วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 07:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 103 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2015, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ท่าทาง....จะขายไม่ออก..

ยังไม่มีใครถามปัญหาแบบละเอียด..เลยนิ

:b6: :b6: :b6:


bigtoo เขียน:
ผมไม่คิดจะเร่ขายนี่ครับ ผมคิดเพียงจี้จุดคนหลงเท่านั้น. คุณเองไม่ใช่เหรอเป็นคนเร่ขาย. ถ้าทางขายยากนะเพราะของของท่านไม่น่าสนใจ


งั้นผมเอาปัญหาคนอื่น..มาถามก็แล้วกัน..ถ้าได้อะไรดีดี..จะเอาไปบอกเจ้าตัวเขา

...............
เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง..ทำทาน..รักษาศีล...และยังปฏิบัติธรรม
ปัญหา...ของเขาคือ....พอจะไปปฏิบัติธรรม..ไปเจอพระสงฆ์องคเจ้าในที่ปฏิบัติธรรม..จะมีเสียงในหัวตัวเอง...ผุดคำหยาบ ๆ ต่อพระสงฆ์..ไม่หยุด...เขากังวลมาก...เศร้าไปเลย...แม้จะภาวนาว่า...สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง...สัญญาทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน...เสียงนั้นก็ไม่หาย...จะเป็นเฉพาะในที่ปฏิบัติธรรม...แต่ถ้าไปวัดธรรมดา..ทำบุญทำทาน..ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น..

ทำอย่างไร..เสียงนั้นจะหายไป..เป็นทุกข์มากเลย
...............

Bigtoo ช่วยแนะนำหน่อย...แม้ไม่ใช่ปัญหาละเอียดอะไรมากก็ตาม...


tongue สวัสดีคุณกบ
ค่อยๆละความกลัว..และความวิตกกังวลเสีย อบรมสติและสมาธิให้มีกำลังพอที่จะทันเห็นสภาวธรรม
ที่กำลังปรากฏในปัจจุบันขณะ ต้องเข้าไปรู้จักที่ตัวสภาวธรรม ซึ่งไม่ใช่การภาวนาด้วยคำพูดหรือความนึกคิด
จิตที่ตื่นรู้...รู้มากๆ บ่อยๆ ปัญญาจะตัดขาดไปเองถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับ มีดที่ถูกลับบ่อยๆจนคมกริบ ตัดเชือกทีเดียวขาดทันที ดังนั้นสติ สมาธิและปัญญาเมื่อเราอบรมฝึกฝนให้มากก็จะเกิดความลงตัวและสมดุลเพียงพอที่จะนำไปใช้ประโยชน์...หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนคุณกบ...
...หาเหตุของทุกข์ให้เจอ และละด้วยมรรคมีองค์แปด..หลายๆคนมักจะหาเหตุของทุกข์ไม่เจอ

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2015, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ท่าทาง....จะขายไม่ออก..

ยังไม่มีใครถามปัญหาแบบละเอียด..เลยนิ

:b6: :b6: :b6:


bigtoo เขียน:
ผมไม่คิดจะเร่ขายนี่ครับ ผมคิดเพียงจี้จุดคนหลงเท่านั้น. คุณเองไม่ใช่เหรอเป็นคนเร่ขาย. ถ้าทางขายยากนะเพราะของของท่านไม่น่าสนใจ


งั้นผมเอาปัญหาคนอื่น..มาถามก็แล้วกัน..ถ้าได้อะไรดีดี..จะเอาไปบอกเจ้าตัวเขา

...............
เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง..ทำทาน..รักษาศีล...และยังปฏิบัติธรรม
ปัญหา...ของเขาคือ....พอจะไปปฏิบัติธรรม..ไปเจอพระสงฆ์องคเจ้าในที่ปฏิบัติธรรม..จะมีเสียงในหัวตัวเอง...ผุดคำหยาบ ๆ ต่อพระสงฆ์..ไม่หยุด...เขากังวลมาก...เศร้าไปเลย...แม้จะภาวนาว่า...สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง...สัญญาทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน...เสียงนั้นก็ไม่หาย...จะเป็นเฉพาะในที่ปฏิบัติธรรม...แต่ถ้าไปวัดธรรมดา..ทำบุญทำทาน..ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น..

ทำอย่างไร..เสียงนั้นจะหายไป..เป็นทุกข์มากเลย
...............

Bigtoo ช่วยแนะนำหน่อย...แม้ไม่ใช่ปัญหาละเอียดอะไรมากก็ตาม...

:b12:
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าบุคคลนั้นควรเจริญสติในชีวิตประจำวันด้วยการภาวนาพุทโธถี่ยิบ
ไม่ต้องไปกำหนดลมหายใจตามคำบริกรรมเพื่อลดความฟุ้งของจิตก่อนให้สวดมตนต์ไหว้พระ
จะทำสมาธิก็ให้ปฏิบัติอยู่ในสถานที่ของตนเองคือที่บ้านในห้องพระไม่มีก็ในห้องนอนก็ได้นะคะ
เหตุผลก็คือเวลาพระท่านออกธุดงค์ท่านก็มิได้พกศาลาหรือว่าโบสถ์วิหารติดไปกับการเดินทางด้วย
:b16:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2015, 16:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
. ...............
เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง..ทำทาน..รักษาศีล...และยังปฏิบัติธรรม
ปัญหา...ของเขาคือ....พอจะไปปฏิบัติธรรม..ไปเจอพระสงฆ์องคเจ้าในที่ปฏิบัติธรรม..จะมีเสียงในหัวตัวเอง...ผุดคำหยาบ ๆ ต่อพระสงฆ์..ไม่หยุด...เขากังวลมาก...เศร้าไปเลย...แม้จะภาวนาว่า...สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง...สัญญาทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน...เสียงนั้นก็ไม่หาย...จะเป็นเฉพาะในที่ปฏิบัติธรรม...แต่ถ้าไปวัดธรรมดา..ทำบุญทำทาน..ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น..

ทำอย่างไร..เสียงนั้นจะหายไป..เป็นทุกข์มากเลย


:b46:
มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิด...มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับ
:b1:
คิดก็รู้...กังวลก็รู้...เศร้าก็รู้
...อยากให้หยุดคิดก็รู้
...หงุดหงิดไม่พอใจก็รู้
...บางทีอาจถึงขั้นโมโหเลือดขึ้นหน้าต่อขึ้นมาก็รู้555 :b32: :b32:
...เป็นทุกข์ก็รู้
...อยากหลุดพ้นก็รู้

ไม่น่าจะต้องไปคิดว่า...ทำอย่างไร..เสียงนั้นจะหายไป
นั่นแหละทุกข์
ทุกข์ก็คือทุกข์
ถ้าทุกข์ก็คือเรา เราก็คือทุกข์......ก็เป็นทุกข์ต่อไปไม่รู้จบ
หน้าที่
แค่มีสติรู้ให้ทัน
เป็นการถอดถอนตัวตน
ปล่อยให่เป็นขั้นตอนของปัญญา
รู้แจ้ง
:b47: สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง.....สัญญาทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน
ถ้าทนทุกข์ไม่ได้...อยากให้หยุด...อยากให้หาย
มันไม่ทันได้เห็น
แล้วมันจะรู้ได้อย่างไร

ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ
จะได้เห็นการต่อสู้กะกิเลสได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปตามลำดับ :b20:
แค่มีสติตามรู้ให้ทัน
เหมือนกองไฟที่มีอยู่แล้ว....ถ้าไม่เติมเชื้อ..มันก็มอด..แน่นอน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2015, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ในส่วนลึกของเราที่เรียกว่าจิตใต้สำนึกเป็นที่นอนเนื่องของอนุสัย ไม่ว่าเราจะกระทำตนเป็นคนดี รักษาศิลภาวนา แล้วทำไมเราถึงมีความคิดที่เป็นอกุศลปรากฎออกมาทั้งๆที่เราไม่ได้คิดมันเลย เช่นการด่าพระสงฆ์หรืออื่นๆ

ผู้ที่ปฎิบัติเจาะลงไปลึกในระดับจิตใต้สำนึกเท่านั้นที่จะเห็นเจ้าโจรตัวนี้ มันจะปรากฎออกมาเองเลย แล้วเราไปรับรู้ได้ด้วยการเห็นความคิดนั้นเราจะเห็นว่านั้นเป็นสังขารที่ปรุ่งแต่งขึ้นตามเหตุปัจจัยที่เราสะสมมาทั้งในอดีดและปัจจุบัน ท่านจะเห็นความไม่ใช่ตัวตนของเรา เราจะบังคับมันไม่ได้ เราจะเห็นความเป็นธรรมชาติของธรรมะตรงนี้จะทำให้เราเกิดปัญญารู้เท่าทันความจริง.
บางคนอาจรู้สึกกลัวและกังวลในความคิดที่ปรากฎ บอกให้เลยว่าท่านไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ในเมื่อท่านไม่ได้เป็นคนคิด มันเป็นเพียงสังขารเก่าๆเราเท่านั้น มันก็ทำหน้าที่ของมัน มองในมุมบวกดีซะอีกที่เราสามารถเห็นความจริงที่มีอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา.

บางคนยังปฎิบัติไม่ถึงตรงนี้ก็จะไม่เห็นโจรตัวนี้เลย นี่ถือว่าเป็นการก้าวหน้า. มีวิธีกำจัดมารตัวนี้คือท่านจงระลึกถึงบุญคุณที่แท้จริงตรงต่อพระสงฆ์. ไม่ใช่วิ่งหาความเป็นอรหันต์นะครับ. อย่างเช่นถ้าไม่มีพระอริยเจ้าที่ปฎิบัติตรงต่อหน้าที่ที่ดีช่วยกันเผยแผ่รักษาพระธรรมและพระวินัยไว้ อย่างเช่นพระโสณะพระอุตตระที่นำพระธรรมมาถึงสุวรรณภูมิ ท่านลำบากตรากตรำข้ามน้ำข้ามทะเลมา

และเชื่อว่ามีท่านอื่นอีกมากมายที่ช่วยกันรักษาพระธรรมจนมาถึงเราที่ได้รับความรู้ เราจงระลึกถึงบุญคุณนี้อย่างจริงใจ จะทำให้เราสอนจิตใต้สำนึกเราได้ ความคิดอกุศลเหล่านนั้นก็จะถูกทำลายลง แต่ต้องคิดในระหว่างท่านนั่งสมาธิจิตมีความสงบได้ระดับหนึ่งจะเป็นการดีนะครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2015, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาน่าจิตปรามาสด่าพระด่าเจ้า มันเป็นกรรม ตอนทำไม่รู้จักคิดไตร่ตรองก่อน พอทำแล้วจิตมันก็สั่งสมในอนุสัยสันดานอ่ะดิ..วิ่งหนีก็ไม่พ้น ก็ต้องใช้กรรมไปซักระยะนึง..อยู่ไจะให้มันดับทันทีทันควันได้ไง..เวลาด่าติเตือนพระ ทำมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ เวลาจิตมันแว๊บไปด่า ก็ปล่อยไปเลย ตามสบาย เหนื่อยแล้วมันก็พักเอง.. แต่ก่อนนอนก็อธิฐานบทขอขมาพนะรัตนตรัย..ทำไปเรื่อยๆๆ เด่วก็เกิดผล..
ปล.โชคดีนะเนียะ เป็นคนที่ไม่ด่าพระด่าเจ้า ปกติจะด่าแต่คน ชอบด่าพระด่าเจ้า และพวกโม้ว่าบรรลุธรรม :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2015, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้นดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cool
เจ้าของกระทู้ไปไหนแล้ว
สอนผิดต้องลงโทษด้วยนะ
เค้าไม่ยอมด้วย
:b32: :b32:
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion
สงบจริงต้องไม่วิ่งหาอรหันต์น๊า แบบกายหายไปนั้นมันชั่วคราว

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion
สงบจริงต้องไม่วิ่งหาอรหันต์น๊า แบบกายหายไปนั้นมันชั่วคราว


ผู้รู้ที่ทำสมาธิได้ผลของความสงบในจิต
กลายเป็นจิตดวงใหม่หมดลังเลสงสัยว่า
กายกะจิตต่างอันต่างอยู่มันเป็นยังไงจ้ะ
ถึงจะสามารถระลึกเป็นไปในสติปัฏฐานสี่
ที่หมดกิเลสเบื้องต้นที่รู้ความจริงที่ไม่มีตัวตน
เกิดกุศลจิตที่สติรู้อารมณ์วิปัสนาภาวนาแท้จริง
ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก่อนก็มีแต่อกุศลจิตที่เป็นวิปัสสนึกน๊า
:b17:
ยังบ้าหลงสังขารอยู่นะทู่น๊า
:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 21 ส.ค. 2015, 20:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion
สงบจริงต้องไม่วิ่งหาอรหันต์น๊า แบบกายหายไปนั้นมันชั่วคราว


ผู้รู้ที่ทำสมาธิได้ผลของความสงบในจิต
กลายเป็นจิตดวงใม่ที่หมดลังเลสงสัยว่า
กายกะจิตต่างอัต่างอยู่เป็นยังไงจ้ะ
ถึงจะสามารถระลึกเป็นไปในสติปัฏฐานสี่
ที่หมดกิเลสเบื้องต้นที่รู้ความจริงที่ไม่มีตัวตน
เกิดกุศลจิตที่สติรู้อารมณ์วิปัสนาภาวนาแท้จริง
ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก่อนก็มีแต่อกุศลจิตที่เป็นวิปัสสนึกน๊า
:b17:
ยังบ้าหลงสังขารอยู่นะทู่น๊า
:b32: :b32:

แบบไหนล่ะล่ะที่ว่าบ้าหลงสังขารอยู่ แบบตามหาอรหันต์หรือท่องคาถาเงินลล้านล่ะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 21:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion
สงบจริงต้องไม่วิ่งหาอรหันต์น๊า แบบกายหายไปนั้นมันชั่วคราว


ผู้รู้ที่ทำสมาธิได้ผลของความสงบในจิต
กลายเป็นจิตดวงใม่ที่หมดลังเลสงสัยว่า
กายกะจิตต่างอัต่างอยู่เป็นยังไงจ้ะ
ถึงจะสามารถระลึกเป็นไปในสติปัฏฐานสี่
ที่หมดกิเลสเบื้องต้นที่รู้ความจริงที่ไม่มีตัวตน
เกิดกุศลจิตที่สติรู้อารมณ์วิปัสนาภาวนาแท้จริง
ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก่อนก็มีแต่อกุศลจิตที่เป็นวิปัสสนึกน๊า
:b17:
ยังบ้าหลงสังขารอยู่นะทู่น๊า
:b32: :b32:

แบบไหนล่ะล่ะที่ว่าบ้าหลงสังขารอยู่ แบบตามหาอรหันต์หรือท่องคาถาเงินลล้านล่ะ

คบบัณฑิตคบกัลยาณมิตรก็ไปหาท่าน
มีแต่จิตที่เป็นกุศลในทาน ศีล ภาวนา
สภาพธ้มมะที่ปรากฏทางอายตนะ6
ที่มีแต่สิริมงคลรู้สมมุติไม่ยึดตัวตน
มีแต่คุณธรรมที่ดีงามปรากฎแก่จิต
สภาพธรรมที่จิตเห็นเป็นมงคลสูงสุดไง
เห็นในกุศลจิตของสมณผู้สงบจากอกุศลแล้ว
:b39:
:b16: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 06:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion
สงบจริงต้องไม่วิ่งหาอรหันต์น๊า แบบกายหายไปนั้นมันชั่วคราว


ผู้รู้ที่ทำสมาธิได้ผลของความสงบในจิต
กลายเป็นจิตดวงใม่ที่หมดลังเลสงสัยว่า
กายกะจิตต่างอัต่างอยู่เป็นยังไงจ้ะ
ถึงจะสามารถระลึกเป็นไปในสติปัฏฐานสี่
ที่หมดกิเลสเบื้องต้นที่รู้ความจริงที่ไม่มีตัวตน
เกิดกุศลจิตที่สติรู้อารมณ์วิปัสนาภาวนาแท้จริง
ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก่อนก็มีแต่อกุศลจิตที่เป็นวิปัสสนึกน๊า
:b17:
ยังบ้าหลงสังขารอยู่นะทู่น๊า
:b32: :b32:

แบบไหนล่ะล่ะที่ว่าบ้าหลงสังขารอยู่ แบบตามหาอรหันต์หรือท่องคาถาเงินลล้านล่ะ

คบบัณฑิตคบกัลยาณมิตรก็ไปหาท่าน
มีแต่จิตที่เป็นกุศลในทาน ศีล ภาวนา
สภาพธ้มมะที่ปรากฏทางอายตนะ6
ที่มีแต่สิริมงคลรู้สมมุติไม่ยึดตัวตน
มีแต่คุณธรรมที่ดีงามปรากฎแก่จิต
สภาพธรรมที่จิตเห็นเป็นมงคลสูงสุดไง
เห็นในกุศลจิตของสมณผู้สงบจากอกุศลแล้ว
:b39:
:b16: :b12:
อยู่กับตนเองไม่ได้เหรอจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้. ยึดติดนี่. วางซะจะสบาย เพราะนิพพานไม่มีนะสิ่งนั้น

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 22 ส.ค. 2015, 07:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 06:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion
สงบจริงต้องไม่วิ่งหาอรหันต์น๊า แบบกายหายไปนั้นมันชั่วคราว


ผู้รู้ที่ทำสมาธิได้ผลของความสงบในจิต
กลายเป็นจิตดวงใหม่หมดลังเลสงสัยว่า
กายกะจิตต่างอันต่างอยู่มันเป็นยังไงจ้ะ
ถึงจะสามารถระลึกเป็นไปในสติปัฏฐานสี่
ที่หมดกิเลสเบื้องต้นที่รู้ความจริงที่ไม่มีตัวตน
เกิดกุศลจิตที่สติรู้อารมณ์วิปัสนาภาวนาแท้จริง
ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก่อนก็มีแต่อกุศลจิตที่เป็นวิปัสสนึกน๊า
:b17:
ยังบ้าหลงสังขารอยู่นะทู่น๊า
:b32: :b32:

เอามาฝากเห็นบอกว่าได้สมาธิระดับฌาน. จะได้ไม่ต้องวิ่งไปหาโน้นนี่นั่น พิจารณาแบบไหนจะได้บรรลุ

๕. ฌานสูตร


ว่าด้วยฌานสมาบัติและสัญญาเวทยิตนิโรธ

[๓๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานบ้างตติยฌานบ้าง จตุตถฌานบ้าง อากาสานัญจายตนฌานบ้าง ฯลฯ. เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนฌานบ้าง
ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธเธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ในธรรมเหล่านั้น เธอครั้นยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตะ
ธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ
ดุก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้า หรือกองก้อนดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆได้ แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลายคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยงฯลฯ. เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึง ความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าว
ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยทุติยฌานบ้าง ฯลฯ เพราะอาศัยตติยฌานบ้าง ฯลฯ เพราะอาศัยจตุตถฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละทุกข์ละสุขและดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งจตุตถฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น เธอครั้นยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน เธอตั้งอยู่ในจตุตถฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลิน ในธรรมนั้นๆ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงธนูไปยังรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้า หรือกองก้อนดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆได้ แม้ฉันใดดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ เพราะลุสุข เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลายคือ รูป เวทนา ฯลฯ มีอันไม่กลับจากโลกเป็นธรรมดา ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยจตุตถฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าว
ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพาระอาศัยอากาสานัญจายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน เพราะคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อากาศไม่มีที่สุด เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากาสานัญจายตนฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น เธอครั้นยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน เธอตั้งอยู่ในอากาสานัญจายตนฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงคงามสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดี เพลิด
เพลินในธรรมนั้นๆ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงธนูไปยังรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้า หรือกองก้อนดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆได้ แม้ฉันใดดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน เพราะคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อากาศไม่มีที่สุด เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลายคือ รูป เวทนา ฯลฯ มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดาข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยอากาสานัญจายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว
ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยวิญญาณัญจายตนฌานบ้าง ฯลฯ อากิญจัญญายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนโดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน เพราะคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อะไรๆ หน่อยหนึ่งไม่มี เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากิญจัญญายตนฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด ว่างเปล่า เป็นอนัตตาเธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น เธอครั้นยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตะธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน เธอตั้งอยู่ในอากิณจายตนฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น
มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดี เพลิดเพลิน ในธรรมนั้นๆ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงธนูไปยังรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้า หรือกองก้อนดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆได้แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานด้วยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌานเพราะคำนึงในอารมณ์ว่า อะไรๆ หน่อยหนึ่งไม่มี เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลายคือ เวทนา สัญญาฯลฯ มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดี เพลิดเพลิน
ในธรรมนั้นๆ ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้แล สัญญาสมาบัติมีเท่าใด สัญญาปฏิเวธก็มีเท่านั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะ ๒ เหล่านี้ คือ เนวสัญญานาสัญญายนตสมาบัติ ๑ สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑ ต่างอาศัยกันดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า อายตนะ ๒ ประการนี้ อันภิกษุผู้เข้าฌาน ผู้ฉลาดในการเข้าสมาบัติ ฉลาดในการออกสมาบัติ เข้าแล้วออกแล้ง พึงกล่าวได้โดยชอบ
จบฌานสูตรที่ ๕ (อัง.นวก.แปล ๒๓/๖๑ หน้า ๔๘๓-๔๘๙)

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion
สงบจริงต้องไม่วิ่งหาอรหันต์น๊า แบบกายหายไปนั้นมันชั่วคราว


ผู้รู้ที่ทำสมาธิได้ผลของความสงบในจิต
กลายเป็นจิตดวงใม่ที่หมดลังเลสงสัยว่า
กายกะจิตต่างอัต่างอยู่เป็นยังไงจ้ะ
ถึงจะสามารถระลึกเป็นไปในสติปัฏฐานสี่
ที่หมดกิเลสเบื้องต้นที่รู้ความจริงที่ไม่มีตัวตน
เกิดกุศลจิตที่สติรู้อารมณ์วิปัสนาภาวนาแท้จริง
ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก่อนก็มีแต่อกุศลจิตที่เป็นวิปัสสนึกน๊า
:b17:
ยังบ้าหลงสังขารอยู่นะทู่น๊า
:b32: :b32:

แบบไหนล่ะล่ะที่ว่าบ้าหลงสังขารอยู่ แบบตามหาอรหันต์หรือท่องคาถาเงินลล้านล่ะ

คบบัณฑิตคบกัลยาณมิตรก็ไปหาท่าน
มีแต่จิตที่เป็นกุศลในทาน ศีล ภาวนา
สภาพธ้มมะที่ปรากฏทางอายตนะ6
ที่มีแต่สิริมงคลรู้สมมุติไม่ยึดตัวตน
มีแต่คุณธรรมที่ดีงามปรากฎแก่จิต
สภาพธรรมที่จิตเห็นเป็นมงคลสูงสุดไง
เห็นในกุศลจิตของสมณผู้สงบจากอกุศลแล้ว
:b39:
:b16: :b12:
อยู่กับตนเองไม่ได้เหรอจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้. ยึดติดนี่. วางซะจะสบาย เพราะนิพพานไม่มีนะสิ่งนั้น

ขึ้นกับปัญญาสะสมความเห็นแก่ตัวมามากย่อมไม่ช่วยงานสังคม
พึ่งพระอริยสงฆ์ภายในตนอันดับแรก กับอริยสงฆ์บุคคลที่ภูมิธรรมสูงกว่านะ
สะสมปัญญามาต่างกัน รู้ผิวเผินก็อ้างแต่ตำราภูมิธรรมในตนไม่เกิดบอกไปก็ไม่เข้าใจอะไร
:b8:
:b16: :b16:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 103 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 96 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร