วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 01:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 27, 28, 29, 30, 31, 32, 33 ... 61  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2015, 06:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จะมีกี่รอยต่อ...จะแตกแขนงไปอย่างไร...นั้นก็เป็นปัญญาของผู้แต่ง...

จุดหักออกจากวัฏฏะ....ผู้แต่งจะว่ากี่จุด..นั้นก็เป็นปัญญาของผู้แต่ง...
(จุดหักของอโสกะ....บอกว่ามีจุดเดียว..ตรงเวทนา..อันนี้ผมก็ไม่เห็นด้วยกะอโสกะนะ)

แต่ประเด็นของผม..คือ...การเขียนปฏิจจสมุปบาทเป็นวงกลม..เอา..มรณะ..วนกลับมาที่อวิชชา...ซึ่งเป็นการสือว่า..มรณะเป็นปัจจัย..จึงมีอวิชชา..ต่างหาก

ตายในความโง่..ก็ไปเกิดในความโง่...นั้นผมไม่สงสัยหรอก...

เพราะผมก็เคยบอกใว้แล้ว....อวิชชามันก็อยู่กับทุกปัจจยาการนั้นแหละ..
viewtopic.php?f=1&t=50959&start=15
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
รูปภาพ


onion


ผมไม่เห็นด้วย..นะครับที่ใครๆ ก็ทำปฏิจจสมุปบาทเป็นวงกลม...

มันไม่เม้คเซ็นส์เลยนะ..ที่..มรณะจะเป็นปัจจัย...อวิชชาจึงมี..

อวิชชา..ก็ไม่ได้มีหลังจากมรณะ..อย่างเดียว...
ความเห็นของผม..อวิชชา...มันอยู่พร้อมกับทุกขั้นทุกตอน...

และตรงมรณะ..ก็ไม่ได้มีมรณะตัวเดียว..มันมี....ชรา..(มรณะ)..โสกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ..โทมนัส..อุปายาส

จะเห็นว่า..ชรา..มรณะ..โสกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ..โทมนัส..อุปายาส...ไม่ได้เป็นปัจจัย..จึงมีอวิชชา..เลยนิ

ถ้าขืนยังจะเขียนเป็นวงกลมอีก...กระผมว่า..มิใช่จะเป็นการบิดเบือนพระธรรม..รึครับ?

:b14:



มีแต่อโสกะนั้นแหละ...ที่หาว่าผมคิดมาก..

asoka เขียน:
:b12:
คุณกบคิดมากเกินไปจนลืมคำว่า "วัฏฏะสงสาร" อันหมายถึงการหมุนวน

ชาติปัจจัยยา มรณะ โสกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ..โทมนัส..อุปายาส. ทั้งหมดเป็นภาคขยายของชาติ ความเกิด
เพราะยังมีเกิด จึงมีแก่ เจ็บ ตาย โสกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ..โทมนัส..อุปายาส.

ที่ยังต้องมาเกิดก็เพราะยังไม่หมดอวิชชา เขาวนกลับมาอย่างนี้ครับ

s004
อนึ่งที่ไปคิดว่า อวิชชามีแทรกอยู่ทุกขั้นตอนนั้นก็คิดมากเกินไป
ปฏิจจสมุปบาท มีความหมายว่าความเป็นเหตุปัจจัยสืบต่อซึ่งกันและกัน อวิชชาเป็นต้นปัจจัย ต้นเรื่องที่ทำให้เกิดปัจจัยอื่นตามมามิได้แทรกอยู่ในระหว่างปัจจัยแต่ละปัจจัยทั้ง 12 ปัจจัยครับ
s004
.
แล้วทีนี้..กลับมาเห็นด้วยว่า...ตายไปพร้อมกับความโง่ก็มาเกิดเพราะความโง่..อีก

asoka เขียน:
"ตายในความโง่ ตายเพราะความโง่ มันก็เกิดโง่ต่อไป"

รวนเร..จริง... :b32:

แต่ยังงัย..ยังงัย....มรณะก็ไม่ได้เป็นปัจจัย..ให้มีอวิชชา..อย่างแผนภาพอโสกะทำมาเผยแพร่

แล้วยังมาอ้างว่ามาจากพม่าอีก..พอนำของพม่ามา..ก็ไม่เห็นมีที่เขาบอกว่า..มรณะเป็นปัจจัยแล้วไปมีอวิชชา...อย่างที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2015, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
จะมีกี่รอยต่อ...จะแตกแขนงไปอย่างไร...นั้นก็เป็นปัญญาของผู้แต่ง...

จุดหักออกจากวัฏฏะ....ผู้แต่งจะว่ากี่จุด..นั้นก็เป็นปัญญาของผู้แต่ง...
(จุดหักของอโสกะ....บอกว่ามีจุดเดียว..ตรงเวทนา..อันนี้ผมก็ไม่เห็นด้วยกะอโสกะนะ)

แต่ประเด็นของผม..คือ...การเขียนปฏิจจสมุปบาทเป็นวงกลม..เอา..มรณะ..วนกลับมาที่อวิชชา...ซึ่งเป็นการสือว่า..มรณะเป็นปัจจัย..จึงมีอวิชชา..ต่างหาก

ตายในความโง่..ก็ไปเกิดในความโง่...นั้นผมไม่สงสัยหรอก...

เพราะผมก็เคยบอกใว้แล้ว....อวิชชามันก็อยู่กับทุกปัจจยาการนั้นแหละ..
viewtopic.php?f=1&t=50959&start=15
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
รูปภาพ


onion


ผมไม่เห็นด้วย..นะครับที่ใครๆ ก็ทำปฏิจจสมุปบาทเป็นวงกลม...

มันไม่เม้คเซ็นส์เลยนะ..ที่..มรณะจะเป็นปัจจัย...อวิชชาจึงมี..

อวิชชา..ก็ไม่ได้มีหลังจากมรณะ..อย่างเดียว...
ความเห็นของผม..อวิชชา...มันอยู่พร้อมกับทุกขั้นทุกตอน...

และตรงมรณะ..ก็ไม่ได้มีมรณะตัวเดียว..มันมี....ชรา..(มรณะ)..โสกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ..โทมนัส..อุปายาส

จะเห็นว่า..ชรา..มรณะ..โสกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ..โทมนัส..อุปายาส...ไม่ได้เป็นปัจจัย..จึงมีอวิชชา..เลยนิ

ถ้าขืนยังจะเขียนเป็นวงกลมอีก...กระผมว่า..มิใช่จะเป็นการบิดเบือนพระธรรม..รึครับ?

:b14:



มีแต่อโสกะนั้นแหละ...ที่หาว่าผมคิดมาก..

asoka เขียน:
:b12:
คุณกบคิดมากเกินไปจนลืมคำว่า "วัฏฏะสงสาร" อันหมายถึงการหมุนวน

ชาติปัจจัยยา มรณะ โสกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ..โทมนัส..อุปายาส. ทั้งหมดเป็นภาคขยายของชาติ ความเกิด
เพราะยังมีเกิด จึงมีแก่ เจ็บ ตาย โสกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ..โทมนัส..อุปายาส.

ที่ยังต้องมาเกิดก็เพราะยังไม่หมดอวิชชา เขาวนกลับมาอย่างนี้ครับ

s004
อนึ่งที่ไปคิดว่า อวิชชามีแทรกอยู่ทุกขั้นตอนนั้นก็คิดมากเกินไป
ปฏิจจสมุปบาท มีความหมายว่าความเป็นเหตุปัจจัยสืบต่อซึ่งกันและกัน อวิชชาเป็นต้นปัจจัย ต้นเรื่องที่ทำให้เกิดปัจจัยอื่นตามมามิได้แทรกอยู่ในระหว่างปัจจัยแต่ละปัจจัยทั้ง 12 ปัจจัยครับ
s004
.
แล้วทีนี้..กลับมาเห็นด้วยว่า...ตายไปพร้อมกับความโง่ก็มาเกิดเพราะความโง่..อีก

asoka เขียน:
"ตายในความโง่ ตายเพราะความโง่ มันก็เกิดโง่ต่อไป"

รวนเร..จริง... :b32:

แต่ยังงัย..ยังงัย....มรณะก็ไม่ได้เป็นปัจจัย..ให้มีอวิชชา..อย่างแผนภาพอโสกะทำมาเผยแพร่

แล้วยังมาอ้างว่ามาจากพม่าอีก..พอนำของพม่ามา..ก็ไม่เห็นมีที่เขาบอกว่า..มรณะเป็นปัจจัยแล้วไปมีอวิชชา...อย่างที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด...
ถ้ากบยังดับอวิชาไม่ได้. กบตายแล้วกบก็ต้องเกิดอีก. แล้วอะไรเป็นสาเหตุแห่งการเกิดล่ะกบ. มันก็ร้อยเรียงมาจากอวิชานั้นใช่หรือไม. แม้อวิชามาจากความหลงเป็นมูลเหตุก็ตาม. แต่วงจรชีวิตนั้นมันก็จบลงตรงความตาย. ในเมื่อความตายที่ยังไม่หมดความโง่. ยังไงก็ต้องเกิด. แล้วถ้าเกิดใหม่ก็เพราะยังมีอวิชา. ฉนั้นแล้วมรณะที่เป็นวงจรของการมีชีวิตจึงเป็นสาเหตุให้เกิดสิ่งมีชีวิตใหม่ได้. และถ้ามองในระบบชีวิตแล้ว. มรณะก็เป็นสาเหตุของอวิชาได้อีกนัยยะหนึ่งครับ. ง่ายๆไม่ต้องเยอะ. ถ้าเยอะเดี๋ยวก็ท่องคาถาเรียกเงินอีกนั้นแหล่ะ. อวิชา!ตัวพ่อเลย. นะ. เพราะมันหลงแบบยังมีชีวิตอยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2015, 14:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb_resize.jpg
กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb_resize.jpg [ 45.99 KiB | เปิดดู 2084 ครั้ง ]
s004
อะไรเป็นตัวอวิชชา?

เมื่อวิเคราะห์ดูจากภาคปฏิบัติจริงๆ เราจะเห็นว่าพระบรมศาสดาทรงตั้งต้นเรื่องว่า อวิชชา ปัจจัยยา สังขารา เพราะ ความไม่รู้จึงทำให้เกิดความปรุงแต่งขึ้นมาว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

ถ้าเราจะมาถามกันว่า

"แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เกิดอวิชชาหรือความไม่รู้"

ทีนี้จะตอบกันว่าอย่างไร
ใครท่านใดเก่งพระสูตรโปรดช่วยค้นหามาเล่าสู่กันฟังด้วยว่าพระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไร?
s006
จะตอบอย่างนี้ได้ไหมว่า

"เพราะไม่รู้ จึงเห็นผิด หรือเพราะเห็นผิดจึงไม่รู้"

เห็นอย่างไรจึงเรียกว่าเห็นผิด?

เห็นผิด คือเห็นว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู

หรือจะกล่าวว่า "ตราบใดที่ยังเห็นผิดว่า กายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู ตราบนั้นก็ย่อมจะเกิดอวิชชาความไม่รู้ ความมืดบอดอยู่ร่ำไป"

อวิชชา ความมืดจะดับไปหมดไปเมื่อเห็นถูกต้องว่า กายใจนี้และธรรมชาติทั้งหมดเป็นอนัตตา

s004
เริ่มต้นที่ อวิชชา ปัจจัยการทั้งหมดจึงเกิดขึ้น ทั้งวงใหญ่ คือ 1 รอบชีวิต หรือวงเล็ก 1 รอบอารมณ์หรือเรื่องราว
s004
1 รอบสัมผัส ขันธ์ 5 เกิดขึ้นครบ รูป...วิญญาณ ....สัญญา....
เวทนา.....สังขาร

อวิชชาเข้าแทรกระหว่างเวทนาจะไปเกิดสังขาร หรือ อัตตาความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเราเข้ามาแทรกตรงช่วงต่อของเวทนาจะไปเกิดสังขาร

ปฏิจจสมุปบาทหรือปัจจัยการเขามาเริ่มตรงนี้

เวทนาเกิดขึ้นเป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา อันเป็นสมุทัยหรือต้นเหตุแห่งทุกข์

ถึงแม้ว่าวงปฎิจจสมุปบาทจะหักออกได้ทุกข้อต่อของปัจจัยสำหรับผู้มีกำลังความสามารถสูง

ในปฏิจจสมุปบาทของพม่าท่านแนะนำจุดต่อที่หักออกไว้ 3 ที่
แต่พระบรมศาสดาทรงแนะนำให้หักออกที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหาโดยพฤตินัยไม่ตรัสบอกโดยตรง แต่ทรงรับรองไว้ในสติปัฏฐาน 4 ประเด็นสำคัญของสติปัฏฐาน 4 ก็คือ

"วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง" เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ซึ่งก็คือเวทนาทางจิต อันจะเกิดขึ้นที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหา

นี่คือผลวิเคราะห์ความเชื่อมโยงแห่งธรรมทั้งปฏิจจสมุปบาท ขันธ์ 5 อายตนะ 12 อริยสัจ 4 สติปัฏฐาน 4

หวังว่ากบและท่านผู้สนใจในการวิเคราะห์ธรรมคงจะพอเข้าใจความนัยและความสัมพันธ์อันลึกซึ้งแห่งธรรมอย่างนี้ได้บ้างนะครับ

smiley
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2015, 15:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอโศกออกทางประหลาดไปนะ

:b6:

:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2015, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เราจักแสดง เราจักจำแนก ซึ่งปฏิจจสมุปบาทแก่พวกเธอทั้งหลาย.

พวกเธอทั้งหลายจงฟังซึ่งธรรมนั้น, จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์, เราจักกล่าวบัดนี้.

ครั้นภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ทูลสนองรับพระพุทธดำรัสแล้ว,

พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้ว่า:-

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ปฏิจจสมุปบาท (สมุทยวาร) เป็นอย่างไรเล่า?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!: เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย;

เพราะมีสังขาร เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ;

เพราะมีวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นามรูป;

เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ;

เพราะมีสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ;

เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา;

เพราะมีเวทนา เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา;

เพราะมีตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน;

เพราะมีอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ภพ;

เพราะมีภพ เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ;

เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส-

อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน: ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อม

มีด้วยอาการอย่างนี้.



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ชรามรณะ เป็นอย่างไรเล่า?

ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว ความสิ้นไป ๆ แห่งอายุความแก่รอบแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ในสัตว์นิกายนั้น ๆ ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ๆ : นี้เรียกว่า ชรา การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตายการทำกาละ การแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย

การทอดทิ้งร่าง การขาดแห่งอินทรีย์คือชีวิตจากสัตว์นิกายนั้น ๆ ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ๆ

นี้เรียกว่า มรณะ ชรานี้ด้วยมรณะนี้ด้วย ย่อมมีอยู่ดังนี้; ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่า ชรามรณะ.



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ชาติ เป็นอย่างไรเล่า?

การเกิด การกำเนิด การก้าวลง (สู่ครรภ์) การบังเกิด การบังเกิดโดยยิ่ง ความปรากฏของขันธ์ทั้งหลาย

การที่สัตว์ได้ซึ่งอายตนะทั้งหลาย ในสัตว์นิกายนั้น ๆ ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ๆ :

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่า ชาติ



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ภพ เป็นอย่างไรเล่า?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภพทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ :

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!นี้เรียกว่า ภพ



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็อุปาทาน เป็นอย่างไรเล่า?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อุปาทานทั้งหลาย ๔ อย่างเหล่านี้ คือ

กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน : ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่า อุปาทาน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ตัณหา เป็นอย่างไรเล่า?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! หมู่แห่งตัณหาทั้งหลาย ๖ หมู่เหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา

รสตัณหาโผฎฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา :ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่า ตัณหา.



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็เวทนา เป็นอย่างไรเล่า?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! หมู่เวทนาทั้งหลาย ๖ หมู่เหล่านี้ คือ

จักขุสัมผัสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา

ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา :

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่า เวทนา.



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ผัสสะ เป็นอย่างไรเล่า?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! หมู่ผัสสะทั้งหลาย ๖ หมู่เหล่านี้ คือ

จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัสส

ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส : ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่า ผัสสะ.



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็สฬายตนะ เป็นอย่างไรเล่า?

จักข์วายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะกายายตนะ มนายตนะ :

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !นี้เรียกว่า สฬายตนะ.



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็นามรูป เป็นอย่างไรเล่า?

เวทนา สัญญา เจตนาผัสสะ มนสิการ : นี้ เรียกว่า นาม.

มหาภูตทั้งสี่ด้วย รูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย:นี้ เรียกว่า รูป.

นามนี้ด้วย รูปนี้ด้วย ย่อมมีอยู่ดังนี้; ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า นามรูป.



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็วิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! หมู่วิญญาณทั้งหลาย ๖ หมู่เหล่านี้ คือ

จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ

ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ : ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่า วิญญาณ.



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็สังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สังขารทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คือ

กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร : ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เหล่านี้ เรียกว่า สังขารทั้งหลาย.



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็อวิชชา เป็นอย่างไรเล่า?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ความไม่รู้อันใดแล เป็นความไม่รู้ในทุกข์,

เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์,

เป็นความไม่รู้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ :

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่า อวิชชา.

ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้า ๒๕

(ไทย) นิทาน. สํ. ๑๖/๒/๔. : คลิกดูพระสูตร

(บาลี) นิทาน. สํ. ๑๖/๒/๔. : คลิกดูพระสูตร

ถ้าดูจากพระสูตรนี้. จะเห็นได้ว่าการจะตัดวงจรปฎจสมุปบาทนี้นั้นจะตรงกับพระสูตรที่เคยยกมาแล้วว่าการที่ดับวจีสังขาร. ดับกายสังขาร. ดับจิตสังขาร. นั้นคือการเข้าฌานที่9แล้วจึงดับสังขารทั้งหลายจึงเป็นอรหันต์ได้จากที่ผมเคยยกมาให้ดู ถึงแม้ว่าเวทนานั้นเป็นตัวทำให้เกิดตัณหา. แต่สัญญาเวทยิตนิโรธนั้นคือการดับเวทนา. เราจึงต้องดับตรงนี้ดับตัวเวทนาดับสัญญาเวทยิตนิโรธ. เมื่อเข้าถึงตรงนี้เวทนาดับ. ตัณหาก็ดับ. สรุปสังขารทั้งหลายดับ. เวทนาดับ. อวิชาดับตรงนี้ครับ. สรุปตามพระสูตรเป๊ะไม่ขัดแย้งกันเลย. ฉะนั้นการฝึกเราจึงต้องรู้ถึงความรู้สึกทั่วร่างกายแล้ววางอุเบกขากับเวทนาทั้งหลาย จนเข้าถึงสัญญาเวทยตินิโรธ. อย่างน้อยชั่วขณะจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2015, 20:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ศิริพงศ์ เขียน:

ถ้ากบยังดับอวิชาไม่ได้. กบตายแล้วกบก็ต้องเกิดอีก. แล้วอะไรเป็นสาเหตุแห่งการเกิดล่ะกบ. มันก็ร้อยเรียงมาจากอวิชานั้นใช่หรือไม. แม้อวิชามาจากความหลงเป็นมูลเหตุก็ตาม. แต่วงจรชีวิตนั้นมันก็จบลงตรงความตาย. ในเมื่อความตายที่ยังไม่หมดความโง่. ยังไงก็ต้องเกิด. แล้วถ้าเกิดใหม่ก็เพราะยังมีอวิชา. ฉนั้นแล้วมรณะที่เป็นวงจรของการมีชีวิตจึงเป็นสาเหตุให้เกิดสิ่งมีชีวิตใหม่ได้. และถ้ามองในระบบชีวิตแล้ว. มรณะก็เป็นสาเหตุของอวิชาได้อีกนัยยะหนึ่งครับ. ง่ายๆไม่ต้องเยอะ. ถ้าเยอะเดี๋ยวก็ท่องคาถาเรียกเงินอีกนั้นแหล่ะ. อวิชา!ตัวพ่อเลย. นะ. เพราะมันหลงแบบยังมีชีวิตอยู่


Bigtoo อีกคนหนึ่ง..ละ...มรณะ เป็นสาเหตุของอวิชชา..

อโสกะ..จะสมทบอีกคนมั้ย?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2015, 20:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
อะไรเป็นตัวอวิชชา?

เมื่อวิเคราะห์ดูจากภาคปฏิบัติจริงๆ เราจะเห็นว่าพระบรมศาสดาทรงตั้งต้นเรื่องว่า อวิชชา ปัจจัยยา สังขารา เพราะ ความไม่รู้จึงทำให้เกิดความปรุงแต่งขึ้นมาว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

ถ้าเราจะมาถามกันว่า

"แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เกิดอวิชชาหรือความไม่รู้"

ทีนี้จะตอบกันว่าอย่างไร
ใครท่านใดเก่งพระสูตรโปรดช่วยค้นหามาเล่าสู่กันฟังด้วยว่าพระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไร?
s006
จะตอบอย่างนี้ได้ไหมว่า

"เพราะไม่รู้ จึงเห็นผิด หรือเพราะเห็นผิดจึงไม่รู้"

เห็นอย่างไรจึงเรียกว่าเห็นผิด?

เห็นผิด คือเห็นว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู

หรือจะกล่าวว่า "ตราบใดที่ยังเห็นผิดว่า กายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู ตราบนั้นก็ย่อมจะเกิดอวิชชาความไม่รู้ ความมืดบอดอยู่ร่ำไป"

อวิชชา ความมืดจะดับไปหมดไปเมื่อเห็นถูกต้องว่า กายใจนี้และธรรมชาติทั้งหมดเป็นอนัตตา


เห็นอย่างที่อโสกะ..ว่ามานั้น..ไม่ได้หรอกคับ...

เพราะ...อวิชชามีมาก่อนตัวตนอัตตา..มีก่อนนามรูปอันเป็นชีวิต...ซะอีก..แล้วจะเห็นอะไรเป็นตัวกู...

อวิชชา...คือความไม่รู้...จึงเห็นผิด...
(ไม่รู้..ไม่รู้ในอะไร..เห็นผิด..เห็นอะไรผิด...ไม่ใช่รูปสังขารก็แล้วกัน..อิอิ)
และความไม่รู้นี้พระองค์ก็ไม่ได้พยากรณ์..ว่ามาอย่างไรไม่ใช่รึ?...บอกแค่ว่าจรมา...

หรือมีบอกใว้ในพระสูตรไหน..ก็หามาศึกษากัน

asoka เขียน:
s004
เริ่มต้นที่ อวิชชา ปัจจัยการทั้งหมดจึงเกิดขึ้น ทั้งวงใหญ่ คือ 1 รอบชีวิต หรือวงเล็ก 1 รอบอารมณ์หรือเรื่องราว
s004
1 รอบสัมผัส ขันธ์ 5 เกิดขึ้นครบ รูป...วิญญาณ ....สัญญา....
เวทนา.....สังขาร

อวิชชาเข้าแทรกระหว่างเวทนาจะไปเกิดสังขาร หรือ อัตตาความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเราเข้ามาแทรกตรงช่วงต่อของเวทนาจะไปเกิดสังขาร


ปฏิจจสมุปบาทหรือปัจจัยการเขามาเริ่มตรงนี้

อวิชชา...เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง...ตัณหา..อุปทาน..ภพ
ส่วนเวทนา....เป็นปกติของขันธ์ 5...ขันธ์มันก็ทำงานเองได้..(ขันธ์จึงเป็นมารอันหนึ่ง...นิพพานถึงมีสอง..)
ผู้มีอวิชชาอยู่...พอเวทนาเกิด..ก็กระโดดงับ..งับ...เวทนา...ต่อยอดเป็นตัณหา..
ผู้มีวิชชา....เวทนาเกิด..ก็ไม่กระโดดงับ...ตัณหาไม่ก็ไม่เกิด
(ในกรณีที่ผู้ที่ชำนาญ..ออกตรงผัสสะ...เวทนาทางใจก็สามารถไม่เกิดได้...)

นี้ไม่ใช่การวิเคราะห์....แค่มีเหตุการณ์พอเทียบเคียงได้นิดหน่อย.. :b32:

asoka เขียน:
เวทนาเกิดขึ้นเป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา อันเป็นสมุทัยหรือต้นเหตุแห่งทุกข์

ถึงแม้ว่าวงปฎิจจสมุปบาทจะหักออกได้ทุกข้อต่อของปัจจัยสำหรับผู้มีกำลังความสามารถสูง

ในปฏิจจสมุปบาทของพม่าท่านแนะนำจุดต่อที่หักออกไว้ 3 ที่
แต่พระบรมศาสดาทรงแนะนำให้หักออกที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหาโดยพฤตินัยไม่ตรัสบอกโดยตรง แต่ทรงรับรองไว้ในสติปัฏฐาน 4 ประเด็นสำคัญของสติปัฏฐาน 4 ก็คือ

ซึ่งก็คือเวทนาทางจิต อันจะเกิดขึ้นที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหา

นี่คือผลวิเคราะห์ความเชื่อมโยงแห่งธรรมทั้งปฏิจจสมุปบาท ขันธ์ 5 อายตนะ 12 อริยสัจ 4 สติปัฏฐาน 4

ก่อนเวทนาจะเกิด...ก็หักออกได้
หลังเวทนาเกิดแล้ว...ก็หักออกได้

ผลของการหักออก....ไม่ว่าตรงไหน...ก็ "วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง" เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ..ได้เหมือนกันครับ

ไม่ได้วิเคราะห์เอานะครับ....:b32: :b32:

asoka เขียน:
หวังว่ากบและท่านผู้สนใจในการวิเคราะห์ธรรมคงจะพอเข้าใจความนัยและ[size=150]ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งแห่งธรรมอย่างนี้ได้บ้างนะครับ[/color]
smiley

เป็นการวิเคราะห์ที่ลึกซึ่งครับ

แต่...ไม่ได้ลึกซึ่งอะไร...

อาจพูดตรงไป...ขออภัยอโสกะด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2015, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ศิริพงศ์ เขียน:

ถ้ากบยังดับอวิชาไม่ได้. กบตายแล้วกบก็ต้องเกิดอีก. แล้วอะไรเป็นสาเหตุแห่งการเกิดล่ะกบ. มันก็ร้อยเรียงมาจากอวิชานั้นใช่หรือไม. แม้อวิชามาจากความหลงเป็นมูลเหตุก็ตาม. แต่วงจรชีวิตนั้นมันก็จบลงตรงความตาย. ในเมื่อความตายที่ยังไม่หมดความโง่. ยังไงก็ต้องเกิด. แล้วถ้าเกิดใหม่ก็เพราะยังมีอวิชา. ฉนั้นแล้วมรณะที่เป็นวงจรของการมีชีวิตจึงเป็นสาเหตุให้เกิดสิ่งมีชีวิตใหม่ได้. และถ้ามองในระบบชีวิตแล้ว. มรณะก็เป็นสาเหตุของอวิชาได้อีกนัยยะหนึ่งครับ. ง่ายๆไม่ต้องเยอะ. ถ้าเยอะเดี๋ยวก็ท่องคาถาเรียกเงินอีกนั้นแหล่ะ. อวิชา!ตัวพ่อเลย. นะ. เพราะมันหลงแบบยังมีชีวิตอยู่


Bigtoo อีกคนหนึ่ง..ละ...มรณะ เป็นสาเหตุของอวิชชา..

อโสกะ..จะสมทบอีกคนมั้ย?

กบเอาตามสบายเลย จะเอาอะไรเป็นเหตุของอวิชาก็เอา แต่กบตายแล้วไปไหน. แค่การเขียนวงกลมนั้นเขาเพียงให้รู้ว่าถ้าไม่หมดอวิชาตายแล้วก็ต้องเกิดเพราะอวิชานั้นแหล่ะ. แค่นี้ทำเรื่องเยอะ. ทีท่องคาถาเงินล้านเรียกเงินทำไมคิดไม่ได้นี่. แล้วจะมาวิเคราะห์ปฎิจสมุปบาท. มันเกิดฐานะกบอยู่มากนะครับ บอกตง!กบ. อย่าปีนเกรียวซิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2015, 21:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ศิริพงศ์ เขียน:

ถ้ากบยังดับอวิชาไม่ได้. กบตายแล้วกบก็ต้องเกิดอีก. แล้วอะไรเป็นสาเหตุแห่งการเกิดล่ะกบ. มันก็ร้อยเรียงมาจากอวิชานั้นใช่หรือไม. แม้อวิชามาจากความหลงเป็นมูลเหตุก็ตาม. แต่วงจรชีวิตนั้นมันก็จบลงตรงความตาย. ในเมื่อความตายที่ยังไม่หมดความโง่. ยังไงก็ต้องเกิด. แล้วถ้าเกิดใหม่ก็เพราะยังมีอวิชา. ฉนั้นแล้วมรณะที่เป็นวงจรของการมีชีวิตจึงเป็นสาเหตุให้เกิดสิ่งมีชีวิตใหม่ได้. และถ้ามองในระบบชีวิตแล้ว. มรณะก็เป็นสาเหตุของอวิชาได้อีกนัยยะหนึ่งครับ. ง่ายๆไม่ต้องเยอะ. ถ้าเยอะเดี๋ยวก็ท่องคาถาเรียกเงินอีกนั้นแหล่ะ. อวิชา!ตัวพ่อเลย. นะ. เพราะมันหลงแบบยังมีชีวิตอยู่


กบนอกกะลา เขียน:
Bigtoo อีกคนหนึ่ง..ละ...มรณะ เป็นสาเหตุของอวิชชา..

อโสกะ..จะสมทบอีกคนมั้ย?



ศิริพงศ์ เขียน:
กบเอาตามสบายเลย จะเอาอะไรเป็นเหตุของอวิชาก็เอา แต่กบตายแล้วไปไหน. แค่การเขียนวงกลมนั้นเขาเพียงให้รู้ว่าถ้าไม่หมดอวิชาตายแล้วก็ต้องเกิดเพราะอวิชานั้นแหล่ะ. แค่นี้ทำเรื่องเยอะ. ทีท่องคาถาเงินล้านเรียกเงินทำไมคิดไม่ได้นี่. แล้วจะมาวิเคราะห์ปฎิจสมุปบาท. มันเกิดฐานะกบอยู่มากนะครับ บอกตง!กบ. อย่าปีนเกรียวซิ


อ้าว..จำเลยกลับคำให้การ...แล้ว
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2015, 04:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1442669660710.jpg
1442669660710.jpg [ 101.38 KiB | เปิดดู 2030 ครั้ง ]
eragon_joe เขียน:
ท่านอโศกออกทางประหลาดไปนะ

:b6:

:b11:

:b12: :b12: :b12:
เพราะเขียนออกมาจากการอ้างอิงธรรมในกายและจิต ไม่ค่อยได้อ้างอิงธรรมจากคัมภีร์ จึงดูแปลกหูแปลกตา แต่ลองสังเกต พิจารณาและพิสูจน์ด้วยการเข้าไปดูสภาวธรรมจริงๆที่ควรเกิดภายในกายและจิตจริงๆ อาจจะพอเข้าใจหรือรู้เรื่องได้บ้างนะครับ

อาจพูดได้ว่า

ลองภาวนาไปด้วย อ่านไปด้วยนะครับ

onion
อก้อนลองสังเกตดูภาพแสดงธรรมเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่แปะมาสิครับ แปลกไหม เข้าใจได้ไหม ขนาดกบที่ว่าสติปัญญาดียังมองข้ามไปเลยเพราะไม่รู้เรื่องเหมือนคนคุยกันคนละภาษายังไงยังงั้นเลยครับ ทั้งที่แปลเป็นตัวหนังสือไทยแล้ว
s006
:b38:
:b36:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2015, 05:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




dd144_resize.jpg
dd144_resize.jpg [ 57.63 KiB | เปิดดู 2030 ครั้ง ]
dd148_resize.jpg
dd148_resize.jpg [ 57.18 KiB | เปิดดู 2030 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
s004
อะไรเป็นตัวอวิชชา?

เมื่อวิเคราะห์ดูจากภาคปฏิบัติจริงๆ เราจะเห็นว่าพระบรมศาสดาทรงตั้งต้นเรื่องว่า อวิชชา ปัจจัยยา สังขารา เพราะ ความไม่รู้จึงทำให้เกิดความปรุงแต่งขึ้นมาว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

ถ้าเราจะมาถามกันว่า

"แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เกิดอวิชชาหรือความไม่รู้"

ทีนี้จะตอบกันว่าอย่างไร
ใครท่านใดเก่งพระสูตรโปรดช่วยค้นหามาเล่าสู่กันฟังด้วยว่าพระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไร?
s006
จะตอบอย่างนี้ได้ไหมว่า

"เพราะไม่รู้ จึงเห็นผิด หรือเพราะเห็นผิดจึงไม่รู้"

เห็นอย่างไรจึงเรียกว่าเห็นผิด?

เห็นผิด คือเห็นว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู

หรือจะกล่าวว่า "ตราบใดที่ยังเห็นผิดว่า กายใจนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู ตราบนั้นก็ย่อมจะเกิดอวิชชาความไม่รู้ ความมืดบอดอยู่ร่ำไป"

อวิชชา ความมืดจะดับไปหมดไปเมื่อเห็นถูกต้องว่า กายใจนี้และธรรมชาติทั้งหมดเป็นอนัตตา


เห็นอย่างที่อโสกะ..ว่ามานั้น..ไม่ได้หรอกคับ...

เพราะ...อวิชชามีมาก่อนตัวตนอัตตา..มีก่อนนามรูปอันเป็นชีวิต...ซะอีก..แล้วจะเห็นอะไรเป็นตัวกู...

อวิชชา...คือความไม่รู้...จึงเห็นผิด...
(ไม่รู้..ไม่รู้ในอะไร..เห็นผิด..เห็นอะไรผิด...ไม่ใช่รูปสังขารก็แล้วกัน..อิอิ)
และความไม่รู้นี้พระองค์ก็ไม่ได้พยากรณ์..ว่ามาอย่างไรไม่ใช่รึ?...บอกแค่ว่าจรมา...

หรือมีบอกใว้ในพระสูตรไหน..ก็หามาศึกษากัน

asoka เขียน:
s004
เริ่มต้นที่ อวิชชา ปัจจัยการทั้งหมดจึงเกิดขึ้น ทั้งวงใหญ่ คือ 1 รอบชีวิต หรือวงเล็ก 1 รอบอารมณ์หรือเรื่องราว
s004
1 รอบสัมผัส ขันธ์ 5 เกิดขึ้นครบ รูป...วิญญาณ ....สัญญา....
เวทนา.....สังขาร

อวิชชาเข้าแทรกระหว่างเวทนาจะไปเกิดสังขาร หรือ อัตตาความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเราเข้ามาแทรกตรงช่วงต่อของเวทนาจะไปเกิดสังขาร


ปฏิจจสมุปบาทหรือปัจจัยการเขามาเริ่มตรงนี้

อวิชชา...เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง...ตัณหา..อุปทาน..ภพ
ส่วนเวทนา....เป็นปกติของขันธ์ 5...ขันธ์มันก็ทำงานเองได้..(ขันธ์จึงเป็นมารอันหนึ่ง...นิพพานถึงมีสอง..)
ผู้มีอวิชชาอยู่...พอเวทนาเกิด..ก็กระโดดงับ..งับ...เวทนา...ต่อยอดเป็นตัณหา..
ผู้มีวิชชา....เวทนาเกิด..ก็ไม่กระโดดงับ...ตัณหาไม่ก็ไม่เกิด
(ในกรณีที่ผู้ที่ชำนาญ..ออกตรงผัสสะ...เวทนาทางใจก็สามารถไม่เกิดได้...)

นี้ไม่ใช่การวิเคราะห์....แค่มีเหตุการณ์พอเทียบเคียงได้นิดหน่อย.. :b32:

asoka เขียน:
เวทนาเกิดขึ้นเป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา อันเป็นสมุทัยหรือต้นเหตุแห่งทุกข์

ถึงแม้ว่าวงปฎิจจสมุปบาทจะหักออกได้ทุกข้อต่อของปัจจัยสำหรับผู้มีกำลังความสามารถสูง

ในปฏิจจสมุปบาทของพม่าท่านแนะนำจุดต่อที่หักออกไว้ 3 ที่
แต่พระบรมศาสดาทรงแนะนำให้หักออกที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหาโดยพฤตินัยไม่ตรัสบอกโดยตรง แต่ทรงรับรองไว้ในสติปัฏฐาน 4 ประเด็นสำคัญของสติปัฏฐาน 4 ก็คือ

ซึ่งก็คือเวทนาทางจิต อันจะเกิดขึ้นที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหา

นี่คือผลวิเคราะห์ความเชื่อมโยงแห่งธรรมทั้งปฏิจจสมุปบาท ขันธ์ 5 อายตนะ 12 อริยสัจ 4 สติปัฏฐาน 4

ก่อนเวทนาจะเกิด...ก็หักออกได้
หลังเวทนาเกิดแล้ว...ก็หักออกได้

ผลของการหักออก....ไม่ว่าตรงไหน...ก็ "วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง" เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ..ได้เหมือนกันครับ

ไม่ได้วิเคราะห์เอานะครับ....:b32: :b32:

asoka เขียน:
หวังว่ากบและท่านผู้สนใจในการวิเคราะห์ธรรมคงจะพอเข้าใจความนัยและ[size=150]ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งแห่งธรรมอย่างนี้ได้บ้างนะครับ[/color]
smiley

เป็นการวิเคราะห์ที่ลึกซึ่งครับ

แต่...ไม่ได้ลึกซึ่งอะไร...

อาจพูดตรงไป...ขออภัยอโสกะด้วยครับ

:b12: :b12: :b12:
555555555
แว่นขยายของกบมีกำลังขยายแค่ 5X ก็เห็นได้แค่รูขุมขน
มันจะไปเห็นเซล นิวเคลียส ไวรัสเหมือนกล้องจุลทัศน์อีเล็คตรอนที่มีกำลังขยายเป็น 100X 1,000X ได้อย่างไร อนิจจา
ถ้าไม่รีบปรับกำลังทัศนะของตนเอง ก็คงคุยกันไม่รู้เรื่องยิ่งขึ้นไปทุกวันละมั้งครับ กบ

:b7:
การหักออกจากวงปฏิจจสมุปบาทตรงช่วงต่อระหว่างผัสสะกับเวทนานั้น เป็นวิธีการของพวกที่มีนิสัยฤาษีติดมา ชอบดับเวทนาด้วยอำนาจสติสมาธิและฌาณ มันมีความเสี่ยงอันตรายซ่อนอยู่อย่างลึกซึ้งในนั้น มันอาจจะทำให้เกิดอหังการ มนังการ ติดค้างอยู่นานแสนนานเหมือนผกาพรหมและรูปพรหมอรูปพรหมทั้งหลาย พระบรมศาสดาจึงไม่ได้ทรงแนะนำไว้เป็นวิธีมาตรฐานอย่าง

วิธีสติปัฏฐาน 4 ซึ่งเป็นการหักออกที่ช่วงต่อระหว่างเวทนากับตัณหา อันเป็นช่องทางที่ง่ายที่สุดเห็นง่ายทำง่ายหลงทางยากไม่เสี่ยงภัย

กบเริ่มจะมั่วๆแล้วนะครับ อภิชฌาและโทมนัสสัง มิได้เกิดไปมั่วๆทุกช่วงต่อของวงปฏิจจสมุปบาทนะครับ นั่นมันผิดธรรม
ผู้มีสติปัญญาอันหยาบถึงพูดมั่วไปเช่นนั้น

อภิชฌา โทมนัสสังเป็นเวทนาทางจิต เกิดต่อหลังจากผัสสะเสมอนะครับ นี่เป็นสัจจะ ไม่ใช่โมฆะวาทะที่เปล่งขึ้นมามั่วๆโดยไร้สภาวธรรมรองรับ

onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2015, 06:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ศิริพงศ์ เขียน:

ถ้ากบยังดับอวิชาไม่ได้. กบตายแล้วกบก็ต้องเกิดอีก. แล้วอะไรเป็นสาเหตุแห่งการเกิดล่ะกบ. มันก็ร้อยเรียงมาจากอวิชานั้นใช่หรือไม. แม้อวิชามาจากความหลงเป็นมูลเหตุก็ตาม. แต่วงจรชีวิตนั้นมันก็จบลงตรงความตาย. ในเมื่อความตายที่ยังไม่หมดความโง่. ยังไงก็ต้องเกิด. แล้วถ้าเกิดใหม่ก็เพราะยังมีอวิชา. ฉนั้นแล้วมรณะที่เป็นวงจรของการมีชีวิตจึงเป็นสาเหตุให้เกิดสิ่งมีชีวิตใหม่ได้. และถ้ามองในระบบชีวิตแล้ว. มรณะก็เป็นสาเหตุของอวิชาได้อีกนัยยะหนึ่งครับ. ง่ายๆไม่ต้องเยอะ. ถ้าเยอะเดี๋ยวก็ท่องคาถาเรียกเงินอีกนั้นแหล่ะ. อวิชา!ตัวพ่อเลย. นะ. เพราะมันหลงแบบยังมีชีวิตอยู่


กบนอกกะลา เขียน:
Bigtoo อีกคนหนึ่ง..ละ...มรณะ เป็นสาเหตุของอวิชชา..

อโสกะ..จะสมทบอีกคนมั้ย?



ศิริพงศ์ เขียน:
กบเอาตามสบายเลย จะเอาอะไรเป็นเหตุของอวิชาก็เอา แต่กบตายแล้วไปไหน. แค่การเขียนวงกลมนั้นเขาเพียงให้รู้ว่าถ้าไม่หมดอวิชาตายแล้วก็ต้องเกิดเพราะอวิชานั้นแหล่ะ. แค่นี้ทำเรื่องเยอะ. ทีท่องคาถาเงินล้านเรียกเงินทำไมคิดไม่ได้นี่. แล้วจะมาวิเคราะห์ปฎิจสมุปบาท. มันเกิดฐานะกบอยู่มากนะครับ บอกตง!กบ. อย่าปีนเกรียวซิ


อ้าว..จำเลยกลับคำให้การ...แล้ว
:b32: :b32:

กลับอย่างไรเหรอ ก็กบมึนทำเป็นไม่ยอมรับก็ทำให้ดูง่ายขึ้นไง. ว่ามันก็คือกบตายก็ต้องเกิดเพราะยังโงอยู่. กบไม่ต้องย้อนไปหาอวิชาที่แท้จริงหรอกนะ. ลูกศรที่เขายิงมานะไม่ต้องรู้หรอกว่ามาทางไหนรีบไปหาหมอเถอะ. หมอบอกอยู่นี่ไง เลิกท่องเถอะคาถางะ. เชื่อผมแล้วทางจะเปิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2015, 06:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จะไม่เรียกกลับคำให้การอย่างไรละคับ...

อันแรก....ยังบอกอยู่เลยว่า..มรณะก็เป็นเหตุให้เกิดอวิชชาได้ ( มรณะเป็นปัจจัย..อวิชชาจึงมี)

มากลับลำเป็น....ตายแล้วต้องเกิดอีกเพราะยังมีอวิชชาอยู่...(อวิชชาเป็นปัจจัย...เกิดตาย (ชาติ..มรณะ)...จึงมี)

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2015, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
จะไม่เรียกกลับคำให้การอย่างไรละคับ...

อันแรก....ยังบอกอยู่เลยว่า..มรณะก็เป็นเหตุให้เกิดอวิชชาได้ ( มรณะเป็นปัจจัย..อวิชชาจึงมี)

มากลับลำเป็น....ตายแล้วต้องเกิดอีกเพราะยังมีอวิชชาอยู่...(อวิชชาเป็นปัจจัย...เกิดตาย (ชาติ..มรณะ)...จึงมี)

:b32: :b32: :b32:
อ้าว!นี่ก็โง่อีกนะ. นัยยะหนึ่งเข้าใจว่าไง. หรือมึนอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2015, 17:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
eragon_joe เขียน:
ท่านอโศกออกทางประหลาดไปนะ

:b6:

:b11:

:b12: :b12: :b12:
เพราะเขียนออกมาจากการอ้างอิงธรรมในกายและจิต ไม่ค่อยได้อ้างอิงธรรมจากคัมภีร์ จึงดูแปลกหูแปลกตา แต่ลองสังเกต พิจารณาและพิสูจน์ด้วยการเข้าไปดูสภาวธรรมจริงๆที่ควรเกิดภายในกายและจิตจริงๆ อาจจะพอเข้าใจหรือรู้เรื่องได้บ้างนะครับ

อาจพูดได้ว่า

ลองภาวนาไปด้วย อ่านไปด้วยนะครับ

onion
อก้อนลองสังเกตดูภาพแสดงธรรมเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่แปะมาสิครับ แปลกไหม เข้าใจได้ไหม ขนาดกบที่ว่าสติปัญญาดียังมองข้ามไปเลยเพราะไม่รู้เรื่องเหมือนคนคุยกันคนละภาษายังไงยังงั้นเลยครับ ทั้งที่แปลเป็นตัวหนังสือไทยแล้ว
s006
:b38:
:b36:


พระพุทธองค์ไม่ได้เขียนออกมาอย่างนี้ ถูกมั๊ย

:b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 27, 28, 29, 30, 31, 32, 33 ... 61  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร