วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 15:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2016, 05:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
จำได้มากใช่จะดีถ้าจำผิดๆ
ที่สำคัญคือจำว่าไม่มีเรา
ทุกอย่างเป็นธัมมะเป็น
อนัตตาเกิดดับไปแล้ว
ถ้าไม่รู้จิตตนที่สะสม
ตายแล้วเกิดแน่ๆค่ะ
ตาบอดคลำช้าง
ไม่มีใครผิดน๊า
มีแต่ธัมมะที่มี
เหตุปัจจัยของตน
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2016, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
ตายก่อนตายใช่การรู้สภาพธรรมที่ปรากฏชัดตอนไม่ได้นอนหลับ
เป็นสภาวะที่ปรากฏให้จิตรู้ว่าที่มีจริงๆมีแต่ธาตุรู้ในความมืด
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย
:b17:
:b4: :b4:

:b8:
ใกล้เคียงมากครับคุณรสริน
สาธุ อนุโมทนา
smiley



ท่านอโศกเออออห่อหมกไปกับความเห็นผิดอีกแระ

มีที่ไหนจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย กาย กับ ใจ อาศัยกันและกัน จึงเป็นไปได้ทำงานได้ จิตไม่อาศัยกายก็ผีเท่านั้นแหละ ไม่ใช่คน คิกๆๆ :b32:

สองคนนี่ จะเอาฮาไปถึงไหนนะ :b12:

:b13:
กรัชกายนี่ยังแยกจิตออกจากกายไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่เป็น จึงพูดวิจารณ์อยู่ได้แค่นี้

วิปัสสนาภาวนาเมื่อถึงตอนที่สำคัญเข้าด้ายเข้าเข็มมันเป็นเรื่องของนามธรรมเรื่องของจิตทั้งนั้นนะกรัชกายลองไปทบทวนวิเคราะห์ดูจากญาณ 16 หรือญาณ 9 ดูให้ดีๆ ถ้าจะรู้ตามตำราไม่อาศัยภาคปฏิบัติ
onion


อ้างคำพูด:
วิปัสสนาภาวนาเมื่อถึงตอนที่สำคัญเข้าด้ายเข้าเข็มมันเป็นเรื่องของนามธรรมเรื่องของจิตทั้งนั้น


ท่านอโศก เข้าด้ายเข้าเข็มหมายถึงอะไร จะเย็บผ้าหรอยังไง ป๊าดโท่ :b32:

อ้างคำพูด:
มันเป็นเรื่องของนามธรรมเรื่องของจิตทั้งนั้น


ถ้าเป็นเรื่องของจิตทั้งนั้นทั้งเพ อย่างอโศกว่า ไม่เกี่ยวกับร่างกาย ไม่ง้อกายว่างั้นเถอะ

ถ้ายังงั้นจะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ

คนเป็นอัมพาต นอนอยู่บนเตียงจะลุกขึ้นยืน เดิน นั่ง เองก็ไม่ได้ นอนขี้ นอนเยียว นามธรรม คือ ด้านจิตใจ คิดๆๆๆ อยากๆๆ ลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำเอง ร่างกายก็ไม่ตอบสนอง

เป็นไงล่ะท่านอโศก ไหนว่า "มันเป็นเรื่องของนามธรรมเรื่องของจิตทั้งนั้น" ลุกขึ้นเดินไปปากซอยซื้อโอเลี้ยงสักถุงสิไป คิกๆๆ

ร่างกาย กับ จิตใจ ทำงานร่วมกันประสานกัน ธรรมชาติมันเป็นยังงี้

แต่ที่ท่านว่า แยกรูปแยกนามได้ แค่รู้เข้าใจว่าอะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม อ้อนี่รูป อ้อนี่นาม ที่เดินส่ายไป ส่ายมา ก้าวเท้าซ้ายที ขวา ที ... นี่รูป ส่วนที่คิดบ่งการอยู่ข้างใน เป็นนาม


ลึกลงไปอีก (อันนี้ต้องเห็นด้วยปัญญา) การเปลี่ยนแปลงของลมหายใจ (กายสังขาร) ก็เปลี่ยนไปตามนามธรรมบ้าง นามธรรมเปลี่ยนไปเพราะ ลมหายใจ (กายสังขาร) บ้าง

สังเกตดีๆ แต่ก็ต้องอาศัยสมาธิ คือ ขณะที่เรายักย้ายเปลี่ยนอิริยาบถ ตัวอย่าง เช่น เดินๆๆ บางขณะร่างกาย รู้เบา คล่องแคล่ว กระชับกระเฉง (เหมือนลอยได้) บางขณะรู้สึกหนักๆ อึดอาด ยึดยาด (เหมือนดึงหนังยาง) นั่นมันเปลี่ยนตามความรู้สึกนึกคิด (จิตใจ) ที่คล่องแคล่ว -ที่อืดอาด

บางครั้งร่างกายเจ็บไข้ไม่สบาย ปวดหัว ปวดเมื่อย .... จิตใจก็รู้สึกไม่สบายไปด้วย นั่นมันเปลี่ยนไปตามร่างกาย


สรุปๆก็คือมันอาศัยกันและกัน แยกกันอย่างอโศกมโนก็จองศาลาได้ จะสวดกี่คืนแล้วแต่ญาติตกลงกัน คิกๆๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2016, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
rolleyes
ตายก่อนตายใช่การรู้สภาพธรรมที่ปรากฏชัดตอนไม่ได้นอนหลับ
เป็นสภาวะที่ปรากฏให้จิตรู้ว่าที่มีจริงๆมีแต่ธาตุรู้ในความมืด
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย
:b17:
:b4: :b4:

Kiss
คุณกรัชกายเวลาอ่านข้อความตีความอ่านให้จบประโยคอย่าแยกมาตีความผิด
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย
ประโยคสีแดงบอกอยู่อย่างชัดเจนว่าเป็นความรู้สึกว่าไม่มีกายหยาบจริงๆน่ะมีกายกับจิต
เห็นสีม่วงประโยคว่าที่ปรากฏชัดตอนไม่ได้นอนหลับตรงๆก็คือ
เป็นการเกิดของจิตระดับจตุตฌานคล้ายการนอนหลับสนิทที่ไม่รู้อาการของกายเลย
ถ้ารู้อย่างนี้จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แยกขาดจากกันรู้ของจริง
:b16:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2016, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
ตายก่อนตายใช่การรู้สภาพธรรมที่ปรากฏชัดตอนไม่ได้นอนหลับ
เป็นสภาวะที่ปรากฏให้จิตรู้ว่าที่มีจริงๆมีแต่ธาตุรู้ในความมืด
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย
:b17:
:b4: :b4:

Kiss
คุณกรัชกายเวลาอ่านข้อความตีความอ่านให้จบประโยคอย่าแยกมาตีความผิด
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย
ประโยคสีแดงบอกอยู่อย่างชัดเจนว่าเป็นความรู้สึกว่าไม่มีกายหยาบจริงๆน่ะมีกายกับจิต
เห็นสีม่วงประโยคว่าที่ปรากฏชัดตอนไม่ได้นอนหลับตรงๆก็คือ
เป็นการเกิดของจิตระดับจตุตฌานคล้ายการนอนหลับสนิทที่ไม่รู้อาการของกายเลย
ถ้ารู้อย่างนี้จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แยกขาดจากกันรู้ของจริง
:b16:
:b32: :b32:


อ้างคำพูด:
มีแต่ธาตุรู้ในความมืด


ถามให้ละเอียดไปอีกที่ว่า มีแต่ธาตุรู้ รู้อะไรในความมืด รู้อะไรที่มืด ในความมืด :b10:

...แล้วก็มานี่


อ้างคำพูด:
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย



แน่ะๆ แตกหน่อไปจตุตถฌาน

อ้างคำพูด:
เป็นการเกิดของจิตระดับจตุตฌานคล้ายการนอนหลับสนิทที่ไม่รู้อาการของกายเลย
ถ้ารู้อย่างนี้จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แยกขาดจากกันรู้ของจริง


ถามนิดก่อน คุณโรสปฏิบัติจนถึงจตุตถฌานแล้วนะ ปฏิบัติยังไงครับ

แน่ะๆ ว่าฌานที่ 4 เหมือนการนอนหลับสนิทไม่รู้อาการทางกาย จำมาแต่ไหน

อ้างคำพูด:
ถ้ารู้อย่างนี้จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แยกขาดจากกันรู้ของจริง


สติปัฏฐานเป็นหลักปฏิบัตินะ ไม่ใช่นอนหลับสนิท หรือยังไง ไม่เข้าใจที่ว่า "แยกขาดจากกันรู้ของจริง"

แยกขาดจากอะไร รู้อะไรที่ว่ารู้ของจริง :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2016, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
ตายก่อนตายใช่การรู้สภาพธรรมที่ปรากฏชัดตอนไม่ได้นอนหลับ
เป็นสภาวะที่ปรากฏให้จิตรู้ว่าที่มีจริงๆมีแต่ธาตุรู้ในความมืด
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย
:b17:
:b4: :b4:

Kiss
คุณกรัชกายเวลาอ่านข้อความตีความอ่านให้จบประโยคอย่าแยกมาตีความผิด
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย
ประโยคสีแดงบอกอยู่อย่างชัดเจนว่าเป็นความรู้สึกว่าไม่มีกายหยาบจริงๆน่ะมีกายกับจิต
เห็นสีม่วงประโยคว่าที่ปรากฏชัดตอนไม่ได้นอนหลับตรงๆก็คือ
เป็นการเกิดของจิตระดับจตุตฌานคล้ายการนอนหลับสนิทที่ไม่รู้อาการของกายเลย
ถ้ารู้อย่างนี้จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แยกขาดจากกันรู้ของจริง
:b16:
:b32: :b32:


อ้างคำพูด:
มีแต่ธาตุรู้ในความมืด


ถามให้ละเอียดไปอีกที่ว่า มีแต่ธาตุรู้ รู้อะไรในความมืด รู้อะไรที่มืด ในความมืด :b10:

...แล้วก็มานี่


อ้างคำพูด:
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย



แน่ะๆ แตกหน่อไปจตุตถฌาน

อ้างคำพูด:
เป็นการเกิดของจิตระดับจตุตฌานคล้ายการนอนหลับสนิทที่ไม่รู้อาการของกายเลย
ถ้ารู้อย่างนี้จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แยกขาดจากกันรู้ของจริง


ถามนิดก่อน คุณโรสปฏิบัติจนถึงจตุตถฌานแล้วนะ ปฏิบัติยังไงครับ

แน่ะๆ ว่าฌานที่ 4 เหมือนการนอนหลับสนิทไม่รู้อาการทางกาย จำมาแต่ไหน

อ้างคำพูด:
ถ้ารู้อย่างนี้จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แยกขาดจากกันรู้ของจริง


สติปัฏฐานเป็นหลักปฏิบัตินะ ไม่ใช่นอนหลับสนิท หรือยังไง ไม่เข้าใจที่ว่า "แยกขาดจากกันรู้ของจริง"

แยกขาดจากอะไร รู้อะไรที่ว่ารู้ของจริง :b10:

Kiss
เดินไปเดินมาคงถึงได้หรอก
:b32:
ก็ต้องนั่งขัดสมาธิถึงสิคะ
นั่งหลับตาไม่รู้ความมืดหรือ
แบบนั่งไปรู้สึกแบบตกหลุม
แล้วเบาไม่รู้อาการของกาย
ก็รู้อยู่อย่างนั้นแหละเหมือน
จิตเป็นอากาศธาตุสบายค่ะ
ในใจนี้ว่างี้ไม่หายใจก็ไม่ตาย
ไม่มีเวทนาทางกายไม่ได้หลับ
กายก็มีจิตก็มีเวทนาก็มีธรรมก็มี
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2016, 09:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
ตายก่อนตายใช่การรู้สภาพธรรมที่ปรากฏชัดตอนไม่ได้นอนหลับ
เป็นสภาวะที่ปรากฏให้จิตรู้ว่าที่มีจริงๆมีแต่ธาตุรู้ในความมืด
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย
:b17:
:b4: :b4:

Kiss
คุณกรัชกายเวลาอ่านข้อความตีความอ่านให้จบประโยคอย่าแยกมาตีความผิด
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย
ประโยคสีแดงบอกอยู่อย่างชัดเจนว่าเป็นความรู้สึกว่าไม่มีกายหยาบจริงๆน่ะมีกายกับจิต
เห็นสีม่วงประโยคว่าที่ปรากฏชัดตอนไม่ได้นอนหลับตรงๆก็คือ
เป็นการเกิดของจิตระดับจตุตฌานคล้ายการนอนหลับสนิทที่ไม่รู้อาการของกายเลย
ถ้ารู้อย่างนี้จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แยกขาดจากกันรู้ของจริง
:b16:
:b32: :b32:


อ้างคำพูด:
มีแต่ธาตุรู้ในความมืด


ถามให้ละเอียดไปอีกที่ว่า มีแต่ธาตุรู้ รู้อะไรในความมืด รู้อะไรที่มืด ในความมืด :b10:

...แล้วก็มานี่


อ้างคำพูด:
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย



แน่ะๆ แตกหน่อไปจตุตถฌาน

อ้างคำพูด:
เป็นการเกิดของจิตระดับจตุตฌานคล้ายการนอนหลับสนิทที่ไม่รู้อาการของกายเลย
ถ้ารู้อย่างนี้จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แยกขาดจากกันรู้ของจริง


ถามนิดก่อน คุณโรสปฏิบัติจนถึงจตุตถฌานแล้วนะ ปฏิบัติยังไงครับ

แน่ะๆ ว่าฌานที่ 4 เหมือนการนอนหลับสนิทไม่รู้อาการทางกาย จำมาแต่ไหน

อ้างคำพูด:
ถ้ารู้อย่างนี้จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แยกขาดจากกันรู้ของจริง


สติปัฏฐานเป็นหลักปฏิบัตินะ ไม่ใช่นอนหลับสนิท หรือยังไง ไม่เข้าใจที่ว่า "แยกขาดจากกันรู้ของจริง"

แยกขาดจากอะไร รู้อะไรที่ว่ารู้ของจริง :b10:

Kiss
เดินไปเดินมาคงถึงได้หรอก
:b32:
ก็ต้องนั่งขัดสมาธิถึงสิคะ
นั่งหลับตาไม่รู้ความมืดหรือ
แบบนั่งไปรู้สึกแบบตกหลุม
แล้วเบาไม่รู้อาการของกาย
ก็รู้อยู่อย่างนั้นแหละเหมือน
จิตเป็นอากาศธาตุสบายค่ะ
ในใจนี้ว่างี้ไม่หายใจก็ไม่ตาย
ไม่มีเวทนาทางกายไม่ได้หลับ
กายก็มีจิตก็มีเวทนาก็มีธรรมก็มี


คุณโรส ตอบได้ตรงคำถาม ได้ใจกรัชกายไปเต็มๆอีกแล้วครับ :b13: ในความมืด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2016, 16:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
ตายก่อนตายใช่การรู้สภาพธรรมที่ปรากฏชัดตอนไม่ได้นอนหลับ
เป็นสภาวะที่ปรากฏให้จิตรู้ว่าที่มีจริงๆมีแต่ธาตุรู้ในความมืด
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย
:b17:
:b4: :b4:

Kiss
คุณกรัชกายเวลาอ่านข้อความตีความอ่านให้จบประโยคอย่าแยกมาตีความผิด
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย
ประโยคสีแดงบอกอยู่อย่างชัดเจนว่าเป็นความรู้สึกว่าไม่มีกายหยาบจริงๆน่ะมีกายกับจิต
เห็นสีม่วงประโยคว่าที่ปรากฏชัดตอนไม่ได้นอนหลับตรงๆก็คือ
เป็นการเกิดของจิตระดับจตุตฌานคล้ายการนอนหลับสนิทที่ไม่รู้อาการของกายเลย
ถ้ารู้อย่างนี้จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แยกขาดจากกันรู้ของจริง
:b16:
:b32: :b32:


อ้างคำพูด:
มีแต่ธาตุรู้ในความมืด


ถามให้ละเอียดไปอีกที่ว่า มีแต่ธาตุรู้ รู้อะไรในความมืด รู้อะไรที่มืด ในความมืด :b10:

...แล้วก็มานี่


อ้างคำพูด:
ขณะที่รู้อย่างนั้นรู้สึกได้ว่าจิตทำงานโดยไม่อาศัยกาย



แน่ะๆ แตกหน่อไปจตุตถฌาน

อ้างคำพูด:
เป็นการเกิดของจิตระดับจตุตฌานคล้ายการนอนหลับสนิทที่ไม่รู้อาการของกายเลย
ถ้ารู้อย่างนี้จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แยกขาดจากกันรู้ของจริง


ถามนิดก่อน คุณโรสปฏิบัติจนถึงจตุตถฌานแล้วนะ ปฏิบัติยังไงครับ

แน่ะๆ ว่าฌานที่ 4 เหมือนการนอนหลับสนิทไม่รู้อาการทางกาย จำมาแต่ไหน

อ้างคำพูด:
ถ้ารู้อย่างนี้จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ของจริง กาย เวทนา จิต ธรรม แยกขาดจากกันรู้ของจริง


สติปัฏฐานเป็นหลักปฏิบัตินะ ไม่ใช่นอนหลับสนิท หรือยังไง ไม่เข้าใจที่ว่า "แยกขาดจากกันรู้ของจริง"

แยกขาดจากอะไร รู้อะไรที่ว่ารู้ของจริง :b10:

Kiss
เดินไปเดินมาคงถึงได้หรอก
:b32:
ก็ต้องนั่งขัดสมาธิถึงสิคะ
นั่งหลับตาไม่รู้ความมืดหรือ
แบบนั่งไปรู้สึกแบบตกหลุม
แล้วเบาไม่รู้อาการของกาย
ก็รู้อยู่อย่างนั้นแหละเหมือน
จิตเป็นอากาศธาตุสบายค่ะ
ในใจนี้ว่างี้ไม่หายใจก็ไม่ตาย
ไม่มีเวทนาทางกายไม่ได้หลับ
กายก็มีจิตก็มีเวทนาก็มีธรรมก็มี


คุณโรส ตอบได้ตรงคำถาม ได้ใจกรัชกายไปเต็มๆอีกแล้วครับ :b13: ในความมืด

Kiss
อย่าลืมน๊า พระธรรมเตือนให้รู้ว่าต้องเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธัมมะ
อย่างอื่นไม่มีจะมืดมาแล้วมืดไปหรือจะมืดมาสว่างไปก็ต้องรู้ในจิตตน
เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาตามเหตุปัจจัย
ที่มีแล้วที่กายกับจิตตนกำลังเกิด-ดับตลอดเวลาต้องเข้าใจจริงๆ
ทุกขณะที่จะรู้คือรู้ว่าจิตตนกำลังสะสมกุศลหรืออกุศลให้ตามรู้
https://www.youtube.com/watch?v=0QYZxjDcZRw
:b17:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2016, 21:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b36:
ตายก่อนตาย สำนวนที่ 1

https://youtu.be/OWPCPhh7cZU
:b8:

สำนวนที่ 2
https://youtu.be/v8z6hIol4MA
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2016, 16:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:

“ตอนใกล้ตาย” มันมีความรู้สึกอย่างไร? อาการของการ “ตาย” ที่คนอื่นได้ศึกษามาหรือเคยได้พูดคุยกับคนมีประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience) นั้นเป็นเช่นไรคุณหัชชา ณ บางช้าง เคยค้นคว้าเรื่องนี้มาเขียนใน “ภาวะหลังตาย” และเล่าว่า “กระบวนการตาย” ในระยะต่าง ๆ นั้นเป็นเช่นไร
ท่านบอกว่ามันมี 4 ขั้นตอนอย่างนี้

๑. ระยะแรก เป็นระยะที่ธาตุดินเริ่มสลายตัวกลายเป็นน้ำ ผู้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหย ไม่มีแรง การมองเห็นต่าง ๆ เริ่มเสื่อม มองอะไร ๆ ก็ไม่ชัด ทุกอย่างดูมัว ๆ ไปหมด ทุกอย่างที่เห็นเหมือนมองไปกลางถนนขณะแดดจัด ๆ ภาพต่าง ๆ จะเต้นระยิบระยับไปหมด

๒. ระยะที่น้ำจะกลายเป็นไฟ ช่วงนั้น น้ำในร่างกายเริ่มแห้งลง จะรู้สึก ชา ๆ ตื้อ ๆ เริ่มหมดความรู้สึก ไล่จากปลายเท้าขึ้นมา ประสาทหูเริ่มไม่รับรู้ คือเริ่มไม่ได้ยินเสียงอะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ควัน

๓. ระยะนี้ไฟเปลี่ยนเป็นลม หูจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย รู้สึกหนาวจับใจ ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ หยุดหมด ลมหายใจอ่อนลงเรื่อย ๆ จมูกเริ่มไม่รับความรู้สึกเรื่องกลิ่น

๔. ระยะนี้ ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ ตอนนี้ เจตสิกทุกอย่าง รวมทั้งการหายใจจะหยุดหมด พลังงานทั้งหลายที่เคยไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะไหลกลับคืนไปสู่ระบบประสาทส่วนกลางหมด ลิ้นแข็ง ไม่รับรู้เรื่องรสชาติใด ๆ ความรู้สึกสัมผัสหมดไป ความรู้สึกอยากโน่น อยากนี่ต่าง ๆ ที่เคยมีก็หมดไป มีความรู้สึกเหมือนอยู่กับแสงเทียนที่กำลังลุกโพลงอยู่เท่านั้น

ท่านบอกว่าตอนนี้แหละที่แพทย์จะประกาศว่าผู้ป่วยในความดูแล “ถึงแก่กรรม” แล้ว (clinical death)

นั่นก็คือจุดที่ “เวทนา” ทั้งหมดดับไป สมองและระบบไหลเวียนต่าง ๆ ของร่างกายหยุดทำงานหมด แปลว่ารูปและนาม หรือเบญจขันธ์ ตายไปแล้ว

ก็ต้องถกกันต่อไปว่า ถ้าเราเชื่อว่า วิญญาณยังอยู่ต่อเมื่อร่างกายสลายไป จะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรต่อไป

อ่านเจออีกแหล่งหนึ่งเรื่อง “ลักษณะการตาย” ตามแนวคิดแบบ “เซน” ที่คุณ “โชติช่วง นาดอน” เคยรวบรวมไว้ในหนังสือ “จิตคือพุทธะ” เมื่อนานมาแล้ว

ท่านบอกว่าคนเราตายได้สองลักษณะ คือ “ตายอย่างปราศจากที่พึ่ง” และ “ตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่ง”

คนที่ตายย่างแรกนั้นเวลาใกล้จะสิ้นลม มีอารมณ์ผิดไปจากปกติ จิตใจกลัดกลุ้มยุ่งเหยิง เรียกว่า “จิตวิการ” ซึ่งหมายถึงจิตเกิดความปวดร้าวทรมานเพราะยัง “ยึดติด” กับหลายเรื่อง

หรือที่ผมเรียกว่า “ไม่ยอมตายทั้ง ๆ ที่ต้องตาย” นั่นคือจิตใจยังติดข้องกับอุปาทาน ๔ ประการคือ

๑. ติดอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง
๒. ห่วงใยอาลัยในสิ่งที่เป็นรูป และอรูป โดยเห็นว่าเป็นของเที่ยง
๓. มีนิวรณ์ความวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน มาห้ามจิตมิให้บรรลุความดี
๔. มีความดูแคลนเมินเฉยในคุณพระรัตนตรัย

เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่ตายลักษณะอาการอย่างนี้ เรียกว่าตายอย่าอนาถา

ส่วนการตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่งนั้นแปลว่าคนใกล้ตายมีสติอารมณ์ผ่องใส ไม่หวั่นไหว และซาบซึ้งในวิธีของมรณกรรม และยึดหลัก ๔ ประการคือ

๑. มีอารมณ์เฉย ๆ ซาบซึ้งถึงกฎธรรมดาแห่งความตาย
๒. ซาบซึ้งถึงสภาพการณ์สิ่งในโลกของความไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสาร
๓. รำลึกถึงกุศลกรรมที่ได้ผ่านมาในชีวิต และเกิดปิติปลาบปลื้ม
๔. ยึดมั่นเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาจนสิ้นลมหายใจ

ด้วยเหตุนี้แหละ, ผมจึงเห็นว่าการ “ฝึกตายก่อนตาย” ดั่งที่ท่านพุทธทาสเคยสอนเรานั้นเป็นเรื่องประเสริฐสุด

แต่คนส่วนใหญ่กลัวตาย แม้จะเอ่ยถึงคำว่าตายก็รับไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการ “แช่ง” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครหนีความตายได้แม้แต่คนเดียว
การเรียนรู้ “มรณาอุปายะ” หรือ “ฝึกตายก่อนตาย” นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้มันสนุกเสีย ให้มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นน่ายินดี ก็จะทำให้ความทุกข์ระหว่างมีชีวิตอยู่นั้นลดน้อยถอยลง และเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปก็ไม่ตกตื่นรันทดและทรมานเพราะความกลัวและความไม่ต้องการที่จะจากไป

ชาวพุทธที่ฝึกธรรมะในสาระจริง ๆ (ไม่ใช่แค่ทำบุญแล้วนึกว่าจะต้องไปสวรรค์โดยไม่ต้องปฏิบัติธรรม) ก็จะเข้าใจว่า “ขันธ์ทั้งห้า” ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงและทรุดโทรม และท้ายสุดก็แตกดับไป และระหว่างที่มรณกาลมาถึงนั้น ขันธ์ห้าก็ย่อมจะแปรปรวน จึงควรจะเตรียมตัวและเตรียมใจไว้

เมื่อความตายมาถึง, เราก็จะได้ไม่ทุรนทุราย และตายอย่างมีสติ และ “รู้เท่าทันความตาย” ซึ่งเป็นสุดยอดของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2016, 23:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
มาฝึกซ้อมวิธีตายก่อนตายกันเถอะ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2016, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่พิจารณาว่า

นามรูปอิงอาศัยกันจริงอยู่
เพราะเป็นการมองในรูปแบบของชีวิต

คือชีวิตต้องประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ

แต่การมองเห็นสภาวะของธรรม

การมองเห็นสภาวะของนาม

เป็นสัจธรรม

เป็นพระไตรลักษณ์

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2016, 00:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกตายก่อนตาย

มองในแง่ของชีวิตคือจุดจบของภพ

มองในแง่สัจธรรมคือเหตุปัจจัยต่างๆก็เกิดดับเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

บางวันทุกข์
บางวันสุข

นามธรรมต่างๆเกิดดับแทนที่กันอยู่เสมอ

เมื่อวานเรายังทุกข์ใจอยู่
วันนี้สุขใจ
ทำไมเราไม่ร้องให้คร่ำครวญกับความทุกข์ที่จากไปของเมื่อวานถ้าความทุกข์เมื่อวานเป็นชีวิตจิตใจเราประการหนึ่ง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร