วันเวลาปัจจุบัน 25 พ.ค. 2025, 19:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ข้าพเจ้านำมาตั้งเป็นกระทู้นี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า เป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติธรรม ในทุกด้าน ไม่ว่าจะปฏิบัติเพื่อหวังบรรลุธรรมชั้นต่างๆ หรือเพื่อหวังอภิญญา ควรได้มีความรู้ ความเข้าใจ จะได้ไม่เกิดอาการ ของโรคจิตประสาท หรือเกิดอาการหลงผิดคิดว่าตัวเองได้อภิญญาบ้าง ได้ธรรมชั้นนั้นชั้นนี้บ้าง ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงนำมาเพื่อให้ท่านทั้งหลายที่สนใจในด้านการปฏิบัติธรรมเพื่อหวังผลในด้านต่างๆ ได้ศึกษา ได้รู้ และขอให้ท่านทั้งหลายที่ได้อ่านอย่าคิดว่า ข้าพเจ้าโอ้อวดตัว หรือต้องการโฆษณาตัวเอง เพราะข้าพเจ้าไม่ได้หวังผลอะไรจากท่านทั้งหลาย แต่ต้องการให้ท่านทั้งหลายได้ หูตาสว่าง ได้รู้ ได้เข้าใจ ในทางที่ถูกต้อง ดังคำถามที่มีผู้เขียนถามดังต่อไปนี้ว่า

อยากทราบเกี่ยวกับการบรรลุธรรมขั้นต่างๆ


1. หากบรรลุธรรมตั้งแต่ขั้นพระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ ในแต่ละขั้นที่บรรลุ บรรลุธรรมมะข้อใดบ้างแล้วตัวท่านที่บรรลุธรรมจะรู้ตัวเองได้อย่างไรว่าตัวเองถึงธรรมขั้นใดแล้ว

ตอบ.....
หากบุคคลใดใด ปฏิบัติธรรมจนบรรลุธรรมชั้นโสดาบัน ก็จะเริ่มมีปรากฏการณ์ทางสรีระร่างกาย คือจะสามารถขจัดอาสวะ(กิเลส)บางอย่างบางชนิดออกจากร่างกายได้ และจะเกิดแสง เป็นสีต่างๆกันตามแต่สภาพแห่งกิเลส หรืออาสวะนั้นๆ แสงที่เปล่งออกมานั้น บ้างก็จะเปล่งเฉพาะที่ศีรษะ บ้างก็จะเปล่งทั่วร่างกาย
ต่อเมื่อบรรลุมรรคผล (โสดาบันปฏิมรรค ปฏิผล) ก็จะเริ่มมีอภิญญาบางอย่างขึ้น อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจ และการปฏิบัติ
เมื่อบรรลุ มรรคผล ก็จะคาบเกี่ยวกับ ชั้น สกทาคามี เมื่อถึงชั้นนี้ ก็จะสามารถขจัดอาสวะ(กิเลส)ได้มากชนิดยิ่งขึ้น แต่จะต้องมีความเกี่ยวพันกับ ชั้นโสดาบันปฏิมรรค ปฏิผล หรือมรรคผล เพราะชั้น สกทาคามีนี้ จะนำเอาความรู้ ความเข้าใจในชั้นมรรคผล มาเป็นปัจจัยในการขจัดอาสวะ(กิเลส)ที่ละเอียดยิ่งขึ้น แสงที่เปล่งออกมา จะเริ่มปรากฏด้วยอัตโนมัติ ในบางขณะ
จากขั้น สกทาคามี ก็จะคาบเกี่ยว กับ ขั้น อนาคามี คือจะต่อเนื่องกัน ในชั้นอนาคามี นี้ กลไกการขจัดอาสวะ(กิเลส) จะมีความละเอียดมากขึ้น และเป็นกลไกอัตโนมัติ มากขึ้น ชนิดที่ว่า
ถ้าเป็นผู้ชาย หรือผุ้หญิง พอเข้าใกล้บุคคลอื่นที่เป็นเพศตรงกันข้าม หรือแม้เพศเดียวกัน แต่บุคคลนั้นๆมีคลื่นอารมณ์ ความคิด อันเป็นอาสวะ(กิเลส)ตามความรู้ ความเข้าใจที่เป็นไปตามหลักความจริงแล้ว ผู้บรรลุชั้น อนาคามี ก็จะขจัดอาสวะ หรือมีแสงป้องกันคลื่นกิเลสเหล่านั้น โดยอัตโนมัติ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในชึ้นอนาคามีนี้ จะเกิดอภิญญามากชนิดขึ้น ตามความรู้ ตามการได้ฝึกปฏิบัติ
ต่อเมื่อบรรลุถึง ชั้นอรหันต์ ก็จะคาบเกี่ยวไปถึงชั้น นิพพานด้วย เพราะชั้น อรหันต์และนิพพาน จะคาบเกี่ยวกัน ในชั้นนี้ ร่างกายจะเริ่มเปลี่ยนแปลง เป็นโปร่งแสงในบางครั้งบางขณะ บางที ถึงขั้นรูปร่างเป็นเหมือนเทวดา คือเปลี่ยนเป็นเทวดา(หรือนางฟ้า) ในบางโอกาสขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และอื่นๆ

ถาม......
2. ถ้าดำรงเพศเป็นฆราวาส จะสามารถเป้นพระอรหันต์ได้หรือไม่

ตอบ....
เป็นพระอรหันต์ได้ขอรับ มันเกี่ยวกับความรู้ มันเกี่ยวกับการปฏิบัติ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเราจะทำงานหรือครองเพศอะไร

ถาม.....
3. ถ้าพระนิพพานคือความว่าง การดำรงอยู่ของท่านที่ไปพระนิพพานจะอยู่กันอย่างไร(จะมีความเบื่อหน่ายหรือไม่เนื่องจากมีความว่าง)
ทุกข้อที่ถามมาเป็นข้องสงสัยนิดๆหน่อยของตัวข้าพเจ้าของท่านผู้รู้ตอบให้หายสงสัยเพื่อพี่โยชน์ของข้าพเจ้าและบุญกุศลของท่านที่คลายความสงสัยของข้าพเจ้า ขอขอคุณทุกท่านที่มาตอบด้วยครับๆ

ตอบ....
นิพพาน ไม่ใช่ความว่าง แต่นิพพาน เป็นชื่อชั้นของการปฏิบัติธรรม ชั้นสูงสุด ผู้บรรลุนิพพาน ร่างกายจะโปร่งแสงในบางครั้ง บางโอกาส ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะ ตราบใดที่บุคคลผุ้บรรลุนิพพาน ยังต้องสังคมใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นอยู่ ย่อมมีเรื่องที่ต้องติดหลงไว้บ้างบางส่วน บางขณะ การบรรลุนิพพาน ไม่ได้ก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย
ความเบื่อหน่ายที่บุคคลเกิดมีขึ้น คือ ความหลง อันเกิดจากความคิด และการนึกถึง
นิพพาน คือ ผุ้รุ้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ห่างไกลจาก กิเลสอย่างหยาบ และอย่างละเอียดทั้งมวล หากไม่ได้ปฏิสังคมกับผู้คนอืนๆ
หากแม้ปฏิสังคมกับผู้คนต่างๆแล้ว สรีระร่างกายของเขาก็จะ เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยอัตโนมัติ ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว
ท่านทั้งหลายทึ่ได้อ่านทั้งหมดไปแล้ว ก็อย่าได้คิดว่า เป็นเรื่องเหลือเชื่อในยุคสมัยนี้ และอย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปนั้น สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวของท่านเอง
ขอเพียงมีความรู้ มีวิธีปฏิบัติ อย่างถูกวิธี ย่อมจักบรรลุถึงธรรมเหล่านั้น รวมไปถึงอภิญญาต่างๆอย่างแน่นอน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2008, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานคือ ว่างจากอวิชชา ว่างจากกิเลส ว่างจากตัณหาทั้งปวง
ผู้บรรลุนิพพาน จะมีร่างกาย(รูป)โปร่งแสง นั่นเป็นแค่สมมุติที่ท่านแสดงออกมาเท่านั้น
นิพพานเป็นจิต เมื่อจิตนั้นไม่มีความยึดมั่นถือมั่นใดๆ จิตมันจึงว่างจากอวิชชา ว่างจากกิเลส ว่างจากตัณหาทั้งปวง
สุขในนิพพานเป็นสุขที่ไม่ใช่สุขจากเวทนา(ความรู้สึก) ไม่สามารถอธิบายได้ เพราะไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบสิ่งนี้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 09:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
นิพพานคือ ว่างจากอวิชชา ว่างจากกิเลส ว่างจากตัณหาทั้งปวง
ผู้บรรลุนิพพาน จะมีร่างกาย(รูป)โปร่งแสง นั่นเป็นแค่สมมุติที่ท่านแสดงออกมาเท่านั้น
นิพพานเป็นจิต เมื่อจิตนั้นไม่มีความยึดมั่นถือมั่นใดๆ จิตมันจึงว่างจากอวิชชา ว่างจากกิเลส ว่างจากตัณหาทั้งปวง
สุขในนิพพานเป็นสุขที่ไม่ใช่สุขจากเวทนา(ความรู้สึก) ไม่สามารถอธิบายได้ เพราะไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบสิ่งนี้ได้



ตอบ....

คุณขอรับ คุณอ่านแล้วไม่เข้าใจ ดันบิดเบือน คำบอกกล่าวของข้าพเจ้า
ขออภัยท่านทั้งหลาย คุณผู้ใช้ชื่อว่า พลศักดิ์ คุณอย่าเอาความสติเฟื่องของคุณ มาทำลายศาสนาในทางอ้อมเลยขอรับ
สิ่งที่ข้าพเจ้าบอกกล่าวไป เป็นบรรทัดฐาน และก็เขียนชัดเจนอยู่แล้ว ท่านทั้งหลายที่ได้อ่าน คงเข้าใจในเจตนาของข้าพเจ้าเป็นอย่างดี
แค่ข้อแสดงความคิดเห็นของคุณก็ไร้สาระ ไม่รู้แจ้งในหลักธรรมชาติของมนุษย์(หมายเอา เฉพาะมนุษย์) ถ้าคุณคิดว่าคุณรู้เรื่องนิพพาน คุณลองบอกมาซิว่า
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่คุณกล่าวมาคือ นิพพาน

แล้วก็อย่าได้ใช้คำกล่าวที่คุณเคยกล่าวเพื่อกลบเกลื่อนความไม่รู้ แต่สติเฟื่องของคุณ อีกนะ
เพราะถ้าคุณไม่รู้ คุณก็จะใช้คำกล่าวที่ว่า " สิ่งที่ได้บอกก็บอกไปหมดแล้ว"อะไรทำนองนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 10:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:

ตอบ....

คุณขอรับ คุณอ่านแล้วไม่เข้าใจ ดันบิดเบือน คำบอกกล่าวของข้าพเจ้า
ขออภัยท่านทั้งหลาย คุณผู้ใช้ชื่อว่า พลศักดิ์ คุณอย่าเอาความสติเฟื่องของคุณ มาทำลายศาสนาในทางอ้อมเลยขอรับ
สิ่งที่ข้าพเจ้าบอกกล่าวไป เป็นบรรทัดฐาน และก็เขียนชัดเจนอยู่แล้ว ท่านทั้งหลายที่ได้อ่าน คงเข้าใจในเจตนาของข้าพเจ้าเป็นอย่างดี
แค่ข้อแสดงความคิดเห็นของคุณก็ไร้สาระ ไม่รู้แจ้งในหลักธรรมชาติของมนุษย์(หมายเอา เฉพาะมนุษย์) ถ้าคุณคิดว่าคุณรู้เรื่องนิพพาน คุณลองบอกมาซิว่า
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่คุณกล่าวมาคือ นิพพาน

แล้วก็อย่าได้ใช้คำกล่าวที่คุณเคยกล่าวเพื่อกลบเกลื่อนความไม่รู้ แต่สติเฟื่องของคุณ อีกนะ
เพราะถ้าคุณไม่รู้ คุณก็จะใช้คำกล่าวที่ว่า " สิ่งที่ได้บอกก็บอกไปหมดแล้ว"อะไรทำนองนี้



"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก
สงบประณีตมิใช่วิสัยแห่งสัตว์ คือ คิดเอาไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วย
การเดา
แต่เป็นธรรมที่บัณฑิตพอจะรู้ได้"


คุณBuddhaครับ


1. ปัญญาในธรรมนั้น เกิดได้ไม่ใช่จากการคิดเอาเอง และไม่สามารถเห็นด้วยการเดาเอาเอง เช่นกัน

2. ปัญญาในธรรมนั้น เกิดได้เมื่อจิตสงบประณีตเท่านั้น

3. ผมไม่ได้ต้องการบิดเบือนข้อความใดๆของคุณ ผมก็แสดงความเห็นของผมเท่านั้นเอง ตามประสาบัณฑิตเท่านั้น

4. ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วในเว็บต่างๆว่า ผมได้เห็นและเข้าสู่นิพพานแล้วครั้งหนึ่ง นิพพานเป้นสุขอันบริสุทธิ์
ไม่มีสุขจากเวทนาอยู่ในนั้น นิพพานไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยธรรมชาติแห่งสัตว์ และแห่งมนุษย์ผู้จิตไม่ได้ประเสริฐ

5. ผมย่อมรู้ตัวเองว่า กล่าวเพื่อกลบเกลื่อนความไม่รู้ของตัวเอง และสติเฟื่องหรือเปล่า

6. หัดดูจิตตนเองบ่อยๆ และคุณBuddhaจะเข้าใจธรรมชาติแห่งมนุษย์ผู้จิตไม่ได้ประเสริฐ หลุดพ้นจาก
ธรรมชาติแห่งมนุษย์ที่จิตไม่ประเสริฐ และธรรมชาติแห่งสัตว์


"ธรรมใดๆก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก
สงบประณีตมิใช่วิสัยแห่งสัตว์ คือ คิดเอาไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วย
การเดา
แต่เป็นธรรมที่บัณฑิตพอจะรู้ได้"


คุณBuddhaครับ


1. ปัญญาในธรรมนั้น เกิดได้ไม่ใช่จากการคิดเอาเอง และไม่สามารถเห็นด้วยการเดาเอาเอง เช่นกัน
[b]ตอบ....
แล้วถ้าคุณไม่คิด คุณจะรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมใดใดได้หรือ แล้วคุณคิดว่าใครเดาละ เดาแบบคุณใช่ไหม ไม่รู้อะไรเลย แต่เขียนเป็นตุเป็นตะแบบคุณนะหรือ แล้วข้าพเจ้าให้คุณกลับไปอ่าน บทความให้ดี พิจารณาให้ดี คุณอ่านแล้วไม่เข้าใจตอนไหนกันหรือขอรับ ดีแต่ชอบบิดเบือน มั่ว รู้ไม่จริง ก็อย่า เขียนเลยจะดีกว่าขอรับ


พลศักดิ์ เขียน
2. ปัญญาในธรรมนั้น เกิดได้เมื่อจิตสงบประณีตเท่านั้น

ตอบ......
ปัญญาในธรรม จะเกิดขึ้นได้ ต้องประกอบไปด้วยปัจจัยหลายอย่างหลายประการ ปัญญาจะเกิดเพราะจิตมีสมาธิอย่างเดียวไม่ได้ดอกคุณ ระดับคุณยังอ่อนหัด (นี้ไม่ใช่คำเยาะเย้ยถากถาง) แต่เป็นคำเตือนสติ และคำตอบนี้คุณไม่ต้องเถียงดอกนะ เพราะข้าพเจ้าเขียนชัดเจนในหลักการอยู่แล้ว



พลศักดิ์...เขียน

3. ผมไม่ได้ต้องการบิดเบือนข้อความใดๆของคุณ ผมก็แสดงความเห็นของผมเท่านั้นเอง ตามประสาบัณฑิตเท่านั้น

ตอบ...
เออ ยกตัวเองว่าเป็นบัณฑิต แบบไม่อายใครเลยนะคุณ คุณกลับไปอ่านสิ่งที่คุณเขียนมาซิ กับสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียน แล้วคุณพิจารณาซิว่า คุณบิดเบือน คำสอนของข้าพเจ้าหรือไม่ ถ้าไม่เข้าใจ จะบอกให้ สิ่งที่คุณบิดเบือน ก็คือ คุณคิดว่า สิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวไป เป็นเพียงสมมุติ คุณรู้ได้อย่างไรว่าเป็นการสมมุติ คุณจักคำว่า สมมุต ไหมละ แล้วก็อย่ายกตนว่าเป็นบัณฑิตเลยคุณ คุณไม่ใช่บัณฑิตดอกนะ เพราะถ้าเป็นบัณฑิต อ่านคำสอนของข้าพเจ้า ก็บรรลุธรรมไปแล้วไม่มานั่ง แสดงตลกทางตัวหนังสืออย่างคุณดอกขอรับ


พลศักดิ์...เขียน
4. ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วในเว็บต่างๆว่า ผมได้เห็นและเข้าสู่นิพพานแล้วครั้งหนึ่ง นิพพานเป้นสุขอันบริสุทธิ์
ไม่มีสุขจากเวทนาอยู่ในนั้น นิพพานไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยธรรมชาติแห่งสัตว์ และแห่งมนุษย์ผู้จิตไม่ได้ประเสริฐ
ตอบ....
คุณอย่าโม้ อย่าเพ้อเจ้อ คิดเอาเอง อย่างคุณนั่นแหละเรียกว่า คิดเอาเอง คุณอยากเห็นของจริงไหมละ อยากพิสูจน์ไหม ถ้าคุณไม่มีฉัพพรรณรังสี ปรากฏให้เห็น แสดงว่า คุณมีอาการทางจิตประสาท ขอเตือน



พลศักดิ์...เขียน
5. ผมย่อมรู้ตัวเองว่า กล่าวเพื่อกลบเกลื่อนความไม่รู้ของตัวเอง และสติเฟื่องหรือเปล่า

6. หัดดูจิตตนเองบ่อยๆ และคุณBuddhaจะเข้าใจธรรมชาติแห่งมนุษย์ผู้จิตไม่ได้ประเสริฐ หลุดพ้นจาก
ธรรมชาติแห่งมนุษย์ที่จิตไม่ประเสริฐ และธรรมชาติแห่งสัตว์

ตอบ.....
คุณขอรับ คุณไม่รู้ตัวเองดอกขอรับ คุณยังมีหน้ามาสอน ว่าหัดดูจิตตนเอง ไหนคุณลองอธิบายมาซิว่า การดูจิตตนเองนั้น เขาดูกันอย่างไร ดูแล้วเห็นอะไร ถ้าเห็นแล้ว จะปฏิบัติ กับจิตที่คุณเห็นนั้นได้อย่างไร
อนึ่ง จิตของคุณ เอ ..ไม่ควรเรียกว่าจิตของคุณซินะ ควรเรียกว่า ความคิด อันเกิดจากความหลงผิด คิดเข้าข้างตัวเองของคุณนั้น ไม่ใช่ความคิดของคนที่มีจิตเป็นปกติดอกคุณ เพราะอะไรคุณรู้ไหม
เพราะสิ่งที่คุณเขียนโอ้อวดมา ว่า บรรลุนิพพาน นั่นแหละ ขอถามอีกข้อเลยนะ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า คุณบรรลุนิพพานแล้ว ละ ลองอธิบายมาซิ อย่าตอบแบบข้างคูคู ว่า ดูพฤติกรรมภายนอกนะคุณ
ตกลง คำตอบของข้าพเจ้านี้ มีสองคำถาม ตอบมาให้ได้นะ อย่าใช้ลวดลายเดิม อีกนะ ถ้าตอบไม่ได้ ก็ไปกราบพระ ทำสมาธิ เลิกคิดว่าตัวเองบรรลุธรรม โดยไม่สามารถบอกได้ว่า บรรลุอย่างไร

"ธรรมใดๆก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ"
[/quote]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


:b21: :b21: :b21:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2008, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว....ขอประชดสักหน่อยว่า
คุณผู้ใช้ชื่อว่า "พลศักดิ์ " อวดอ้างตัวว่าเป็นบัณฑิต อวดอ้างตัวว่า บรรลุนิพพาน แล้วทำไมแค่ศีล 5 ยังไม่กระดิก
ตอบไม่ได้ ก็บอก ตอบไม่ได้เลยคุณ ผู้บรรลุธรรม ย่อมไม่ประพฤติ หรือแสดงพฤติกรรม อันส่อให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่กลับกลอก หลอกลวงผุ้อื่นซิ
ตอบไม่ได้ ก็ไม่มีใครว่าอะไรดอกคุณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2008, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
อ้าว....ขอประชดสักหน่อยว่า
คุณผู้ใช้ชื่อว่า "พลศักดิ์ " อวดอ้างตัวว่าเป็นบัณฑิต อวดอ้างตัวว่า บรรลุนิพพาน แล้วทำไมแค่ศีล 5 ยังไม่กระดิก
ตอบไม่ได้ ก็บอก ตอบไม่ได้เลยคุณ ผู้บรรลุธรรม ย่อมไม่ประพฤติ หรือแสดงพฤติกรรม อันส่อให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่กลับกลอก หลอกลวงผุ้อื่นซิ
ตอบไม่ได้ ก็ไม่มีใครว่าอะไรดอกคุณ



ท่านรู้ที่มาของบาป-บุญหรือยัง : เจาะแบบลึกซึ้ง


เราคงเคยได้ยินว่า.... บุญ คือ ผลของการกระทำความดี การทำบุญ เป็นการปลูกต้นบุญขึ้นมา
บาป คือ ผลของการกระทำความชั่ว การทำบาป เป็นการปลูกต้นบาปขึ้นมา เมื่อเราปลูกต้นอะไรขึ้นมา เราย่อมได้รับผลจากต้น นั้นๆ ปลูกต้นบุญ ก็ได้ผลบุญ ปลูกต้นบาป ก็ได้ผลบาป

การตอบแบบข้างต้น ยังถือว่ายังไม่เข้าใจพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เพราะแท้จริงแล้ว บาป คือ อกุศลกรรม
เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี ไม่ งามและให้โทษ อกุศลกรรมก็คือ ต้นบาปนั่นเอง ในขณะที่ บุญ คือ กุศลธรรม เป็นสภาพที่
ดีงามเป็นประโยชน์ กุศลกรรมก็คือ ต้นบุญ

อย่างไรก็ตาม การตอบในแบบที่ 2 ก็ยังไม่ถือว่า เข้าใจพุทธศาสนาอย่างแท้จริงลึกซึ้งเช่นกัน เพราะเรายังไม่ได้ขุด
รากเหง้าของบาป-บญออกมา

รากเหง้าของบาป-บญ มาจากมโนธรรมในจิต มโนธรรมในจิตที่คิดปรุงแต่งสิ่งใดเป็นบุญ สิ่งนั้นก็
เป็นบุญ มโนธรรมในจิตที่คิดปรุงแต่งสิ่งใดเป็นบาป สิ่งนั้นก็เป็นบาป


ตัวอย่างที่ 1

เราเอาลูกน้ำให้ปลากิน ลูกน้ำมันตัวเล็ก แล้วมันจะเกิดเป็นยุง เป็นภัยกับเรา ปลาเป็นสิ่งที่เราเห็นว่าสวยงาม มี
ประโยชน์แก่เรา จิตเราก็คิดปรุงแต่งว่า เอาลูกน้ำให้ปลากินเป็นบุญ เมื่อมโนธรรมในจิตของเราคิดปรุงแต่งไปเช่นนี้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เจตนาคือกรรม พอเรามีเจตนาทำบุญ จากการคิดปรุงแต่งว่า เอาลูกน้ำให้
ปลากินเป็นบุญ ดังนั้น การเอาลูกน้ำให้ปลากิน จึงเป็นการปลูกต้นบุญ วิบากกรรมหรือผลที่ได้ก็ย่อมเป็นบุญ มีสุคติ
ภูมิเป็นที่ไป

ตัวอย่างที่ 2

ชาวบ้านยกลูกเมียให้คนอื่นเพื่อแลกกับเงิน เป็นการเอาผลประโยชน์เข้าตัว ทำความเดือดร้อนให้ลูกเมีย มโนธรรม
ของเขา ย่อมรู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นบาป และเขาได้ปลูกต้นบาปไว้แล้ว เขาย่อมได้รับวิบากกรรมหรือผลบาป มีทุคติภูมิ
เ็ป็นทีไป

แต่พระเวสสันดร ทำสิ่งเดียวกับชาวบ้าน คือ ยกลูกเมียให้คนอื่นเหมือนกัน แต่มโนธรรมในจิตของท่าน คิดปรุงแต่ง
ไปว่า เป็นการทำทานบารมี ยอมเสียสละสิ่งที่ตนเองรัก เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ในภายภาคหน้า การคิดปรุง
แต่งแบบนี้จึงกลับกลายเป็นมหากุศลไป ทั้งๆที่ทำสิ่งเดียวกับชาวบ้าน คือ ยกลูกเมียให้คนอื่นเหมือนกัน แต่ผลที่ได้
ต่างกัน เพราะท่านได้เป็นพระพุทธเจ้าในภายหน้า

เห็นหรือยังครับว่า ต้นบุญและต้นบาปเกิดจากความคิดปรุงแต่งในมโนธรรมในจิต ไม่ได้
เกิดจากการกระทำแต่อย่างใด กระทำอย่างเดียวกัน แต่ผลอาจจะเป็นบุญหรือบาปก็ได้ ขึ้นอยู่กับเจตนาในจิตตอนที่
ทำเป็นกุศลหรืออกุศล

สรุป

บุญบาปขึ้นอยู่กับจิตคิดปรุงแต่ง และมีเจตนากระทำกรรมนั้นลงไปตามจิตที่คิดปรุงแต่ง

พระโสดาบันเป็นอริยะบุคคลขั้นแรกที่ปฏิบัติจนเข้าถึงความจริงข้อนี้ พระอรหันต์เข้าใจ
และปฏิบัติจนแทงทะลุสัจธรรมนี้เลย พวกท่านทำกรรมอะไรลงไป เช่น โกหก กินเหล้า หรือกินเนื้อหมา จิตของ
ท่านไม่คิดปรุงแต่งให้มันเป็นบาป เพราะท่านรู้แล้วว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นสิ่งมายา ดังนั้น ท่านจึงตกนรกไม่ได้
เนื่องจากท่านรู้ว่า ไฟนรกนั้นคือสิ่งมายา แต่ปถุชนทั่วไปไม่รู้ จิตของเขาจึงตีความสิ่งมายา เป็นของจริง วิญญาณ
ของเขาเลยถูกไฟเผา

พูดง่ายๆ! วิญญาณคนธรรมดาโดนหลอกให้ เห็นของปลอมเป็นของจริง แต่พระ
โสดาไม่โดนหลอก ท่านรู้ตัวตลอดว่านั่นของปลอมทั้งนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2008, 10:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าหัวเราะ ทันที่ที่ได้อ่าน ข้อแสดงความคิดเห็นของผุ้ใช้ชื่อว่า "พลศักดิ์"
ก็เหมือนเดิมขอรับ ข้าพเจ้าถามอย่างหนึ่ง แต่เขาก็จะเฉไฉ ตอบไปอีกอย่างหนึ่ง แถมยังแสดงความไม่รู้จริง ไม่รู้แจ้งตามหลักธรรมชาติของมนุษย์ แต่ก็ยังดันทุรัง โอ้อวด ด้วยความอยากให้ผู้อื่นเห็นว่า เขารู้ เขาเก่ง (ที่กล่าวไป เป็นคำวิจารณ์ ตามลักษณะการเขียนของผู้ใช้ชื่อว่า "พลศักดิ์")


ไม่ได้รู้เรื่องอะไรสักแอะ เขียน ,คิด ไปตามความสติเฟื่องของเขา
อย่างผู้ใช้ชื่อว่า "พลศักดิ์" ต้องเอามานั่งต่อหน้ากัน ถกกัน อธิบายกันด้วยเหตุผล จนให้เกิดความเข้าใจ จึงจะรู้สึกตัว ไม่อย่างนั้น ก็หลงผิด เข้าขั้น ,,,,,,,,,,เลยนะคุณ

เอาใหม่ ข้าพเจ้า ถามว่า
ลองอธิบายมาซิว่า การดูจิตตนเองนั้น เขาดูกันอย่างไร ดูแล้วเห็นอะไร ถ้าเห็นแล้ว จะปฏิบัติ กับจิตที่คุณเห็นนั้นได้อย่างไร

แล้วสิ่งที่คุณกล่าวว่า " บุญบาปขึ้นอยู่กับจิตคิดปรุงแต่ง และมีเจตนากระทำกรรมนั้นลงไปตามจิตที่คิดปรุงแต่ง "
ถามว่า จิตส่วนนั้น อยู่ตรงไหน เจตนา เป็นจิต หรือ เป็นความคิด หรือเป็นอารมณ์ ความรู้สึก หรือ คำว่า เจตนา นั้น คืออะไร เป็น ความคิด เป็นอารมณ์ หรือเป็นความรู้สึก

ถ้าคุณคิดว่า คุณบรรลุธรรมอะไรของคุณนั่นแล้ว คุณต้องรุ้ และต้องตอบ เพราะสิ่งที่ถามไป เป็น ญาณ อันนับเข้าในวิปัสนา ชนิดหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนปลีกย่อยก็ตามที
ถ้าตอบไม่ได้ ก็บอกไปเลย ว่าตอบไม่ได้ เวลาอวดอ้างว่า รู้ อวดอ้างว่า บรรลุนิพพาน ยังอวดอ้าง โอ้อวดได้
หรือว่า อยากดังอย่างเดียว อยากหลอกลวงอย่างเดียว ความจริงไม่ยอมเปิดเผยเลยรีคุณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2008, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ต.ค. 2008, 14:05
โพสต์: 54


 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ เขียน:
อ้างคำพูด:
บุญบาปขึ้นอยู่กับจิตคิดปรุงแต่ง และมีเจตนากระทำกรรมนั้นลงไปตามจิตที่คิดปรุงแต่ง

พระโสดาบันเป็นอริยะบุคคลขั้นแรกที่ปฏิบัติจนเข้าถึงความจริงข้อนี้ พระอรหันต์เข้าใจ
และปฏิบัติจนแทงทะลุสัจธรรมนี้เลย พวกท่านทำกรรมอะไรลงไป เช่น โกหก กินเหล้า หรือกินเนื้อหมา จิตของ
ท่านไม่คิดปรุงแต่งให้มันเป็นบาป เพราะท่านรู้แล้วว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นสิ่งมายา ดังนั้น ท่านจึงตกนรกไม่ได้
เนื่องจากท่านรู้ว่า ไฟนรกนั้นคือสิ่งมายา แต่ปถุชนทั่วไปไม่รู้ จิตของเขาจึงตีความสิ่งมายา เป็นของจริง วิญญาณ
ของเขาเลยถูกไฟเผา

พอทีเถอะคุณพลศักดิ์ เดี๋ยวก็ลากไปถึงขั้นเสพเมถุนได้ เดี๋ยวก็ลากเข้ามหายานไปเรื่อยเปื่อยอะไรของคุณอีก ผมติดตามอ่านกระทู้คุณตลอด ผมรู้สึกทะแม่งๆตั้งแต่ทีแรกแล้ว มาถึงตอนนี้คุณก็เป็นอย่างที่คุณ Buddha ว่านั่นแหละ คุณอย่าทำร้ายจิตใจชาวพุทธผู้เข้ามาแสวงหาความรู้ในเว็บเพื่อนำไปปฏิบัติเลย แค่พวกเขาไม่ประสีประสากับคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ก็น่าสงสารพออยู่แล้ว แต่นี่คุณกลับนำพาพวกเขาเหล่านั้นเข้ารกเข้าพงด้วยตัวอวิชชาของคุณที่คุณชอบกล่าวถึงอยู่บ่อยๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2008, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากให้คุณ Budha ช่วยแสดงถึงการปฏิบัติเพื่อการบรรลุธรรมว่าควรปฏิบัติย่างไร

แล้วแนวทางที่มีสอนในสำนักต่าง ๆ ควรเลือกสำนักไหน แล้วมีความคิดต่อ

วิธีของวัดธรรมกายอย่างไร เป็นหนทางสู่นิพพานจริงหรือไม่ ขอบคุณครับ

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2008, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
อยากให้คุณ Budha ช่วยแสดงถึงการปฏิบัติเพื่อการบรรลุธรรมว่าควรปฏิบัติย่างไร

ตอบ.....
ข้าพเจ้าจะแนะนำคุณสองแนวทาง เอาแบบสั้นๆ เพราะ การจะสอนการปฏิบัติเพื่อการบรรลุธรรมนั้น ไม่ใช่พูดกันสอนกัน สองสามประโยค ก็จะบรรลุธรรมได้ (ในที่นี้หมายถึง บุคคลที่มีสมองสติปัญญา ปานกลาง)
แนวทางที่ 1
ข้าพเจ้าสอนมานานแล้ว หลายๆกระทู้ รวมกัน ทั้งหลักธรรมะ หรือหลักวิชาการ และหลักปฏิบัติ ถ้าคุณขยันคุณก็หาอ่านเอาในเวบฯนี้
ซึ่งในทางที่เป็นจริง ในเวบธรรมจักรนี้ เขาก็มีสอนอยู่แล้ว แต่หลักธรรม และหลักปฏิบัติของข้าพเจ้า เป็นต้นตอ เป็นแม่แบบ
ส่วนของที่มีอยู่ในเวบฯ เป็นรายละเอียด ปลีกย่อย


แนวทางที่ 2....
ข้าพเจ้าจะแนะนำ สั้นๆ ว่า การจะปฏิบัติ ธรรม เพื่อบรรลุธรรมนั้น ต้องประกอบไปด้วย
สมาธิ คือ ต้อง ฝึกปฏิบัติ สมาธิชั้นพื้นฐานให้ได้ดี ก่อน เป็นอันดับแรก
และเมื่อว่างจากการฝึกสมาธิ ก็ต้อง เรียนรู้ และศึกษา หลักการ หรือหลักธรรมะ
นี้เอาแบบรวบรัด นะขอรับ เท่านี้คุณก็สามารถบรรลุธรรมเป็นอย่างๆ ไป แต่ต้องเป็นหลักธรรม หรือหลักวิชชาที่ข้าพเจ้าสอนไว้เป็นบรรทัดฐาน หมายความว่า หลักธรรมที่ข้าพเจ้าสอนให้เป็นบรรทัดฐาน คือหลักธรรมที่ต้องจดจำ ส่วนในตำราอื่นใด คือ รายละเอียด อันนี้คุณควรได้พิจารณาเอาเอง ให้เป็นไปตามหลักธรรมชาติ และประสบการณ์จริง

ถาม......
แล้วแนวทางที่มีสอนในสำนักต่าง ๆ ควรเลือกสำนักไหน แล้วมีความคิดต่อ

วิธีของวัดธรรมกายอย่างไร เป็นหนทางสู่นิพพานจริงหรือไม่ ขอบคุณครับ


ตอบ....
สำนักไหน ก็เหมือนกันหมด หากทุกสำนัก ใช้บรรทัดฐานเดียวกัน แบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหลักปฏิบัติ หรือหลักธรรม หรือหลักวิชชาการ
จะสำนักไหนก็ตาม หากใช้หลักการ หรือหลักธรรมอันเป็นบรรทัดฐาน ล้วนต้องบรรุ โสดาบันได้เป็นอย่างต่ำ
ส่วนเรื่องนิพพานนั้น ตอนนี้แม้จะมีข้อยุติ แต่ก็ยังมีปัญหาบางอย่าง อีกสัก 2 ถึง 3 เดือน คงรู้ผล

หมายเหตุ ข้าพเจ้าไม่ตอบคำถามของคุณตามตรง ในคำถามนี้ เพราะไม่อยากทำตัวเป็น "หมูเขาจะหาม ดันเอาคานเข้ามาสอด"
แต่ก็จะบอกให้รู้ไว้ว่า หลักปฏิบัติ สมาธิ ทุกรูปแบบ ที่มีอยู่ในประเทศไทย ที่พระสงฆ์ทั้งหลายตั้งตัวเป็นอาจารย์อยู่นั้น
อาจารย์ของข้าพเจ้า สอนให้ข้าพเจ้าทุกอย่าง และข้าพเจ้า ก็ฝึกปฏิบัติมาทุกอย่าง
ผลสุดท้าย ก็เลิก ปฏิบัติไป แล้วใช้หลักปฏิบัติ ตามที่ได้ค้นคว้า ศึกษา และวิจัย มา ปฏิบัติมาจนปัจจุบันนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2008, 18:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากครับที่ตอบ ขอติหน่อยนึงสำหรับการโพสต์ข้อความ รู้สึกว่าระบบจะรวนนิดนึง เพราะมักจะมีการซ้ำคำที่ได้เขียนไป รบกวนทางเว็บแก้ไขด้วยนะครับ

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2008, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ธ.ค. 2004, 19:48
โพสต์: 1733

ชื่อเล่น: admin
อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


kokorado เขียน:
ขอบคุณมากครับที่ตอบ ขอติหน่อยนึงสำหรับการโพสต์ข้อความ รู้สึกว่าระบบจะรวนนิดนึง เพราะมักจะมีการซ้ำคำที่ได้เขียนไป รบกวนทางเว็บแก้ไขด้วยนะครับ



....
การซ้ำคำ หรือประโยคซ้อน เวลาพิมพ์ข้อความที่ติดกันยาวๆ แล้วต้องตัดเพื่อให้อยู่อีกบรรทัดหนึ่ง ก็จะมีปัญหาประโยคเชื่อมต่อ ที่เกิดขึ้นในเว็บบอร์ดนั้น

สาเหตุมีดังนี้
โปรแกรมเบราเซอร์ ของ MS internet explorer รุ่น 7 ขึ้นไป
มีปัญหาเรื่องการแสดงฟอร์น หรือตัวอักษรที่เป็นภาษาไทย แบบที่ใช้กับบอร์ด
แต่ถ้าใช้ ie 5,6 หรือใช้ mozilla firefox ก็จะแสดงผลปกติ

เคยแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการปรับเปลี่ยนฟอร์นใหม่
แบบอย่างที่เห็นในช่องข้อความอ้างอิง
หลายท่านทักว่าฟอร์นไม่สวย อ่านยาก ก็เลยต้องกลับไปใช้แบบเดิม
อาจจะมีปัญหาสำหรับผู้ที่ใช้โปรแกรมรุ่นใหม่ ๆ

ก็ขอขอบคุณที่กรุณาแจ้งมาให้ทางทีมงานทราบครับ

:b1:

.....................................................
-- วิธีใช้บอร์ด --
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=11&t=22930
- สมาชิกใหม่แนะนำตัวที่นี่
http://www.dhammajak.net/forums/viewforum.php?f=29
- กฎกติกาบอร์ด
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19110
- เครื่องมือผู้ดูแลบอร์ด -
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=11&t=23048
facebook ลานธรรมจักร
http://www.facebook.com/larndhammajak


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2008, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


รับทราบตามที่ ทีมงานแจ้งขอรับ ขอบคุณขอรับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร