วันเวลาปัจจุบัน 17 พ.ค. 2025, 00:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เฉลิมศักดิ์ เขียน:
คุณขงเบ้งฯ ครับ อย่าได้เอานรกมาขู่ผมเลยครับ

นรก ในความหมายของท่านพุทธทาส คือ ความเร่าร้อนใจของคนเรานี้เองครับ ไม่ได้เกี่ยวกับภพภูมิหลังจากการตายของคนเลย

เป็น สวรรค์ในอก นรกในใจเท่านั้น

เมื่อก่อนเป็นวัยรุ่น ผมก็เชื่อตามทิฏฐิของท่านพุทธทาสนี้แหละครับ ว่า นรก สวรรค์ ที่เป็นภพภูมินั้น เขาเขียนขึ้นมาหลอกให้คนกลัว ที่มีมาปรากฏใน พระไตรปิฏก อรรถกถา ก็เพื่อให้เข้ากับความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ในสมัยนั้น เพราะไปคัดค้านไม่ไหว


อ้างอิงคำพูด:
นรก - สวรรค์
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16994

ท่านคิดอย่างไรกับเรื่อง สวรรค์ นรก ในแง่ที่ว่า สวรรค์นั้นอยู่บนฟ้ามีวิมานที่สวยงาม มีนางฟ้า ส่วนนรก อยู่ใต้ดิน เป็นที่ที่น่ากลัว มีกะทะทองแดง ต้นงิ้ว ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องของวัตถุ

กับ สวรรค์ นรก ในแง่ที่ว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ซึ่งเป็นเรื่องของอายตนะทั้ง 6 ทั้งนรก ทั้งสวรรค์ มันอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
คือ ความรู้สึก ที่เกิดขึ้น ที่นั่น

ผมได้อ่านบทความของท่านพุทธทาส เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยส่วนตัวแล้วผมว่า สวรรค์ อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ น่าจะเป็นแก่นหรือสาระสำคัญในแง่ของศาสนาพุทธที่แท้จริง

ใครสนใจบทความของท่านพุทธทาส สามารถหาอ่านได้ที่
http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/heaven92.html


สวรรค์ นรก ของเฉลิมศักดิ์มีลักษณะใดหรือ

มีวิมานแก้ว

เทวดาใส่ชฎาเหมือนลิเกไหม

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


แก้ไขล่าสุดโดย mes เมื่อ 11 ม.ค. 2010, 12:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


คำสอนบางอย่างของพุทธทาส... ก็พึงระวังนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 14:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 14:34
โพสต์: 16

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านพุทธทาสเป็นนักปราชญ์ ท่านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียว ถ้าท่านเป็นอรหันต์ก็เป็นอรหันต์สุกขวิปัสสโก ท่านย่อมไม่รู้เห็นนรก-สวรรค์ของจริงแน่นอน

ผู้ที่จะรู้เห็นนรก-สวรรค์ของจริง ต้องปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องปฏิบัติสมถะให้เขาถึงฌาน 4 ถอดกาพทิพย์ได้ยิ่งดี เขาจะได้รู้เห็นนรก-สวรรค์ของจริง ตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2008, 09:18
โพสต์: 635

อายุ: 0
ที่อยู่: กองทุกข์

 ข้อมูลส่วนตัว www


แล้วสรุปว่าสวรรค์นั้นก็ยังคงมีจริงสินะ :b39:

.....................................................
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
คิดเท่าไหรก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงจะรู้

http://www.luangta.com
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สวรรค์นรก เป็นภูมิของจิต
ตลอดเวลาในแต่ละวัน เราก็ขึ้นสวรรค์ลงนรกกันอยู่ตลอดขณะเวลาอยู่แล้ว
ส่วนลักษณะปรากฏที่ว่าเป็นวิมาน เป็นอะไรนั้น มันเป็นบัญญัติที่จิตสร้างขึ้น
สุดแท้แต่จะมี perception อะไรอยู่ในความทรงจำ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2010, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 15:33
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ตอบด้วยความคิดของตัวเอง จะนำ้พระสูตรมายกอ้างนี้คือความต่างของความเป็นพุทธะ ความรู้ของพระพุทธเจ้ากับพระอัครสาวก พระอรหันต์...ถ้าจะเถียงหรือขัดแย้งในความรู้ของกันด้วย เรื่องอะไรควรค้นพระสูตรมาเปรียบเทียบ เสมอน่าจะดีกว่า เพราะ ความเป็นพุทธะ คงไม่ต้องเอออวยตามความรู้ของใครได้ หรือว่า ใครจะถกเถียงอีกว่า ศาสดาท่านใดมีความรู้เหนือพระพุทธเจ้า ..

เล่ม 34 หน้า 437

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคำนี้ว่า สาวโก โส อานนฺท อปฺปเมยฺยา ตถาคตา

โดยมีพระพุทธประสงค์ดังนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ เธอพูดอะไรอย่างนี้ พระสาวกดำรงอยู่ในญาณเฉพาะส่วน
แต่พระตถาคตเจ้าทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ แล้วทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ มีพระญาณหาประมาณมิได้.

เธอนั้น พูดอะไรอย่างนี้ เหมือนเอาปลายเล็บช้อนฝุ่น ขึ้นมาเปรียบกับฝุ่นในพื้นมหาปฐพี
เพราะวิสัยของพระสาวกทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง
ธรรมเป็นโคจรของพระสาวกทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง
พลังของพระสาวกทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตรัสความที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีอานุภาพหาประมาณมิได้
ด้วยมีพระพุทธประสงค์ดังพรรณนามานี้ แล้วทรงดุษณีภาพ.

แม้พระเถระก็ทูลถามเป็นครั้งที่ ๒ พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงแสดงว่า อานนท์ เธอพูดอะไรอย่างนี้
เหมือนกับเอาโพรงของต้นตาล ไปเทียบกับอากาศที่เวิ้งว้างหาที่สุดมิได้
เหมือนกับเอานกนางแอ่น ไปเทียบกับพญาครุฑตัวผู้บินได้วันละ ๑๕๐ โยชน์
เหมือนกับเอาน้ำในงวงช้าง ไปเทียบกับน้ำในแม่น้ำมหาคงคา
เหมือนกับเอาน้ำในหลุมกว้างยาว ๘ ศอก ไปเทียบกับสระทั้ง ๗
เหมือนกับเอาคนที่มีรายได้เพียงข้าว ๑ ทะนาน ไปเทียบกับพระเจ้าจักรพรรดิ
เหมือนกับเอาปีศาจคลุกฝุ่น ไปเทียบกับท้าวสักกเทวราช
และเหมือนกับเอาแสงสว่างของหิ่งห้อย ไปเทียบกับแสงสว่างพระอาทิตย์ ดังนี้แล้ว
ตรัสความที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีอานุภาพหาประมาณมิได้ เป็นครั้งที่ ๒ แล้วทรงดุษณีภาพ.

เล่ม 44 หน้า 222

ชื่อว่า ตถาคต เพราะอรรถว่าครอบงำ เป็นอย่างไร ?
คือ พระองค์ทรงพระนามว่า ตถาคต เพราะทรงกระทำภวัคคพรหม (พรหมชั้นสูงสุด) ในเบื้องบน
จนถึงอเวจีมหานรกในเบื้องล่าง ทั้งเบื้องขวาง ก็ทรงครอบงำสรรพสัตว์ในโลกธาตุหาประมาณมิได้
ด้วยศีลบ้าง สมาธิบ้าง ปัญญาบ้าง วิมุตติบ้าง วิมุตติญาณทัสสนะบ้าง พระองค์ชั่งไม่ได้หรือประมาณไม่ได้
โดยที่แท้พระองค์เป็นผู้อันใคร ๆ ชั่งไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ยอดเยี่ยม เป็นเทพของเทพ
เป็นท้าวสักกะยิ่งกว่าท้าวสักกะ เป็นพรหมยิ่งกว่าพรหม เป็นผู้สูงสุดกว่าสรรพสัตว์

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคต เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ใครๆครอบงำไม่ได้ เห็นได้ถ่องแท้
แผ่อำนาจเป็นไป ในโลกพร้อมเทวโลก ฯลฯ ในหมู่สัตว์พร้อมเทวดาและมนุษย์เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ตถาคต.

ในข้อนั้น มีบทสำเร็จรูปดังต่อไปนี้ พระดำรัสของพระองค์เหมือนยาวิเศษ ได้แก่เทศนาวิลาสและการสั่งสมบุญ
ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงทรงครอบงำคนที่เป็นปรัปปวาท (มีคำกล่าวโต้แย้ง) ทั้งหมด ทั้งในโลกพร้อมเทวโลก
เหมือนแพทย์ผู้มีอานุภาพมากใช้ยาทิพย์กำราบงูทั้งหลาย ฉะนั้น

เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมก็เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างที่สุด เล่ม 45 หน้า 39

...เสียงแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นไปในขณะเดียวกัน
เป็นเสียงที่สัตว์ทั้งหลายผู้ต่างภาษากัน สามารถรับฟังได้พร้อมกันตามภาษาของตน
และย่อมเป็นไปเพื่อให้เข้าใจความหมายได้. เพราะว่า พุทธานุภาพ เป็นอจินไตย (ใครๆไม่ควรคิด)
นักศึกษาพึงเข้าใจว่าเสียงแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า มาสู่คลองแห่งโสตประสาท (คือประสาทรับรู้ทางหู)
ของสรรพสัตว์ตามควรแก่ภาษาของตน ๆ.

ถ้ารู้ความต่าง ของความรู้เป็นอย่างนี้แล้ว ใครจะเถียงพระพุทธเจ้า รู้มากกว่าพระพุทธเจ้า ก็เชิญเถิด.. :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 14:34
โพสต์: 16

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
สวรรค์นรก เป็นภูมิของจิต
ตลอดเวลาในแต่ละวัน เราก็ขึ้นสวรรค์ลงนรกกันอยู่ตลอดขณะเวลาอยู่แล้ว
ส่วนลักษณะปรากฏที่ว่าเป็นวิมาน เป็นอะไรนั้น มันเป็นบัญญัติที่จิตสร้างขึ้น
สุดแท้แต่จะมี perception อะไรอยู่ในความทรงจำ


ผมเห็นด้วยว่า สวรรค์นรก เป็นภูมิของจิต และเห็นด้วยว่า ตลอดเวลาในแต่ละวัน เราก็ขึ้นสวรรค์ลงนรกกันอยู่ตลอดขณะเวลาอยู่แล้ว
นั่นเป็นเพราะว่า โลกมนุษย์เป็นภพที่รวมของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในภูมิต่างๆทุกภูมิ

คนธรรมดา แม้แต่พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก ที่เจริญวิปัสสนาอย่างเดียว ย่อมไม่รู้ ไม่เห็นว่า ในภูมิต่างๆของจิตว่ามีภพรองรับอยู่หลังความตาย แม้แต่ภูมิของอรหันต์เมื่อตายก็มีภพรองรับอยู่ เรียกว่า "นิพพาน"

พูดให้ชัดคือ หลังความตาย มีสิ่งหนึ่งที่ยังเหลืออยู่ คือ ภวังค์จิต(จิตใต้สำนึก) หรือปฏิสนธิจิต หรือวิญญาณธาตุ ในภวังค์จิต(จิตใต้สำนึก) หรือปฏิสนธิจิต ของเรา มันมีภพรองรับด้วย จึงเรียกรวมกันว่า ภพภูมิ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและผู้ที่มีอภิญญาทั้งหลาย พวกท่านเป็นผู้รู้ว่า ในภูมิต่างๆมีภพรองรับอยู่ พระพุทธองค์ทรงรู้เรื่องภพโดยสมบูรณ์ จึงแยกภพ(becoming; existence) เหล่านี้ออกเป็น 3 ภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ และจำแนกผู้ที่อยู่ใน 3 ภพ ออกเป็น ภูมิทั้งหมดมี ๓๑ ภูมิ ได้แก่

กามภูมิ ๑๑ คือ อบายภูมิ ๔, กามสุคติภูมิ ๗

รูปภูมิ ๑๖ คือ ปฐมฌานภูมิ ๓, ทุติยฌานภูมิ ๓

ตติยฌานภูมิ ๓, จตุตถฌานภูมิ ๗

อรูปภูมิ ๔ คือ อากาสานัญจายตนฌานภูมิ

วิญญาณัญจายตนฌานภูมิ

อากิญจัญญายตนฌานภูมิ

เนวสัญญานาสัญญายตนฌานภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 14:34
โพสต์: 16

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชิโนะซึเกะ เขียน:
แล้วสรุปว่าสวรรค์นั้นก็ยังคงมีจริงสินะ :b39:


ปัตจัตตัง ทำเอง รู้เอง เห็นเอง

เรื่องนรกสวรรค์จะรู้ได้ต้องทำสมถะกรรมฐาน ถึงฌาน 4 แล้วได้ตาทิพย์ หรือถอดจิตได้ หรือได้วิชชา 3 ย่อมจะรู้เห็นเรื่องนรกสวรรค์ของจริงเอง แต่ถ้าเน้นทำวิปัสสนาอย่างเดียว ไม่มีโอกาสรู้เห็นเรื่องนรกสวรรค์ของจริง และในที่สุดก็อาจจะสรุปผิดๆแบบท่านพุทธทาสภิกขุว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" ซึ่งเป็นเรื่องของอายตนะทั้ง 6 ทั้งนรก ทั้งสวรรค์ มันอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือ ความรู้สึก ที่เกิดขึ้น ที่นั่น

ตอนที่ท่านพุทธทาสภิกขุสรุปแบบนั้น ตอนนั้นท่านยังปฏิบัติไม่ถึงระดับ ช่วงท้ายของชีวิต พอท่านปฏิบัติถึงระดับ ท่านจึงเปลี่ยนความคิด ด้วยรู้ว่า จิตวิญญาณมันสืบต่อไปได้นิหว่า แม้ว่าตายแล้ว จิตวิญญาณก็ยังสืบต่อไปได้ กฎแห่งกรรมจึงไม่ใช่แค่กฎที่ให้ผลในชาตินี้ภพนี้อย่างเดียว แต่วิบากกรรมสามารถสืบภพชาติต่ไปได้เรื่อยๆ ตราบใดที่ยังไม่เข้านิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 22:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวรรค์และนรกมีจริงค่ะ ระดับอรหันต์ขึ้นไปถึงจะรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน และจะได้ยินเสียงว่ามันเป็นอย่างไร อย่าเดากันไปเลย ต้องแฏิบัติกันเองค่ะ ใครๆก็ถึงอรหันต์ได้ถ้ามีความเพียรพยายามในการถือศีลและทำสมาธิแบบไม่มีกิเลสค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2010, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทิวน้ำ เขียน:
ท่านพุทธทาสเป็นนักปราชญ์ ท่านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียว ถ้าท่านเป็นอรหันต์ก็เป็นอรหันต์สุกขวิปัสสโก ท่านย่อมไม่รู้เห็นนรก-สวรรค์ของจริงแน่นอน

ผู้ที่จะรู้เห็นนรก-สวรรค์ของจริง ต้องปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องปฏิบัติสมถะให้เขาถึงฌาน 4 ถอดกาพทิพย์ได้ยิ่งดี เขาจะได้รู้เห็นนรก-สวรรค์ของจริง ตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า


มั่วหรอเปล่า ใครศึกษามาในครั้งพุทธกาล พระโมคลานะและองค์ อื่นไม่เห็นว่าท่านต้องทำนั้นนี้ให้ได้ต้องเจริญ แล้วจึงเกิดฤทธิ์ อภิญญาอะไร ไม่เช่นนั้นแต่ละองค์แต่ละท่านก็ย่อมมีคุณวิเศษเหมือนกันแบบเดียวหมดละถ้าอย่างนั้น เพราะก็ต้องทำเอาให้ได้เหมือนกับคุณเข้าใจว่าจะต้องเจริญนั้นนี้ก็แล้วค่อยได้ สิ่งเหล่านี้คุณวิเศษที่พิเศษ ที่เป็นเลิศในกแต่ด้านล้วนแล้วเป็นเรื่องของวาสนา เคยดำริ อธิฐานจิตมา เคยพบเห็นพระสงฆ์ ขององค์พุทธะหนึ่งองค์ในครั้งก่อนๆโน้น แล้วเคยทำการสักการะบูชาท่านด้วยวิธีการต่างๆแล้วขอให้มีส่วน ขอให้เป็นแบบอย่างท่านนั้น ด้วยผลบุญแบบนี้และการสละ บำเพ็ญบุญมาต่อภพต่อชาติ ต่อกัลป์ ต่อกับป์ มาเรื่อยๆ จึงมาให้ผลเมื่อท่านเหล่า สิ้นอาสวะคลายจากการยึดติดทั้งหลาย เป็นพระขีณาสพ ในระดับต่างๆสิ่งที่เรียกว่าวาสนาของเก่า ก็ปรากฏในวาระสุดท้าย ชัดเจนว่าเลิศด้านใด ก่อนที่จะดับขันธ์ปรินิพพาน การที่ได้มาซึ่งคุณวิเศษของท่านทั้งหลายนั้นจึงไม่ใช่ว่าทำเอาเลยจึงจะได้ แต่หมายถึง คลาย ปลงใจ การยึดติดเสีย แล้วค่อยมีคือเกิดเองเป็นเอง จึงปรากฏเอง


แก้ไขล่าสุดโดย yodchaw เมื่อ 25 ม.ค. 2010, 11:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร