วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 06:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทวาร (ประตู, ช่องทาง)

อายตนะ (ที่ต่อ, แดน)

หัวข้อนี้ จะว่าไปพร้อมๆกับ หัวข้อ "ความคิดเรื่องทวาร ๖ ของคุณโรส" นี้

viewtopic.php?f=1&t=56873


อันที่จริงก็เรื่องเห็นๆนี่แหละ แต่มันเป็นภาษาพระภาษาบาลีภาษาทางธรรม ไม่ใช่ภาษาไทย เมื่อเราเอาภาษาของเขามาใช้มาพูดแล้วเราว่าเราคิดเองเออเอง ปัญหาเกิดตอนนี้แหละ เหมือนคนเรียนภาษาต่างประเทศก็ต้องเอาตามความหมายของเขา ไม่ใช่เอาตามของเรา เอาตามของเรามันก็เละ เจ้าของภาษาเขาฟังไม่รู้เรื่อง (เป็นหัวมังกุฎท้ายมังกรไป)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 ธ.ค. 2018, 09:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ทวาร (ประตู, ช่องทาง)

อายตนะ (ที่ต่อ, แดน)

หัวข้อนี้ จะว่าไปพร้อมๆกับ หัวข้อ "ความคิดเรื่องทวาร ๖ ของคุณโรส" นี้

viewtopic.php?f=1&t=56873

เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะไม่ใช่เรา เขา หรือ ใคร
แต่มีจิตรู้ที่ประชุมรวมกันบาลีเรียกอายตนะกำลังมี
ตลอดเวลาที่คิดตามคำสอนเข้าใจไม่เรียกชื่ออะไรเลย
ก็คือเป็นที่ประชุมรวมกันของสภาพธัมมะชั่วคราวไม่ใช่เรา
และขณะที่กำลังเห็นแล้วไม่รู้ว่าเห็นดับแล้วก็มีกิเลสอวิชชาดับสะสมทันที
จนกว่าจะเริ่มฟังพระพุทธพจน์เพื่อเข้าใจถูกตามมีที่พึ่งเพื่อให้ระลึกถูกตามคำสอนได้
สิ่งที่กำลังปรากฏกับสติปัญญาจะปรากฏด้วยดีเพราะไม่ขาดพึ่งคำตถาคตจากการฟังมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
:b16:
:b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 12 ธ.ค. 2018, 09:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายตนะ ๖ แดนรับรู้และเสพเสวยโลก

แม้ว่าชีวิตจะประกอบด้วยขันธ์ ๕ ซึ่งแบ่งซอยออกไปเป็นหน่วยย่อยต่างๆ มากมาย แต่ในทางปฏิบัติ คือ ในการดำเนินชีวิตทั่วไป มนุษย์ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับส่วนประกอบเหล่านั้นโดยทั่วถึงแต่อย่าง ใด
ส่วนประกอบหลายอย่างมีอยู่ และทำหน้าที่ของมันไปโดยที่มนุษย์ไม่รู้จัก หรือแม้รู้จัก ก็แทบไม่ได้นึกถึงเลย เช่น ในด้านรูปธรรม หรือร่างกาย อวัยวะภายในร่างกายหลายอย่าง ทำหน้าที่ของมันอยู่โดยที่มนุษย์ ผู้เป็นเจ้าของไม่รู้และไม่ได้ใส่ใจที่จะ รู้ จนบางคราวมันเกิดความวิปริต หรือทำหน้าที่บกพร่องเจ็บป่วยขึ้น มนุษย์จึงจะหันมาสนใจ แม้องค์ประกอบต่างๆ ในกระบวนการฝ่ายจิต ก็เป็นเช่นเดียวกัน


การศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ และกระบวนการทำงานทางร่างกาย เราปล่อยให้เป็นภาระของนักศึกษาแพทยศาสตร์ และชีววิทยา ส่วนการศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบ และกระบวนการทำงานด้านจิตใจ ก็ปล่อยให้เป็นภาระของนักจิตวิทยา
แต่สำหรับคนทั่วไป ความหมายของชีวิตอยู่ที่ชีวิตในทางปฏิบัติ หรือชีวิตที่ดำเนินอยู่เป็นประจำ ในแต่ละวัน ซึ่งได้แก่การติดต่อเกี่ยวข้องกับโลก สิ่งที่ให้ความหมายแก่ชีวิต ก็คือ การติดต่อเกี่ยวข้องกับโลก
พูดสั้นๆว่า ชีวิตตามความหมายของมนุษย์ คือ ชีวิตโดยความสัมพันธ์ กับ โลก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิตในทางปฏิบัติหรือชีวิตโดยความสัมพันธ์กับโลกนี้ แบ่งออกได้ เป็น ๒ ภาค แต่ละภาคมีระบบการทำงานซึ่งอาศัยช่องทางที่ชีวิตจะติดต่อ เกี่ยวข้องกับโลก ได้ ซึ่งเรียกว่า ทวาร (ประตู ช่องทาง) ดังนี้

๑. ภาครับ รู้และเสพเสวยโลก อาศัยทวาร ๖ (ผัสสทวาร) * (sense-doors) คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับรับรู้ และเสพ เสวยโลกซึ่งปรากฏแก่มนุษย์โดยลักษณะและอาการต่างๆ ที่เรียก ว่า อารมณ์ ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์

๒. ภาคแสดงออกหรือกระทำต่อโลก อาศัย ทวาร ๓ (channels of action) (กรรมทวาร) คือ กาย วาจา ใจ (กายทวาร วจีทวาร มโน ทวาร) สำหรับกระทำตอบต่อโลก โดยแสดงออกเป็นการทำ การพูด และการ คิด (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม)

ในภาคที่ ๑ มี ข้อที่พึงย้ำเป็นพิเศษ คือ คำว่า ทวาร (ในทวาร ๖) นั้น เมื่อกล่าวถึงในระบบการทำงานของกระบวนธรรมแห่งชีวิต ท่านนิยม เปลี่ยนไปใช้คำว่า อายตนะ ซึ่งแปลว่า แดนเชื่อมต่อให้เกิดความ รู้ หรือทางรับรู้

ในภาคที่ ๒ พึงย้ำว่า กระบวนธรรมของชีวิตในภาคนี้ รวมในขันธ์ที่ ๔ คือ สังขารขันธ์ ที่กล่าวมาแล้ว ในบทก่อน สังขารต่างๆ ในสังขารขันธ์ ซึ่งมีอยู่มากมาย แบ่งเป็นฝ่ายดีบ้าง ฝ่ายชั่วบ้าง หรือจัดแจงมอบหมายหน้าที่ให้ช่วยกันทำการปรุงแต่งการแสดงออก หรือ การกระทำทาง กาย วาจา ใจ เกิดเป็นกรรม คือการทำ การพูด การคิด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทวาร (ประตู, ช่องทาง)

อายตนะ (ที่ต่อ, แดน)

หัวข้อนี้ จะว่าไปพร้อมๆกับ หัวข้อ "ความคิดเรื่องทวาร ๖ ของคุณโรส" นี้

viewtopic.php?f=1&t=56873

เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะไม่ใช่เรา
มีที่ประชุมรวมกันบาลีเรียกอายตนะ
แต่เวลาที่คิดตามคำสอนเข้าใจไม่เรียกชื่อ
ก็คือที่ประชุมรวมกันของสภาพธัมมะไม่ใช่เรา
แต่ที่กำลังเห็นแล้วไม่รู้ว่าเห็นดับแล้วมีกิเลสอวิชชาทันที
จนกว่าจะเริ่มฟังพระพุทธพจน์เพื่อเป็นที่พึ่งให้คิดถูกตามคำสอนได้

สิ่งที่กำลังปรากฏกับสติปัญญาจะปรากฏด้วยดีเพราะไม่ขาดพึ่งคำตถาคตจากการฟังมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง


นี่คือสำนักบิดเบือนหลักธรรม ไม่ผิดตัวหรอก คิกๆๆ

สติ,ปัญญา เป็นใคร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ในกรณีนี้ สังขารจะถูกจัดประเภทเสียใหม่ให้สอดคล้องกับบทบาทของมัน โดยแบ่งตามทางหรือทวารที่แสดงออก เป็นกายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร เรียกตามชื่อหัวหน้า หรือตัวแทนว่า กายสัญเจตนา วจีสัญเจตนา และมโนสัญเจตนา หรือเรียกตามงานที่ทำออกมาว่า กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม แสดงให้เห็นง่ายขึ้น ดังนี้

๑. กายสังขาร = กายสัญเจตนา----กายทวาร => กายกรรม

(สภาพปรุงแต่งการกระทำทางกาย = ความจงใจ (แสดงออก) ทางกาย ทางกาย การกระทำทางกาย)

๒.วจีสังขาร = วจีสัญเจตนา ---- วจีทวาร => วจีกรรม

(สภาพปรุงแต่งการกระทำทางวาจา =ความจงใจ (แสดงออก) ทางวาจา ทางวาจา การกระทำทางวาจา)

๓. มโนสังขาร= มโนสัญเจตนา----มโนทวาร => มโนกรรม

(สภาพปรุงแต่งการกระทำทางใจ=ความจงใจ (แสดงออก)ทางใจ ทางใจ การกระทำทางใจ)

สังขารในฐานะเครื่องปรุงแต่งคุณภาพหรือคุณสมบัติต่างๆ ของจิตได้กล่าวแล้วในเรื่องขันธ์ ๕

ส่วนสังขารในฐานะกระบวนการปรุงแต่งแสดงออกและกระทำการต่างๆต่อโลกเป็นเรื่องกิจกรรมของชีวิต ซึ่งจะแสดงเป็นพิเศษส่วนหนึ่งต่างหาก (ตอนปฏิจจสมุปบาท)
ในที่นี้ จะมุ่งแสดงแต่สภาวะอันเนื่องอยู่ที่ตัวชีวิตเองหรือองค์ประกอบของชีวิตพร้อมทั้งหน้าที่ของมันตามสมควรคือเรื่องอายตนะ ๖(ผัสสทวาร) อย่างเดียว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามันก็เรื่องของชีวิตนี่แหละแม่คุณเอ้ย :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทวาร (ประตู, ช่องทาง)

อายตนะ (ที่ต่อ, แดน)

หัวข้อนี้ จะว่าไปพร้อมๆกับ หัวข้อ "ความคิดเรื่องทวาร ๖ ของคุณโรส" นี้

viewtopic.php?f=1&t=56873

เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะไม่ใช่เรา
มีที่ประชุมรวมกันบาลีเรียกอายตนะ
แต่เวลาที่คิดตามคำสอนเข้าใจไม่เรียกชื่อ
ก็คือที่ประชุมรวมกันของสภาพธัมมะไม่ใช่เรา
แต่ที่กำลังเห็นแล้วไม่รู้ว่าเห็นดับแล้วมีกิเลสอวิชชาทันที
จนกว่าจะเริ่มฟังพระพุทธพจน์เพื่อเป็นที่พึ่งให้คิดถูกตามคำสอนได้

สิ่งที่กำลังปรากฏกับสติปัญญาจะปรากฏด้วยดีเพราะไม่ขาดพึ่งคำตถาคตจากการฟังมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง


นี่คือสำนักบิดเบือนหลักธรรม ไม่ผิดตัวหรอก คิกๆๆ

สติ,ปัญญา เป็นใคร

:b32:
อ่านให้เข้าใจช้าๆ
เดี๋ยวนี้กำลังมีอายตนะ6
กำลังประชุมขันธ์5ที่กำลังเกิดดับ
ตามปกติเป็นปกติที่มีความไม่รู้ความจริง
ของสิ่งที่กำลังมีจริงๆที่กำลังปรากฏกับสติปัญญา
เพราะกำลังมีอวิชชาคือมีอุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์ที่กำลังเกิดดับว่าเป็นเรา
เป็นตัวเองคิดพูดทำสิ่งต่างๆอยู่ในขณะนี้คือกำลังมีความเห็นผิดเป็นมิจฉามรรค
จนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อสะสมปัญญาแล้วปัญญาที่เพิ่มขึ้นจึงทำกิจหน้าที่ของปัญญา
ไม่มีตัวตนไปทำอะไรนะคะกำลังฟังแล้วกำลังเข้าใจปรุงแต่งถูกตามคำสอนเกิดสัมมาทิฏฐิต้องไปไหนไหมคะ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวสภาวะ

อายตนะ * แปลว่า ที่ต่อ หรือแดน หมายถึงที่ต่อกันให้เกิดความรู้ แดนเชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือแหล่งที่มาของความรู้ แปลอย่างง่ายๆว่า ทางรับรู้ มี ๖ อย่าง ดังที่เรียกในภาษาไทย ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ที่ว่า ที่ต่อ หรือเชื่อมต่อ ให้เกิดความรู้นั้น ต่อ หรือ เชื่อมต่อกับ อะไร ตอบว่า เชื่อมต่อกับโลก คือ สภาพแวดล้อมภายนอก แต่โลกนั้นปรากฏลักษณะอาการแก่มนุษย์เป็นส่วนๆ ด้านๆไป เท่าที่มนุษย์จะมีแดน หรือเครื่องมือสำหรับรับรู้ คือ เท่าจำนวนอายตนะ ๖ ที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น ดังนั้น อายตนะ ทั้ง ๖ จึงมีคู่ของมันอยู่ในโลกเป็นสิ่งที่ถูกรับรู้สำหรับแต่ละ อย่างๆ โดยเฉพาะ

………

ที่อ้างอิง *

* คำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ อายตนะ มีความหมายหลายนัย เช่น แปลว่า เป็นที่สืบต่อแห่งจิตและเจตสิก คือ เป็นที่ที่จิตและเจตสิกทำหน้าที่กันง่วน เป็นที่แผ่ขยายจิต และเจตสิกให้ กว้างขวางออกไป เป็นตัวการนำสังสารทุกข์อันยืดเยื้อให้ดำเนินสืบต่อไป อีก เป็นบ่อเกิด แหล่ง ที่ชุมนุม เป็นต้น (วิสุทธิ.3/61ฯลฯ)


อนึ่ง พึง สังเกตว่า ประสาทรับความรู้สึกภายในร่างกายเกี่ยวด้วยท่าทางการเคลื่อน ไหว ทรงตัว เป็นต้น จำพวกที่เรียกว่า somesthesia (kinesthetic, vestibular and visceral senses) ท่านไม่ได้จัดเพิ่มไว้ในพวกอายตนะด้วย
แม้ท่านจะไม่ได้ชี้แจงเรื่องนี้ไว้ ก็มองเห็นเหตุผลได้ ว่า ความรับรู้ประเภทนี้ บางส่วนรวมอยู่แล้วในอายตนะที่ ๕ ที่ท่าน ใช้คำกว้างๆว่า "กาย" แต่เหตุผลข้อสำคัญอยู่ที่ว่า ประสาทจำพวกนี้ ทำหน้าที่จำกัดเพียงในด้านสรีรวิทยา มุ่งเพื่อรักษาสภาพ ปกติแห่งการทำงานของร่างกายเท่านั้น มีลักษณะจำเพาะตัว และจำกัดอยู่ ภายใน เป็นเครื่องสนับสนุนที่จำเป็น แต่มีค่าคงตัว ไม่มีคุณค่าที่จะ ก่อผลงอกเงยทั้งด้านความรู้ และด้านเสพเสวยโลก ทั้งด้านญาณวิทยา และด้านจริยธรรม จึงไม่เข้ากับความหมายของอายตนะ


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 10:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทวาร (ประตู, ช่องทาง)

อายตนะ (ที่ต่อ, แดน)

หัวข้อนี้ จะว่าไปพร้อมๆกับ หัวข้อ "ความคิดเรื่องทวาร ๖ ของคุณโรส" นี้

viewtopic.php?f=1&t=56873

เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะไม่ใช่เรา
มีที่ประชุมรวมกันบาลีเรียกอายตนะ
แต่เวลาที่คิดตามคำสอนเข้าใจไม่เรียกชื่อ
ก็คือที่ประชุมรวมกันของสภาพธัมมะไม่ใช่เรา
แต่ที่กำลังเห็นแล้วไม่รู้ว่าเห็นดับแล้วมีกิเลสอวิชชาทันที
จนกว่าจะเริ่มฟังพระพุทธพจน์เพื่อเป็นที่พึ่งให้คิดถูกตามคำสอนได้

สิ่งที่กำลังปรากฏกับสติปัญญาจะปรากฏด้วยดีเพราะไม่ขาดพึ่งคำตถาคตจากการฟังมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง


นี่คือสำนักบิดเบือนหลักธรรม ไม่ผิดตัวหรอก คิกๆๆ

สติ,ปัญญา เป็นใคร

:b32:
อ่านให้เข้าใจช้าๆ
เดี๋ยวนี้กำลังมีอายตนะ6
กำลังประชุมขันธ์5ที่กำลังเกิดดับ
ตามปกติเป็นปกติที่มีความไม่รู้ความจริง
ของสิ่งที่กำลังมีจริงๆที่กำลังปรากฏกับสติปัญญา
เพราะกำลังมีอวิชชาคือมีอุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์ที่กำลังเกิดดับว่าเป็นเรา
เป็นตัวเองคิดพูดทำสิ่งต่างๆอยู่ในขณะนี้คือกำลังมีความเห็นผิดเป็นมิจฉามรรค
จนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อสะสมปัญญาแล้วปัญญาที่เพิ่มขึ้นจึงทำกิจหน้าที่ของปัญญา

ไม่มีตัวตนไปทำอะไรนะคะกำลังฟังแล้วกำลังเข้าใจปรุงแต่งถูกตามคำสอนเกิดสัมมาทิฏฐิต้องไปไหนไหมคะ


อ้างคำพูด:
ไม่มีตัวตนไปทำอะไรนะคะ


แล้วที่ไปทำการทำงาน ทำนั่นทำนี่ กิน ถ่าย pี้ นอน นี่ล่ะใครทำ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

สิ่งที่ถูกรับรู้ หรือลักษณะอาการต่างๆของโลกเหล่านี้ เรียกชื่อว่า อายตนะ เหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือเป็นแหล่งความรู้เช่นเดียวกัน แต่เป็นฝ่ายภายนอก

เพื่อแยกประเภทจากกันไม่ให้สับสน ท่านเรียกอายตนะพวกแรก ว่าอายตนะภายใน (แดนต่อความรู้ฝ่ายภายใน) และเรียกอายตนะพวกหลังนี้ว่า อายตนะภายนอก (แดนต่อความรู้ฝ่ายภายนอก)

อายตนะภายนอก ๖ อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งต้องกาย และสิ่งที่ใจนึก โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า อารมณ์ แปล ว่า สิ่งอันเป็นที่สำหรับจิตมาหน่วงอยู่ หรือ สิ่งสำหรับยึดหน่วงของจิต แปลง่ายๆว่า สิ่งที่ถูกรับรู้ หรือสิ่งที่ถูกรู้ นั่นเอง

เมื่ออายตนะภายใน ซึ่งเป็นแดนรับรู้ กระทบกับอารมณ์ (อายตนะภายนอก) ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ก็จะเกิดความรู้จำเพาะด้านของอายตนะแต่ละอย่างๆ ขึ้น เช่น

ตา กระทบรูป เกิดความรู้ เรียกว่า เห็น

หู กระทบเสียง เกิดความรู้ เรียกว่า ได้ยิน เป็นต้น

ความรู้จำเพาะแต่ละด้านนี้เรียกว่า วิญญาณ แปลว่า ความรู้แจ้ง คือรู้อารมณ์

ดังนั้น จึงมีวิญญาณ ๖ อย่าง เท่ากับอายตนะ และอารมณ์ ๖ คู่ คือ

วิญญาณ ทางตา ได้แก่ เห็น
วิญญาณทาง หู ได้แก่ ได้ยิน
วิญญาณทางจมูก ได้แก่ ได้กลิ่น
วิญญาณทาง ลิ้น ได้แก่ รู้รส
วิญญาณทางกาย ได้แก่ รู้สิ่งต้อง กาย
วิญญาณทางใจ ได้แก่ รู้อารมณ์ทางใจ หรือรู้เรื่องในใจ

(นี่ภาษาทางธรรม ภาษาพระ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทวาร (ประตู, ช่องทาง)

อายตนะ (ที่ต่อ, แดน)

หัวข้อนี้ จะว่าไปพร้อมๆกับ หัวข้อ "ความคิดเรื่องทวาร ๖ ของคุณโรส" นี้

viewtopic.php?f=1&t=56873

เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะไม่ใช่เรา
มีที่ประชุมรวมกันบาลีเรียกอายตนะ
แต่เวลาที่คิดตามคำสอนเข้าใจไม่เรียกชื่อ
ก็คือที่ประชุมรวมกันของสภาพธัมมะไม่ใช่เรา
แต่ที่กำลังเห็นแล้วไม่รู้ว่าเห็นดับแล้วมีกิเลสอวิชชาทันที
จนกว่าจะเริ่มฟังพระพุทธพจน์เพื่อเป็นที่พึ่งให้คิดถูกตามคำสอนได้

สิ่งที่กำลังปรากฏกับสติปัญญาจะปรากฏด้วยดีเพราะไม่ขาดพึ่งคำตถาคตจากการฟังมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง


นี่คือสำนักบิดเบือนหลักธรรม ไม่ผิดตัวหรอก คิกๆๆ

สติ,ปัญญา เป็นใคร

:b32:
อ่านให้เข้าใจช้าๆ
เดี๋ยวนี้กำลังมีอายตนะ6
กำลังประชุมขันธ์5ที่กำลังเกิดดับ
ตามปกติเป็นปกติที่มีความไม่รู้ความจริง
ของสิ่งที่กำลังมีจริงๆที่กำลังปรากฏกับสติปัญญา
เพราะกำลังมีอวิชชาคือมีอุปาทานขันธ์ยึดถือขันธ์ที่กำลังเกิดดับว่าเป็นเรา
เป็นตัวเองคิดพูดทำสิ่งต่างๆอยู่ในขณะนี้คือกำลังมีความเห็นผิดเป็นมิจฉามรรค
จนกว่าจะเริ่มฟังเพื่อสะสมปัญญาแล้วปัญญาที่เพิ่มขึ้นจึงทำกิจหน้าที่ของปัญญา

ไม่มีตัวตนไปทำอะไรนะคะกำลังฟังแล้วกำลังเข้าใจปรุงแต่งถูกตามคำสอนเกิดสัมมาทิฏฐิต้องไปไหนไหมคะ


อ้างคำพูด:
ไม่มีตัวตนไปทำอะไรนะคะ


แล้วที่ไปทำการทำงาน ทำนั่นทำนี่ กิน ถ่าย pี้ นอน นี่ล่ะใครทำ คิกๆๆ

:b32:
เป็นพุทธบริษัทที่ศึกษาคำสอนไม่ได้สละเพศคฤหัสถ์ต้องประกอบอาชีพหาเงินเลี้ยงชีพไม่มีโทษอาบัติ
ส่วนบรรพชิตน่ะปฏิญาณตนออกบวชคือสละเพศชาวบ้านไม่ประกอบอาชีพไม่รับเงินมีทำผิดวินัยต้องอาบัติ
การฟังคำสอนเนี่ยนะต้องเหาะเหินเดินอากาศไปฟังไปหรือคะหรือว่านั่งฟังด้วยความเคารพว่าตนไม่รู้ล่ะคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 12:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

ยุคนี้กิเสลเกิดที่ทวาร ตา กันมากเลยจนบาง
คนถึงกับบอดไปเลย หลายคนก็เริ่มเสื่อมเพราะ
ยังไม่เห็นคุณ และภัยของการใช้งานตามากเกิน
ไป

onion onion onion

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

สรุปได้ว่า อายตนะ ๖ อารมณ์ ๖ และวิญญาณ ๖ (ที.ปา.11/304-306/255) มีชื่อในภาษาธรรม และมีความเกี่ยวเนื่องกัน ดังนี้

๑. จักขุ - ตา เป็นแดนรับรู้ รูป - - รูป เกิดความรู้คือ จักขุวิญญาณ - เห็น

๒. โสตะ - หู ,, ---------,, สัททะ - เสียง ,,----------,, โสตวิญญาณ - ได้ยิน

๓. ฆานะ - จมูก ,,---------,, คันธะ - กลิ่น ,,-----------,, ฆานวิญญาณ - ได้กลิ่น

๔. ชิวหา - ลิ้น ,,----------,, รส - - รส ,,---------------,, ชิวหาวิญญาณ - รู้รส

๕. กาย - กาย ,,--------,, โผฏฐัพพะ - สิ่งต้องกาย ,,-----,,กายวิญญาณ- รู้สิ่งต้องกาย

๖. มโน - ใจ ,,---------,, ธรรม * - เรื่องในใจ ,,----------,, มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ

.......

ที่อ้างอิง *
* นิยมเรียก ธรรมารมณ์ เพื่อไม่ให้สับสนกับคำว่า ธรรม ที่ใช้ทั่วไป ซึ่งมีความหมายกว้างขวางหลายนัย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างไรก็ตาม แม้ว่า วิญญาณ จะต้องอาศัยอายตนะ และอารมณ์ กระทบกันจึงจะเกิดขึ้นได้ * (ม.มู.12/443-4/476-7) ก็จริง แต่การที่อารมณ์เข้ามาปรากฏแก่อายตนะ ก็มิใช่จะทำให้วิญญาณเกิดขึ้นได้ เสมอไป จำต้องมีความใส่ใจ ความกำหนดใจ หรือความใฝ่ใจประกอบอยู่ ด้วย วิญญาณนั้นๆ จึงเกิดขึ้น * (ม.มู.12/346/358) ดังตัวอย่าง
ในบางคราว เช่น เวลาหลับสนิท เวลาฟุ้งซ่าน หรือใจลอยไป เสีย เวลาใจจด จ่อแน่วแน่อยู่กับกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง ตลอดจนขณะอยู่ในสมาธิ รูปและเสียง เป็นต้น หลายๆอย่างที่ผ่านเข้ามา อยู่ในวิสัยที่จะเห็น จะได้ยิน แต่หาได้เห็น ได้ยินไม่ หรือ
ตัวอย่างง่ายๆ ขณะเขียนหนังสือใจจดจ่ออยู่ จะไม่รู้สึกส่วนของร่างกาย ที่แตะอยู่กับโต๊ะเก้าอี้ ตลอดจนมือที่แตะกระดาษ และนิ้วที่แตะปากกา หรือดินสอ ในเมื่อมีอายตนะและอารมณ์เข้ามาถึงกันแล้ว แต่วิญญาณไม่เกิดขึ้น เช่นนี้ ก็ยังไม่เรียกว่า การรับรู้ได้เกิดขึ้น


การรับรู้จะเกิดขึ้น ต่อเมื่อมีองค์ประกอบเกิดขึ้นครบทั้งสามอย่าง คือ อายตนะ อารมณ์ และวิญญาณ ภาวะนี้ในภาษาธรรม มีคำเรียกโดยเฉพาะว่า "ผัสสะ" หรือ "สัมผัส" แปลตามรูปศัพท์ว่า การกระทบ

แต่มีความหมายทางธรรมว่า การประจวบ หรือบรรจบพร้อมกันแห่งอายตนะ อารมณ์ และวิญญาณ

พูดอย่างเข้าใจกันง่ายๆ ผัสสะ ก็คือ การรับรู้นั่นเอง ผัสสะ หรือ สัมผัส หรือการรับรู้นี้ มีชื่อเรียกแยกเป็นอย่างๆ ไปตามทางรับรู้ คืออายตนะนั้นๆ ครบจำนวน ๖ คือ

จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส

ผัสสะเป็นขั้นตอนสำคัญ ในกระบวนการรับรู้ เมื่อผัสสะเกิดขึ้นแล้ว กระบวนธรรมก็ ดำเนินต่อไป

เริ่มแต่ความรู้สึกต่ออารมณ์ที่รับรู้เข้ามานั้น ปฏิกิริยาอย่างอื่นของจิตใจ การจำหมาย การนำอารมณ์นั้นไปคิดปรุงแต่ง ตลอดจนการแสดงออกต่างๆ ที่สืบเนื่องไปตามลำดับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 160 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร