมอยู่ในโลภ โกรธ หลง คนอินเดียก่อนพุทธกาลมัวแต่อ้อนวอนเซ่นสรวงบูชายัญ คิดแต่ขอและรอคอยเทพเจ้าดลบันดาล

คิดว่าจะให้เทวดาองค์ไหนช่วยแทนที่จะถามตัวเองว่า เราจะต้องทำอะไร และเราจะต้องแก้ไขปรับปรุงตัวเราและพัฒนาการกระทำของเราอย่างไร เลยไม่ไปไหน

พระพุทธเจ้ามาทรงสั่งสอน ประกาศศาสนาชนิดเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวแบบดึงขึ้น คือ เมื่อเขานับถือหรือเชื่อแล้ว ก็จะให้กำลังและแสงสว่าง นำเขาขึ้นพ้นจากความมืด ความหลง และปวงกิเลส ให้เขาฝึกฝนพัฒนาตน มีคุณธรรมมากขึ้น มีปัญญามากขึ้น

ช่วยกันเองในหมู่มนุษย์ได้ดีขึ้น จนมนุษย์พึ่งตนเองได้ มีอิสรภาพ และสร้างโลกที่เป็นอัพยาปัชฌะ แปลว่าไม่มีการเบียดเบียน คือร่มเย็นมีสันติสุข

พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลแบบอย่างแห่งมนุษย์ที่ได้พัฒนา คือ ได้ฝึกตนเต็มที่แล้ว จนกระทั่งได้เป็นพุทธะ เราตั้งเอาพระองค์ไว้เป็นต้นแบบ สำหรับระลึกแล้วจะได้เตือนใจเรา

ทำไมพระพุทธเจ้าจึงเป็นองค์แรก ในพระรัตนตรัย เพราะว่าเมื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็เตือนใจเราทันที ให้ระลึกถึงความเป็นมนุษย์ของเราที่เราก็มีเหมือนกับพระพุทธเจ้า

หลักศรัทธาในพระพุทธศาสนาข้อแรกก็คือ ตถาคตโพธิสทฺธา แปลว่า ความศรัทธาเชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของตถาคต แปลอีกทีหนึ่งว่า ความเชื่อในปัญญาที่ทำให้มนุษย์ตรัสรู้กลายเป็นพุทธะ ก็คือเชื่อในศักยภาพของมนุษย์นั่นเอง

เมื่อมนุษย์เชื่อในศักยภาพของตนเองแล้ว ระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็ตื่นตัวขึ้นมาและเกิดความมั่นใจในศักยภาพของตนที่เป็นมนุษย์นั้น พร้อมกันนั้นก็เกิดความสำนึกตระหนักในหน้าที่ของเราขึ้นมาว่า

เราจะต้องสิกขาฝึกฝนพัฒนาตน ยิ่งกว่านั้นเรายังได้ปฏิปทาของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มาเป็นกำลังใจในการฝึกตนนั้น และยังแถมได้วิธีปฏิบัติตลอดจนประสบการณ์ของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ปฏิบัติมาแล้วโดยเราไม่ต้องลองผิดลองถูกอีก เราได้เปรียบกว่าพระองค์คือเอาประโยชน์จากความรู้สำเร็จรูปของพระองค์มาเลย

ชาวพุทธต้องเป็นคนเข้มแข็ง มีศรัทธาชนิดที่มั่นใจในศักยภาพของความเป็นมนุษย์ที่จะดีเลิศประเสริฐได้ด้วยการฝึก และหวังผลจากการกระทำ พยายามพัฒนาตัวให้พึ่งตนได้

หลักการแห่งกรรมก็ดี สิกขาก็ดี ความไม่ประมาทก็ดี ล้วนทำให้เกิดความเข้มแข็งที่จะก้าวต่อไปทั้งนั้น แล้วยังมีคติแห่งการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์มาหนุนอีก

พระพุทธเจ้าทรงเป็นตัวอย่างของบุคคลที่มีความเข้มแข็ง เรื่องราวต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์มีอยู่มากมายนั้น ล้วนเป็นเรื่องของการบำเพ็ญเพียร และการพยายามแก้ปัญหาด้วยปัญญา

ท่านเล่าเรื่องเหล่านี้ไว้ ก็เพื่อให้เป็นเครื่องหนุนกำลังใจของชาวพุทธ ชาวพุทธจะต้องมีความเข้มแข็งในการทำความดี สร้างสรรค์และพัฒนาตัวต่อไป เหมือนอย่างพระโพธิสัตว์ ไม่ใช่คอยขอความช่วยเหลือจากพระโพธิสัตว์หรือเทพเจ้าทั้งหลาย

ชาวพุทธต้องมั่นในธรรม คือในหลักแห่งความจริง ความถูกต้องดีงาม และความรู้ในธรรมดาของธรรมชาติที่สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อถูกธรรมแล้ว ก็ไม่หวั่นไหว แม้ต่อเทพเจ้า

หลักการของพระพุทธศาสนา ในเรื่องนี้ชัดเจนมาก คือ ธรรมสูงสุด แม้พระพุทธศาสนาจะไม่ปฏิเสธเทวดา แต่ถือว่า ธรรมต้องเหนือเทพ

ตามปกติชาวพุทธจะอยู่ร่วมกับสรรพสัตว์ รวมทั้งเทพเทวาอย่างเพื่อนร่วมโลก ด้วยเมตตามีไมตรีปรารถนาดีต่อกัน ไม่อ้อนวอนหวังผลประโยชน์จากกัน ต่างคนต่างพัฒนาตนยิ่งขึ้นไป


................ๆลๆ..................

คัดลอกจาก: เรื่องเหนือสามัญวิสัย
อิทธิปาฏิหาริย์ เทวดา
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2008, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอวบอั๋น (เหลืออีกคำเดียวก็อ้วน) เรื่องปฏิหาริย์-เทวดาศึกษาเต็มๆลิงค์นี้ครับ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15783

นำบทสรุปลิงค์นั้นให้พิจารณาตรงนี้ ดังนี้

สรุปวิธีปฏิบัติ

ชุมชน หรือ สังคมตามหลักการของพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยผู้คนมากมาย ซึ่งกำลังก้าวเดิน อยู่ ณ ตำแหน่งแห่งที่ต่างๆ บนหนทางสายใหญ่สายเดียวกัน ซึ่งนำไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน และคนเหล่านั้น ก้าวออกมาจากจุดเริ่มต้นที่ต่างๆ กัน

พูดอีกอย่างหนึ่งว่า สัตว์ทั้งหลายเจริญอยู่ในขั้นตอนต่างๆแห่งพัฒนาการในอริยธรรม เมื่อดูการเดินทาง
หรือพัฒนา ก็จะเห็นลำดับขั้นแห่งพัฒนาการ เป็น 3 ขั้น คือ
-ขั้นอ้อนวอนหรือพึ่งเทวดา
-ขั้นอยู่ร่วมกันด้วยไมตรีกับเทวดา
-ขั้นได้รับความเคารพบูชาจากเทวดา

ขั้นที่ 1 จัดว่าเป็นขั้นก่อนพัฒนา
ขั้นที่ 2 คือจุดเริ่มต้นของชุมชนแบบพุทธหรือชุมชนอารยะ
ขั้นที่ 3 เป็นระดับพัฒนาการของผู้เข้าถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนา

ข้อควรย้ำก็คือ คนผู้ใดผู้หนึ่งจะได้ชื่อว่า เป็นชาวพุทธ ก็ต่อเมื่อเขาก้าวพ้นจากขั้นอ้อนวอน หวังพึ่งเทพเจ้า เข้าสู่ขั้นอยู่ร่วมกันด้วยไมตรี ซึ่งเขาจะดำเนินชีวิตด้วยความเพียรพยายาม กระทำการตามเหตุผลเลิกมองเทวดาในฐานะผู้มีอำนาจที่จะต้องวิงวอนประจบเอาใจ เปลี่ยนมามองในฐานะเป็นญาติมิตรดีงามที่ควรเคารพนับถือ
มีเมตตาต่อกัน ไม่ควรมั่วสุมคลุกคลีกัน ไม่ควรรบกวนก้าวก่ายกัน และไม่ควรสมคบกันทำสิ่งเสียหายไม่ชอบด้วยเหตุผล เมื่อมองพัฒนาการนั้นในแง่ที่เกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ (รวมถึงอำนาจศักดิ์สิทธิ์เร้นลับอื่นๆ)
ก็จะมี 3 ขั้นเหมือนกัน คือ
-ขั้นหวังผล
-ขั้นเสริมกำลัง และ
-ขั้นเป็นอิสระสิ้นเชิง

ขั้นที่ 1 เป็นขั้นรอคอยอำนาจภายนอกดลบันดาล ทำให้หมกมุ่นฝักใฝ่ ปล่อยทิ้งเวลา ความเพียรและการคิดเหตุผลของตน จัดเป็นขั้นก่อนพัฒนาหรือนอกชุมชนอารยะ

ขั้นที่ 2 คือ ขั้นที่ทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้เองแล้ว และใช้อิทธิปาฏิหาริย์นั้นเพื่อเสริมกำลัง ในการทำความดีอย่างอื่น เช่น ในการช่วยเหลือผู้อื่นจากภัยอันตราย และเป็นเครื่องประกอบของอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ถ้าเป็นสิ่งมงคลศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่น ขั้นที่ 2 นี้ ก็อนุโลมไปถึงการมีสิ่งเหล่านั้นในฐานะเป็นเครื่องเสริมกำลังใจ หรือเป็นเพื่อนใจให้เกิดความอุ่นใจ ทำให้เพียรพยายามทำความดีงามได้แข็งแรงยิ่งขึ้น มีความมั่นใจในตนเองมากยิ่งขึ้น หรือเป็นเครื่องเตือนสติและเร่งเร้าให้ประพฤติสิ่งที่ดีงาม ขั้นนี้พอจะยอมรับได้ว่า เป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ระบบชีวิตแบบชาวพุทธ แต่ท่านไม่พยายามสนับสนุน เพราะยังอาจปะปนกับขั้นที่ 1 ได้ง่าย ควรรีบก้าวต่อให้ผ่านพ้นไปเสีย ควรระลึกอยู่เสมอถึงคุณสมบัติของอุบาสกที่ดีข้อที่ 3 ว่า “ไม่ถือมงคลตื่นข่าว มุ่งกรรม
(การกระทำ) คิดมุ่งเอาผลจากการกระทำ ไม่มุ่งหามงคล” (องฺ.ปญฺจก. 22/175/230 )

-ขั้นที่ 3 คือ การมีชีวิตจิตใจเป็นอิสระ ดำเนินชีวิตที่โปร่งเบาแท้โดยไม่ต้องอาศัยอิทธิปาฏิหาริย์ หรือ สิ่งอื่นภายนอกมาเสริมกำลังใจของตนเลย เพราะมีจิตใจเข็มแข็งเพียงพอ สามารถบังคับควบคุมจิตใจของตน
ได้เอง ปราศจากความหวาดหวั่นกลัวภัย อย่างน้อยก็มีความมั่นใจในพระรัตนตรัยอย่างบริบูรณ์เป็นหลักประกัน
ขั้นที่ 3 นี้ จัดเป็นขั้นเข้าถึงพระพุทธศาสนา

.......

และแทรกแนวคิดพุทธศาสนาให้อีกลิงค์หนึ่ง

viewtopic.php?f=2&t=19015

ลิงค์นี้อ่านแล้วจะเข้าใจพุทธธรรมกว้างขึ้น :b41:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 15 ธ.ค. 2008, 09:31, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2008, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอยากจะบอกอย่างนี้ครับ อันนี้เป็นความรู้ในอภิธรรม แล้วผมพูดมาจากความจำ
อาจจะตกหล่นคลาดเคลื่อน ก้ขอให้ศึกษาให้ถ่องแท้เอาเองนะครับ
ที่พูดให้ฟังนี้ พูดโดยสรุป โดยกว้าง

เทวดา เทพ ทั้งหลายนั้น เขาอยากได้ที่สุดคือการเกิดเป้นคน
เป้นคนนั้นประเสริฐที่สุดในสามโลก

เพราะคนเท่านั้นที่จะทำให้พระนิพพานแจ้งได้

พวกเทพเทวดาเขามีแต่จิตเฉยๆ เสวยสุขไปตามกำลังบุญที่ตัวสั่งสมมา
เสวยทิพยสมบัติอยู่อย่างสุขสบาย
แต่ความเป้นเทพก็ไม่เที่ยงครับ มีอายุ ต้องไปเกิดต่อ

ถ้าเขาทำจิตให้มีศีล สมาธิ ภาวนา เขาก้จะดำรงคทิพยสมบัติต่อไปได้
เรียกว่าทำบุญใหม่ เสริมบุญเก่า
แต่ความเป้นเทพ ไม่สามารถทำพระนิพพานให้แจ้งได้
ต้องอาศัยความเป็นมนุษย์
ทเพที่หวังพระนิพพานนั้น เขากลัวที่สุดคือไม่ได้เกิดเป็นคน เขาอยากเกิดเป้นคนที่สุด

แต่เขาก้เหมือนเรา คือแล้วแต่แรงบุญแรงกรรมที่ทำไว้ เลือกไม่ได้
ตายจากความเป้นเทพเมื่อไหร่ก้ลุ้นอีกทีว่าจะต้องไปเกิดเป้นอะไรเพื่อใช้กรรมที่มีให้หมด

การที่เราเป้นคนนี้แหละ เป็นสมบัติที่ดีที่สุดในวัฏฏะสงสาร ไม่มีอะไรจะมีค่ามากกว่าการเป็นคน

ต่อไปนี้เป็นความเข้าใจผมเองนะ
ส่วนการทรงเจ้าเข้าผีก็เป้นการบอกให้เขามาใช้ร่างกาย(ขันธ)เรา เพื่อไปทำอะไรต่อมิอะไร
เขาเหล่านี้เป้นได้หลายอย่าง เป้นเทพจริงๆมีศีลมีธรรมก็ได้ เป้นมารร้ายแอบหลอกลวงก็ได้
พวกโลภ มักจะอยากได้ลาภสักการะ เขาก้มักจะมาวุ่นวายกับเรา หวังไดสักการะ

แต่ถ้าคุณเป้นคนดี มีศีลมีธรรม พวกกายทิพย์ทั้งหลาย(ไม่นับแค่เทพ)
ถ้าเขามีมุทิตาจิต เขาช่วยอะไรเราได้ เขาช่วยหมด

เวลาเหล่าแผ่เมตตาออกไป ก็เป้นการทำทานด้วยจิต
เหมือนเราส่งความปารถนาดีให้เพื่อเรานั่นแหละ
ถ้าเขารับรู้ เขาก้ยินดี และระลึกถึงความอุปการะของเรา
ถ้าเขามีกำลังจะช่วยอะไรเราได้ เขาก้จะสนองคุณเราตามกำลังของเขา
อย่างง่ายๆเลย เช่นหมาที่เราเลี้ยง เราทานข้างน้ำให้มัน มันก้ตอบแทนให้อย่างที่มันทำ
โดยเราไม่ต้องไปสอนสั่งเรื่องความภักดี ความกตัญญูเลย
หมามันมีพร้อมหมด โดยไม่ต้องสอน

ทำนองเดียวกัน พวกกายทิพย์ทั้งหลาย เช่นเปรตก็ดี อสุรกายก็ดี เทวดาก้ดี
หากเราเป้นคนมีศีล มีธรรม แล้วคอยแผ่เมตตาจิตให้เขา
เขาได้รับ เขายินดี เขาก็จะคอยชฃ่วยเหลือเราตามกำลัง

ครูบาอาจารย์ไปธุดงค์ในป่า เสือไม่ใกล้ อันตรายไม่มีเลย เป้นไปได้อย่างไร
ก็เพราะท่านได้รับสงเคราะหืจากเทวดา เปตร อสุรกาย และพวกกายทิพย์ที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนในป่านั้น
ช่วยอุปการะ เช่น ดูแลอาหารการกินให้ ไล่สัตว์ดิรัจฉานให้ บางครั้งจำแลงเป้นเสือทิพย์มาเฝ้าเลย เสือธรรมดามันจะไม่กล้ามาใกล้

และไม่เพียงแต่นั้น ยังมีโลกุตรจิตมากมายที่เสวยทิพย์สมบัติอยู่
เป้นอาจารย์สอนธรรมให้ท่านด้วย

พระพุทธเจ้าถึงแผ่เมตตาทุกวัน เพราะต้องการให้พวกเปรต แลพวกกายทิพย์ประเภทที่่ไม่มีต้นทุนอะไรเลย
ไดรับส่วนบุญส่วนกุศล แล้วค่อยๆพัฒนาขึ้นมา จนพ้นจากสภาวะเปรตนั้น ไปเกิดเป็นนั่นเป้นนี่ต่อไป
เปรตนี้สร้างบุญเองไม่ได้ ต้องคอยรับอนุโมทนาเอา จึงจะได้รับ

ส่วนเทวดานั้น เวลาเราทำอะไรให้ เขาก็แค่รับทราบ
เขาอยู่ในญานะที่ดีกว่าเรา เขารับรู้ว่าเราทำให้
แต่เขาไม่ได้รับส่วนบุญของเรา

การทำบุญให้เทวดา ก็ไำม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว
คือเราก็แสดงมุทิตาจิตให้เขา เขารับทราบ เขาก้ยินดี
วันหลังเขาก้สงเคราะห์เราตามกำลังของเขาที่ทำได้

ดดยสรุปคือ อย่าไปยุ่งกับเรื่องไม่เป้นเรื่องเลยนะครับ
หันมาปฏิบัติทางตรงสู่นิพพานดีกว่า
คือการเจริญสติ สติปัฏฐาน

เรื่องคนอื่น ปล่อยให้เป้นเรื่องคนอื่น
เรื่องเทพช่างเทพ เรื่องเปรตช่างเปรต
มีโอกาสแสดงอุปาระคุณกันได้ ค่อยสงเคราะห์กันไปตามกำลัง ตามพอดี
แต่อย่าถึงกับตามล่ากัน แบบไปขอให้เขามาช่วย หรือไปติดสินบนให้เขามาช่วย
หรือถึงกับไปสาบานตัวเป้นทาสเขา ยกร่างกายให้เขาใช้ เพื่อหวังให้เขาช่วยเหลือ

ยึดพระรัตนตรัยเอาไว้
ถ้าเจริญสติปัฏฐาน จนเข้าถึงพระรัตนตรัยแล้ว จะไม่มีทางตกต่ำลงไปกว่าการเป้นมนุษย์เลยครับ
ไม่มีทางตกนรกได้เลย และมุ่งหน้าสู่พระนิพพานเป็นแน่แท้
ถ้ายังไม่สำเร้จชาตินี้ ชาติหน้าก็อาจจะเกิดเป้นเทพเสวยทิพย์สมบัติ
และหลังจากนั้น อาจจะเกิดเป็นคน จะเกิดในตระกุลที่ดี บริบูรณ์ ไม่ลำบาก

เรียกว่า การเข้าถึงพระรัตนตรัยนั้น แน่นอนที่สุด มีอยู่จริง ไม่ต้องลุ้น ทำได้ด้วยตัวเอง ใครก้ช่วยไม่ได้
อย่าไปมัวเสียเวลากับเรื่องเจ้าเรื่องเทพอีกเลย ดีชั่วช่างเขา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2008, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อวบอั๋นขั้นสุดท้าย เขียน:
:b10: มีหมอดูท่านทักครับ ว่าผมมีองค์เทพครับ ต้องรับขันธ์ ถ้าไม่รับ ชีวิตจะมีแต่ความตกต่ำสินหวังครับ :b5:

คือผมก็ไม่ได้ลบหลู่หรือไม่เชื่อนะครับ แต่ ผมก็ยังมีอะไรในใจหน่อยนึงคือผมก็วิปัสนามานืดหน่อยครับเลยมีปัญหาจะถามผู้รู้ทั้งหลายครับคือ

1) ทำไมต้องรับขันธ์ด้วยครับ พวก ขันธ์ 5 ขันธ์ 8 อะไรพวกนี้ คือ คนเราทุกคนก็มีขันธ์เป็นของตนไม่ใช่หรือครับ ขันธ์ 5 ก็ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน แต่ขันธ์ 8 อันนี้ไม่รู้อะครับ :b6:
2) เคยได้ยินว่า คนที่มีเทพแล้วไม่รับท่านจะโดนท่านลงโทษ ต่างๆ บางคนเป็นบ้า ล้มละลายไปเลยก็มี จริงหรือเปล่าครับ :b21: หากท่านเทพ ทำอย่างนั้น ท่านไม่บาปหรือครับ :b20: ที่ทรมาณเรา หรือเป็นเพราะวิบากกรรมเราเอง
3)หมอบอกว่าถ้าไม่รับเทพ เดี๋ยว จะโดนสัมภเวสี หรือ มาร มาประทับแทน เพราะร่างผม เหมอะ มาก สำหรับเรื่อง พวกนี้ครับ :b5: ทำไงดีครับ ผมไม่อยากเป็นเจ้าทรงอะ :b2: :b2:


ฝึกเจริญสติให้มากค่ะคุณอวบอั๋น

--ในอดีตดิฉันเองก็เคยเป็นเหมือนคุณ รู้โน่น รู้นี่ รู้ไปหมด ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันหรือเคยเห็นหน้ากันมาก่อน ถ้าถามว่าปัจจุบันยังเป็นไหม ก็เป็นอยู่ แต่น้อยลง เพราะไม่สนใจมัน คือสักแต่ว่ารู้ มันเป็นเพียงรู้นอกตัวไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ มันเป็นเพียงกิเลสที่ทำให้เราหลงทางได้ หากไปเชื่อถือ มันเป็นวิบากกรรม ในอดีตเราอาจจะเคยพาคนหลงทางในแนวนี้ แต่แก้ได้ในปัจจุบันนี้โดยคุณหมั่นเจริญสติ สัมปชัญญะให้ต่อเนื่อง

--ผู้ที่มีสติ สัมปชัญญะดี ผี เจ้า เข้าทรง ทำอะไรไม่ได้หรอก แม้แต่หมอดูว่าดูแม่นๆ ยังดูไม่ได้เลย ดูได้แต่เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา เรื่องในปัจจุบันเขายังดูไม่ได้เลย ไม่ตรงเลย นับประสาอะไรกับอนาคตที่จะเกิดขึ้น ไม่ต้องไปพูดถึง เพราะเมื่อเป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะได้ในระดับหนึ่ง เมื่อเรามั่นคงต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสียแล้ว ไม่ว่าอะไรๆก็ไม่สามารถมาทำให้เราหวั่นไหวได้ เพราะเรากำหนดอนาคต กำหนดทางเดินชีวิตของตัวเราเอง ดวงมากำหนดเราไม่ได้ แต่การกระทำทั้งหมด ณ ขณะ นั้นๆ เป็นตัวกำหนดชีวิตเรา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2008, 01:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


:b2: :b2: ขอขอบคุณ ทุกท่าน ที่ให้คำแนะนำที่ดีๆขอรับ :b2: :b2:
ทราบซึ้งขอรับ smiley

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากรู้เหมือนกันครับ ขัน 8 คืออย่างไร ไม่เห็นมีใครตอบเลย

ลำพังขันธ์ของตัวเองอยากจะวางยังวางไม่ลง แล้วถ้าไปรับขันธ์มาเพิ่มอีกแล้วเมื่อไหร่จะวางได้หมดเนี่ย :b14: :b14:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2008, 10:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ม.ค. 2008, 10:27
โพสต์: 49

ที่อยู่: ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมชอบทักกันว่ามีองค์เทพ ชอบให้คนไปรับขันธ์
ดิฉันก็มีคนทัก ให้รับขันธ์ ไม่ได้รับค่ะ
ถือศีล5 ศีล 8 บ้าง สวดมนต์บูชาพุทธคุณ ธรรมะปฏิบัติ ดีกว่าค่ะ
แล้วคนที่ไปรับแล้วไม่ปฏิบัติดีๆ ก็แย่เลย
ถ้ามีจริงเราทำบุญสร้างบารมีมากๆ แล้วอุทิศบุญให้ท่าน
ท่านก็จะได้อนุโมทนาบุญกับเราได้ค่ะ

.....................................................
ขยัน อดทน ทำดี คิดดี พูดดี จะประสบความสำเร็จที่ดี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 136 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร