วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 17, 18, 19, 20, 21, 22, 23 ... 61  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 06:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เอ้..ในกระทู้ไหนน่า.....Bigtoo ลบคอมเมนต์ตัวเองรึงัย?...ที่ว่า...น้ำตาจิไหล..ไม่ใช่ปีติ..นะ

ที่จริง..กระผมไม่ได้ตั้งใจจะหมายถึงปีติในการทำสมาธิ..หรอกนะ... :b32:

:b16: :b16: :b16:
ไม่เคยลบนะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
:b36:
น่าเสียดายเรื่องการเอาความยินดียินร้ายออกเสียให้ได้ อันเป็นหัวใจสำคัญของสติปัฏฐาน ๔ ยังมีผู้สนใจน้อยเกินไป ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ ผมจึงยกกลับมาให้พิจารณากันใหม่อีกครั้งนึ่งครับ

อภิชฌา โทมนัสสังเป็นภาษาบาลีที่เมื่อแปลเป็นไทยแล้ว ก็คือ ความยินดีพอใจ กับความยินร้ายไม่ชอบ ธรรมดาๆเท่านั้นเอง

การเอาความยินดีกับความยินร้ายออกให้ได้ก็ใช้กำลังและความสามารถเช่นเดียวกันและพอๆกัน ไม่ถึงกับต้องระดับระดับพระอรหันต์ก็ได้

การนำความยินดียินร้ายออกจากใจนั้นมีได้หลายวิธีตามพื้นฐานความรู้ความสามารถของแต่ละคนอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มๆได้ดังนี้

๑.โดยใช้สติที่มีกำลังมากตัด ผู้ที่ฝึกสติมานานจนมีกำลังมากเพียงแค่ระลึกรู้ความยินดีหรือความยินร้ายปรากฏขึ้นมาในจิตสติก็ตัดฉับยินดียิร้ายดับลงทันที วิธีนี้จะทำให้ไม่ทันได้เห็นสมุทัยกิเลสตัณหาจะตายด้วยอำนาจเจโตวิมุติ

๒.ใช้คำบริกรรมตัด หรือข่มเช่นยินดีหนอๆๆๆๆๆๆ หรือ ยินร้ายหนอๆๆๆๆ หรือบริกรรมพุทโธๆๆๆๆๆ สัมมาอรหังๆๆๆๆๆๆ อนัตตาๆๆๆๆๆๆถี่ๆไปจนจนความรู้สึกยินดียินร้ายนั้นดับไป

๓.ใช้กรรมฐานตัด คือผูกจิตมัดจิตไว้กับองค์กรรมฐานจนไม่สนใจไม่รับรู้ความยินดียินร้ายนั้น

๔.ใช้ความคิดเหตุและผลตัด

๕.ใช้ขันติ ตบะ วิริยะ ตัด โดยเฝ้ารู้ความยินดียินร้ายที่เกิดนั้นเฉยๆไปไม่ยอมทำอะไรตามอำนาจความยินดียินร้ายจนมันดับไป

๖.ใช้สติและปัญญาวิปัสสนานิ่งรู้นิ่งสังเกต ค้นเข้าไปในความยินดีหรือยินร้ายจนพบ "ผู้ยินดียินร้าย"ที่ซ่อนลึกอยู่ภายในแล้วใช้วิธีตามข้อ ๕ สู้จนผู้ยินดียินร้ายถอยหรือดับขาดไป ตายขาดไป
วิธีที่ ๖ นี้เป็นการสู้ที่เหตุเมื่อสำเร็จแล้วจะทำให้ความยินดียินร้ายหายขาดไม่หวนกลับคืนมาอีก
ส่วนวิธีที่ ๑ ถึง ๕ เป็นวิธีแก้ที่ผลจะประทังปิดบังความยินดียินร้ายไว้ด้วยอำนาจสติ สมาธิ ที่สุดความยินดียินร้ายซึ่งมีผู้ยินดียินร้ายซ่อนตัวอยู่ในนั้นอาจตายขาดไปพร้อมกันได้เช่นกันอันเป็นแนวทางของท่านที่มีอุปนิสัยทางด้านเจโตวิมุติ

onion

ข้ออื่นเอาไว้ก่อน ลองดูข้อสอง. พุทธโธนี้คือพระนามของพระองค์ พระพุทธ้เจ้าทำไมไม่รู้ว่าการท่องชื่อพระองค์คือมรรค. ทำไมพระองค์ไม่สอนให้ท่องพุทธโธครับ

:b16:
คุณ bigtoo คงลืมไปมั้งครับ ในกรรมฐาน ๔๐ มีอนุสติ ๑๐
ซึ่งมีพุทธานุสติ รวมอยู่ในนั้นด้วย


ได้กล่าวแล้วว่าวิธีที่ ๑-๕ นั้นเป็นวิธีสู้ที่ผล ยังไม่ใช่วิธีของมรรค ๘ ตรงๆ แต่ก็เป็นเหตุให้ได้เจโตวิมุติ หรือปัญญาวิมุติบ้างเมื่อมาเจริญวิปัสสนาปัญญาต่อตรงกลาง

แต่วิธีที่ ๖ นั้นเป็นการเอาสติ ปัญญา สมาธิ ศีล มาร่วมกันทำงานค้นหาเหตุทุกข์ หรือสู้ที่สมุทัยตรงๆเป็นการทำงานโดยมรรค ๘ ตรงๆครับ

:b38:
พุทธานุสติคือการตามระลึกถึงคุณพระพุทธองค์ ไม่ใช่การท่องพระนามพระองค์
การท่องพระนามของพระองค์คือความคิดคำ พ- ุ -ท -ธ -โ -ธ ตรงนี้จะต้องใช้ความคิด. จะเข้าไม่ถึงผู้รู้และผู้ถูกรู้ว่ามีสิ่งเกิดดับ. สติไม่เกิดจึงไม่ใช่สัมมาสมาธิ ได้เพียงแค่สงบจิตไม่ไถ่ถอนความเห็นผิดครับ และถ้าผู้นั้นไม่ได้ศึกษาอริยะสัจสี่มา. จะยึดเอาความสงบว่าเป็นนิพพาน ก็ไปจบอยู่ที่พรหม. และอาจจะคิดว่าตนเองมีพลังพิเศษไปเสกคาถาท่องมนต์ทำของสักสิทธิ์รดน้ำมนต์ใครๆได้อันตรายมาก. ซึ่งมีให้เห็นมากมาย. ขัดกับคำสอนอยู่

s005
ให้ตายเถอะจอร์จ...ไม่กราบพระรัตนตรัยใจก็ไม่ถึงพุทโธ
:b32: :b32: :b32: 555...กลายเป็นเจ้านู๋ทำไมไปเลย...
พุทโธ...ผู้รู้ พุทโธ...ผู้ตื่น พุทโธคือผู้เบิกบาน
พระพุทธเจ้ามีจำนวนมหาศาลขนาดไหนล่ะ
เทียบน้ำ1หยด=พระพุทธเจ้า1พระองค์
พระพุทธเจ้ามีประมาณมหาสมุทร
พุทโธคำเดียวถึงพระพุทธเจ้า
ทุกพระองค์อานิสงส์สูงสุด
พุทธานุสตินั้นยิ่งใหญ่
ไม่มีที่สิ้นสุดและ
ไม่มีประมาณ
ที่จะมาตรัสรู้
ในอนาคต
อนันต์
onion onion onion
ช่วยหาให้หน่อยจิ สอนท่อง คำว่าพุทธโธ. อยู่ส่วนไหน

กำลังสอนนี่ไง ทำปากจู๋เวลาพูดคำว่า"พุท"ก่อน
แล้วทำต่อด้วยพูดเสียง"โธ"แบบนี้เเป็นการคิดออกเสียง
ถ้าไม่ออกเสียง ก็คือคิด คำว่าพุทโธ คือกิริยาที่ทำไว้ภายในใจ
พอจะทำไหวไหม ถ้าต้องลึกสุดใจถึงขนาดที่ทำกายให้หายไปได้เลย
:b8:
:b32: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
:b36:
น่าเสียดายเรื่องการเอาความยินดียินร้ายออกเสียให้ได้ อันเป็นหัวใจสำคัญของสติปัฏฐาน ๔ ยังมีผู้สนใจน้อยเกินไป ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ ผมจึงยกกลับมาให้พิจารณากันใหม่อีกครั้งนึ่งครับ

อภิชฌา โทมนัสสังเป็นภาษาบาลีที่เมื่อแปลเป็นไทยแล้ว ก็คือ ความยินดีพอใจ กับความยินร้ายไม่ชอบ ธรรมดาๆเท่านั้นเอง

การเอาความยินดีกับความยินร้ายออกให้ได้ก็ใช้กำลังและความสามารถเช่นเดียวกันและพอๆกัน ไม่ถึงกับต้องระดับระดับพระอรหันต์ก็ได้

การนำความยินดียินร้ายออกจากใจนั้นมีได้หลายวิธีตามพื้นฐานความรู้ความสามารถของแต่ละคนอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มๆได้ดังนี้

๑.โดยใช้สติที่มีกำลังมากตัด ผู้ที่ฝึกสติมานานจนมีกำลังมากเพียงแค่ระลึกรู้ความยินดีหรือความยินร้ายปรากฏขึ้นมาในจิตสติก็ตัดฉับยินดียิร้ายดับลงทันที วิธีนี้จะทำให้ไม่ทันได้เห็นสมุทัยกิเลสตัณหาจะตายด้วยอำนาจเจโตวิมุติ

๒.ใช้คำบริกรรมตัด หรือข่มเช่นยินดีหนอๆๆๆๆๆๆ หรือ ยินร้ายหนอๆๆๆๆ หรือบริกรรมพุทโธๆๆๆๆๆ สัมมาอรหังๆๆๆๆๆๆ อนัตตาๆๆๆๆๆๆถี่ๆไปจนจนความรู้สึกยินดียินร้ายนั้นดับไป

๓.ใช้กรรมฐานตัด คือผูกจิตมัดจิตไว้กับองค์กรรมฐานจนไม่สนใจไม่รับรู้ความยินดียินร้ายนั้น

๔.ใช้ความคิดเหตุและผลตัด

๕.ใช้ขันติ ตบะ วิริยะ ตัด โดยเฝ้ารู้ความยินดียินร้ายที่เกิดนั้นเฉยๆไปไม่ยอมทำอะไรตามอำนาจความยินดียินร้ายจนมันดับไป

๖.ใช้สติและปัญญาวิปัสสนานิ่งรู้นิ่งสังเกต ค้นเข้าไปในความยินดีหรือยินร้ายจนพบ "ผู้ยินดียินร้าย"ที่ซ่อนลึกอยู่ภายในแล้วใช้วิธีตามข้อ ๕ สู้จนผู้ยินดียินร้ายถอยหรือดับขาดไป ตายขาดไป
วิธีที่ ๖ นี้เป็นการสู้ที่เหตุเมื่อสำเร็จแล้วจะทำให้ความยินดียินร้ายหายขาดไม่หวนกลับคืนมาอีก
ส่วนวิธีที่ ๑ ถึง ๕ เป็นวิธีแก้ที่ผลจะประทังปิดบังความยินดียินร้ายไว้ด้วยอำนาจสติ สมาธิ ที่สุดความยินดียินร้ายซึ่งมีผู้ยินดียินร้ายซ่อนตัวอยู่ในนั้นอาจตายขาดไปพร้อมกันได้เช่นกันอันเป็นแนวทางของท่านที่มีอุปนิสัยทางด้านเจโตวิมุติ

onion

ข้ออื่นเอาไว้ก่อน ลองดูข้อสอง. พุทธโธนี้คือพระนามของพระองค์ พระพุทธ้เจ้าทำไมไม่รู้ว่าการท่องชื่อพระองค์คือมรรค. ทำไมพระองค์ไม่สอนให้ท่องพุทธโธครับ

:b16:
คุณ bigtoo คงลืมไปมั้งครับ ในกรรมฐาน ๔๐ มีอนุสติ ๑๐
ซึ่งมีพุทธานุสติ รวมอยู่ในนั้นด้วย


ได้กล่าวแล้วว่าวิธีที่ ๑-๕ นั้นเป็นวิธีสู้ที่ผล ยังไม่ใช่วิธีของมรรค ๘ ตรงๆ แต่ก็เป็นเหตุให้ได้เจโตวิมุติ หรือปัญญาวิมุติบ้างเมื่อมาเจริญวิปัสสนาปัญญาต่อตรงกลาง

แต่วิธีที่ ๖ นั้นเป็นการเอาสติ ปัญญา สมาธิ ศีล มาร่วมกันทำงานค้นหาเหตุทุกข์ หรือสู้ที่สมุทัยตรงๆเป็นการทำงานโดยมรรค ๘ ตรงๆครับ

:b38:
พุทธานุสติคือการตามระลึกถึงคุณพระพุทธองค์ ไม่ใช่การท่องพระนามพระองค์
การท่องพระนามของพระองค์คือความคิดคำ พ- ุ -ท -ธ -โ -ธ ตรงนี้จะต้องใช้ความคิด. จะเข้าไม่ถึงผู้รู้และผู้ถูกรู้ว่ามีสิ่งเกิดดับ. สติไม่เกิดจึงไม่ใช่สัมมาสมาธิ ได้เพียงแค่สงบจิตไม่ไถ่ถอนความเห็นผิดครับ และถ้าผู้นั้นไม่ได้ศึกษาอริยะสัจสี่มา. จะยึดเอาความสงบว่าเป็นนิพพาน ก็ไปจบอยู่ที่พรหม. และอาจจะคิดว่าตนเองมีพลังพิเศษไปเสกคาถาท่องมนต์ทำของสักสิทธิ์รดน้ำมนต์ใครๆได้อันตรายมาก. ซึ่งมีให้เห็นมากมาย. ขัดกับคำสอนอยู่

s005
ให้ตายเถอะจอร์จ...ไม่กราบพระรัตนตรัยใจก็ไม่ถึงพุทโธ
:b32: :b32: :b32: 555...กลายเป็นเจ้านู๋ทำไมไปเลย...
พุทโธ...ผู้รู้ พุทโธ...ผู้ตื่น พุทโธคือผู้เบิกบาน
พระพุทธเจ้ามีจำนวนมหาศาลขนาดไหนล่ะ
เทียบน้ำ1หยด=พระพุทธเจ้า1พระองค์
พระพุทธเจ้ามีประมาณมหาสมุทร
พุทโธคำเดียวถึงพระพุทธเจ้า
ทุกพระองค์อานิสงส์สูงสุด
พุทธานุสตินั้นยิ่งใหญ่
ไม่มีที่สิ้นสุดและ
ไม่มีประมาณ
ที่จะมาตรัสรู้
ในอนาคต
อนันต์
onion onion onion
ช่วยหาให้หน่อยจิ สอนท่อง คำว่าพุทธโธ. อยู่ส่วนไหน

กำลังสอนนี่ไง ทำปากจู๋เวลาพูดคำว่า"พุท"ก่อน
แล้วทำต่อด้วยพูดเสียง"โธ"แบบนี้เเป็นการคิดออกเสียง
ถ้าไม่ออกเสียง ก็คือคิด คำว่าพุทโธ คือกิริยาที่ทำไว้ภายในใจ
พอจะทำไหวไหม ถ้าต้องลึกสุดใจถึงขนาดที่ทำกายให้หายไปได้เลย
:b8:
:b32: :b17:
ตกลงพระพุทธเจ้าสอนแบบนี้เหรอ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
แค่เป็นผู้ตื่น
รู้เข้าใจพระธรรมจริง
มีสติจริง
ก็ถึงพระพุทธ. พระธรรม พระสงฆ์แล้ว
ไม่ใช่ยังหลับอยู่
ไม่ใช่ท่องคาถา
ไม่ใช่ตามหาอรหันต์
จะถึงพระรัตนตรัยได้อย่างไร

wink
:b32: ไม่ใช่แค่เป็นผู้ตื่นจากนอนหลับนะจ๊ะ
รู้พระธรรมจริงคือพระอรหันต์ที่ดำรงไว้ในใจ
ไม่ใช่คิดคำของพระองค์ได้ทั้งพระไตรปิฎกน๊า
ถามจริงๆเถอะได้ธรรมอะไรที่เป็นจริงในตนหรือยัง
:b16:
:b28: :b28:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
แค่เป็นผู้ตื่น
รู้เข้าใจพระธรรมจริง
มีสติจริง
ก็ถึงพระพุทธ. พระธรรม พระสงฆ์แล้ว
ไม่ใช่ยังหลับอยู่
ไม่ใช่ท่องคาถา
ไม่ใช่ตามหาอรหันต์
จะถึงพระรัตนตรัยได้อย่างไร

wink
:b32: ไม่ใช่แค่เป็นผู้ตื่นจากนอนหลับนะจ๊ะ
รู้พระธรรมจริงคือพระอรหันต์ที่ดำรงไว้ในใจ
ไม่ใช่คิดคำของพระองค์ได้ทั้งพระไตรปิฎกน๊า
ถามจริงๆเถอะได้ธรรมอะไรที่เป็นจริงในตนหรือยัง
:b16:
:b28: :b28:
ผมคงไม่ใช่แบบคุณโรสหรอกครับ ที่ตามหาอรหันต์ ท่องคาถาเงินล้านรดน้ำมนต์ ท่องพุทธโธ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
บทสวดปฏิจสมุทปบาทน่ะเป็นความจริงที่เกิดกับจิต
ผู้รู้ที่รู้สภาวะเกิดดับกายหายตอนเป็นๆมีลมหายใจอยู่
ถึงแล้วก็คือธรรมจริง ถึงในชาตินี้นะทู่ถึงจะปิดอบายภูมิ
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
บทสวดปฏิจสมุทปบาทน่ะเป็นความจริงที่เกิดกับจิต
ผู้รู้ที่รู้สภาวะเกิดดับกายหายตอนเป็นๆมีลมหายใจอยู่
ถึงแล้วก็คือธรรมจริง ถึงในชาตินี้นะทู่ถึงจะปิดอบายภูมิ
onion onion onion
แค่สัมมาทิฎฐิคุณยังไม่เกิดเลย. แค่กายหายมันแค่เป็นเรื่องสมาธิก็แค่นั้น. คุณไปไตรตรองสิ่งที่คุณยังกระทำอยู่. ทำเพื่ออะไรหาเหตุผลให้เจอว่ามันเข้ากับอริยสัจอย่างไร. เช่นการวิ่งหาอรหันต์ท่องคาถาเวิงล้าน รดน้ำมนต์ ถ้าคุณหาเจอคุณจะรู้ว่านั้นไม่ใช้ทางหลุดพ้น แล้วคุณจะเลิกกระทำทุกอย่าง. คุณจะเหลือแค่. ทาน ศิล ภาวนา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ยืนยันผลงานจากบริกรรมพุทโธค่ะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50818


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ยืนยันผลงานจากบริกรรมพุทโธค่ะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50818
ก็แค่มิจฉาสมาธิ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wink
:b12: รู้ไหมว่าน้ำมะพร้าวที่ใช้ล้างหน้าศพทำเพื่อไร
สอนคนเป็นให้รู้จักทำจิตให้ผ่องใสเหมือนน้ำมะพร้าวไงล่ะ
ดูตัวอย่างพระอัฐิธาตุเอาไว้นะ :b16: กราบเป็นรึเปล่าก็ไม่รู้นะ(คิด) :b32:
[url]
http://www.dmc.tv/pages/good_QA/%E0%B8% ... B8%B2.html[/url]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ยืนยันผลงานจากบริกรรมพุทโธค่ะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50818
ก็แค่มิจฉาสมาธิ

:b32: :b32: ความไม่เอาไหนมาจากจิตดวงไหน
จิตดวงหลงดวงนั้นก็รับกลับไปพิจารณาเองเถอะ
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ฟังเทศนาธรรมคั่นเวลาหน่อยนะคะ
:b8:
http://m.youtube.com/watch?v=Z9SmSIFNigs


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ยืนยันผลงานจากบริกรรมพุทโธค่ะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50818
ก็แค่มิจฉาสมาธิ

:b32: :b32: ความไม่เอาไหนมาจากจิตดวงไหน
จิตดวงหลงดวงนั้นก็รับกลับไปพิจารณาเองเถอะ
:b44: :b44:
อะไรที่ว่าไม่เอาไหน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
Rosarin เขียน:
asoka เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
asokaเหมือนจะฉลาดนะก็ทำไมไม่คิดล่ะว่า
สถานีวิทยุวัดป่าบ้านตาดเปิดธัมมะ24ชั่วโมง
มีคำเทศนาธรรมของครูบาอาจารย์หลายองค์
ล้วนแต่พระอรหันต์สายกรรมฐานที่หลวงตาลงใจ
:b12:
ก็เคารพท่านเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์แรก
ในชาตินี้ที่ทำให้ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรมนะ
ไม่ยกย่องเทิดทูนท่านจะให้เทิดทูลองค์ไหนล่ะ
ในเมื่อไม่ได้ไปเข้าใกล้ครูอาจารย์องค์อื่นเท่านี้
:b16:
แม้แต่หลวงปู่ผางอฺมัญจาคีรีจ.ขอนแก่นยังส่งพระ
ลูกวัดมาศึกษาธรรมที่วัดป่าบ้านตาดแล้วก็ส่งเทป
เทศน์ขององค์หลวงตากลับไปให้หลวงปู่ผางตลอด
ภายหลังมรณภาพจึงทราบว่าท่านฟังเทศน์บรรลุธรรม
:b12:
หลวงตามหาบัวท่านบอกว่าท่านเป็นหลวงตาป.3เปรียญ3
ข้าพเจ้าก็ลูกศิษย์ป.3ไม่เคยนั่งสมาธิเริ่มฝึกที่วัดบ้านตาด
นั่งเฉพาะตอนฟังหลวงตาเทศน์ที่วัดเท่านั้นก็ตักบาตรเช้า
วันเสาร์-อาทิตย์้เสร็จก็จะเข้าไปศาลาฟังท่านเทศน์หลังฉัน
ตั้งแต่ปี2547มาถึงปีที่นั่งแล้งได้ดวงคาเห็นธรรมปี2549 :b8:
:b16:
ครบ3ปีแน่นอนไหมล่ะอาจารย์ข้าพเจ้าจึงตั้งฉายาตัวเองว่า
ลูกศิษย์ป.3ไงล่ะ
:b32:
จะบอกให้เอาบุญจ้ะว่าท่านชำนาญที่สุด
รู้ไว้ในด้านการย่นภพชาติให้ลูกศิษย์น๊า
onion onion onion
:b53: :b44:

s004
อืม!!!!!!!!

น่าอนุโมทนาและน่าสนใจที่คุณ Rossarin ปฏิบัติตามคำสอนหลวงตามหาบัว จนได้ดวงตาเห็นธรรม

อยากเรียนขอความกรุณาช่วยเล่าสภาวะตอนได้ดวงตาเห็นธรรมมาให้ฟังสักหน่อยว่าเป็นอย่างไร ถึงอาจหาญรับรองตนเองได้ว่าเห็นธรรมแล้วและเพื่อเป็นวิทยาทานให้เกิดศรัทธาปสาทะยิ่งๆขึ้นต่อไปครับ
:b27:


Rosarin เขียน:
s005
ผิดไปแล้วก็ต้องยอมรับผิดชอบจะกลายเป็นมุสาวาจา
ขออภัยถ้ามันว่างไปหมดก็อะระหันน้อยแล้วหละ :b32:
สะดุ้งตื่นขึ้นมาจิตเตือนว่าโพสต์อะไรเกินจริงไปไหม
รู้ที่ผิดต้องแก้ไขตรงจิตกะธรรมขณะนั้นยังเหลือผู้รู้
คำบริกรรมหายไปหมด จิตได้ยินยังทำงานเสียงก็จริง
ขณะนั้นไม่กลัวตายเพราะสติมั่นคงว่านั่งสมาธิฟังเทศน์
ของพระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัวสดๆอยู่)
มาค้นตำราอ่านภายหลังจึงทราบว่าเป็นฌาน4ยังไม่ถึง
ขั้นละเอียดเพราะยังได้ยินสียงเทศน์แว่วไกลๆหูยังมิดับ
เหลือจิตผู้รู้กะสภาวะธรรม ไม่รู้อาการกายและเวทนา
แต่จิตก็ไม่หลงกายเพราะรู้ว่ากายยังมีจิตก็อยู่ครบ

ทั้งโยมและพระเต็มศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
พอหลวงตาเทศน์จบให้พรแล้วจิตถอนจากสมาธิ
บอกสิ่งที่เกิดขึ้นให้เพื่อนที่ไปด้วยกันฟังปิติมากค่ะ
จำได้ไม่ลืมแต่ไม่เคยเล่าให้หลวงตามหาบัวท่านฟังเลย
ไม่อยากออกทีวีดาวเทียมกะออกวิทยุสดๆ
สรุปขณะนั้นเป็นจิต เจตสิกและรูปด้วยค่ะ
จิตละเอียดที่รู้ความจริงมิใช่การท่องน๊า
:b13:
ขอบพระคุณที่คุณstudentให้คำแนะนำดีๆ
ไม่สงสัยใดๆในคำสอนของพระพุทธเจ้าค่ะ

:b39: :b39:
:b12:


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50596

สงสัยในจิตตนเถิดจะมาเพ่งโทษคนอื่นน่ะจิตตัวเองนั่นแหละที่เป็นอกุศล
:b12:

:b12:
อ้อ!!!!!!

ภาวะการได้ดวงตาเห็นธรรมของคุณRossarin เป็นอย่างนี้นี่เอง ยังไม่น่าอนุโมทนาตามนะครับเพราะอาการที่เกิดยังค่อนข้างหยาบไปนิดหนึ่ง เป็นไปแค่ลำดับแห่งฌาณ ยังไม่เป็นไปตามลำดับแห่งญาณวิปัสสนาหรือญาณ ๑๖

การได้ดวงตาเห็นธรรมบางท่านก็กล่าวว่าคือการได้โสดาปัตติมรรคเข้าถึงโสดาปัตติผล

แต่ตามสภาวจริงๆแล้วการได้ดวงตาเห็นธรรมคือการที่จิตได้รู้ชัดและเสวยสภาวะอนัตตาจริงๆชัดเจน หลังจากนั้นอีกไม่นานถ้ายังไม่เพิกถอนความเพียร จิตจะเข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ ส่งขึ้นอนุโลมญาณ โคตรภูญาณ โสดาปัตติมรรคญาณ
ผลญาณ นิพพาน แล้วเกิดปัจจเวกญาณตามมาเป็นญาณสุดท้าย วิกิจฉาขาดสะบั้นโดยสิ้นเชิง

ที่คุณ Rossarin พูดสรุปมานั้นยังหยาบไปหรือจะมีสภาวะที่ละเอียดกว่านี้แต่พูดไม่ออกบอกไม่เป็นวันหลังนึกได้ก็เอามาเล่ากันใหม่นะครับ

ส่วนเรื่องเพ่งโทษผู้อื่น เพ่งโทษตนอะไรนั้นมันพ้นตรงนั้นไปแล้วครับ เหลือแต่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเท่านั้นเป็นเครื่องอยู่เครื่องเตือนให้ทำกิจที่พึงทำเพื่อความสุขเย็นของชาวโลก

:b38:

:b6:
อโศกะเข้าใจคำว่าการได้ดวงตาเห็นธรรมมากแค่ไหนล่ะ
การอ่านและท่องจำได้หมดน่ะไม่ใช่ดวงตาเห็นธรรมเลย
ผลการปฏิบัติที่เข้าถึงความจริงน๊าเป็นการเห็นธรรมในจิต
แล้วที่บรรลุความไม่มีตัวตนแล้วน่ะเป็นการดับภพชาติแล้ว
ของจริงน่ะนามเกิด รูปดับ เหลือแต่จิตผู้รู้บรรลุความเกิด-ดับ
จิตดวงใหม่ที่เคยไม่รู้ว่ากายกับจิตเป็นคนละอันกันหมดไปแล้ว
จิตใหม่รู้ความจริงของปฏิจจสมุทปบาทตามที่ทรงเอื้อนพระโอษฐ์เป็นสัจจธรรม
:b1:
อ้างคำพูด:
คำบริกรรมหายไปหมด จิตได้ยินยังทำงานเสียงก็จริง
ขณะนั้นไม่กลัวตายเพราะสติมั่นคงว่านั่งสมาธิฟังเทศน์
ของพระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัวสดๆอยู่)
มาค้นตำราอ่านภายหลังจึงทราบว่าเป็นฌาน4ยังไม่ถึง
ขั้นละเอียดเพราะยังได้ยินสียงเทศน์แว่วไกลๆหูยังมิดับ
เหลือจิตผู้รู้กะสภาวะธรรม ไม่รู้อาการกายและเวทนา
แต่จิตก็ไม่หลงกายเพราะรู้ว่ากายยังมีจิตก็อยู่ครบ

:b12:
ตรงตัวแดงๆที่เป็นสภาวะที่ปรากกฏกับจิตข้าพเจ้าตรงตามตำราเปะ
เอาผลที่เกิดมาเทียบตำรากรุณาไปอ่านฌานจิตของท่านป.ปยุตโตนะ
ขณะที่เข้าไปรู้แล้วได้ดวงตาเห็นธรรมข้าพเจ้าไม่ได้รู้เรื่องฌานมาก่อน
การมารู้ทฤษฎีภายหลังนี่แหละทำให้เป็นสักขีพยานว่าคำจริงของใคร
ข้าพเจ้าเล่าความจริงที่เกิดกับจิตให้ฟังไม่ได้มาสาธยายในตำราให้อ่าน
ควรที่จะย้อนกลับไปดูจิตตัวเองว่าถึงดวงตาอันนี้บ้างหรือยังอ่านแต่ตำรา
:b44: :b44:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 17, 18, 19, 20, 21, 22, 23 ... 61  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร