วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 02:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
student เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
แผนที่รู้สึกว่าจะตั้งตำแหน่งอนัตตาไว้ไกลเกินเอื้อม

ถ้าผมร่างจะต้องตั้งอนัตตาไว้ตรงกลางคลุมตารางไว้หมด

เพราะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

(เนื่องจากทุกคนยังมีข้อสงสัยว่านิพพานเป็นอนัตตาหรือยกเว้น แต่ความเห็นผมเป็นอนัตตา)

คือคนจะเห็นหรือไม่เห็นธรรมทั้งปวงก็เป็นอนัตตา

แผนที่มีความรู้สึกมองเข้ามาดูตนเอง (สถานะอนัตตาจึงไกลเกินเอื้อมเพราะมองดูภาพตนเอง) แต่ไม่ได้มองตามความจริงที่เป็น

แล้วยังขาดศัทธาก่อนเป็นชาวพุทธ

wink
นิพพานไม่ใช่ทั้งอัตตาและอนัตตา
นิพพานเป็นนิพพานเป็นสูญญตา
:b12:
:b44: :b44:


ที่กล่าวว่าเป็นอนัตตา เพราะมีเหตุผลของคำว่า การเข้าถึง ตามหลักที่ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

เพราะว่า หากว่าเป็นอนัตตา ก็คือไม่ห้ามบุคคลใดคนหนึ่ง เมื่อบรรลุอรหันต์ประหารกิเลสหมดสิ้นแล้วบุคคลนั้นพึงเข้าถึงสภาวะนิพพานเช่นเดียวกัน
คำว่าสูญญตา เป็นสภาวะที่ว่าง ดับลง ไม่มีโซ่เกี่ยวไว้ซึ่งก็แสดงความหมายชัดเจนว่าเป็นนิพพานนั่นเอง

แต่อนัตตา ไม่ได้แสดงสถานะพระนิพพาน แต่แสดงสถานะของพระไตรลักษณ์ มีความหมายว่า ไม่ห้ามคนใดคนหนึ่ง บุคคลที่ประหารกิเลสหมดสิ้นก็เข้าสู่นิพพานได้เช่นเดียวกันนั่นเอง

นิพพานไม่เกิดไม่ดับไม่เป็นอัตตาและไม่เป็นอนัตตา
การกระทำของพระอรหันต์เป็นกิริยาจิตเป็นอุเบกขา
ดับแล้วซึ่งอวิชชาสิ้นกิเลสอาสาวะนิพพานเป็นนิพพาน
จิตบริสุทธิ์ฟอกธาตุชันธ์ ลองแปลความอนัตตาใหม่สิคะ
อนัตตาแปลว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของจิตของใคร
เพราะจิตที่เกิด_ดับตามเหตุปัจจัยไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา
นิพพานเที่ยง นิพพานไม่สูญ นิพพานไม่อยู่ในกฏไตรลักษณะ
เพราะเมื่อทิ้งร่างมีพระธาตุเป็นพยานความบริสุทธิ์ของจิต
จิตที่แตกต่างทำให้กายสะอาดไม่เหมือนศพคนทั่วไป
:b29:
onion onion onion


คือที่คุณ rosarin อธิบายความหมายของพระนิพพาน ใช้ความหมายของ อนิจจัง แสดงพระนิพพาน คือ พระนิพพานเที่ยง ไม่อยู้ภายใต้กฎของอนิจจัง นั้นผมเห็นด้วย แต่ที่ผมแสดงความเห็นนั้น ไม่ได้แสดงพระนิพพานว่าเป็นอนิจจัง ผมแสดงความเห็นว่าพระนิพพพานเป็นอนัตตา ตามพระธรรมที่ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ผลมะม่วง ปลูกลงในดิน ย่อมเจริญเป็นมะม่วง ไม่แปรสภาพเป็นอื่น ฉันใด พระนิพพานก็ไม่แปรเป็นอื่น นี่คือความหมายของอนัตตา แต่มะม่วงก็ไม่เที่ยง โตแล้วก็แก่ตายเพราะเป็นอนิจจัง แต่สำหรับพระนิพพานนั้นเที่ยง เพราะไม่อยู่ภายใต้กฎอนิจจัง แต่ก็เป็นอนัตตา

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพาจไม่ใช่อนัตตาแน่นอนครับ. อนัตตาคือธาตุ4. ขันต์5 อายตนะ.6. การดับทั้ฝหมดนี้คือนิพพาน. นิพพานจึงไม่ใช่อนัตตานิพพานคือสูญญตาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 20:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
รูปภาพ


onion


ผมไม่เห็นด้วย..นะครับที่ใครๆ ก็ทำปฏิจจสมุปบาทเป็นวงกลม...

มันไม่เม้คเซ็นส์เลยนะ..ที่..มรณะจะเป็นปัจจัย...อวิชชาจึงมี..

อวิชชา..ก็ไม่ได้มีหลังจากมรณะ..อย่างเดียว...
ความเห็นของผม..อวิชชา...มันอยู่พร้อมกับทุกขั้นทุกตอน...

และตรงมรณะ..ก็ไม่ได้มีมรณะตัวเดียว..มันมี....ชรา..(มรณะ)..โสกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ..โทมนัส..อุปายาส

จะเห็นว่า..ชรา..มรณะ..โสกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ..โทมนัส..อุปายาส...ไม่ได้เป็นปัจจัย..จึงมีอวิชชา..เลยนิ

ถ้าขืนยังจะเขียนเป็นวงกลมอีก...กระผมว่า..มิใช่จะเป็นการบิดเบือนพระธรรม..รึครับ?

:b14:


asoka เขียน:

:b12:
คุณกบคิดมากเกินไปจนลืมคำว่า "วัฏฏะสงสาร"อันหมายถึงการหมุนวน

ชาติปัจจัยยา มรณะ โสกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ..โทมนัส..อุปายาส. ทั้งหมดเป็นภาคขยายของชาติ ความเกิด
เพราะยังมีเกิด จึงมีแก่ เจ็บ ตาย โสกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ..โทมนัส..อุปายาส.

ที่ยังต้องมาเกิดก็เพราะยังไม่หมดอวิชชา เขาวนกลับมาอย่างนี้ครับ

s004
อนึ่งที่ไปคิดว่า อวิชชามีแทรกอยู่ทุกขั้นตอนนั้นก็คิดมากเกินไป
ปฏิจจสมุปบาท มีความหมายว่าความเป็นเหตุปัจจัยสืบต่อซึ่งกันและกัน อวิชชาเป็นต้นปัจจัย ต้นเรื่องที่ทำให้เกิดปัจจัยอื่นตามมามิได้แทรกอยู่ในระหว่างปัจจัยแต่ละปัจจัยทั้ง 12 ปัจจัยครับ
s004


ที่ยังต้องมาเกิดก็เพราะยังไม่หมดอวิชชา เขาวนกลับมาอย่างนี้ครับ

จริงอยู่ว่า..ที่ต้องกลับมาเกิดอีกเพราะยังไม่หมดอวิชชา..

แต่...ไม่ใช่เขียนเป็นปัจจยการอย่างนั้น..ทำลูกศร...วนมาที่อวิชชา...

เพราะ..อวิชชา...คุณก็ทำลูกศรไปที่ สังขาร..
สังขารก็ทำลูกศรไปที่วิญญาณ..

แล้วก็ทำไปจนถึง...มรณะ

มันก็ไปเข้าเค้ากับที่พระองค์กล่าวเป็นปัจจยาการสายอนุโลม...ว่า..

อวิชชาเป็นปัจจัย..สังขารจึงมี..
สังขารเป็นปัจจัย...วิญญาณจึงมี..

แต่สุดท้ายยังมาทำลูกศร..จากมรณะ....ไปที่อวิชชา...

ถามว่า...ทำทำไม..ในเมื่อพระองค์ไม่ได้กล่าว...
ใครไม่รู้ไม่เคยเห็นปฏิจจสมุปบาทที่พระองค์กล่าว...ก็จะเข้าใจผิดได้..

นานวันไป...ก็พอกพูนความผิดอันนี้..ไปเรื่อย ๆ..

ไม่ถูก..ก็คือไม่ถูก....จะเป็นสัทธรรมปฏิรูปไป....คนที่ทำไปอาจมีส่วนในการบิดเบือนพระธรรมในอนาคตนะครับ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2015, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sompong852 เขียน:
ก่อนอื่น ต้องขออภัย หากคำตอบกระทู้นี้ มีความคลาดเคลื่อนประการใด ก็ขอให้ผู้อ่านอโหสิกรรม ให้แก่ข้าพเจ้า ด้วย

:b43: ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม (การเกิดขึ้นของทุกข์)
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.

:b42: ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม (การดับไปแห่งทุกข์)
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
........
แนะนำหนัง ปฎิจจสมุปบาท จากพระโอษฐ์ ของท่านพุทธทาส
.........
สวัสดีครับ
ยางบง

ที่มา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=35471&start=105
นั่งสมาธิให้ถึงเอกัคตาจิตรวมเป็นหนึ่งจะเข้าถึงความจริง
การเกิดขึ้นของทุกข์...ดับตอนนั่งสมาธิแล้วกายหายหมด
จิตดวงใหม่เป็นจิตที่มีการดับไปแห่งทุกข์บรรลุโสดาบันขึ้นไป
พระพุทธเจ้าตรัสจากพระโอษฐ์เพื่อให้ทราบว่านี้จิตพระอริยบุคคล
:b12:
:b4: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2015, 14:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ที่ยังต้องมาเกิดก็เพราะยังไม่หมดอวิชชา เขาวนกลับมาอย่างนี้ครับ

จริงอยู่ว่า..ที่ต้องกลับมาเกิดอีกเพราะยังไม่หมดอวิชชา..

แต่...ไม่ใช่เขียนเป็นปัจจยการอย่างนั้น..ทำลูกศร...วนมาที่อวิชชา...

เพราะ..อวิชชา...คุณก็ทำลูกศรไปที่ สังขาร..
สังขารก็ทำลูกศรไปที่วิญญาณ..

แล้วก็ทำไปจนถึง...มรณะ

มันก็ไปเข้าเค้ากับที่พระองค์กล่าวเป็นปัจจยาการสายอนุโลม...ว่า..

อวิชชาเป็นปัจจัย..สังขารจึงมี..
สังขารเป็นปัจจัย...วิญญาณจึงมี..

แต่สุดท้ายยังมาทำลูกศร..จากมรณะ....ไปที่อวิชชา...

ถามว่า...ทำทำไม..ในเมื่อพระองค์ไม่ได้กล่าว...
ใครไม่รู้ไม่เคยเห็นปฏิจจสมุปบาทที่พระองค์กล่าว...ก็จะเข้าใจผิดได้..

นานวันไป...ก็พอกพูนความผิดอันนี้..ไปเรื่อย ๆ..

ไม่ถูก..ก็คือไม่ถูก....จะเป็นสัทธรรมปฏิรูปไป....คนที่ทำไปอาจมีส่วนในการบิดเบือนพระธรรมในอนาคตนะครับ..

s004
คุณกบเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดไหม?
ถ้าเชื่อ ถามว่าเมื่อจิตวิญญานดวงหนึ่งตายจากโลกนี้ไปแล้ว
จะต้องอาศัยอะไรเป็นเหตุพาไปเกิด เอาทั้งเหตุย่อยและเหตุใหญ่ โดยคิดตามปัจจัยการ

เรื่องปัจจัยการนี้เขาส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งในประเทศเมียนม่าเขาก็เขียนเป็นรูปวงกลมอย่างนี้และชี้บอกจุดที่จะหักออกจากวงปฏิจจสมุปบาทให้ด้วย

ถ้าไม่เขียนเป็นวงกลม กบจะเขียนอธิบายความเชื่อมต่อระหว่างภพชาติโดยปัจจัยการอย่างไร ลองอธิบายซิครับ

อาจจะมีคนเก่งกว่าในเมียนม่าในการอธิบายปัจจัยการ หรือปฏิจจสมุปบาท
s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2015, 20:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
คุณกบเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดใหม?
ถ้าเชื่อ ถามว่าเมื่อจิตวิญญานดวงหนึ่งตายจากโลกนี้ไปแล้ว
จะต้องอาศัยอะไรเป็นเหตุพาไปเกิด เอาทั้งเหตุย่อยและเหตุใหญ่ โดยคิดตามปัจจัยการ

เรื่องปัจจัยการนี้เขาส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งในประเทศเมียนม่าเขาก็เขียนเป็นรูปวงกลมอย่างนี้และชี้บอกจุดที่จะหักออกจากวงปฏิจจสมุปบาทให้ด้วย

ถ้าไม่เขียนเป็นวงกลม กบจะเขียนอธิบายความเชื่อมต่อระหว่างภพชาติโดยปัจจัยการอย่างไร ลองอธิบายซิครับ

อาจจะมีคนเก่งกว่าในเมียนม่าในการอธิบายปัจจัยการ หรือปฏิจจสมุปบาท
s006

การเวียนว่ายตายเกิด...เป็นลักษณะของไตรลักษณ์..คับ

ปัจจยาการ...คือ..การบอกว่าทุกข์ทั้งปวงเกิดมาได้อย่างไร..และ...ทุกข์ทั้งปวงจะดับได้อย่างไร..แค่นี้

แต่ถ้าจะเอาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎะสงสาร...มาอธิบายด้วยปฏิจจสมุปบาท...ก็จะไม่เป็นวงกลมอย่างที่ว่า..มรณะ...มา..อวิชชา..แน่..ครับ

ในปฏิจจะ....อโสกะว่า...การเกิดนี้....เกิดที่ตรงไหนละคับ....ใช่ตรง...ชาติ..มั้ย?

เป็น..ชาติ..มรณะ...กลับมาที่..ชาติ..มรณะ..อีก...อาจตลกไปนิด..เพราะสั้นจุ้ดจู่

อีกจุดหนึ่ง...ที่เป็นการเกิดได้..คือ...ตรง...นามรูป..

ตรง..ชาติ..กับ..นามรูป...จึงเป็นจุดเดียวกัน...ก็จับมาขมวดกัน...โดยมรณะกลับมาอยู่ก่อนชาติ

อวิชชา..สังขาร..วิญญาณ..นามรูป...สฬายตนะ...เวทนา..ตัณหา...อุปาทาน...ภพ...มรณะ..(วิญญาณ)...ชาติ(นามรูป)...

ผมเขียนรูปให้ไม่ได้....แต่ก็ประมาณนี้..

ถ้าจากเมียนมาเขียนวงกลมได้แค่นี้...ผมก็ว่าผมเก่งกว่าแน่นอนครับ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2015, 20:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ย. 2015, 13:43
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
sompong852 เขียน:
ก่อนอื่น ต้องขออภัย หากคำตอบกระทู้นี้ มีความคลาดเคลื่อนประการใด ก็ขอให้ผู้อ่านอโหสิกรรม ให้แก่ข้าพเจ้า ด้วย

:b43: ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม (การเกิดขึ้นของทุกข์)
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.

:b42: ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม (การดับไปแห่งทุกข์)
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
........
แนะนำหนัง ปฎิจจสมุปบาท จากพระโอษฐ์ ของท่านพุทธทาส
.........
สวัสดีครับ
ยางบง

ที่มา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=35471&start=105
นั่งสมาธิให้ถึงเอกัคตาจิตรวมเป็นหนึ่งจะเข้าถึงความจริง
การเกิดขึ้นของทุกข์...ดับตอนนั่งสมาธิแล้วกายหายหมด
จิตดวงใหม่เป็นจิตที่มีการดับไปแห่งทุกข์บรรลุโสดาบันขึ้นไป
พระพุทธเจ้าตรัสจากพระโอษฐ์เพื่อให้ทราบว่านี้จิตพระอริยบุคคล
:b12:
:b4: :b20:
ดับตอนนั่งสมาธิกายหายหมด. ออกมาอุ้ยเงินยังอยู่ไม่ดับ!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2015, 23:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
โลกธรรม8อยู่ครบ
ตาหูจมูกลิ้นกายใจก็ครบ
อริยสัจจ์สี่อริยมรรคแปดสมบูรณ์
ถ้ามีเงินมีบริวารมีสมบัติก็ไม่ขาดตกบกพร่อง
ตามมีตามเกิดตามได้ไม่เบียดเบียนบังคับจากใครนี่นา
อยากทำบุญให้ทานก็ทำตามกำลังศรัทธาตามความพออกพอใจ
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2015, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ปัญหาคือการขอน่ะขอใครมาขอในเวลาที่มีหรือไม่
ให้ก็ให้ตามกำลังนะขอตอนไม่มีจะให้ได้ไง
คิดว่าขอแล้วต้องได้เสมอไปงั้นเหรอ
ไม่คิดจะทำมาหากินเลยมันง่ายดี
ก็เลยเที่ยวขอไปทั่วดีไหมล่ะ
เป็นมงคลกับชีวิตไหม
เกิดกุศลในจิตไหม
ใครเดือดร้อน
ก็ต้องผู้ขอ
รอไปนะ
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2015, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
ปัญหาคือการขอน่ะขอใครมาขอในเวลาที่มีหรือไม่
ให้ก็ให้ตามกำลังนะขอตอนไม่มีจะให้ได้ไง
คิดว่าขอแล้วต้องได้เสมอไปงั้นเหรอ
ไม่คิดจะทำมาหากินเลยมันง่ายดี
ก็เลยเที่ยวขอไปทั่วดีไหมล่ะ
เป็นมงคลกับชีวิตไหม
เกิดกุศลในจิตไหม
ใครเดือดร้อน
ก็ต้องผู้ขอ
รอไปนะ
onion onion onion

อ้าวอบบนี้ว่าพระเหรอ. พระก็ขอนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2015, 11:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ไม่ว่าธรรมยุติหรือมหานิกายไม่เป็นปัญหาในการเข้าถึงธรรม
ขึ้นอยู่กับว่าจิตผู้รู้เข้าถึงความจริงหรือไม่เพราะการรู้แจ้ง
หมายถึงรู้ความจริงแล้วหายสงสัยไม่ใช่ต้องไปเรียง
ลำดับญาณแล้วพยายามที่จะไปบังคับให้ถึงญาณ
ต้องเริ่มจากรักษาศีลที่กายกับวาจาให้บริสุทธิ์
ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เป็นการละอัตโนมัติ
การกำหนดเพื่อบังคับจะทำให้เกิดจิตหดหู่
ความพร้อมทาน ศีล ภาวนาอัตโนมัติ
จิตบริสุทธิ์เกิดเองบังคับบัญชาไม่ได้
ต้องถึงพร้อมด้วยความไม่อยาก
เน้นการเจตนาศีล5บริสุทธิ์
สัจจะ จาคะ เนกขัมมะ
เพียรสุตะ จิตตภาวนา
จิตสว่างไสวเกิด :b12:
ไม่ใช่เห็นแสงสว่างน๊า
แต่เป็นจิตดวงเข้าใจความจริงที่แท้จริง
กุศลจิตรู้แจ้งหายสงสัยด้วยความหมดอยาก
:b16: :b16:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2015, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

ไม่ว่าธรรมยุติหรือมหานิกายไม่เป็นปัญหาในการเข้าถึงธรรม
ขึ้นอยู่กับว่าจิตผู้รู้เข้าถึงความจริงหรือไม่เพราะการรู้แจ้ง
หมายถึงรู้ความจริงแล้วหายสงสัยไม่ใช่ต้องไปเรียง
ลำดับญาณแล้วพยายามที่จะไปบังคับให้ถึงญาณ
ต้องเริ่มจากรักษาศีลที่กายกับวาจาให้บริสุทธิ์
ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เป็นการละอัตโนมัติ
การกำหนดเพื่อบังคับจะทำให้เกิดจิตหดหู่
ความพร้อมทาน ศีล ภาวนาอัตโนมัติ
จิตบริสุทธิ์เกิดเองบังคับบัญชาไม่ได้
ต้องถึงพร้อมด้วยความไม่อยาก
เน้นการเจตนาศีล5บริสุทธิ์
สัจจะ จาคะ เนกขัมมะ
เพียรสุตะ จิตตภาวนา
จิตสว่างไสวเกิด :b12:
ไม่ใช่เห็นแสงสว่างน๊า
แต่เป็นจิตดวงเข้าใจความจริงที่แท้จริง
กุศลจิตรู้แจ้งหายสงสัยด้วยความหมดอยาก
:b16: :b16:
onion onion onion

ถ้านังไม่พบแสงสว่างก็ยังไม่บรรลุธรรมหรอกนะ

ชั่วขณะการครู่หนึ่งนั้น เสียงกระฉ่อนขึ้นไปจนถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้แล.
ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้
ได้ปรากฏแล้วในโลก
ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานว่า ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ
ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ เพราะเหตุนั้น คำว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้ จึงได้เป็นชื่อ
ของท่านพระโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้.
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จบ
. ดูกรราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่สาม
ที่อาตมภาพได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืด
ถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมภาพผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร มีตนส่งไป
แล้วอยู่.

แสงสว่างนี้คงไม่เอาไปรวมกับคำว่าปัญญานะ
จักขุ. ญาน. ปัญญา. วิชา. แสงสว่าง
_________________


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2015, 15:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
กบไปคิดเอาเองตามปฏิจจสมุปบาทวงใหญ่ คือการตายเกิดใน ๑ ชาติของมนุษย์หรือสัตว์โลกเลยเกิดความเข้าใจบิดเบือนธรรมไปกันใหญ่เอามรณะมาขึ้นก่อนชาติ ไอ้ที่กลัวว่าจะเป็นสัทธัมปฏิรูปเลยมาเป็นกบทำสัทธรรมปฏิรูปเสียเอง ด้วยความเข้าใจผิดไม่ถ่องแท้ลึกซึ้งในปฏิจจสมุปบาทตัวภพที่ว่ามานั้นที่แท้จริงมันต่อเนื่องมาจาก อุปาทาน

อุปาทานปัจจัยยากัมมภโว (ภโว) .ความยึดมั่นถือมั่นเป็นปัจจัยให้เกิดกรรมที่เป็นเหตุไปเลือกภพที่เกิด อกุศลกรรมพาไปอบาย กามกุศลกรรมพาไปมนุษย์สวรรค์ รูปกุศลพาไปรูปพรหม อรูปกุศลพาไปอรูปพรหม

ถ้าเป็นปฏิจจสมุปบาทวงเล็กกัมมภวะก็พาไปสู่อารมณ์ต่างๆ เป็นภาวะคนชั่วภาวะคนดี ภาวะหญิงชาย กระเทย ทอม ดี้
ภาวะสุขภาวะทุกข์ฯลฯ

ปฏิจจะสมุปบาทวงเล็กคือความเกิดขึ้นและดับไปของอารมณ์แต่ละอารมณ์ ละเอียดอ่อนมากและรู้เห็นได้ยากในจิตปุถุชน

การที่กบเอาชาติกับมรณะมาต่อในช่วงของนามรูป นี่ก็เป็นวิปริตธรรมอันอาจกล่าวได้ว่าเป็นสัทธัมปฏิรูปไปด้วยก็ได้ นามรูปะปัจจัยยาสฬายตนะ สฬายตนะ ปัจจัยยาผัสโส ไม่ใช่นามรูปะปัจจัยยา ชาติ หรือมรณะ

ที่กบเขียนเป็นรูปไม่ได้ก็เพราะกบเห็นปฏิจจสมุปบาทเป็นเส้นตรงไม่วนกลับมาที่เดิม ซึ่งผมเองก็ไม่เคยเห็นคนอธิบายแบบนี้มาก่อนพึ่งเห็นกบเป็นคนแรก นี้ถ้าเข้าไปอธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบเส้นตรงอย่างที่กบคิดในประเทศเมียนม่า คงโดนโห่ไล่ลงเวทีเป็นแน่

วงปฏิจจสมุปบาทแบบพม่าเขาละเอียดถี่ถ้วนมากกว่าแบบง่ายๆที่เขียนมาให้ดูผมกำลังพยายามค้นหารูปอยู่ พบแล้วจะส่งมาให้ศึกษา
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2015, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
แผนที่รู้สึกว่าจะตั้งตำแหน่งอนัตตาไว้ไกลเกินเอื้อม

ถ้าผมร่างจะต้องตั้งอนัตตาไว้ตรงกลางคลุมตารางไว้หมด

เพราะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

(เนื่องจากทุกคนยังมีข้อสงสัยว่านิพพานเป็นอนัตตาหรือยกเว้น แต่ความเห็นผมเป็นอนัตตา)

คือคนจะเห็นหรือไม่เห็นธรรมทั้งปวงก็เป็นอนัตตา

แผนที่มีความรู้สึกมองเข้ามาดูตนเอง (สถานะอนัตตาจึงไกลเกินเอื้อมเพราะมองดูภาพตนเอง) แต่ไม่ได้มองตามความจริงที่เป็น

แล้วยังขาดศัทธาก่อนเป็นชาวพุทธ

wink
นิพพานไม่ใช่ทั้งอัตตาและอนัตตา
นิพพานเป็นนิพพานเป็นสูญญตา
:b12:
:b44: :b44:


ที่กล่าวว่าเป็นอนัตตา เพราะมีเหตุผลของคำว่า การเข้าถึง ตามหลักที่ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

เพราะว่า หากว่าเป็นอนัตตา ก็คือไม่ห้ามบุคคลใดคนหนึ่ง เมื่อบรรลุอรหันต์ประหารกิเลสหมดสิ้นแล้วบุคคลนั้นพึงเข้าถึงสภาวะนิพพานเช่นเดียวกัน
คำว่าสูญญตา เป็นสภาวะที่ว่าง ดับลง ไม่มีโซ่เกี่ยวไว้ซึ่งก็แสดงความหมายชัดเจนว่าเป็นนิพพานนั่นเอง

แต่อนัตตา ไม่ได้แสดงสถานะพระนิพพาน แต่แสดงสถานะของพระไตรลักษณ์ มีความหมายว่า ไม่ห้ามคนใดคนหนึ่ง บุคคลที่ประหารกิเลสหมดสิ้นก็เข้าสู่นิพพานได้เช่นเดียวกันนั่นเอง

นิพพานไม่เกิดไม่ดับไม่เป็นอัตตาและไม่เป็นอนัตตา
การกระทำของพระอรหันต์เป็นกิริยาจิตเป็นอุเบกขา
ดับแล้วซึ่งอวิชชาสิ้นกิเลสอาสาวะนิพพานเป็นนิพพาน
จิตบริสุทธิ์ฟอกธาตุชันธ์ ลองแปลความอนัตตาใหม่สิคะ
อนัตตาแปลว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของจิตของใคร
เพราะจิตที่เกิด_ดับตามเหตุปัจจัยไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา
นิพพานเที่ยง นิพพานไม่สูญ นิพพานไม่อยู่ในกฏไตรลักษณะ
เพราะเมื่อทิ้งร่างมีพระธาตุเป็นพยานความบริสุทธิ์ของจิต
จิตที่แตกต่างทำให้กายสะอาดไม่เหมือนศพคนทั่วไป
:b29:
onion onion onion


คือที่คุณ rosarin อธิบายความหมายของพระนิพพาน ใช้ความหมายของ อนิจจัง แสดงพระนิพพาน คือ พระนิพพานเที่ยง ไม่อยู้ภายใต้กฎของอนิจจัง นั้นผมเห็นด้วย แต่ที่ผมแสดงความเห็นนั้น ไม่ได้แสดงพระนิพพานว่าเป็นอนิจจัง ผมแสดงความเห็นว่าพระนิพพพานเป็นอนัตตา ตามพระธรรมที่ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ผลมะม่วง ปลูกลงในดิน ย่อมเจริญเป็นมะม่วง ไม่แปรสภาพเป็นอื่น ฉันใด พระนิพพานก็ไม่แปรเป็นอื่น นี่คือความหมายของอนัตตา แต่มะม่วงก็ไม่เที่ยง โตแล้วก็แก่ตายเพราะเป็นอนิจจัง แต่สำหรับพระนิพพานนั้นเที่ยง เพราะไม่อยู่ภายใต้กฎอนิจจัง แต่ก็เป็นอนัตตา

tongue
คิดตามใหม่นะคะเพราะนิพพานเป็นสภาวะที่ไม่มีจิตอยู่ภายในนิพพานนะ
อนัตตาแปลว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับของใครที่จะไปข่มจิตเพื่อให้เข้าถึงได้
แต่เป็นสภาวะที่เกิดจากการปล่อยวางอารมณ์ขณะจิตเข้าไปรู้โดยมิได้คาดหวัง
และที่สำคัญเมื่อจิตไปรู้สภาวะที่ดับกิเลสโดยสิ้นเชิงจึงเกิดแสงสว่างออกรอบตัวค่ะ
เพื่อยืนยังว่าโลกมืดมานานหลังจากบรรลุอรหันต์แล้วเท่านั้นถึงจะเกิดแสงสว่างนะคะ
ส่วนการบรรลุมรรคผลนั้นเกิดจากจิตสมังคีพร้อมบริบูณ์เป็นอธิศีล อธิจิต และอธิปัญญา
เป็นอัตโนมัติในจิตโดยไม่ต้องข่มจิตไม่ไปกำหนดอะไรเกิดจากการสมบูรณ์ทางสฬายตนะ
และผลของจิตภาวนาที่เกิดเจริญสติสมบูรณ์ทางกายและวาจาทำให้จิตสงบรวมเอกัคตารมณ์
ณ ขณะที่เกิดการปล่อยวางนั้นเอง เป็นอารมณ์ที่ไม่มีกุศลเกิด จิตจะรู้ความเป็นไปอัตโนมัติแค่รู้
ไม่ต้องกำหนดอะไรเลย จิตจะทำหน้าที่เป็นประธานรู้ความเป็นไปอย่างสงบและปล่อยวางอย่างเดียว
เพราะนิพพานเป็นสภาวะธรรมที่ไม่ต้องปรุงแต่งเป็นของแท้ที่จิตเข้าไปรู้เฉยๆแบบจิตออกมาดูตาปริบๆน่ะ
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2015, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
student เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
แผนที่รู้สึกว่าจะตั้งตำแหน่งอนัตตาไว้ไกลเกินเอื้อม

ถ้าผมร่างจะต้องตั้งอนัตตาไว้ตรงกลางคลุมตารางไว้หมด

เพราะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

(เนื่องจากทุกคนยังมีข้อสงสัยว่านิพพานเป็นอนัตตาหรือยกเว้น แต่ความเห็นผมเป็นอนัตตา)

คือคนจะเห็นหรือไม่เห็นธรรมทั้งปวงก็เป็นอนัตตา

แผนที่มีความรู้สึกมองเข้ามาดูตนเอง (สถานะอนัตตาจึงไกลเกินเอื้อมเพราะมองดูภาพตนเอง) แต่ไม่ได้มองตามความจริงที่เป็น

แล้วยังขาดศัทธาก่อนเป็นชาวพุทธ

wink
นิพพานไม่ใช่ทั้งอัตตาและอนัตตา
นิพพานเป็นนิพพานเป็นสูญญตา
:b12:
:b44: :b44:


ที่กล่าวว่าเป็นอนัตตา เพราะมีเหตุผลของคำว่า การเข้าถึง ตามหลักที่ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

เพราะว่า หากว่าเป็นอนัตตา ก็คือไม่ห้ามบุคคลใดคนหนึ่ง เมื่อบรรลุอรหันต์ประหารกิเลสหมดสิ้นแล้วบุคคลนั้นพึงเข้าถึงสภาวะนิพพานเช่นเดียวกัน
คำว่าสูญญตา เป็นสภาวะที่ว่าง ดับลง ไม่มีโซ่เกี่ยวไว้ซึ่งก็แสดงความหมายชัดเจนว่าเป็นนิพพานนั่นเอง

แต่อนัตตา ไม่ได้แสดงสถานะพระนิพพาน แต่แสดงสถานะของพระไตรลักษณ์ มีความหมายว่า ไม่ห้ามคนใดคนหนึ่ง บุคคลที่ประหารกิเลสหมดสิ้นก็เข้าสู่นิพพานได้เช่นเดียวกันนั่นเอง

นิพพานไม่เกิดไม่ดับไม่เป็นอัตตาและไม่เป็นอนัตตา
การกระทำของพระอรหันต์เป็นกิริยาจิตเป็นอุเบกขา
ดับแล้วซึ่งอวิชชาสิ้นกิเลสอาสาวะนิพพานเป็นนิพพาน
จิตบริสุทธิ์ฟอกธาตุชันธ์ ลองแปลความอนัตตาใหม่สิคะ
อนัตตาแปลว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของจิตของใคร
เพราะจิตที่เกิด_ดับตามเหตุปัจจัยไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา
นิพพานเที่ยง นิพพานไม่สูญ นิพพานไม่อยู่ในกฏไตรลักษณะ
เพราะเมื่อทิ้งร่างมีพระธาตุเป็นพยานความบริสุทธิ์ของจิต
จิตที่แตกต่างทำให้กายสะอาดไม่เหมือนศพคนทั่วไป
:b29:
onion onion onion


คือที่คุณ rosarin อธิบายความหมายของพระนิพพาน ใช้ความหมายของ อนิจจัง แสดงพระนิพพาน คือ พระนิพพานเที่ยง ไม่อยู้ภายใต้กฎของอนิจจัง นั้นผมเห็นด้วย แต่ที่ผมแสดงความเห็นนั้น ไม่ได้แสดงพระนิพพานว่าเป็นอนิจจัง ผมแสดงความเห็นว่าพระนิพพพานเป็นอนัตตา ตามพระธรรมที่ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ผลมะม่วง ปลูกลงในดิน ย่อมเจริญเป็นมะม่วง ไม่แปรสภาพเป็นอื่น ฉันใด พระนิพพานก็ไม่แปรเป็นอื่น นี่คือความหมายของอนัตตา แต่มะม่วงก็ไม่เที่ยง โตแล้วก็แก่ตายเพราะเป็นอนิจจัง แต่สำหรับพระนิพพานนั้นเที่ยง เพราะไม่อยู่ภายใต้กฎอนิจจัง แต่ก็เป็นอนัตตา

tongue
คิดตามใหม่นะคะเพราะนิพพานเป็นสภาวะที่ไม่มีจิตอยู่ภายในนิพพานนะ
อนัตตาแปลว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับของใครที่จะไปข่มจิตเพื่อให้เข้าถึงได้
แต่เป็นสภาวะที่เกิดจากการปล่อยวางอารมณ์ขณะจิตเข้าไปรู้โดยมิได้คาดหวัง
และที่สำคัญเมื่อจิตไปรู้สภาวะที่ดับกิเลสโดยสิ้นเชิงจึงเกิดแสงสว่างออกรอบตัวค่ะ
เพื่อยืนยังว่าโลกมืดมานานหลังจากบรรลุอรหันต์แล้วเท่านั้นถึงจะเกิดแสงสว่างนะคะ
ส่วนการบรรลุมรรคผลนั้นเกิดจากจิตสมังคีพร้อมบริบูณ์เป็นอธิศีล อธิจิต และอธิปัญญา
เป็นอัตโนมัติในจิตโดยไม่ต้องข่มจิตไม่ไปกำหนดอะไรเกิดจากการสมบูรณ์ทางสฬายตนะ
และผลของจิตภาวนาที่เกิดเจริญสติสมบูรณ์ทางกายและวาจาทำให้จิตสงบรวมเอกัคตารมณ์
ณ ขณะที่เกิดการปล่อยวางนั้นเอง เป็นอารมณ์ที่ไม่มีกุศลเกิด จิตจะรู้ความเป็นไปอัตโนมัติแค่รู้
ไม่ต้องกำหนดอะไรเลย จิตจะทำหน้าที่เป็นประธานรู้ความเป็นไปอย่างสงบและปล่อยวางอย่างเดียว
เพราะนิพพานเป็นสภาวะธรรมที่ไม่ต้องปรุงแต่งเป็นของแท้ที่จิตเข้าไปรู้เฉยๆแบบจิตออกมาดูตาปริบๆน่ะ
:b12:
:b16: :b16:
มรรคจิตต้องเกิดแสงสว่างครับ.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร