วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 16:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 61  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2015, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
เอาอีกแล้วกบ ในโลกนี้มีแต่ความจริงนะกบ


จริงหร่า... :b32: :b32:

bigtoo..ส่องกระจกดูซิ....ที่เห็น...เป็นตัวเองมั้ยละนั้น?
มีแต่สัจธรรม. คือความจริง อะไรก็คือสัจธรรม กบนี้ตลอดเลยผิดหลักการ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2015, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


onion
Rosarin เขียน:
Kiss
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ทั้ง 3 คำถาม...มีคำตอบเดียว...คือ...ความจริง

ตรัสรู้..พระองค์ก็ตรัสรู้ความจริง
สอน..พระองค์ก็ทรงสอนความจริง
หน้าที่ชาวพุทธ...มีอย่างเดียวคือ...ตรัสรู้ความจริงตามที่พระองค์ตรัสรู้..ตามที่พระองค์สอน

:b11:
อนุโมทนาในคำตอบที่พยายามจะให้สั้นครับ

แต่ความจริงนั้น จริงอย่างไร ที่บาลีเขาว่า สัจธรรม นั้น มันมีตั้งเยอะแยะมากมาย เราจะเอาความจริงในเรื่องไหนข้อไหนกันล่ะครับจึงจะรู้ง่าย เข้าใจง่าย ใครๆก็อาจสามารถรู้เรื่องใด้อย่างสบายๆและเอาไปยึดถือปฏิบัติได้ในชีวิตจริงประจำวัน

โลกกลม นี่ก็จริง

พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกแล้วตกทางทิศตะวันตก นี่ก็จริง

คนเราเกิดมาแล้วต้องแก่ เจ็บ ตาย นี่ก็จริง

ทำบาป ไปนรก ทำบุญไปสวรรค์ ทำสมาธิไปเป็นพรหม ทำวิปัสสนา ไปนิพพาน นี่ก็จริงแต่ต้องพิสูจน์รู้ด้วยตนเอง
s006

ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงคนพบแล้วนำมาสอนคืออะไร
นี่จะต้องชี้ชัดลงไปให้แจ่มแจ้งจึงจะเข้าใจได้จนเห็นถูกต้องและเกิดศรัทธาลงมือปฏิบัติจริงๆ

s006


โลกกลม...ก็จริง..แต่ก็ไม่ตลอดไป...โลกก็มีวันแตกสลาย...ตอนที่โลกแตกสลาย..ก็ไม่อาจจะกล่าวว่า..โลกกลม..แล้วละ..

พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก...นี้ก็จริง...แต่ก็จริงอย่างสมมุติ..สมมุติว่าโลกเป็นศูนย์กลาง..สมมุติว่าโลกอยู่เฉย ๆ ...แต่จริงๆ..พระอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นหรือลงแต่อย่างใด....ยิ่งทิศตะวันออกก็ยิ่งเป็นสมมุติกันไปใหญ่....

เป็นต้น...

ความจริง....ก็ต้องเป็นจริงตลอดไป...ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่น...นี้แหละที่เรียกว่า..ความจริง

แต่ความไม่จริง...นี้แหละ...ที่เกิดขึ้นแล้วต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงไป....

เพราะความไม่เข้าใจ..หลงยึดสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง...เป็นเรา..เป็นของเรา...จึงทุกข์...เพราะไม่ประสพกับความสมหวัง...ทุกข์เพราะเสื่อมลาภ..เสื่อมยศ...เสื่อมสรรเสริญ..เสื่อมจากฌาน...ก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากการไปหลงว่า..นี้เป็นเรา..นี้เป็นของเรา...อีกทอดหนึ่ง

อริยะสัจ....ทุกข์..สมุทัย....ก็เริ่มที่ตรงนี้....ตรงที่เป็นส่วนขยายผลมาจากความไม่จริง

ถ้าอยู่กับความจริงแท้ได้....ก็ย่อมไม่ทุกข์

ก็ถ้ารู้ว่า..นี้คือทุกข์...นี้คือเหตุให้เกิดทุกข์..แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ทุกข์ดับได้...แสดงว่าเป็นการรู้ยังไม่จริง...ถ้ารู้จริง..ทุกข์ต้องดับ...กระบวนการเข้าถึงการรู้จริงจึงเริ่มที่ตรงนี้...ปริยัติ..ปฏิบัติ..ปฏิเวธ..ก็ตรงนี้...โพธิปักขิยธรรม 37 สรุปย่อ มรรคมีองค์ 8 ก็ตรงนี้...ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ใจได้เข้าถึงความจริงแท้เพียงอย่างเดียว...

ความจริงที่มีเพียง 1 เดียว...ไม่เปลี่ยนแปลง...ฯลฯ...คือที่ชาวโลกสมมุติเรียกว่า..พระนิพพาน

:b16: :b16:

:b8:
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้2อย่างคือ
1สอนให้รู้ทุกข์ในไตรภพ
2สอนแนวทางดับทุกข์
:b1:
แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคือ
การพ้นทุกข์ด้วยจิตผู้รู้ที่เหนือโลก
ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้รู้แจ้งโลก
ทั้ง3ภพคือกามภพ รูปภพ อรูปภพ
และการบรรลุพระนิพพานด้วยจิต
คือรู้ทั้งโลกในและโลกนอก
โลกในคือโลกียธรรมและ
โลกนอกคือโลกุตตรธรรม
:b12:
หน้าที่ของพุทธศาสนิกชนคือ
ดำเนินแนวทางอริยสัจจ์4อริยมรรค8
เพื่อละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธ์
:b44: :b44:
:b39:

ท่านasokaถ้านับถือพระพุทธเจ้าแท้จริง
การละชั่ว การทำดี การทำจิตใจให้บริสุทธิ์
ก็ต้องเข้าใจคำสอนถึงจะทำตามโอวาทปาฏิโมกข์
:b12: :b24:
:b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2015, 05:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_20150611_55498.jpg
IMG_20150611_55498.jpg [ 23.11 KiB | เปิดดู 2942 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
ท่านasokaถ้านับถือพระพุทธเจ้าแท้จริง
การละชั่ว การทำดี การทำจิตใจให้บริสุทธิ์
ก็ต้องเข้าใจคำสอนถึงจะทำตามโอวาทปาฏิโมกข์

smiley
ขอบคุณและอนุโมทนากับคุณ Rosarin ศิษย์หลวงตามหาบัวที่พยามชี้แจงแนะนำสั่งสอน asoka
:b41:
"ท่านasokaถ้านับถือพระพุทธเจ้าแท้จริง"

มีสงสัยอยู่นิดหนึ่ง "ถ้านับถือพระพุทธเจ้าแท้จริง"
เขานับถือกันยังไงถึงจะถือว่านับถือพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ตามความเห็นของคุณ Rosarin กรุณาช่วยอรรถาธิบายให้เข้าใจด้วยครับ ขอบคุณ
s004 s006
อีกอันหนึ่งคือ "ต้องเข้าใจคำสอน" อันนี้ต้องเข้าใจอย่างไรครับ
s006
s004
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2015, 07:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
เอาอีกแล้วกบ ในโลกนี้มีแต่ความจริงนะกบ


จริงหร่า... :b32: :b32:

bigtoo..ส่องกระจกดูซิ....ที่เห็น...เป็นตัวเองมั้ยละนั้น?


มีแต่สัจธรรม. คือความจริง อะไรก็คือสัจธรรม กบนี้ตลอดเลยผิดหลักการ


ไม่กล้าพูดความจริง...ละซิ..ว่า..เวลาส่องกระจกแล้ว..ใจ..มันเห็นตัวเอง

ทั้ง ๆ ที่..ก็รู้ว่า..สิ่งที่ยืนหน้ากระจก...มันเป็นธาตุ 4..ธาตุ6..มารวมกัน...แต่ใจ...ก็ยังส่งสัญญาณแรกมาว่า..เห็นตัวเอง...อยู่เลย

อะไรจริง...บ้างละ Bigtoo...

รูป..ที่อยู่ตรงหน้ากระจก...มันจริงอย่างนั้น..อย่างที่เห็นหรือ? ไม่เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นหรือ?

สัญญา...ที่บอกว่า..นี้ตัวเอง...มันจริงหรือ? แล้วสัญญาเก่า ๆ ที่ว่ารูปเก่าแต่ปางนั้นเป็นเรา...รูปเก่าแต่ปางนั้นๆเป็นเรา...มันหายไปไหน?...สัญญาตัวไหนที่เป็นจริง..บ้าง

รูป......ไม่เที่ยง
สัญญา....ไม่เที่ยง
เวทนา..สังขาร...วิญญาณ..ก็ไม่เที่ยง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2015, 17:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
asoka เขียน:
อ้างคำพูด:
ท่านasokaถ้านับถือพระพุทธเจ้าแท้จริง
การละชั่ว การทำดี การทำจิตใจให้บริสุทธิ์
ก็ต้องเข้าใจคำสอนถึงจะทำตามโอวาทปาฏิโมกข์

smiley
ขอบคุณและอนุโมทนากับคุณ Rosarin ศิษย์หลวงตามหาบัวที่พยามชี้แจงแนะนำสั่งสอน asoka
:b41:
"ท่านasokaถ้านับถือพระพุทธเจ้าแท้จริง"

มีสงสัยอยู่นิดหนึ่ง "ถ้านับถือพระพุทธเจ้าแท้จริง"
เขานับถือกันยังไงถึงจะถือว่านับถือพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ตามความเห็นของคุณ Rosarin กรุณาช่วยอรรถาธิบายให้เข้าใจด้วยครับ ขอบคุณ
s004 s006
อีกอันหนึ่งคือ "ต้องเข้าใจคำสอน" อันนี้ต้องเข้าใจอย่างไรครับ
s006
s004

:b1:
สั่งสอน เพียงแนะนำให้ทำความเห็นให้ตรงคำสอนด้วยการฟังสิ่งที่มีผู้อธิบายให้เข้าใจถูก...
...ลองเปิดใจ...ทุกอย่างเป็นธัมมะ...ที่กำลังมีที่กำลังปรากฎเกิดแล้วดับทันที เข้าใจคือปัญญาละไม่รู้...
...ลองศึกษาในคลิปวิดีโอรายการบ้านธัมมะ...เปิดใจฟังสิ่งที่อ.สุจินต์และคณะวิทยากรสนทนาให้มากไว้...
:b16:
...ปริยัติเป็นการศึกษาพระธรรมขั้นฟังความจริงที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้ปัจจุบันคืออ่านพระไตรปิฎก...
...เมื่อใดที่ยังไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีที่กำลังเกิด-ดับเรียงลำดับแต่ละทางไม่ซ้ำกันก็คือเกิดแล้ว...
:b44:
...ธัมมะแปลจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทยให้เข้าใจสำหรับคนไทยได้ว่าคือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ...
...ที่กำลังปรากฎคือทุกอย่างทางอายตนะ6เกิดแล้วดับทันที สังเกตุสิ่งที่เกิด-ดับได้ตอนกระพริบตา...
:b44:
...ในการกระพริบตา1ครั้งมีการเกิด-ดับของจิตแต่ละขณะที่ไม่ซ้ำกันเลยนับไม่ถ้วนและรู้ไม่ทันเกิด-ดับ...
...ทั้งหมดที่เกิด-ดับทันทีคือคือเกิด-ดับทีละ1ทางไม่พร้อมกัน6ทางไม่ซ้ำเดิมไม่รู้อะไรเกิดก่อนหลัง...
:b44:
...เพราะทั้ง6ทางที่เกิดแล้วจะต้องดับไม่มีเหลือเลยทีละทางทีละอย่างไม่หลงเหลือความดับทีละทาง...
...ถึงจะมีการเกิดใหม่ทางอายตน6ซึ่งเกิดได้ที่ละทางที่ละอย่างที่เกิด-ดับทีละ1ขณะนั้นรวดเร็วมาก...
:b44:
...เป็นจิตเกิด-ดับที่ละ1ขณะแต่ละขณะต้องดับจึงจะเกิดสิ่งอื่นสืบต่อ จิตเห็นหมด จึงเกิดจิตได้ยิน...
...ได้ยินหมด จึงเกิดได้กลิ่น ได้กลิ่นหมด จึงเกิดรับสัมผัสเย็น-ร้อน อ่อน แข็ง ตึง-ไหว สุข-ทุกข์...
...เลือกไม่ได้ว่าจะให้สิ่งใดเกิดก่อนเกิดหลัง และเมื่อเกิดแล้วแต่ละ1ขณะนั้นต้องดับไม่หลงเหลือ...
:b13:
...คิดดูสิคะว่าขณะที่กำลังคุยกัน กำลังอ่านเรื่องในพระไตรปิฎก ธัมมะทั้งหลายเกิด-ดับนับไม่ถ้วน...
...ขณะนั้นเป็นเราไม่มีทางที่จะรู้และเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีและกำลังปรากฏถูกต้องได้เลยค่ะ...
...พระพุทธเจ้ารู้ทันการเกิด-ดับทั้งหมด...ทุกทางทางอายตนทั้ง6เรียงลำดับได้หมด จับวางได้หมด...
...ทุกขณะในชีวิตประจำวันของพระพุทธเจ้ารู้ความจริงทุกอย่างว่าเป็นอภิธรรมรู้โดยละเอียดทุกขณะ...
...เข้าไม่ถึงและไม่สามารถเข้าใจปัญญาที่พระองค์ทรงตรัสรู้ เด๊๋ยวนี้เองเป็นจิต เจตสิก รูปตลอดเวลา...
:b8:
...พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ความจริงที่ครบทางอายตนะ6เป็นทั้งจิต เจตสิก รูป นิพพานและเป็น...
...ทั้งมรรค8และอริยสัจ4คือเป็นที่ประชุมธัมมะทั้งหลาย...จึงเป็น1เดียวที่เป็นพุทธะที่เป็นธรรมกาย...
...พระไตรปิฎกจึงเป็นพุทธพจน์ที่พระองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้วคือ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม...
...คำจริงคือสัจธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก การขอถึงพระองค์...
...จึงต้องเข้าใจคำที่พระองค์แสดงให้ตรงลักษณะปัญยาของผู้นั้นเองที่ไตร่ตรองให้เข้าใจทุกคำว่าจริง...
...เมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานจึงตรัสแสดงว่า...พระธรรมและพระวินัยจะเป็นศาสดาแทนเราตถาคต...
...เข้าใจแท้จริงในพระพุทธเจ้า พึ่ง่พระรัตนตรัยเมื่อไม่ฟังก็ลืมพระองค์เพราะไม่เข้าใจคำของพระองค์...
...นับถือพระองค์ก็ฟังคำของพระองค์เพื่อสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกในภาษาที่ตนเข้าใจ...
...ตรัสรู้คือทรงรู้ได้ด้วยพระปัญญาโดยไม่มีผู้ใดมาสอนพระองค์ ทรงมีพระมหากรุณาแสดงพระธรรม...
...เพื่อให้เข้าใจความจริงทุกคำ...แต่ละชาติแต่ละภาษาเข้าใจทุกคำในภาษาชาติตนต้องตรงคำจริง...
...การคบกัลยาณมิตรสูงสุดคือคบพระพุทธเจ้าก็คือเชื่อว่าพระองค์ตรัสคำจริงทุกคำที่เปลี่ยนไม่ได้...
...ฟังคำของพระองค์ให้เข้าใจถูกต้องชื่อว่าได้พึ่งพระองค์...ตรัสรู้อรหันต์ก็คือทำตามพระองค์สำเร็จ...
:b20:
...หลวงตาพระมหาบัว...ท่านเทศน์เรื่องอานิสงส์ของการฟัง5อย่างว่า...
...1)จะได้ยินในสิ่งที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง2)สิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังแต่ยังไม่เข้าใจชัดจะเข้าใจยิ่งขึ้น...
...3)จะบรรเทาความสงสัยเสียได้4)ย่อมทำความเห็นให้ถูกต้อง5)จิตผู้ฟังย่อมผ่องใส...
...หลวงตายังย้ำว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าเถิด...
:b20:
...การอ่านซ้ำก็เหมือนการฟังซ้ำเพื่อให้จดจำเนื้อหาและคิดไตร่ตรองตามตามจึงเป็นปัญญาขั้นฟังค่ะ
:b22:
...ยังไม่ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎจริงๆก็ยังไม่ถึงปฏิบัติจึงยังไม่เกิดปฏิเวธ...
...จึงทรงตรัสแสดงไว้ว่าเป็นปัจจัตตัง...ผู้ที่ถึงปฏิเวธเห็นผลที่เกิดขึ้นจึงไม่ต้องถามพระพุทธเจ้าอีกเลย...
...ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธัมมะที่ไม่มีเรามีแต่สภาพธรรมที่กำลังปรากฎ...เห็นพระปัญญาเมื่อเริ่มเข้าใจ...
...ธรรมเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...การเข้าไปสงบระงับสังขารคือการปรุงแต่งได้จึงเป็นความสุข...
...หลวงตาพระมหาบัวบอกเสมอจิตต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าของใครไม่เชื่อก็เป็นกรรมของสัตว์...
หมายเหตุ สัตว์หมายถึงผู้ที่ยังติดข้องและต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น...กว่าจะถึงนิพพานอย่าซีเรียส
:b32: :b32: :b32:
:b39: :b39:
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2015, 08:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




buddha_resize.jpg
buddha_resize.jpg [ 46.31 KiB | เปิดดู 2902 ครั้ง ]
s004 อ้อมไปไกลจนแทบจับไม่ได้ว่า
นับถือพระพุทธเจ้าแท้จริง
กับ
เข้าใจคำสอน
นั้นเป็นอย่างไรเลยนะครับคุณRossarin
s006
ถ้าผมจะพูดว่านับถือพระพุทธเจ้าแท้จริงนั้น ตัวอย่างเช่น
ประทับใจเข้าใจอย่างชัดเจนในคำสอนของพระพุทธเจ้าข้อใดข้อหนึ่ง (ไม่จำเป็นต้องทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ในพระไตรปิฎก)แล้วนำมาใส่ใจยึดถือปฏิบัติฝึกหัดกายใจอย่างจริงจังจนได้รับผลสำเร็จตามคำสอนข้อนั้น อย่างนี้จะใช่การเคารพนับถือพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงไหมครับ


ตัวอย่างเช่นพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า

"ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

เราก็เอามาปฏิบัติตามทันที คือนั่งลงหลับตา ตั้งใจเอาสติปัญญานิ่งรู้นิ่งสังเกตดูเข้าไปในกายในใจว่ายังมีอะไรที่เรายังติดหลงอยู่ยึดมั่นอยู่ไม่รู้ปล่อยไม่รู้วาง ไม่เป็นกลาง ไม่สงบแล้วจึงค้นหาวิธีปล่อยวางจนวางได้จิตใจสงบเย็นลงสู่ความเป็น "ปกติสุข"

อย่างเช่นติดยึด ครูบาอาจารย์ บ้านช่อง ห้องหอ สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ หน้าตา วิชา แนวทาง ความรู้ ความเห็นต่างๆ ก็ค้นหาวิธีปลดปล่อยละวางให้หมดจนจิตใจเป็นอิสระจากเครื่องร้อยยึดทั้งปวง จนจิตได้เสวยความเป็นปกติสุข ให้เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า

"ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

ทำอย่างนี้จะพึงควรได้ชื่อว่า เคารพนับถือพระพุทธเจ้าและเข้าใจคำสอนของพระองค์หรือไม่ครับ

:b24:
:b38:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2015, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
เอาอีกแล้วกบ ในโลกนี้มีแต่ความจริงนะกบ


จริงหร่า... :b32: :b32:

bigtoo..ส่องกระจกดูซิ....ที่เห็น...เป็นตัวเองมั้ยละนั้น?


มีแต่สัจธรรม. คือความจริง อะไรก็คือสัจธรรม กบนี้ตลอดเลยผิดหลักการ


ไม่กล้าพูดความจริง...ละซิ..ว่า..เวลาส่องกระจกแล้ว..ใจ..มันเห็นตัวเอง

ทั้ง ๆ ที่..ก็รู้ว่า..สิ่งที่ยืนหน้ากระจก...มันเป็นธาตุ 4..ธาตุ6..มารวมกัน...แต่ใจ...ก็ยังส่งสัญญาณแรกมาว่า..เห็นตัวเอง...อยู่เลย

อะไรจริง...บ้างละ Bigtoo...

รูป..ที่อยู่ตรงหน้ากระจก...มันจริงอย่างนั้น..อย่างที่เห็นหรือ? ไม่เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นหรือ?

สัญญา...ที่บอกว่า..นี้ตัวเอง...มันจริงหรือ? แล้วสัญญาเก่า ๆ ที่ว่ารูปเก่าแต่ปางนั้นเป็นเรา...รูปเก่าแต่ปางนั้นๆเป็นเรา...มันหายไปไหน?...สัญญาตัวไหนที่เป็นจริง..บ้าง

รูป......ไม่เที่ยง
สัญญา....ไม่เที่ยง
เวทนา..สังขาร...วิญญาณ..ก็ไม่เที่ยง

กบนี้ยิ่งงเรียนยิ่งหลง. มันจะเป็นอะไร มันก็ล้วนเป็นความจริง พอเข้าใจนะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2015, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
asoka เขียน:
s004 อ้อมไปไกลจนแทบจับไม่ได้ว่า
นับถือพระพุทธเจ้าแท้จริง
กับ
เข้าใจคำสอน
นั้นเป็นอย่างไรเลยนะครับคุณRossarin
s006
ถ้าผมจะพูดว่านับถือพระพุทธเจ้าแท้จริงนั้น ตัวอย่างเช่น
ประทับใจเข้าใจอย่างชัดเจนในคำสอนของพระพุทธเจ้าข้อใดข้อหนึ่ง (ไม่จำเป็นต้องทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ในพระไตรปิฎก)แล้วนำมาใส่ใจยึดถือปฏิบัติฝึกหัดกายใจอย่างจริงจังจนได้รับผลสำเร็จตามคำสอนข้อนั้น อย่างนี้จะใช่การเคารพนับถือพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงไหมครับ


ตัวอย่างเช่นพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า

"ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

เราก็เอามาปฏิบัติตามทันที คือนั่งลงหลับตา ตั้งใจเอาสติปัญญานิ่งรู้นิ่งสังเกตดูเข้าไปในกายในใจว่ายังมีอะไรที่เรายังติดหลงอยู่ยึดมั่นอยู่ไม่รู้ปล่อยไม่รู้วาง ไม่เป็นกลาง ไม่สงบแล้วจึงค้นหาวิธีปล่อยวางจนวางได้จิตใจสงบเย็นลงสู่ความเป็น "ปกติสุข"

อย่างเช่นติดยึด ครูบาอาจารย์ บ้านช่อง ห้องหอ สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ หน้าตา วิชา แนวทาง ความรู้ ความเห็นต่างๆ ก็ค้นหาวิธีปลดปล่อยละวางให้หมดจนจิตใจเป็นอิสระจากเครื่องร้อยยึดทั้งปวง จนจิตได้เสวยความเป็นปกติสุข ให้เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า

"ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

ทำอย่างนี้จะพึงควรได้ชื่อว่า เคารพนับถือพระพุทธเจ้าและเข้าใจคำสอนของพระองค์หรือไม่ครับ

:b24:
:b38:

:b12:
"ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
...พูดได้แต่ทำได้ไหม เช่น คนที่เขาเล่นหวยจะบอกให้ปล่อยวางแล้วมาสวดมนต์ไหว้พระดีกว่าได้บุญ...
...ทำนองเดียวกันเพราะความดีคนดีทำได้ง่าย คนชั่วทำได้ยาก ความชั่วคนชั่วทำได้ง่าย คนดีทำได้ยาก...
...ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างนี้ค่ะ...
...ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีไว้สำหรับอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติธรรม...
...เป็นคนเดินดินกินข้าวใช้ตังค์จะให้ไม่ดูแลรักษาผลประโยชน์คงเป็นไปไม่ได้...
...ไม่ยึดถือของข้าพเจ้าคือรู้ธรรมอันใดแล้วก็วาง อนาคตก็ยังไม่เกิดขึ้น ให้รู้จิตในปัจจุบัน...
...การเลือกสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมตามจริตนิสัยที่สามารถเข้าใจได้ในชีวิตประจำวันต้องทวนกระแส...
...เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้เพื่อให้คิดไตร่ตรองตามปัญญาที่พอเข้าใจได้โดยพึ่งพระพุทธพจน์...
...แต่การยึดติดในคำจนไม่สามารถเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏก็คือเข้าไม่ถึงพระปัญญาของพระองค์
...พระอรหันต์ท่านถึงความไม่มีตัวตน ท่านเห็นงูเลื้อยมา ท่านก็ต้องเดินหลีกไปไม่ใช่ปล่อยให้งูกัด...
...พระพุทธเจ้าสอนให้ฉลาดในการใช้ชีวิต รู้จักเลือกทางเดินที่ไม่ตกไปในทางที่ชั่ว พึ่งพระรัตนตรัย...
...ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงจะพึ่งถูกไหม ถามคนซื้อหวยสิสวดมนต์ไหว้พระไหม ดีได้ไหม เอวังฯ
:b32: :b32:
:b16:
...ทำนองเดียวกับการยึดติดคำสอนครูบาอาจารย์ระดับสิ้นกิเลสเป็นเหมือนลอยคอในมหาสมุทรมีเรือมารับ...
...การที่ยังไม่หมดกิเลสแล้วไปติดดีของท่านที่สิ้นกิเลส ท่านก็สอนให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม...
...การติดหวยรวยเบอร์มันก็ดีในคนที่เขาทำเพราะคิดเอาเอง ได้เงินเยอะดี แต่ตายแล้วไปไหนล่ะ...
...อีกนานอสงไขยเวลา ต้องรู้จักเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงปัญญา ท่านอโศกะทำได้ก็ทิ้งสมบัติออกบวช...
...จะได้บรรลุอรหันต์ไม่ต้องกลับมาเวียนเกิดตายก็น่าจะดี...จะได้ไม่เหนื่อยไง...ข้าพเจ้าคงอีกนาน...
:b12: :b16:
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2015, 06:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
asoka เขียน:
s004 อ้อมไปไกลจนแทบจับไม่ได้ว่า
นับถือพระพุทธเจ้าแท้จริง
กับ
เข้าใจคำสอน
นั้นเป็นอย่างไรเลยนะครับคุณRossarin
s006
ถ้าผมจะพูดว่านับถือพระพุทธเจ้าแท้จริงนั้น ตัวอย่างเช่น
ประทับใจเข้าใจอย่างชัดเจนในคำสอนของพระพุทธเจ้าข้อใดข้อหนึ่ง (ไม่จำเป็นต้องทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ในพระไตรปิฎก)แล้วนำมาใส่ใจยึดถือปฏิบัติฝึกหัดกายใจอย่างจริงจังจนได้รับผลสำเร็จตามคำสอนข้อนั้น อย่างนี้จะใช่การเคารพนับถือพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงไหมครับ


ตัวอย่างเช่นพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า

"ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

เราก็เอามาปฏิบัติตามทันที คือนั่งลงหลับตา ตั้งใจเอาสติปัญญานิ่งรู้นิ่งสังเกตดูเข้าไปในกายในใจว่ายังมีอะไรที่เรายังติดหลงอยู่ยึดมั่นอยู่ไม่รู้ปล่อยไม่รู้วาง ไม่เป็นกลาง ไม่สงบแล้วจึงค้นหาวิธีปล่อยวางจนวางได้จิตใจสงบเย็นลงสู่ความเป็น "ปกติสุข"

อย่างเช่นติดยึด ครูบาอาจารย์ บ้านช่อง ห้องหอ สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ หน้าตา วิชา แนวทาง ความรู้ ความเห็นต่างๆ ก็ค้นหาวิธีปลดปล่อยละวางให้หมดจนจิตใจเป็นอิสระจากเครื่องร้อยยึดทั้งปวง จนจิตได้เสวยความเป็นปกติสุข ให้เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า

"ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

ทำอย่างนี้จะพึงควรได้ชื่อว่า เคารพนับถือพระพุทธเจ้าและเข้าใจคำสอนของพระองค์หรือไม่ครับ

:b24:
:b38:

:b12:
"ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
...พูดได้แต่ทำได้ไหม เช่น คนที่เขาเล่นหวยจะบอกให้ปล่อยวางแล้วมาสวดมนต์ไหว้พระดีกว่าได้บุญ...
...ทำนองเดียวกันเพราะความดีคนดีทำได้ง่าย คนชั่วทำได้ยาก ความชั่วคนชั่วทำได้ง่าย คนดีทำได้ยาก...
...ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างนี้ค่ะ...
...ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีไว้สำหรับอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติธรรม...
...เป็นคนเดินดินกินข้าวใช้ตังค์จะให้ไม่ดูแลรักษาผลประโยชน์คงเป็นไปไม่ได้...
...ไม่ยึดถือของข้าพเจ้าคือรู้ธรรมอันใดแล้วก็วาง อนาคตก็ยังไม่เกิดขึ้น ให้รู้จิตในปัจจุบัน...
...การเลือกสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมตามจริตนิสัยที่สามารถเข้าใจได้ในชีวิตประจำวันต้องทวนกระแส...
...เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้เพื่อให้คิดไตร่ตรองตามปัญญาที่พอเข้าใจได้โดยพึ่งพระพุทธพจน์...
...แต่การยึดติดในคำจนไม่สามารถเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏก็คือเข้าไม่ถึงพระปัญญาของพระองค์
...พระอรหันต์ท่านถึงความไม่มีตัวตน ท่านเห็นงูเลื้อยมา ท่านก็ต้องเดินหลีกไปไม่ใช่ปล่อยให้งูกัด...
...พระพุทธเจ้าสอนให้ฉลาดในการใช้ชีวิต รู้จักเลือกทางเดินที่ไม่ตกไปในทางที่ชั่ว พึ่งพระรัตนตรัย...
...ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงจะพึ่งถูกไหม ถามคนซื้อหวยสิสวดมนต์ไหว้พระไหม ดีได้ไหม เอวังฯ
:b32: :b32:
:b16:
...ทำนองเดียวกับการยึดติดคำสอนครูบาอาจารย์ระดับสิ้นกิเลสเป็นเหมือนลอยคอในมหาสมุทรมีเรือมารับ...
...การที่ยังไม่หมดกิเลสแล้วไปติดดีของท่านที่สิ้นกิเลส ท่านก็สอนให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม...
...การติดหวยรวยเบอร์มันก็ดีในคนที่เขาทำเพราะคิดเอาเอง ได้เงินเยอะดี แต่ตายแล้วไปไหนล่ะ...
...อีกนานอสงไขยเวลา ต้องรู้จักเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงปัญญา ท่านอโศกะทำได้ก็ทิ้งสมบัติออกบวช...
...จะได้บรรลุอรหันต์ไม่ต้องกลับมาเวียนเกิดตายก็น่าจะดี...จะได้ไม่เหนื่อยไง...ข้าพเจ้าคงอีกนาน...
:b12: :b16:
:b32:
มันก็ถูกของคุณ ตามอินทรีย์ที่ได้สะสมมาก็เท่านั้น

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2015, 06:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
กระบวนการในการทำลายความยึดมั่นถือมั่นก็คือวิปัสสนาภาวนาหรือสติปัฎฐาน 4 ที่พระทธเจ้าทรงสอนไว้นั่นเอง

คำถามว่าแล้วทำได้หรือเปล่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวงนั้น

ตอบว่าทำได้ และกำลังทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่จะทำได้สำเร็จเมื่อไหร่นั้นมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวนะครับคุณ Rossarin

คุณRossarinเป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัว คงต้องเชื่อในเรื่องกฎของเหตุผลและต้องเข้าใจแล้วว่าธรรมทั้งหลายเกิดมาจากเหตุและปัจจัยกระทำต่อกัน
เหตุมี ผลมี เหตุดับผลดับ

สิ่งที่จิตแต่ละดวงได้ยึดมั่นถือมั่นไว้นั้นมันสร้างสมมานับชาติไม่ถ้วนดุจขยะที่สะสมไว้ในถังจิตถังใจอันใหญ่โตและลึกล้ำ มีจำนวนมากมายมหาศาลยากจะชำระให้หมดได้ภายในวันสองวัน

ใครพบคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้ารู้ตัวรู้ตนขึ้นมาก่อนก็เร่งรัดโกยล้างชำระถังขยะใจให้สะอาดหมดมลทินเสียก่อนให้จงได้ใครรู้ทีหลังก็ต้องเฝ้าระวังเพียรชำระไป เมื่อขยะในใจยังไม่หมดทุบถังขยะใจใบนี้ทิ้งยังไม่ได้ ไม่หมดเหตุสิ้นปัจจัยก็คงต้องว่ายเวียนกันอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่หลงลืมหน้าที่อันสำคัญของชาวพุทธไม่หยุดพักงานชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ก็คงชอบที่จะได้บรรลุถึงวาระที่ขยะหมดใจทำลายถังขยะทิ้งได้เป็นอริยะและพระอรหันต์ ไม่นานวันเกินรอถ้าไม่ท้อถอยละความเพียร อโศกะก็กำลังเพียรอยู่บนทางเส้นนี้แหละ Rossarin ยังอยู่บนทางเส้นนี้อยู่หรือเปล่า

อนึ่งการชำระขยะใจนั้นมันเป็นอกาลิโก หาได้เกี่ยวข้องกับกาลเวลา สถานที่ บุคล เพศ วัย เชื้อชาติ เผ่าพันธ์ วรรณะ ศาสนา ระดับการศึกษาหรือเครื่องแบบที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา ยาจก มหาเศรษฐี ผูดี ไพร่ พระ เถร เณร ชี เทวดา อินทร์ พรหม ยมราช ทุกชีวิตที่พ้นจากอบายภูมิมาล้วนมีสิทธิ์ทำความเพียรให้เข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ได้ เท่าเทียมกัน

มาเพียรเดินบนทางแห่งวิปัสสนาภาวนา สติปัฏฐาน 4 หรือมรรค 8 เส้นนี้ไปพร้อมๆกันเถิด ด้วยความเป็นมิตรไมตรีดีต่อกันเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน จนกว่าจะหมดจดหลุดพ้นด้วยกำลังของใครของมันเถิดนะครับคุณRossarin
:b37:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2015, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
asoka เขียน:
:b12:
กระบวนการในการทำลายความยึดมั่นถือมั่นก็คือวิปัสสนาภาวนาหรือสติปัฎฐาน 4 ที่พระทธเจ้าทรงสอนไว้นั่นเอง

คำถามว่าแล้วทำได้หรือเปล่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวงนั้น

ตอบว่าทำได้ และกำลังทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่จะทำได้สำเร็จเมื่อไหร่นั้นมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวนะครับคุณ Rossarin

คุณRossarinเป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัว คงต้องเชื่อในเรื่องกฎของเหตุผลและต้องเข้าใจแล้วว่าธรรมทั้งหลายเกิดมาจากเหตุและปัจจัยกระทำต่อกัน
เหตุมี ผลมี เหตุดับผลดับ

สิ่งที่จิตแต่ละดวงได้ยึดมั่นถือมั่นไว้นั้นมันสร้างสมมานับชาติไม่ถ้วนดุจขยะที่สะสมไว้ในถังจิตถังใจอันใหญ่โตและลึกล้ำ มีจำนวนมากมายมหาศาลยากจะชำระให้หมดได้ภายในวันสองวัน

ใครพบคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้ารู้ตัวรู้ตนขึ้นมาก่อนก็เร่งรัดโกยล้างชำระถังขยะใจให้สะอาดหมดมลทินเสียก่อนให้จงได้ใครรู้ทีหลังก็ต้องเฝ้าระวังเพียรชำระไป เมื่อขยะในใจยังไม่หมดทุบถังขยะใจใบนี้ทิ้งยังไม่ได้ ไม่หมดเหตุสิ้นปัจจัยก็คงต้องว่ายเวียนกันอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่หลงลืมหน้าที่อันสำคัญของชาวพุทธไม่หยุดพักงานชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ก็คงชอบที่จะได้บรรลุถึงวาระที่ขยะหมดใจทำลายถังขยะทิ้งได้เป็นอริยะและพระอรหันต์ ไม่นานวันเกินรอถ้าไม่ท้อถอยละความเพียร อโศกะก็กำลังเพียรอยู่บนทางเส้นนี้แหละ Rossarin ยังอยู่บนทางเส้นนี้อยู่หรือเปล่า

อนึ่งการชำระขยะใจนั้นมันเป็นอกาลิโก หาได้เกี่ยวข้องกับกาลเวลา สถานที่ บุคล เพศ วัย เชื้อชาติ เผ่าพันธ์ วรรณะ ศาสนา ระดับการศึกษาหรือเครื่องแบบที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา ยาจก มหาเศรษฐี ผูดี ไพร่ พระ เถร เณร ชี เทวดา อินทร์ พรหม ยมราช ทุกชีวิตที่พ้นจากอบายภูมิมาล้วนมีสิทธิ์ทำความเพียรให้เข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ได้ เท่าเทียมกัน

มาเพียรเดินบนทางแห่งวิปัสสนาภาวนา สติปัฏฐาน 4 หรือมรรค 8 เส้นนี้ไปพร้อมๆกันเถิด ด้วยความเป็นมิตรไมตรีดีต่อกันเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน จนกว่าจะหมดจดหลุดพ้นด้วยกำลังของใครของมันเถิดนะครับคุณRossarin
:b37:

...เอาสั้นๆ การเดินตามพระพุทธเจ้าคือคิดไตร่ตรองระลึกสภาพธัมมะที่กำลังปรากฏทีละ1โดยไม่เลือก...
...ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลยก็ได้...แค่ให้คิดรู้ทีละคำก็จะลืมตัวตน...แต่ถ้าไปอ่านตำรารู้เรื่องราวก็คือเราอ่าน...
...ก็เดินตามติดพระองค์ไม่ทัน...การอ่านและจำได้รู้แล้วให้ปล่อยวางเอามาปนกับคำจริงที่มีจริงๆไม่ได้...
...ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างนี้และเพราะอย่างนี้จึงทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น วางลง...
:b16: :b12:
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2015, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue
asoka เขียน:
:b12:
กระบวนการในการทำลายความยึดมั่นถือมั่นก็คือวิปัสสนาภาวนาหรือสติปัฎฐาน 4 ที่พระทธเจ้าทรงสอนไว้นั่นเอง

คำถามว่าแล้วทำได้หรือเปล่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวงนั้น

ตอบว่าทำได้ และกำลังทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่จะทำได้สำเร็จเมื่อไหร่นั้นมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวนะครับคุณ Rossarin

คุณRossarinเป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัว คงต้องเชื่อในเรื่องกฎของเหตุผลและต้องเข้าใจแล้วว่าธรรมทั้งหลายเกิดมาจากเหตุและปัจจัยกระทำต่อกัน
เหตุมี ผลมี เหตุดับผลดับ

สิ่งที่จิตแต่ละดวงได้ยึดมั่นถือมั่นไว้นั้นมันสร้างสมมานับชาติไม่ถ้วนดุจขยะที่สะสมไว้ในถังจิตถังใจอันใหญ่โตและลึกล้ำ มีจำนวนมากมายมหาศาลยากจะชำระให้หมดได้ภายในวันสองวัน

ใครพบคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้ารู้ตัวรู้ตนขึ้นมาก่อนก็เร่งรัดโกยล้างชำระถังขยะใจให้สะอาดหมดมลทินเสียก่อนให้จงได้ใครรู้ทีหลังก็ต้องเฝ้าระวังเพียรชำระไป เมื่อขยะในใจยังไม่หมดทุบถังขยะใจใบนี้ทิ้งยังไม่ได้ ไม่หมดเหตุสิ้นปัจจัยก็คงต้องว่ายเวียนกันอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่หลงลืมหน้าที่อันสำคัญของชาวพุทธไม่หยุดพักงานชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ก็คงชอบที่จะได้บรรลุถึงวาระที่ขยะหมดใจทำลายถังขยะทิ้งได้เป็นอริยะและพระอรหันต์ ไม่นานวันเกินรอถ้าไม่ท้อถอยละความเพียร อโศกะก็กำลังเพียรอยู่บนทางเส้นนี้แหละ Rossarin ยังอยู่บนทางเส้นนี้อยู่หรือเปล่า

อนึ่งการชำระขยะใจนั้นมันเป็นอกาลิโก หาได้เกี่ยวข้องกับกาลเวลา สถานที่ บุคล เพศ วัย เชื้อชาติ เผ่าพันธ์ วรรณะ ศาสนา ระดับการศึกษาหรือเครื่องแบบที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา ยาจก มหาเศรษฐี ผูดี ไพร่ พระ เถร เณร ชี เทวดา อินทร์ พรหม ยมราช ทุกชีวิตที่พ้นจากอบายภูมิมาล้วนมีสิทธิ์ทำความเพียรให้เข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ได้ เท่าเทียมกัน

มาเพียรเดินบนทางแห่งวิปัสสนาภาวนา สติปัฏฐาน 4 หรือมรรค 8 เส้นนี้ไปพร้อมๆกันเถิด ด้วยความเป็นมิตรไมตรีดีต่อกันเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน จนกว่าจะหมดจดหลุดพ้นด้วยกำลังของใครของมันเถิดนะครับคุณRossarin
:b37:

...เอาสั้นๆ การเดินตามพระพุทธเจ้าคือคิดไตร่ตรองระลึกสภาพธัมมะที่กำลังปรากฏทีละ1โดยไม่เลือก...
...ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลยก็ได้...แค่ให้คิดรู้ทีละคำก็จะลืมตัวตน...แต่ถ้าไปอ่านตำรารู้เรื่องราวก็คือเราอ่าน...
...ก็เดินตามติดพระองค์ไม่ทัน...การอ่านและจำได้รู้แล้วให้ปล่อยวางเอามาปนกับคำจริงที่มีจริงๆไม่ได้...
...ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างนี้และเพราะอย่างนี้จึงทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น วางลง...
:b16: :b12:
:b8:
สงสัยว่าคุณโรสรินจะเข้าใจว่าพวกเราไม่เข้าใจและไม่เข้าถึงสิ่งที่คุณโรสรินพูด เรื่องธรรมะเกิดทีละขณะไม่ว่าจะเป็นอะไรนั้นก็เป็นเพียงสภาพธรรมะที่ปรากฎเราอาจจะไม่ต้องเรียกมันเลยว่าคืออะไรเพียงแค่ระลึกตรงสภาวะนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎอัตตาก็ถูกทำลายลงเพราะความเห็นถูก คนโรสรินคิดว่านี่คือสัมมาทิฎฐิอย่างนั้นหรือนี่คือขั้นการศึกษาและการพิจารณาเท่านั้น ถ้าจะเป็นสัมมาทิฎฐิจริงๆท่านจะต้องกายดับจิตดับ โลกทั้งโลกขาดสูญอายตนะทั้งหมดหยุดทำงานชั่วขณะ นั้นแหล่ะครับถึงจะเข้าถึงปฎิเวธความรังเรสงสัยธรรมะทั้งหลายจะถูกทำลายลง ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจก็ขอให้ทราบว่าต้องพยามอีกหน่อย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2015, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
tongue
asoka เขียน:
:b12:
กระบวนการในการทำลายความยึดมั่นถือมั่นก็คือวิปัสสนาภาวนาหรือสติปัฎฐาน 4 ที่พระทธเจ้าทรงสอนไว้นั่นเอง

คำถามว่าแล้วทำได้หรือเปล่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวงนั้น

ตอบว่าทำได้ และกำลังทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่จะทำได้สำเร็จเมื่อไหร่นั้นมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวนะครับคุณ Rossarin

คุณRossarinเป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัว คงต้องเชื่อในเรื่องกฎของเหตุผลและต้องเข้าใจแล้วว่าธรรมทั้งหลายเกิดมาจากเหตุและปัจจัยกระทำต่อกัน
เหตุมี ผลมี เหตุดับผลดับ

สิ่งที่จิตแต่ละดวงได้ยึดมั่นถือมั่นไว้นั้นมันสร้างสมมานับชาติไม่ถ้วนดุจขยะที่สะสมไว้ในถังจิตถังใจอันใหญ่โตและลึกล้ำ มีจำนวนมากมายมหาศาลยากจะชำระให้หมดได้ภายในวันสองวัน

ใครพบคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้ารู้ตัวรู้ตนขึ้นมาก่อนก็เร่งรัดโกยล้างชำระถังขยะใจให้สะอาดหมดมลทินเสียก่อนให้จงได้ใครรู้ทีหลังก็ต้องเฝ้าระวังเพียรชำระไป เมื่อขยะในใจยังไม่หมดทุบถังขยะใจใบนี้ทิ้งยังไม่ได้ ไม่หมดเหตุสิ้นปัจจัยก็คงต้องว่ายเวียนกันอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่หลงลืมหน้าที่อันสำคัญของชาวพุทธไม่หยุดพักงานชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ก็คงชอบที่จะได้บรรลุถึงวาระที่ขยะหมดใจทำลายถังขยะทิ้งได้เป็นอริยะและพระอรหันต์ ไม่นานวันเกินรอถ้าไม่ท้อถอยละความเพียร อโศกะก็กำลังเพียรอยู่บนทางเส้นนี้แหละ Rossarin ยังอยู่บนทางเส้นนี้อยู่หรือเปล่า

อนึ่งการชำระขยะใจนั้นมันเป็นอกาลิโก หาได้เกี่ยวข้องกับกาลเวลา สถานที่ บุคล เพศ วัย เชื้อชาติ เผ่าพันธ์ วรรณะ ศาสนา ระดับการศึกษาหรือเครื่องแบบที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา ยาจก มหาเศรษฐี ผูดี ไพร่ พระ เถร เณร ชี เทวดา อินทร์ พรหม ยมราช ทุกชีวิตที่พ้นจากอบายภูมิมาล้วนมีสิทธิ์ทำความเพียรให้เข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ได้ เท่าเทียมกัน

มาเพียรเดินบนทางแห่งวิปัสสนาภาวนา สติปัฏฐาน 4 หรือมรรค 8 เส้นนี้ไปพร้อมๆกันเถิด ด้วยความเป็นมิตรไมตรีดีต่อกันเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน จนกว่าจะหมดจดหลุดพ้นด้วยกำลังของใครของมันเถิดนะครับคุณRossarin
:b37:

...เอาสั้นๆ การเดินตามพระพุทธเจ้าคือคิดไตร่ตรองระลึกสภาพธัมมะที่กำลังปรากฏทีละ1โดยไม่เลือก...
...ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลยก็ได้...แค่ให้คิดรู้ทีละคำก็จะลืมตัวตน...แต่ถ้าไปอ่านตำรารู้เรื่องราวก็คือเราอ่าน...
...ก็เดินตามติดพระองค์ไม่ทัน...การอ่านและจำได้รู้แล้วให้ปล่อยวางเอามาปนกับคำจริงที่มีจริงๆไม่ได้...
...ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างนี้และเพราะอย่างนี้จึงทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น วางลง...
:b16: :b12:
:b8:
สงสัยว่าคุณโรสรินจะเข้าใจว่าพวกเราไม่เข้าใจและไม่เข้าถึงสิ่งที่คุณโรสรินพูด เรื่องธรรมะเกิดทีละขณะไม่ว่าจะเป็นอะไรนั้นก็เป็นเพียงสภาพธรรมะที่ปรากฎเราอาจจะไม่ต้องเรียกมันเลยว่าคืออะไรเพียงแค่ระลึกตรงสภาวะนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎอัตตาก็ถูกทำลายลงเพราะความเห็นถูก คนโรสรินคิดว่านี่คือสัมมาทิฎฐิอย่างนั้นหรือนี่คือขั้นการศึกษาและการพิจารณาเท่านั้น ถ้าจะเป็นสัมมาทิฎฐิจริงๆท่านจะต้องกายดับจิตดับ โลกทั้งโลกขาดสูญอายตนะทั้งหมดหยุดทำงานชั่วขณะ นั้นแหล่ะครับถึงจะเข้าถึงปฎิเวธความรังเรสงสัยธรรมะทั้งหลายจะถูกทำลายลง ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจก็ขอให้ทราบว่าต้องพยามอีกหน่อย

:b13:
ถ้าจะเป็นสัมมาทิฎฐิจริงๆท่านจะต้องกายดับจิตดับ
...ท่านบิกทู่...อริยมรรคมีองค์8 สัมมาทิฎฐิ เป็นทางเดินเพื่อเข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าข้อแรก...
...เข้าใจด้วยจิตไม่ใช่เอาตัวตนไปเป็นสัมมาทิฎฐิ...จิตที่มีปัญญาเข้าใจและสามารถรู้ตามอัตโนมัติ...
...จึงเป็นปฏิบัติ(การถึงเฉพาะลักษณะทีละ1ทีละทางเช่นนิ้วสัมผัสบนแป้นตัวอักษรรู้ตรงแข็งที่นิ้วแตะ)...
...โดยไม่ต้องกำหนดค่ะ จิตรู้ได้เอง เป็นไปเองหลังจากที่ได้ผ่านการเพียรคิดเพียรระลึกในสิ่งที่มีจริงๆ...
:b8:
...กายดับจิตดับ ถ้าท่านบิกทู่หมายถึงหายหมดไม่กลับมาอยู่บนโลกให้เห็น จิตถึงนิพพานไม่มีดับ...
...ที่เข้าใจของข้าพเจ้าคือการเสด็จดับขันธปรินิพพานคือการละสังขาร จิตไม่ตายและไม่สูญหาย...
...ทรงเคลื่อนพระจิตที่ถึงนิพพานแล้วผ่านออกทางระหว่างช่องว่างในจิตระดับฌาน4และ5...
...ทรงแสดงการเคลื่อนพระจิตไปตามสมมุติบัญญัติที่พระองค์ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก...
...และแสดงการปรินิพพานที่ไม่มีจิตดวงไหนตามไปได้...จะรู้ได้เมื่อถึงอรหันต์และทิ้งกายแล้ว...
...จิตที่เป็นนิพพานการเสด็จปรินิพพานจึงเป็นสิ่งที่โลกในไม่รู้เพราะออกไปทางที่เหนือโลกจะรู้...
...เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จึงเป็นพระองค์แรกที่ถึงเฉพาะความจริงทั้งโลกในและโลกนอก...
...และมีพระมหากรุณาเมตตาต่อสัตว์โลกด้วยการแสดงพระธรรมเพื่อให้ศึกษาและประพฤติตามด้วยปัญญา...
:b20:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2015, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
tongue
asoka เขียน:
:b12:
กระบวนการในการทำลายความยึดมั่นถือมั่นก็คือวิปัสสนาภาวนาหรือสติปัฎฐาน 4 ที่พระทธเจ้าทรงสอนไว้นั่นเอง

คำถามว่าแล้วทำได้หรือเปล่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวงนั้น

ตอบว่าทำได้ และกำลังทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่จะทำได้สำเร็จเมื่อไหร่นั้นมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวนะครับคุณ Rossarin

คุณRossarinเป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัว คงต้องเชื่อในเรื่องกฎของเหตุผลและต้องเข้าใจแล้วว่าธรรมทั้งหลายเกิดมาจากเหตุและปัจจัยกระทำต่อกัน
เหตุมี ผลมี เหตุดับผลดับ

สิ่งที่จิตแต่ละดวงได้ยึดมั่นถือมั่นไว้นั้นมันสร้างสมมานับชาติไม่ถ้วนดุจขยะที่สะสมไว้ในถังจิตถังใจอันใหญ่โตและลึกล้ำ มีจำนวนมากมายมหาศาลยากจะชำระให้หมดได้ภายในวันสองวัน

ใครพบคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้ารู้ตัวรู้ตนขึ้นมาก่อนก็เร่งรัดโกยล้างชำระถังขยะใจให้สะอาดหมดมลทินเสียก่อนให้จงได้ใครรู้ทีหลังก็ต้องเฝ้าระวังเพียรชำระไป เมื่อขยะในใจยังไม่หมดทุบถังขยะใจใบนี้ทิ้งยังไม่ได้ ไม่หมดเหตุสิ้นปัจจัยก็คงต้องว่ายเวียนกันอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่หลงลืมหน้าที่อันสำคัญของชาวพุทธไม่หยุดพักงานชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ก็คงชอบที่จะได้บรรลุถึงวาระที่ขยะหมดใจทำลายถังขยะทิ้งได้เป็นอริยะและพระอรหันต์ ไม่นานวันเกินรอถ้าไม่ท้อถอยละความเพียร อโศกะก็กำลังเพียรอยู่บนทางเส้นนี้แหละ Rossarin ยังอยู่บนทางเส้นนี้อยู่หรือเปล่า

อนึ่งการชำระขยะใจนั้นมันเป็นอกาลิโก หาได้เกี่ยวข้องกับกาลเวลา สถานที่ บุคล เพศ วัย เชื้อชาติ เผ่าพันธ์ วรรณะ ศาสนา ระดับการศึกษาหรือเครื่องแบบที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา ยาจก มหาเศรษฐี ผูดี ไพร่ พระ เถร เณร ชี เทวดา อินทร์ พรหม ยมราช ทุกชีวิตที่พ้นจากอบายภูมิมาล้วนมีสิทธิ์ทำความเพียรให้เข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ได้ เท่าเทียมกัน

มาเพียรเดินบนทางแห่งวิปัสสนาภาวนา สติปัฏฐาน 4 หรือมรรค 8 เส้นนี้ไปพร้อมๆกันเถิด ด้วยความเป็นมิตรไมตรีดีต่อกันเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน จนกว่าจะหมดจดหลุดพ้นด้วยกำลังของใครของมันเถิดนะครับคุณRossarin
:b37:

...เอาสั้นๆ การเดินตามพระพุทธเจ้าคือคิดไตร่ตรองระลึกสภาพธัมมะที่กำลังปรากฏทีละ1โดยไม่เลือก...
...ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลยก็ได้...แค่ให้คิดรู้ทีละคำก็จะลืมตัวตน...แต่ถ้าไปอ่านตำรารู้เรื่องราวก็คือเราอ่าน...
...ก็เดินตามติดพระองค์ไม่ทัน...การอ่านและจำได้รู้แล้วให้ปล่อยวางเอามาปนกับคำจริงที่มีจริงๆไม่ได้...
...ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างนี้และเพราะอย่างนี้จึงทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น วางลง...
:b16: :b12:
:b8:
สงสัยว่าคุณโรสรินจะเข้าใจว่าพวกเราไม่เข้าใจและไม่เข้าถึงสิ่งที่คุณโรสรินพูด เรื่องธรรมะเกิดทีละขณะไม่ว่าจะเป็นอะไรนั้นก็เป็นเพียงสภาพธรรมะที่ปรากฎเราอาจจะไม่ต้องเรียกมันเลยว่าคืออะไรเพียงแค่ระลึกตรงสภาวะนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎอัตตาก็ถูกทำลายลงเพราะความเห็นถูก คนโรสรินคิดว่านี่คือสัมมาทิฎฐิอย่างนั้นหรือนี่คือขั้นการศึกษาและการพิจารณาเท่านั้น ถ้าจะเป็นสัมมาทิฎฐิจริงๆท่านจะต้องกายดับจิตดับ โลกทั้งโลกขาดสูญอายตนะทั้งหมดหยุดทำงานชั่วขณะ นั้นแหล่ะครับถึงจะเข้าถึงปฎิเวธความรังเรสงสัยธรรมะทั้งหลายจะถูกทำลายลง ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจก็ขอให้ทราบว่าต้องพยามอีกหน่อย

:b13:
ถ้าจะเป็นสัมมาทิฎฐิจริงๆท่านจะต้องกายดับจิตดับ
...ท่านบิกทู่...อริยมรรคมีองค์8 สัมมาทิฎฐิ เป็นทางเดินเพื่อเข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าข้อแรก...
...เข้าใจด้วยจิตไม่ใช่เอาตัวตนไปเป็นสัมมาทิฎฐิ...จิตที่มีปัญญาเข้าใจและสามารถรู้ตามอัตโนมัติ...
...จึงเป็นปฏิบัติ(การถึงเฉพาะลักษณะทีละ1ทีละทางเช่นนิ้วสัมผัสบนแป้นตัวอักษรรู้ตรงแข็งที่นิ้วแตะ)...
...โดยไม่ต้องกำหนดค่ะ จิตรู้ได้เอง เป็นไปเองหลังจากที่ได้ผ่านการเพียรคิดเพียรระลึกในสิ่งที่มีจริงๆ...
:b8:
...กายดับจิตดับ ถ้าท่านบิกทู่หมายถึงหายหมดไม่กลับมาอยู่บนโลกให้เห็น จิตถึงนิพพานไม่มีดับ...
...ที่เข้าใจของข้าพเจ้าคือการเสด็จดับขันธปรินิพพานคือการละสังขาร จิตไม่ตายและไม่สูญหาย...
...ทรงเคลื่อนพระจิตที่ถึงนิพพานแล้วผ่านออกทางระหว่างช่องว่างในจิตระดับฌาน4และ5...
...ทรงแสดงการเคลื่อนพระจิตไปตามสมมุติบัญญัติที่พระองค์ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก...
...และแสดงการปรินิพพานที่ไม่มีจิตดวงไหนตามไปได้...จะรู้ได้เมื่อถึงอรหันต์และทิ้งกายแล้ว...
...จิตที่เป็นนิพพานการเสด็จปรินิพพานจึงเป็นสิ่งที่โลกในไม่รู้เพราะออกไปทางที่เหนือโลกจะรู้...
...เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จึงเป็นพระองค์แรกที่ถึงเฉพาะความจริงทั้งโลกในและโลกนอก...
...และมีพระมหากรุณาเมตตาต่อสัตว์โลกด้วยการแสดงพระธรรมเพื่อให้ศึกษาและประพฤติตามด้วยปัญญา...
:b20:
onion onion onion

เอาเถอะที่ท่าบรรยายมาข้าพเจ้าเรียนรู้มาหลายปีแล้วเรื่องจิตรู้ทีละ1ทางอะไรนั้น มันก็ดีอยู่ในเบื้องตนของการศึกษาของการออกเดินทาง ยังไม่ถึงผล ส่วนพระองค์ดับขันธ์ปรินิพานเราอย่าพึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ว่านั้นจะเป็นอย่างไร อาการบรรบุธรรมขณะยังมีชีวิตอยู่ก็อย่าพึ่งกล่าวข้ามขั้นตามตนเองเป็นเลยมันไม่มีใครรู้จริงหรอก ก็แค่บทพยัญชนะมันขาดรสชาติแห่งความเป็นจริง. เอาแค่อายตนะทั้งหมดหยุดทำงานโลกดับไปทั้งโลกนั้นแหล่ะถึงจะพอเข้าใจอะไรถูก. ดับเกิดทีละขณะนั้นก็ยังอีกไกลนะ เกิดดับ ดับเกิด มันก็แค่ความจริงของโลก เข้าให้ถึงโลกดับสูญก่อนมันถึงจะพอรู้ว่าสูญญตานั้นคืออะไร ดั่งคำตถาคตว่าเฉพาะด้วยเรื่องสูญญตา. นี่คือผล

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2015, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
tongue
asoka เขียน:
:b12:
กระบวนการในการทำลายความยึดมั่นถือมั่นก็คือวิปัสสนาภาวนาหรือสติปัฎฐาน 4 ที่พระทธเจ้าทรงสอนไว้นั่นเอง

คำถามว่าแล้วทำได้หรือเปล่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวงนั้น

ตอบว่าทำได้ และกำลังทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่จะทำได้สำเร็จเมื่อไหร่นั้นมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวนะครับคุณ Rossarin

คุณRossarinเป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัว คงต้องเชื่อในเรื่องกฎของเหตุผลและต้องเข้าใจแล้วว่าธรรมทั้งหลายเกิดมาจากเหตุและปัจจัยกระทำต่อกัน
เหตุมี ผลมี เหตุดับผลดับ

สิ่งที่จิตแต่ละดวงได้ยึดมั่นถือมั่นไว้นั้นมันสร้างสมมานับชาติไม่ถ้วนดุจขยะที่สะสมไว้ในถังจิตถังใจอันใหญ่โตและลึกล้ำ มีจำนวนมากมายมหาศาลยากจะชำระให้หมดได้ภายในวันสองวัน

ใครพบคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้ารู้ตัวรู้ตนขึ้นมาก่อนก็เร่งรัดโกยล้างชำระถังขยะใจให้สะอาดหมดมลทินเสียก่อนให้จงได้ใครรู้ทีหลังก็ต้องเฝ้าระวังเพียรชำระไป เมื่อขยะในใจยังไม่หมดทุบถังขยะใจใบนี้ทิ้งยังไม่ได้ ไม่หมดเหตุสิ้นปัจจัยก็คงต้องว่ายเวียนกันอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่หลงลืมหน้าที่อันสำคัญของชาวพุทธไม่หยุดพักงานชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ก็คงชอบที่จะได้บรรลุถึงวาระที่ขยะหมดใจทำลายถังขยะทิ้งได้เป็นอริยะและพระอรหันต์ ไม่นานวันเกินรอถ้าไม่ท้อถอยละความเพียร อโศกะก็กำลังเพียรอยู่บนทางเส้นนี้แหละ Rossarin ยังอยู่บนทางเส้นนี้อยู่หรือเปล่า

อนึ่งการชำระขยะใจนั้นมันเป็นอกาลิโก หาได้เกี่ยวข้องกับกาลเวลา สถานที่ บุคล เพศ วัย เชื้อชาติ เผ่าพันธ์ วรรณะ ศาสนา ระดับการศึกษาหรือเครื่องแบบที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา ยาจก มหาเศรษฐี ผูดี ไพร่ พระ เถร เณร ชี เทวดา อินทร์ พรหม ยมราช ทุกชีวิตที่พ้นจากอบายภูมิมาล้วนมีสิทธิ์ทำความเพียรให้เข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ได้ เท่าเทียมกัน

มาเพียรเดินบนทางแห่งวิปัสสนาภาวนา สติปัฏฐาน 4 หรือมรรค 8 เส้นนี้ไปพร้อมๆกันเถิด ด้วยความเป็นมิตรไมตรีดีต่อกันเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน จนกว่าจะหมดจดหลุดพ้นด้วยกำลังของใครของมันเถิดนะครับคุณRossarin
:b37:

...เอาสั้นๆ การเดินตามพระพุทธเจ้าคือคิดไตร่ตรองระลึกสภาพธัมมะที่กำลังปรากฏทีละ1โดยไม่เลือก...
...ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลยก็ได้...แค่ให้คิดรู้ทีละคำก็จะลืมตัวตน...แต่ถ้าไปอ่านตำรารู้เรื่องราวก็คือเราอ่าน...
...ก็เดินตามติดพระองค์ไม่ทัน...การอ่านและจำได้รู้แล้วให้ปล่อยวางเอามาปนกับคำจริงที่มีจริงๆไม่ได้...
...ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างนี้และเพราะอย่างนี้จึงทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น วางลง...
:b16: :b12:
:b8:
สงสัยว่าคุณโรสรินจะเข้าใจว่าพวกเราไม่เข้าใจและไม่เข้าถึงสิ่งที่คุณโรสรินพูด เรื่องธรรมะเกิดทีละขณะไม่ว่าจะเป็นอะไรนั้นก็เป็นเพียงสภาพธรรมะที่ปรากฎเราอาจจะไม่ต้องเรียกมันเลยว่าคืออะไรเพียงแค่ระลึกตรงสภาวะนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎอัตตาก็ถูกทำลายลงเพราะความเห็นถูก คนโรสรินคิดว่านี่คือสัมมาทิฎฐิอย่างนั้นหรือนี่คือขั้นการศึกษาและการพิจารณาเท่านั้น ถ้าจะเป็นสัมมาทิฎฐิจริงๆท่านจะต้องกายดับจิตดับ โลกทั้งโลกขาดสูญอายตนะทั้งหมดหยุดทำงานชั่วขณะ นั้นแหล่ะครับถึงจะเข้าถึงปฎิเวธความรังเรสงสัยธรรมะทั้งหลายจะถูกทำลายลง ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจก็ขอให้ทราบว่าต้องพยามอีกหน่อย

:b13:
ถ้าจะเป็นสัมมาทิฎฐิจริงๆท่านจะต้องกายดับจิตดับ
...ท่านบิกทู่...อริยมรรคมีองค์8 สัมมาทิฎฐิ เป็นทางเดินเพื่อเข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าข้อแรก...
...เข้าใจด้วยจิตไม่ใช่เอาตัวตนไปเป็นสัมมาทิฎฐิ...จิตที่มีปัญญาเข้าใจและสามารถรู้ตามอัตโนมัติ...
...จึงเป็นปฏิบัติ(การถึงเฉพาะลักษณะทีละ1ทีละทางเช่นนิ้วสัมผัสบนแป้นตัวอักษรรู้ตรงแข็งที่นิ้วแตะ)...
...โดยไม่ต้องกำหนดค่ะ จิตรู้ได้เอง เป็นไปเองหลังจากที่ได้ผ่านการเพียรคิดเพียรระลึกในสิ่งที่มีจริงๆ...
:b8:
...กายดับจิตดับ ถ้าท่านบิกทู่หมายถึงหายหมดไม่กลับมาอยู่บนโลกให้เห็น จิตถึงนิพพานไม่มีดับ...
...ที่เข้าใจของข้าพเจ้าคือการเสด็จดับขันธปรินิพพานคือการละสังขาร จิตไม่ตายและไม่สูญหาย...
...ทรงเคลื่อนพระจิตที่ถึงนิพพานแล้วผ่านออกทางระหว่างช่องว่างในจิตระดับฌาน4และ5...
...ทรงแสดงการเคลื่อนพระจิตไปตามสมมุติบัญญัติที่พระองค์ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก...
...และแสดงการปรินิพพานที่ไม่มีจิตดวงไหนตามไปได้...จะรู้ได้เมื่อถึงอรหันต์และทิ้งกายแล้ว...
...จิตที่เป็นนิพพานการเสด็จปรินิพพานจึงเป็นสิ่งที่โลกในไม่รู้เพราะออกไปทางที่เหนือโลกจะรู้...
...เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จึงเป็นพระองค์แรกที่ถึงเฉพาะความจริงทั้งโลกในและโลกนอก...
...และมีพระมหากรุณาเมตตาต่อสัตว์โลกด้วยการแสดงพระธรรมเพื่อให้ศึกษาและประพฤติตามด้วยปัญญา...
:b20:
onion onion onion

เอาเถอะที่ท่าบรรยายมาข้าพเจ้าเรียนรู้มาหลายปีแล้วเรื่องจิตรู้ทีละ1ทางอะไรนั้น มันก็ดีอยู่ในเบื้องตนของการศึกษาของการออกเดินทาง ยังไม่ถึงผล ส่วนพระองค์ดับขันธ์ปรินิพานเราอย่าพึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ว่านั้นจะเป็นอย่างไร อาการบรรบุธรรมขณะยังมีชีวิตอยู่ก็อย่าพึ่งกล่าวข้ามขั้นตามตนเองเป็นเลยมันไม่มีใครรู้จริงหรอก ก็แค่บทพยัญชนะมันขาดรสชาติแห่งความเป็นจริง. เอาแค่อายตนะทั้งหมดหยุดทำงานโลกดับไปทั้งโลกนั้นแหล่ะถึงจะพอเข้าใจอะไรถูก. ดับเกิดทีละขณะนั้นก็ยังอีกไกลนะ เกิดดับ ดับเกิด มันก็แค่ความจริงของโลก เข้าให้ถึงโลกดับสูญก่อนมันถึงจะพอรู้ว่าสูญญตานั้นคืออะไร ดั่งคำตถาคตว่าเฉพาะด้วยเรื่องสูญญตา. นี่คือผล

:b1:
เอาเถอะที่ท่าบรรยายมาข้าพเจ้าเรียนรู้มาหลายปีแล้วเรื่องจิตรู้ทีละ1ทางอะไรนั้น มันก็ดีอยู่ในเบื้องตนของการศึกษาของการออกเดินทาง ยังไม่ถึงผล
...อันนี้เค้าเรียก แยกธาตุ แยกขันธ์ (ธาตุรู้ ธาตุดินน้ำลมไฟ)...ที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรมเป็นปัจจุบัน...
...เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ก็คือธาตุดินรู้แข็ง-อ่อน...รู้ธาตุต่างๆในกายไม่ใช่รู้ชื่อที่เรียก...
...พิจารณาไปว่ามันรักสงวนแค่ไหนหลงตัวเองแค่ไหน...หลงเนื้อหนังเอ็นกระดูกเคยหลงสาวไหม...
:b16:
ส่วนพระองค์ดับขันธ์ปรินิพานเราอย่าพึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ว่านั้นจะเป็นอย่างไร อาการบรรบุธรรมขณะยังมีชีวิตอยู่ก็อย่าพึ่งกล่าวข้ามขั้นตามตนเองเป็นเลยมันไม่มีใครรู้จริงหรอก ก็แค่บทพยัญชนะมันขาดรสชาติแห่งความเป็นจริง

...การทำสมาธิที่ได้เรื่องคือทำให้จิตรวมสงบเข้าใจสติปัฏฐานสี่ตามจริง จึงเป็นกำลังในการแยกธาตุแยกขันธ์...
...เอ้าแล้วที่ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ท่านบอกท่านสอนแล้วอธิบายให้เข้าใจความจริงนามดับ-รูปเกิด...
...ถ้าไม่ถึงปฏิบัติยังไม่เคยที่จิตได้เข้าไปรู้เห็นความจริงอันนั้น จะเข้าใจสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนยังไง...
...ท่านไม่ถึงท่านก็ไม่เทศน๋อย่างนั้นว่าไหม ข้าพเจ้าก็เข้ามาสนทนาเพื่อแสดงความเข้าใจตามปัญญา...
...ที่เกิดจากการฟังก็มี ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติก็มี ปัญญาที่เกิดจากการเห็นผลของการปฏิบัติก็มี...
...ข้าพเจ้าไม่ลังเลสงสัยอะไร ตัวหนังสือก็คือตัวหนังสือ ความจริงก็คือความจริง ฟังครูบาอาจารย์...
:b27:
...การฟังเทศน์ที่ได้เรื่องคือขณะที่นั่งทำสมาธิพร้อมคำบริกรรมจิตเข้าไปรวมสงบนี่หลวงตามหาบัวว่า...
...แล้วที่ข้าพเจ้าพูดถึงการแสดงภูมิรู้ของพระศาสดามีในพระไตรปิฎก+หลวงตาท่านก็เทศน์มีผู้โพสต์...
...อันนี้ก็เป็นความจริงหรือท่านบิกทู่จะปฏิเสธความเข้าใจจากการฟังการอ่านที่มีการยืนยันจากผู้รู้แล้ว...
:b1:
...จะรู้ จะเข้าใจ จะประพฤติตาม ก็ต้องทำตอนที่ยังมีชีวิต พระพุทธเจ้าถึงพระนิพพานตอนยังมีชีวิต...
...การตรัสรู้ทรงรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆที่กำลังปรากฎต่อจิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ของพระองค์...
...ย้อนหน้าย้อนหลัง รู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต เรียกว่าธัมมะ พระองค์แสดงธรรมเพื่อให้เข้าใจว่า...
...ธัมมะทั้งหลายพระบรมศาสดาไม่ได้ขนเอาไปนิพพานด้วย(นะจ๊ะ)บิกทู่ :b32: รู้ตอนยังมีชีวิต...
:b12:
...ใครที่รู้ตามศาสดาตั้งแต่ตอนที่ยังมีลมหายใจก็เข้าถึง สอุปาทิเสสนิพพาน รู้ตอนไม่ตาย(นะจ๊ะ)...
...แต่หลังจากที่ศาสดาตายไปธัมมะทั้งหลายก็ยังคงอยู่ การปรินิพพานของศาสดาเป็นการเข้าถึง...
...สภาวะที่เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน ปฏิบัติไปตามสมควรแก่ธรรมก็เหมือนได้ตามเสด็จทุกฝีก้าว...
:b20:
...หลวงตามหาบัวท่านเทศน์ว่า พระพุทธเจ้าตรัสกะพระอานนท์เพื่อให้หายทุกข์ร้องห่มร้องไห้...
...เมื่อศาสดาตายไปแล้ว...พระธรรมและพระวินัยนั้นและจะเป็นศาสดาแทนเราตถาคต...จริงไหม...
:b12:
...ถ้ายังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามธรรมและวินัยอยู่...พระอรหันต์จะไม่สูญจากโลก...นี่คือความจริงรู้ได้...
:b44: :b44: :b44:
:b16:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 61  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร