วันเวลาปัจจุบัน 05 ส.ค. 2025, 13:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 10:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๖ ความรู้จักเวทนา
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๑๖ ความรู้จักเวทนา
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
จะแสดงสัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรอันมา
ในสัมมาทิฏฐิสูตรที่ได้แสดงมาโดยลำดับ ภิกษุ
ทั้งหลายเมื่อได้ฟังท่านแสดงมาโดยลำดับก็
ได้กราบเรียนถามท่านยิ่งขึ้นไปอีกว่า
ยังมีปริยายคือทางแสดงอันอื่นอยู่อีกหรือที่จะทำให้
เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบ มีความเห็นตรงทำ
ให้ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหว
ในพระธรรม
นำมาสู่พระสัทธรรมคือพระธรรมวินัย
ในศาสนานี้ ท่านพระสารีบุตรก็ได้ตอบว่า ก็
ยังมีปริยายคือทางที่พึงแสดงอธิบายต่อไปอีก
และท่านก็จับแสดงต่อไปอีกจากที่ได้นำมาอธิบาย
แล้วว่า สัมมาทิฏฐิเห็นชอบ ก็คือรู้จักเวทนา
รู้จักเหตุเกิดเวทนา รู้จักความดับเวทนา
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับเวทนา เมื่อท่านแจกเป็น ๔
ดั่งนี้ ท่านก็อธิบายไปทีละข้อว่า
รู้จักเวทนา ก็คือรู้จักเวทนา ๖ อันได้แก่
จักขุสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากจักขุสัมผัส
สัมผัสทางตา
โสตะสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากโสตสัมผัส
สัมผัสทางหู
ฆานสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากฆานสัมผัส
สัมผัสทางจมูก
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากชิวหาสัมผัส
สัมผัสทางลิ้น
กายสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากกายสัมผัส
สัมผัสทางกาย
มโนสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดจากมโนสัมผัส
สัมผัสทางใจ
รู้จักเหตุเกิดเวทนา ก็คือรู้จักว่าสัมผัส
เป็นเหตุเกิดเวทนา
รู้จักความดับเวทนา ก็คือรู้จักว่าเวทนาดับ
เพราะดับสัมผัส
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับเวทนา
ก็คือรู้จักมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น
จึงจะได้อธิบายเรื่อง เวทนา อันเป็นข้อแรกของ ๔
ข้อที่ท่านพระสารีบุตรได้ยกขึ้นอธิบาย
ว่าเมื่อรู้จักก็ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ คือเห็นชอบ
เวทนา ๓
เวทนานั้นโดยทั่วไปได้จำแนกไว้เป็น ๓ คือ
สุขเวทนา เวทนาที่เป็นสุขทางกายทางใจ
ทุกขเวทนา คือเวทนาที่เป็นทุกข์ทางกายทางใจ
อทุกขมสุขเวทนา คือเวทนาที่มิใช่สุขมิใช่ทุกข์
คือเวทนาที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุขทางกายทางใจ
ฉะนั้น เวทนาจึงหมายถึงขันธ์ ๕ ข้อที่ ๒ ซึ่งเป็น
ความรู้เสวย เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลาง ๆ
ไม่ทุกข์ไม่สุขดังกล่าว เป็นไปได้ทางกายทางใจที่ทุกคน
ได้ประสบอยู่เป็นประจำและเวทนานี้นับเป็นข้อที่ ๒
ของขันธ์ ๕ ต่อจากรูป ซึ่งพระพุทธเจ้า
ได้ทรงแสดงขันธ์ ๕ สำหรับ
ให้ยกขึ้นพิจารณาทางวิปัสสนากรรมฐานเพื่อ
ให้รู้แจ้งเห็นจริง ว่าอัตภาพนี้อันที่จริงนั้นเป็นสมมติ
เป็นบัญญัติ ซึ่งก็นับว่าเป็นความจริงอย่างหนึ่ง เป็น
ความจริงโดยสมมติหรือโดยบัญญัติ แต่โดยปรมัตถ์
คือโดยอรรถคือเนื้อความอย่างยิ่งคืออย่างละเอียด
ก็หาใช่เป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ จึงได้ตรัสสอน
ให้จำแนกอัตภาพอัน
เป็นที่ตั้งของสมมติบัญญัติว่าอัตตาตัวเรานี้ ว่าเป็นขันธ์
๕ คือเป็นกองทั้ง ๕ มารวมกันอยู่ ได้แก่ กองรูป
กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมเรียกว่านาม
รูปก็เป็นรูป ย่อลงจึงเป็นนามรูปดังที่ทราบกันอยู่
เพราะฉะนั้น จึงไม่มีตัวเราของเรา
มีแต่รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณที่ประกอบกัน
อยู่
เวทนา ๕
เวทนาซึ่งเป็นข้อ ๒ นั้น ตรัสแสดงไว้เป็นข้อ ๒ ก็
เพราะว่ากำหนดได้ง่าย เกิดขึ้นเป็นไปทั้งทางกาย
ทั้งทางใจ คือเกิดขึ้นเป็นไปทั้งทางรูป รูปกาย
และทางนามกาย คือทางใจ จึงกำหนดได้ง่าย และ
ได้มีจำแนกไว้อีกนัยหนึ่งเป็นเวทนา ๕ คือ สุข ทุกข์
โสมนัส โทมนัส อุเบกขา เมื่อแจกออกเป็น ๕ ดั่งนี้
สุข จึงหมายถึงสุขทางกาย
ทุกข์ จึงหมายถึงทุกข์ทางกาย
โสมนัส หมายถึงสุขทางใจ
โทมนัส หมายถึงทุกข์ทางใจ
อุเบกขา ก็หมายถึงเวทนาที่เป็นกลาง ๆ มิใช่สุขมิ
ใช่ทุกข์ มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข
เพราะฉะนั้น แม้แจกเป็น ๕ ดั่งนี้ ก็คงย่อลงเป็น ๓
นั่นเอง ดังกล่าวมาข้างต้น แต่ว่าเมื่อแจกออกเป็น ๕ สุข
ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา สุขและทุกข์ก็มี
ความหมายจำกัดเข้ามา เฉพาะที่เป็นไปทางกาย โสมนัส
โทมนัส ก็เป็นไปทางใจ อุเบกขาก็เป็นเช่นเดียวกันคือ
เป็นกลาง ๆ มิใช่ทุกข์มิใช่สุขดังกล่าว
เวทนา ๖ ที่เกิดจากสัมผัส
ส่วนในที่นี้ท่านพระสารีบุตรท่านยกเอาเวทนา ๖
คือยกเอาเวทนา ๓ หรือเวทนา ๕ ดังกล่าวแล้วนั่น
และแจกออก ที่เกิดจากสัมผัสคือ
ความกระทบที่ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น
ทางกาย และทางมนะคือใจ คือยกเอาสัมผัสทั้ง ๖ นี้
เป็นที่ตั้ง จึงเป็นเวทนา ๖ และเมื่อแจกเป็นเวทนา ๖ ดั่งนี้
แล้ว จึงได้มีอธิบายให้ละเอียดต่อไปอีกว่า
สำหรับเวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก
ทางลิ้น และที่เกิดจากสัมผัสทางใจ ทั้ง ๕ นี้ เป็น
เวทนาทางใจ คือเป็นสุขหรือเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง
ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขทางใจ
เฉพาะข้อเวทนาที่เกิดจากกายสัมผัส สัมผัสทางกาย จึง
เป็น เวทนาทางกาย คือเป็นสุขหรือเป็นทุกข์หรือ
เป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขทางกาย
ฉะนั้นในการพิจารณานั้นจึงให้ทำความเข้าใจว่า
ที่ว่าเวทนาที่เกิดจากสัมผัสในทางทั้ง ๕
เป็นไปทางใจย่อมมีความหมายดังเช่นว่า เมื่อตา
กับรูปมาประจบกันก็เกิดความรู้รูปหรือเห็นรูป
และเมื่อตากับรูปและ
ความรู้รูปคือเห็นรูปอันเรียกว่า วิญญาณ ทั้ง ๓
นี้มาประชุมกันก็เรียกว่าสัมผัส จึงเป็นเหตุ
ให้เกิดเวทนา หากรูปที่เห็นเป็นที่ตั้งของสุข ก็
ให้เกิดสุขเวทนา รูปที่เห็นเป็นที่ตั้งของทุกข์ ก็
ให้เกิดทุกข์เวทนา รูปที่เห็นเป็นที่ตั้งของมิใช่ทุกข์มิ
ใช่สุขหรือเป็นกลาง ๆ ก็ทำให้เกิดอทุกขสุขเวทนา
หรืออุเบกขาเวทนา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางหู
ทางจมูก ทางลิ้น และทางใจก็เช่นเดียวกัน เพราะฉะ
นั้น เมื่อมีความอธิบายดั่งนี้ เวทนาที่เกิดจากสัมผัสในทาง
ทั้ง ๕ ดังกล่าว จึงเป็นเวทนาทางใจอย่างเดียว
หากจะมีปัญหาว่าผงเข้าตาก็เจ็บ
หรือเอาน้ำลูบตาก็เย็น ดั่งนี้ จะเป็นเวทนาอะไร จะ
เป็นจักขุสัมผัสสชาเวทนาหรืออย่างไร ก็ตอบว่า
ในลักษณะดังกล่าวไม่เรียกว่า จักขุสัมผัสสชาเวทนา
แต่เรียกว่า กายสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิด
จากสัมผัสทางกาย เพราะว่าผงเข้าตาก็หมายถึงตา
ส่วนที่เป็นกาย ไม่ใช่หมายถึงตาส่วนที่เห็นรูป หมาย
ถึงตาส่วนที่เป็นกาย จึงจัดว่าเป็นกายสัมผัสสชาเวทนา
เป็นไปทางกาย แม้ทางหูเป็นต้น ก็เช่นเดียวกัน
มีอะไรมากระทบหู หรือทิ่มตำที่หู ก็เกิดความเจ็บ
หรือเอาน้ำล้างน้ำลูบก็เย็นสบาย อย่างนี้ก็เป็นหู
ส่วนที่เป็นกายเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เป็นหูส่วนที่
เป็นประสาทรับเสียงได้ยินเสียง จึงนับว่า
เป็นกายสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิด
จากสัมผัสทางกาย เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางกายนี้มี
เป็นอันมาก ความที่ได้รับความสุขทางกายต่าง ๆ
อันเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศหรือเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกต้องต่าง ๆ
อันทำให้กายสบาย ก็นับว่าเป็นสุขทางกาย ความที่
ต้องกระทบกับดินฟ้าอากาศส่วนที่เกิดทุกข์ เช่น
ต้องตากแดดตากฝนประกอบการงาน หรือว่า
ต้องนั่งนาน ๆ เดินนาน ๆ ยืนนาน ๆ หรือแม้นอนนาน ๆ ก็
เป็นทุกข์ขึ้นมา หรือว่าอาพาธป่วยไข้ต่าง ๆ เกิด
ความทุกข์ ก็เป็นทุกขเวทนาทางกาย เพราะฉะนั้น
ทุกขเวทนาทางกายก็มีมาก สุขก็มีมาก และที่
เป็นกลาง ๆ ที่ไม่ทำให้สุขให้ทุกข์ก็นับว่าเป็นกลาง ๆ
ได้ก็มีอยู่ แต่บางท่านก็มีอธิบายว่า ที่เป็นกลาง ๆ นั้น
ไม่มี เพราะถ้าเป็นปกติก็นับว่าเป็นสุข เหมือนดังเช่น
ความหนาวความร้อน ความเย็น
ความร้อนของดินฟ้าอากาศ ที่ร้อนไปหรือเย็นไปก็ทำ
ให้รู้สึกเป็นทุกข์ทางกาย เมื่อมีความร้อนหรือ
ความเย็นที่อำนวยให้เกิดความรู้สึกเป็นสุขสบายก็ทำ
ให้เกิดสุขเวทนาทางกาย หรือที่แม้ไม่ทำให้เกิด
ความสุขชัดนักคือไม่ร้อนมากไม่เย็นมากเรียกว่า
เป็นปกติ ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นสุขหรือไม่ทำ
ให้รู้สึกว่าเป็นทุกข์อย่างไร เป็นปกติ แม้ดั่งนี้ก็น่า
จะเรียกว่าเป็นกลาง ๆ ได้ แต่ท่านแสดงว่า จัดว่า
เป็นสุขเหมือนกัน แต่ว่าบางท่านก็แสดงว่าที่มีลักษณะ
เป็นปกติดังกล่าวที่ไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นสุขหรือ
เป็นทุกข์ ก็นับว่าเป็นกลาง ๆ ได้
ส่วนทางใจนั้นย่อมมีชัดทั้ง ๓ อย่าง เมื่อสัมผัสดังกล่าว
เป็นที่ตั้งของสุขก็ให้เกิดสุข เป็นที่ตั้งของทุกข์ก็
ให้เกิดทุกข์ และแม้เป็นที่ตั้งของสุขของทุกข์ดังกล่าว
เมื่อใจวางเฉยได้ มีอุเบกขาได้ ก็เป็นอุเบกขาไม่ทุกข์
ไม่สุขทางใจ หรือสัมผัสดังกล่าวนั้นเองที่ไม่ทำให้รู้
เป็นสุขหรือรู้เป็นทุกข์ชัดเจน เป็นสิ่งธรรมดาสามัญ
ก็นับว่าเป็นเวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุข ยกตัวอย่างเช่นว่า ตา
กับรูปมาประจวบกัน หูกับเสียงมาประจวบกัน คือ
ได้ยินอะไร ได้เห็นได้อะไร วันหนึ่ง ๆ มากมายนักหนา
แต่ที่ทำให้เป็นสุขหรือทำให้เป็นทุกข์นั้นไม่ใช่ทั้งหมด
ในส่วนที่เห็นแล้วก็แล้วไปไม่ได้ใส่ใจถึง ได้ยินแล้วก็
แล้วไปไม่ได้ใส่ใจถึง มีอยู่เป็นอันมาก
ในลักษณะดังกล่าวนี้ มิใช่ว่าไม่เกิดเวทนา
เกิดเวทนาเหมือนกัน แต่ว่าเป็นเวทนาที่เป็นกลาง ๆ คือ
ไม่พอที่จะให้รู้เป็นสุข ไม่พอที่จะให้รู้เป็นทุกข์ ก็เฉย
ๆ ความเฉย ๆ นี้ก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง เมื่อเป็น
ความรู้อย่างหนึ่งก็เป็นเวทนาอย่างหนึ่ง
เวทนาเป็นที่ตั้งของ ราคะ โทสะ โมหะ
และเวทนาที่เป็นความรู้เฉย ๆ ดังกล่าวมานี้ มักจะมิ
ได้พิจารณาถึง มักจะมิได้คำนึงถึง ท่านจึงแสดงว่า
เวทนาดังกล่าวมานี้เป็นที่ตั้งของโมหะคือความหลง
สุขเวทนา นั้นเป็นที่ตั้งของ ราคะ ความติดใจยินดี
ทุกขเวทนา นั้นเป็นที่ตั้งของ โทสะ ความโกรธแ
ค้นขัดเคือง
ส่วน เวทนาที่เป็นกลาง ๆ ดังกล่าว เป็นที่ตั้งของ โมหะ
ความหลง
เพราะว่าเฉย ๆ แต่ก็เป็นเฉย ๆ ด้วยความไม่รู้ คือมิ
ได้กำหนดพิจารณาให้รู้ว่านี่ก็เป็นเวทนาเหมือนกัน แต่
เป็นเวทนาที่เมื่อไม่ได้กำหนดเป็นเวทนาที่ไม่รู้ ไม่รู้จัก
เมื่อไม่รู้จักก็เป็นโมหะคือความหลง ตั้งต้นแต่หลงว่า
ไม่รู้จักว่าเป็นเวทนา ส่วนสุขทุกข์นั้น
เป็นที่ตั้งของราคะบ้าง เป็นที่ตั้งของโทสะบ้าง
ดังกล่าว
ทรงสอนให้ทำสติกำหนดพิจารณาเวทนา
เวทนานี้เป็นข้อที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอน
ให้ทำสติกำหนด เป็น เวทนานุปัสสนา
สติกำหนดพิจารณาเวทนา ตามรู้ตามเห็นเวทนา อัน
เป็นสติปัฏฐานข้อที่ ๒ และได้มีตรัสสอนเอาไว้
ให้กำหนดเวทนานี้สำหรับที่จะได้ดับทุกขเวทนาได้อีก
ด้วย ดังทีเรื่องเล่า
ถึงพระนางสามาวดีที่ถูกไฟคลอกสิ้นพระชนม์
ในปราสาท โดยที่มี
ผู้ริษยาจุดไฟเผาปราสาทที่พระนางได้ประทับอยู่
และปิดกั้นประตูมิให้ออกได้ ได้มีแสดงว่าพระนาง
ได้เจริญเวทนาปริคคหกรรมฐาน
คือกรรมฐานที่กำหนดเวทนา กำหนดดูเวทนาที่เกิดขึ้น
ในขณะที่ถูกไฟเผาร่างกาย และเมื่อ
ได้ตั้งใจกำหนดดูจริง ๆ ก็จะมีความแยกระหว่างกาย
กับผู้ดูผู้รู้ คือผู้ที่กำหนดเวทนานั้นชื่อว่าเป็นผู้ดูผู้รู้
สิ่งที่กำหนดดูก็คือกาย และเมื่อแยกออกจากกันได้
อันหมายความว่าสติที่กำหนดดูกำหนดรู้นั้นมีกำลัง
เวทนาที่เป็นทุกข์จึงอยู่แค่กาย คืออยู่ที่กาย มิใช่
อยู่ที่จิตใจ หรือมิใช่อยู่ที่ผู้กำหนดดูกำหนดรู้ เมื่อ
เป็นดั่งนี้ จึงชื่อว่าแยกกายออกจากใจได้
เมื่อแยกกายออกจากใจได้ ใจก็ไม่ต้องรับ
เป็นทุกขเวทนาทางใจ ทุกขเวทนาก็
เป็นทุกขเวทนาของกาย แต่ว่าไม่เป็นทุกขเวทนาของใจ
สติที่กำหนดดูกำหนดรู้เวทนานี้จึงแยกได้ดั่งนี้ และแม้
จะได้รับทุกขเวทนาอย่างอื่นหรือแม้
ได้รับสุขเวทนาก็ตาม เมื่อตั้งสติกำหนดดูกำหนดรู้ให้
เป็นเวทนาปริคคหกรรมฐาน
กรรมฐานที่กำหนดเวทนาอยู่
เมื่อสติที่กำหนดมีกำลังก็ย่อมจะแยกได้เช่นเดียวกัน
สำหรับเวทนาที่เป็นทางกายนั้น
เมื่อตั้งสติหัดปฏิบัติกำหนดดูกำหนดรู้อยู่บ่อย ๆ จนมี
ความชำนาญ ย่อมอาจแยกได้ง่ายกว่าเวทนาทางใจ
เพราะเวทนาทางใจนั้นอยู่ที่ใจเอง แต่เวทนาทางกายนั้น
อยู่ที่กาย ถ้าใจไม่ไปยึดไม่ไปถือ เวทนาทางกายก็
อยู่แค่กายไม่เข้าถึงใจ แต่ที่เวทนาเข้าถึงใจนั้นคือใจ
เป็นทุกข์ไปด้วยกับกายก็เพราะว่ายังแยกกันมิได้
เวทนาปริคคหกรรมฐาน
กรรมฐานที่กำหนดเวทนานี้แหละที่จะแยกได้ แต่ว่า
จะต้องตั้งสติกำหนดให้มีกำลัง
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๕ มกราคม ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 10:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๗ ความรู้จักผัสสะ
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๑๗ ความรู้จักผัสสะ
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบาย
ในสัมมาทิฏฐิของท่านพระสารีบุตรเถระ ซึ่งมีที่มา
ในสัมมาทิฏฐิสูตรโดยลำดับ ภิกษุทั้งหลาย
ได้กราบเรียนถามท่าน ท่านก็ได้ตอบ แล้วพระภิกษุ
ทั้งหลายก็ได้เรียนถามท่านอีก ว่า
ยังมีปริยายคือทางแสดงอย่างอื่นอีกหรือไม่
ท่านก็ตอบว่ามี ซึ่งได้กล่าวมาโดยลำดับ ในวันนี้ก็จะ
ได้กล่าวตามที่ท่านตอบคำถามของพระภิกษุ
ทั้งหลายถึงปริยายคือทางแสดงอย่างอื่นอีกจากที่
ได้แสดงอธิบายมาแล้ว ท่านก็ได้ตอบว่า
ยังมีปริยายคือทางที่แสดงอย่างอื่นอีก คือสัมมาทิฏฐิ
เห็นชอบ ก็ได้แก่รู้จักผัสสะ รู้จักเหตุเกิดผัสสะ รู้จัก
ความดับผัสสะ และรู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับผัสสะ เมื่อท่านตั้งหัวข้อขึ้นมาเป็น ๔ ข้อดั่งนี้
ท่านก็ได้แสดงเถราธิบายแต่ละข้อว่า
รู้จักผัสสะ ก็คือรู้จักสัมผัส ๖ อันได้แก่ จักขุสัมผัส
สัมผัสทางตา โสตสัมผัส สัมผัสทางหู ฆานสัมผัส
สัมผัสทางจมูก ชิวหาสัมผัส สัมผัสทางลิ้น กายสัมผัส
สัมผัสทางกาย และมโนสัมผัส สัมผัสทางใจ
รู้จักเหตุเกิดแห่งผัสสะ ก็คือรู้จักว่า ผัสสะเกิดขึ้น
เพราะอายตนะ ๖ เกิดขึ้น
รู้จักความดับผัสสะ ก็คือรู้จักว่า ผัสสะดับก็
เพราะอายตนะ ๖ ดับ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับผัสสะ
ก็คือรู้จักมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น
อธิบายผัสสะหรือสัมผัส ๖
จะอธิบายสัมผัส ๖ คำนี้เรียกว่า ผัสสะ หรือเรียกว่า
สัมผัส มักจะแปลกันว่า ความกระทบ
ในภาษาไทยก็นำเอาคำว่าสัมผัสมาใช้ ซึ่งใช้ใน
ความหมายว่า กระทบหรือถูกต้อง แต่ความหมาย
ในทางธรรมะ หมายถึงผัสสะหรือสัมผัส ที่เป็น
ความประชุมกันของอายตนะภายในอายตนะภายนอก
และวิญญาณ แต่ละทางในทางทั้ง ๖ กล่าวคือ
อายตนภายในอันได้แก่ตา ภายนอกอันได้แก่รูป
มาประจวบกัน ก็เกิด จักขุวิญญาณ ความรู้ทางตา
ดังที่เรียกว่าเห็นคือเห็นรูป ทั้ง ๓ นี้ คือ
ตาหนึ่งรูปหนึ่ง จักขุวิญญาณหนึ่งมาประชุมกัน
ก็เรียกว่าสัมผัส และเรียกว่า จักขุสัมผัส
สัมผัสทางตา
หูกับเสียงมาประจวบกัน ก็เกิด โสตวิญญาณ
ความรู้ทางหูที่เรียกว่าได้ยิน และทั้ง ๓ นี้คือ หูหนึ่ง
เสียงหนึ่ง โสตวิญญาณหนึ่ง มาประชุมกัน ก็เรียกว่า
โสตสัมผัส สัมผัสทางหู
จมูกกับกลิ่นมาประจวบกัน ก็เกิด ฆานวิญญาณ
ความรู้ทางจมูกคือทราบกลิ่น จมูกหนึ่ง กลิ่นหนึ่ง
ฆานวิญญาณหนึ่ง ประชุมกัน ก็เรียกว่า ฆานสัมผัส
สัมผัสทางจมูก
ลิ้นกับรสมาประจวบกัน ก็เกิด ชิวหาวิญญาณ
ความรู้ทางลิ้นคือทราบรส ลิ้นหนึ่ง รสหนึ่ง
ชิวหาวิญญาณหนึ่ง มาประชุมกัน ก็เรียกวา
ชิวหาสัมผัส สัมผัสทางลิ้น
กายและโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้องมาประจวบกัน
ก็เกิด กายวิญญาณ ความรู้ทางกายคือทราบสิ่งถูก
ต้องทางกาย กายหนึ่ง โผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้องหนึ่ง
กายวิญญาณหนึ่ง ประชุมกัน ก็เป็น กายสัมผัส
สัมผัสทางกาย
มโนคือใจ กับธรรมะคือเรื่องราว มาประจวบ
กันก็เกิด มโนวิญญาณ ความรู้ทางมโนคือใจ
คือรู้เรื่องหรือคิดเรื่อง มโนคือใจหนึ่ง
ธรรมะคือเรื่องราวหนึ่ง มโนวิญญาณหนึ่ง ประชุม
กัน ก็เป็น มโนสัมผัส สัมผัสทางมโนคือใจ
นี้คือผัสสะหรือสัมผัสทางคติธรรม
สัมผัสเป็นของละเอียด กำหนดได้ยาก
เมื่อพิจารณาดูถึงสัมผัสหรือผัสสะนี้ ก็ย่อม
จะทราบว่าเป็นผัสสะหรือสัมผัสทางจิตใจและ
เป็นของที่ละเอียด กำหนดได้ยาก มิใช่แต่สัมผัส
หรือผัสสะเท่านั้น นามธรรมทั้งหมดที่เป็นเบื้องต้น
คือวิญญาณเอง อันได้แก่ความรู้ที่บังเกิดขึ้น
เมื่ออายตนะภายใน อายตนะภายนอกประจวบกัน อัน
เป็นความรู้ของจิต ก็เป็นสิ่งที่ละเอียดยิ่งไปกว่าผัสสะ
หรือสัมผัส แต่ว่านามธรรมที่บังเกิดขึ้นสืบไป
จากวิญญาณสัมผัส อันได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร
ย่อมปรากฏสังเกตจับพิจารณาได้ง่ายขึ้นดังเวทนาที่
เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข
สัญญาที่เป็นความจำหมาย สังขารที่เป็นความคิดปรุง
หรือปรุงคิด เป็นนามธรรมที่ชัดขึ้น ปรากฏมากขึ้น
เหมือนอย่างสุขหรือทุกข์ทางกายก็ตามทางใจก็ตาม
เมื่อเกิดขึ้นทุกคนก็ย่อมจะรู้หรือไม่ทุกข์ไม่สุขก็ย่อม
จะรู้ สัญญาความกำหนดจำหมาย จำได้จำไม่ได้
ทุกคนก็ย่อมจะรู้ สังขารความปรุงคิดหรือคิดปรุง
ทุกคนก็ย่อมจะรู้ใจของตัวเองว่าคิดอย่างไร
และแม้วิญญาณที่บังเกิดขึ้น เมื่ออายตนะภาย
ในอายตนะภายนอกประจวบกันกับเมื่อทั้ง ๓
มาประชุมกันเป็นสัมผัส
อันละเอียดไปกว่านามธรรมที่บังเกิดต่อไปคือเวทนามัก
จะสังเกตได้ยากจับได้ยาก ทำความรู้ในวิญญาณ
ในสัมผัสได้ยาก ต่อเมื่อเป็นเวทนาเป็นต้น จึงจะชัดขึ้น
วิถีจิตต้องดำเนินไปตามขั้นตอน
และแม้ไม่ตั้งใจที่จะกำหนด แต่ว่าตัวเวทนาเป็นต้น
นั้นเองก็โผล่ขึ้นมาให้ทราบได้ ความโผล่ขึ้นมานี้
แม้วิญญาณและสัมผัสก็โผล่ขึ้นมา ดังที่เมื่อตา
กับรูปประจวบกัน ก็เกิด
ความรู้รูปคือเห็นรูปอันเรียกว่าจักขุวิญญาณ
ทุกคนก็ย่อมจะรู้ว่าได้เห็นรูป และแม้เมื่อ
ไม่เห็นก็ย่อมจะรู้ว่าไม่เห็น แต่โดยมากนั้น เมื่อ
ไม่เห็นสิ่งที่ต้องการจะไม่เห็น จึงจะรู้ว่าไม่เห็น
เพราะใจจะตั้งกำหนดอยู่คือตั้งกำหนดอยู่
ในเรื่องที่อยากจะเห็น แต่ครั้นไม่เห็นก็รู้ว่าไม่เห็น
แต่เมื่อเห็นก็ไม่ได้นึกถึงกิริยาที่เห็นอัน
เป็นจักขุวิญญาณ แต่ว่าไปนึกถึงสิ่งที่เห็นนั้น
คือข้ามเลยไปถึงขั้นที่เป็นสังขารปรุงคิด
หรือคิดปรุง และข้ามไปถึงที่เป็นกิเลสขึ้นมา เป็น
ความยินดีความยินร้ายต่าง ๆ ในรูปที่เห็นนั้น
ส่วนวิถีจิตที่แสดงที่เป็นไปตามลำดับนั้นไม่ได้นึก
ถึงเช่นเดียวกับการที่จะขึ้นไปสู่ที่ใดที่หนึ่งซึ่งจะ
ต้องก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น ทุกคนก็ไม่ได้ไปนึก
ถึงบันไดที่ก้าวขึ้นไป มุ่งจะขึ้น
และก้าวบันไดขึ้นไปกี่ขั้นก็ไม่ได้ นึกถึงไม่ได้มุ่งถึง
เพราะฉะนั้นจึงมักจะไม่รู้ว่าบันไดที่ก้าวขึ้นไปนั้นมีกี่ขั้น
วิถีจิตก็เช่นเดียวกัน ต้อง
เป็นไปตามลำดับเหมือนอย่างขั้นบันได
คือว่าอายตนะภายในภายนอกที่มาประจวบกัน
ที่เหมือนอย่างเป็นบันไดขั้นแรก คือความมาประจวบ
กันก็เป็นวิญญาณ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น ก็
เป็นบันไดขั้นที่ ๒ และทั้ง ๓ นั้นมาประชุมกัน
เป็นสัมผัส ก็เป็นบันไดขั้นที่ ๓ จึงมาถึงเวทนา
เป็นบันไดขั้นที่ ๔ สัญญาที่ ๕ สังขารที่ ๖ ซึ่งจิตนี้จะ
ต้องดำเนินไปตามวิถีจิตดังกล่าวนี้
ในอารมณ์ทุกข้อทุกอย่าง
ชนกกรรมนำให้เกิด
อารมณ์ทุกข้อทุกอย่างที่จิตคิดจะต้องผ่านบันไดขึ้นมา
โดยลำดับดั่งนี้ จิตเอง
กับบันไดที่จิตดำเนินผ่านขึ้นมาตามลำดับนี้
เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของกาย
และจิตนี้ของทุก ๆ คน
จักเป็น อพยากตธรรม ธรรมะที่เป็นกลาง ๆ ไม่
ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่บาป ไม่ใช่บุญ
เป็น วิบากขันธ์ คือเป็นขันธ์ซึ่งได้มาแต่กำเนิด
เริ่มต้นเกิดก่อขึ้นในครรภ์ของมารดา
ซึ่งทางพระพุทธศาสนาแสดงว่า
เป็นวิบากคือผลของกรรมพร้อมทั้งกิเลสซึ่ง
ได้ประกอบกระทำไว้แล้ว
เป็น ชนกกรรม กรรมที่นำให้เกิดขึ้นมา
และเมื่อธาตุทั้งหลาย
คือธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมธาตุอากาศ เริ่มต้นขึ้น
ได้ที่ คันธัพพะ คนธรรพ์ ท่านใช้ศัพท์เรียดดั่งนี้ อัน
ได้แก่ปฏิสนธิจิตก็มาปฏิสนธิตามกรรม เป็นปฏิสนธิจิต
เป็นปฏิสนธิวิญญาณ เป็นอันว่าเริ่มมีธาตุ ๖ ธาตุดิน
ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ
และธาตุวิญญาณอันเรียกว่า วิญญาณธาตุ เป็นบุรุษ
สตรี สัตว์ บุคคลทุก ๆ คน นี้ก่อกำเนิดเกิดขึ้นมา
ในทางพระวินัย ได้แสดงนับว่าเริ่มเป็นชาติคือ
ความเกิดตั้งแต่ปฐมจิตปฐมวิญญาณ
ในครรภ์ของมารดาดังกล่าว
และก็อาศัยอาหารเติบโตขึ้นโดยลำดับจน
ถึงคลอดออกมา ก็อาศัยอาหารเติบโตขึ้นมา
โดยลำดับ เป็นธาตุ ๖ เป็นกายเป็นจิต เป็นขันธ์
อายตนะ ธาตุเป็นขันธ์ ๕ เป็นนามรูป อัน
เป็นที่ตั้งของสมมติบัญญัติว่าเป็นอัตภาพ เป็นตัวเรา
เป็นเรา นี้เป็นวิบากขันธ์ วิบากอายตนะ วิบากธาตุ
ของชนกกรรมที่นำให้มาเกิดพร้อมทั้งกิเลส
เป็นกลาง ๆ ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่บาป ไม่ใช่กุศล ไม่
ใช่อกุศล
กำหนดรูปและนามเป็นที่ตั้งของวิปัสสนากรรมฐาน
และสำหรับรูปกายอันเป็นที่อาศัยของจิต พร้อม
กับมโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุต่าง ๆ อัน
เป็นที่ตั้งของนามธรรมต่าง ๆ ก็มีกระบวนของจิตใจ
เป็นไปตามธรรมชาติตามธรรมดาดังที่กล่าวมา
แล้ว และสำหรับรูปกายนั้นอันเป็น
ส่วนรูปคือกองรูปนั้นก็สังเกตกำหนดได้ง่าย
เป็นที่ตั้งของวิปัสสนากรรมฐาน คือ
เป็นภูมิของวิปัสสนากรรมฐาน และก็น่าจะ
เป็นที่วิญญาณกับสัมผัสนั้นกำหนดได้ยาก ในขันธ์ ๕ จึง
ได้จัดนามธรรมต่อจากรูปขันธ์ ก็มาเป็นเวทนา
สัญญา สังขาร แล้วจึงนำวิญญาณมาเป็นข้อท้ายเพื่อ
เป็นวิปัสสนาภูมิ เป็นภูมิสำหรับพิจารณาทางวิปัสสนา
ให้เห็นไตรลักษณ์ เมื่อกำหนดรูปอันเป็นของหยาบ
แล้วก็มาเวทนาซึ่งก็เป็นนามธรรมที่หยาบดังกล่าว
แล้วก็มาสัญญา มาสังขาร เมื่อมา
ถึงสังขารก็แปลว่าได้กำหนดนามธรรมถนัดขึ้น
จึงมาวิญญาณเป็นข้อ ๕ ซึ่งจะกำหนดได้ง่ายเข้า
คือกำหนดตัวรู้ที่เป็นไปกับความคิดปรุงหรือ
ความปรุงคิดต่าง ๆ เพราะว่าเมื่อปรุงคิด
หรือคิดปรุงไปต่าง ๆ นั้น ก็ย่อมมีตัวรู้ประกอบอยู่
ด้วย คือรู้ว่าคิดอะไร ปรุงอะไร แต่ว่าโดยมากนั้น
ผู้ที่ไม่ปฏิบัติธรรมะ มักจะไม่คิดถึงตัวรู้ที่ประกอบ
กันไปอยู่กับความคิดปรุงหรือความปรุงคิด เพราะ
ไม่มุ่งคิดปรุงหรือปรุงคิด และไปติดอยู่ในกิเลส
ยินดียินร้ายหลงงมงายอันบังเกิดขึ้นจากสิ่งที่คิดปรุง
หรือปรุงคิดนั้น จึงมิได้มานึกถึงตัวรู้ ว่าอันที่จริง
นั้นทุกคนคิดอะไรก็รู้ไปด้วยว่าคิดอะไร ฉะนั้น
หากหัดกำหนดดูตัวรู้ที่ไปกับตัวคิดปรุงหรือปรุงคิด
ก็ย่อมจะจับตัวรู้ได้ และก็ย่อมจะรู้จักว่านั่นแหละ
เป็นวิญญาณที่ในขั้นนี้ก็เป็นมโนวิญญาณ
หัดกำหนดดูให้รู้จักมโนวิญญาณหรือตัวรู้
และเมื่อเป็นดั่งนี้ ก็มาหัดจับวิญญาณคือตัวรู้
เมื่ออายตนะภายในภายนอกมาประจวบ
กันดังกล่าวมาข้างต้น ซึ่งเมื่ออายตนะทั้ง ๒
มาประจวบกันแล้ว โดยปกติก็ย่อมจะเกิดตัวรู้
คือรู้รูปที่เรียกว่าเห็นรูป รู้เสียงที่เรียกว่า
ได้ยินเสียง แต่ว่าจะต้องมีความเข้าใจอีกอันหนึ่งว่า จิตนี้
จะต้องตั้งอยู่เพื่อที่จะรู้ด้วย คือเมื่อตากับรูปประจวบ
กัน จิตนี้จะต้องตั้งอยู่เพื่อที่จะดูรูปรู้รูป จึง
จะเห็นรูปเกิดเป็นจักขุวิญญาณ เมื่อหูกับเสียงประจวบ
กันจิตนี้จะต้องตั้งอยู่ที่จะรู้เสียง จึง
จะเกิดโสตวิญญาณคือได้ยินเสียง ถ้าจิตนี้ไม่ตั้ง แม้ว่า
จะมีรูปมาอยู่เฉพาะหน้าเฉพาะตา
จะมีเสียงมากระทบหู โสตประสาท แต่ก็ไม่เห็นไม่
ได้ยินถ้าจิตไม่ตั้ง เหมือนดังที่กำลังบรรยายธรรม
อยู่นี้ ท่านทั้งหลายที่ฟังอยู่นี้ จะต้องมีจิตตั้งที่จะฟังด้วย
จึงจะได้ยินเสียงที่แสดงนี้ แต่หากว่าถ้าจิตไม่ตั้งที่จะฟัง
คือส่งจิตไปเสียในที่อื่น แม้เสียงที่แสดงนี้
จะไปกระทบโสตประสาทแต่ก็ไม่ได้ยิน หูดับในเมื่อจิต
ไม่ตั้งจะฟัง อายตนะทุกข้อย่อมเป็นดั่งนี้ ตาดับในเมื่อจิต
ไม่ตั้งที่จะดู หูดับในเมื่อจิตไม่ตั้งที่จะฟัง จมูกดับลิ้นดับ
ในเมื่อจิตไม่ตั้งที่จะทราบกลิ่นทราบรส กายดับ
ในเมื่อจิตไม่ตั้งที่จะทราบสิ่งถูกต้อง เพราะฉะนั้นจิต
จึงต้องตั้งประกอบอยู่
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือมโนข้อที่ ๖ นั้นเอง ที่
เป็นอายตนะข้อที่ ๖ ที่เรียกว่าใจจะต้องตั้ง
อยู่ประกอบอยู่กับตากับหูกับจมูกกับลิ้นกับกาย
ด้วยทุกเรื่องไป ตาหูจมูกลิ้นกายใจจึงจะไม่ดับ ถ้ามโน
ไม่มาประกอบอยู่ด้วยแล้วก็ดับ นี้เป็นธรรมชาติ
เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นเมื่ออายตนะภาย
ในภายนอกประจวบกันก็เกิดความรู้ขึ้น
จึงอาจหัดกำหนดดูได้ ดูตัวเห็นตัวได้ยินคือตัวรู้นั้นเอง
ที่บังเกิดขึ้นนั้น แต่ถ้าหากว่าจิตนี้ตั้งกำหนดอยู่เพียง
เท่านี้คือเพียงแค่จักขุวิญญาณโสตวิญญาณเป็นต้น
คือเมื่อตากับรูปประจวบกัน จิตตั้งกำหนดก็เห็นรูป
แล้วจิตก็ถอนไปเสีย ถ้าเป็นดั่งนี้แล้ว เรื่องนั้นก็ดับ
อยู่แค่นั้น ไม่เป็นสัมผัส
ไม่เกิดเวทนาสัญญาสังขารอะไร เพราะฉะนั้น
หากว่าจิตตั้งอยู่ต่อไปกำหนดต่อไป กล่าวคือเมื่อตา
กับรูปประจวบกัน จิตตั้งเพื่อที่จะทราบรูปเห็นรูป
ก็เกิดจักขุวิญญาณ รู้รูปเห็นรูป จิตก็ยังตั้งอยู่
ในเรื่องนี้ต่อไป เมื่อจิตตั้งอยู่ในเรื่องนี้ต่อไป ก็คือจิต
ได้นำเอาตารูป
และตัวจักขุวิญญาณคือตัวรู้ตัวเห็นรูปนั้น
มาประชุมกันเองในจิตสัมผัส แปลว่าเรื่อง
นั้นก็กระทบถึงจิตแรงขึ้น จิตไม่ปล่อย และถ้าจิต
ไม่ปล่อย ต่อไปจึงจะเป็นเวทนาเป็นสัญญาเป็นสังขาร
แต่ถ้าจิตปล่อยอยู่แค่นี้ไปเรื่องอื่นเสีย
ก็ดับไปแค่สัมผัสเท่านั้น เพราะฉะนั้น จิตที่ตั้งอยู่นี้จึง
เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และจิตที่ตั้งอยู่นี้แหละคือตัวสมาธิ
ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา
การหัดทำสมาธินั้นก็คือเป็นการหัดให้ตั้งอยู่
ในทางที่ดีที่ชอบนั่นเอง
แต่อันที่จริงตามธรรมชาติธรรมดานั้นก็
ต้องมีสมาธิ คือจิตจะต้องตั้งอยู่ วิถีจิตจึงจะเป็นไป
ได้ดังที่กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้น สัมผัสนั้นก็คือ
ความที่อายตนะภายในภายนอก กับตัวเห็นรูปเป็นต้น
นั้นมารวมกัน กระทบจิตแรงขึ้น จึงย่อมจะ
เป็นเวทนาขึ้นมา เพราะฉะนั้น หากหัดกำหนดจริง ๆ
แล้วก็กำหนดได้ สัมผัสจึงมีลักษณะดังที่ได้แสดงมานี้
จึงเป็นสัมผัส ๖ หรือเรียกว่าผัสสะเฉย ๆ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๑ มกราคม ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 10:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๘ ความรู้จักอายตนะ ๖
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๑๘ ความรู้จักอายตนะ ๖
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเรื่องสัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบมาโดยลำดับ เมื่อท่าน
ได้แสดงเถราธิบายจบไปตอนหนึ่ง ๆ ภิกษุทั้งหลายก็
ได้กราบเรียนถามท่านว่า
จะมีปริยายคือทางแสดงอย่างอื่นอีกหรือไม่
ซึ่งท่านก็ตอบว่ามี ในวันนี้จึงจะได้แสดงต่อไป
ถึงคำตอบของท่าน สืบต่อจากที่ได้แสดงมาแล้ว
คือท่านได้แสดงว่ามีปริยายคือทางแสดงอย่างอื่นอีก
คือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบก็ได้แก่รู้จัก สฬายตนะ
อายตนะ ๖ รู้จักเหตุเกิดแห่งอายตนะ ๖ รู้จัก
ความดับอายตนะ ๖ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับอายตนะ ๖ เมื่อท่านตั้งหัวข้อขึ้น ๔ ข้อดั่งนี้แล้ว
ก็ได้แสดงอธิบายขยายความต่อไปว่า
รู้จักสฬายตนะ อายตนะ ๖ ก็คือรู้จักอายตนะภายใน
ทั้ง ๖ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมนะคือใจ
รู้จักเหตุเกิดแห่งอายตนะทั้ง ๖ ก็คือรู้จักว่า
เพราะนามรูปเกิด อายตนะทั้ง ๖ จึงเกิด อายตนะ
จึงเกิดเพราะเกิดนามรูป
รู้จักความดับแห่งอายตนะทั้ง ๖ ก็คือรู้จัก
ความดับแห่งนามรูป
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอายตนะทั้ง ๖
ก็คือรู้จักมรรคมีองค์ ๘ อันได้แก่ สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ เป็นต้น
จะได้อธิบายในข้อแรกคือ อายตนะภายในทั้ง ๖
อายตนะ ๖ เป็นวิปัสสนาภูมิ
อันอายตนะนี้เป็นส่วนของอัตภาพนี้ ซึ่งทางพุทธศาสนา
สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงยกขึ้นแสดงสั่งสอนไว้
เป็นอันมาก เช่นเดียวกับขันธ์ ธาตุ กล่าวคือ ขันธ์
อายตนะ ธาตุ ทั้ง ๓ นี้ได้ตรัสแสดงไว้มาก และ
โดยเฉพาะตรัสแสดงไว้โดยฐานะเป็น วิปัสสนาภูมิ
คือภูมิของวิปัสสนา อันเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
วิปัสสนากรรมฐาน
ผู้ปฏิบัติทางปัญญาคือวิปัสสนาปัญญา ย่อมมีขันธ์
อายตนะ และธาตุเหล่านี้เป็นอารมณ์ คือ
ต้องพิจารณาขันธ์ พิจารณาอายตนะ พิจารณาธาตุ
การเจริญวิปัสสนากรรมฐานจึงต้องอาศัยขันธ์
อายตนะ ธาตุ เป็นอารมณ์
เป็นภูมิคือพื้นฐานของวิปัสสนาอันจะทิ้งเสียมิได้
และอายตนะนี้ก็เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า มีอยู่ ๒
อย่างคู่กัน อันได้แก่อายตนะภายในกับอายตนะภายนอก
อายตนะภายใน นั้นก็ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
และมนะคือใจ
อายตนะภายนอก นั้นก็ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ สิ่งที่กายถูกต้อง
และธรรมะคือเรื่องราว
อายตนะภายในเป็นประตูของจิต
คำว่า อายตนะ นี้แปลว่า ที่ต่อ อันหมายความว่า
อายตนะภายในกับอายตนะภายนอกต่อกัน คือตา
กับรูปต่อกัน หูกับเสียงต่อกัน จมูกกับกลิ่นต่อกัน ลิ้น
กับรสต่อกัน กายกับโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องต่อกัน
มโนคือใจกับธรรมะคือเรื่องราวต่อกัน ฉะนั้น
จึงเรียกว่าอายตนะ อีกอย่างหนึ่งต่อกับจิตใจ
คือจิตนี้ย่อมรับอารมณ์คือเรื่องทั้งหลาย
โดยอาศัยต่อกับอายตนะภายในกับภายนอกเหล่านี้
เพราะฉะนั้น จึงมีคำเรียกอายตนะภายในทั้ง ๖ ว่า
ทวาร อันแปลว่า ช่องทาง หรือแปลว่า ประตู
อันหมายความว่า เป็นช่องทางหรือประตูของจิต
ที่จิตออกรับอารมณ์คือเรื่อง
อายตนะภายนอก เรียกว่าอารมณ์ ๖
อันคำว่าอารมณ์นั้นได้แก่เรื่องที่จิตคิด
เรื่องที่จิตดำริ เรื่องที่จิตหมกมุ่นถึง ทอดถอนถึง
ครุ่นคิดถึง นอนเนื่องถึง หรือว่าสิ่งที่จิตคิด ดำริ
หมกมุ่น นอนเนื่องถึง อันสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นรูป
โดยตรง ไม่ใช่เป็นเสียงเป็นกลิ่นเป็นรส
เป็นโผฏฐัพพะและเป็นธรรมะคือเรื่องข้างนอก
โดยตรง แต่ว่าเป็นสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์
ก็แปลว่าเรื่องอีกนั่นแหละ ซึ่งถอดออกมา
จากรูปเสียงเป็นต้น เพราะเหตุว่าตัวรูปเสียงเป็นต้น
นั้นจะเอาใส่เข้ามาในจิตไม่ได้
เช่นว่าบ้านเรือนที่อาศัยตามองเห็น
จะเอาบ้านเรือนจริง ๆ มาใส่ลงไปในจิตไม่ได้ เสียง
เป็นต้นก็เหมือนกันจะเอามาใส่เข้าในจิตไม่ได้ สิ่งที่จะ
เข้าสู่จิตได้จึงเป็นเพียงอารมณ์คือเรื่องของสิ่งเหล่า
นั้นเท่านั้น อาจเทียบง่าย ๆ เหมือนอย่างกล้องถ่ายภาพ
ถ่ายภาพของบ้านเรือนเป็นต้น ภาพของบ้านเรือน
นั้นก็มาติดในกล้องถ่ายภาพ ตัวบ้านเรือนจริง ๆ
นั้นหาได้เข้าไปในกล้องถ่ายภาพไม่ สิ่งที่ติดอยู่
ในกล้องถ่ายภาพนั้น เป็นภาพของบ้านเรือน
เป็นต้นเหล่านั้น ภาพก็คือภาวะความเป็นความมีคือ
เป็นภาวะไม่ใช่เป็นตัวจริง สิ่งที่ตาเห็นเป็นต้นนั้น
ก็เช่นเดียวกันไม่ได้เข้าสู่จิตใจ
แต่ว่าภาพคือภาวะของสิ่งเหล่านั้นเข้าสู่จิตใจ
ซึ่งเปรียบเหมือนเลนส์สำหรับติดภาพ ภาพที่
เข้าสู่จิตใจนั้นคืออารมณ์ที่แปลกันว่าเรื่อง
เรื่องที่จิตคิดดำริหมกมุ่นทอดถอนใจถึงต่าง ๆ
ถ้าเป็นเรื่องรูปที่เข้าทางทวารตา ก็เรียกว่า
รูปารมณ์ อารมณ์คือรูป
ถ้าเป็นเรื่องเสียงที่เข้าทางทวารหู ก็เรียกว่า
สัททารมณ์ อารมณ์คือเสียง
ถ้าเป็นเรื่องกลิ่นก็เรียกว่า คันธารมณ์ ที่
เข้าทางทวารจมูก
ถ้าเป็นเรื่องรสก็เรียกว่า รสารมณ์ ที่
เข้าทางชิวหาทวาร ทวารลิ้น
ถ้าเป็นเรื่องโผฏฐัพพะก็เรียกว่า โผฏฐัพพารมณ์
อารมณ์คือโผฏฐัพพะ
ถ้าเป็นเรื่องธรรมะคือเรื่องราวของสิ่งเหล่า
นั้นก็เรียกว่า ธรรมารมณ์ อารมณ์
คือเรื่องราวที่เข้าทางมโนทวาร ประตูมโนคือใจ
เพราะฉะนั้น อายตนะภายในทั้ง ๖ จึงเรียกว่า ทวาร
๖ และอายตนะภายนอกจึงเรียกว่า อารมณ์ ๖
อารมณ์ ๖ ก็เข้าทางทวารทั้ง ๖ จิตก็รับอารมณ์ทั้ง
๖ นี้ทางทวารทั้ง ๖ ดังกล่าว
ฉะนั้น เมื่อเรียกว่าทวาร ๖ อันหมายถึงอายตนะภาย
ในทั้ง ๖ อายตนะภายนอกทั้ง ๖ ก็เรียกว่าอารมณ์ ๖
ทวาร ๖ กับอารมณ์ ๖ จึงคู่กัน
แต่เมื่อเรียกว่าอายตนะด้วยกันก็เรียกว่าอายตนะภาย
ในอายตนะภายนอกเป็นคู่กัน ก็มี ความหมาย
ในภาษาธรรมดั่งนี้เกี่ยวแก่อายตนะภายในทั้ง ๖ นี้
รวมอยู่ในอัตภาพนี้ซึ่งถือว่าเป็น วิบากอายตนะ
เช่นเดียวกับที่เรียกว่า วิบากขันธ์ คือ
เป็นผลของชนกกรรม กรรมที่ให้เกิดมา เช่นเดียว
กับขันธ์ และนับว่าเป็น อพยากตธรรม ธรรมะที่
เป็นกลาง ๆ ไม่ชื่อว่าเป็นกุศล ไม่ชื่อว่าเป็นอกุศล
คือหมายความว่า ตัวอายตนะเองไม่ชื่อว่าเป็นกุศล
หรือไม่ชื่อว่าเป็นอกุศลเช่นเดียวกับขันธ์เพราะว่า
เป็นวิบากคือเป็นผลของกรรมที่ให้เกิดมาดังกล่าว
อินทรีย์คืออายตนะ ๖
และพระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้
ในเรื่องอายตนะนี้เป็นอันมาก ดังเช่นได้ทรงสั่งสอน
ให้สำรวมอินทรีย์ ๖ คือสำรวมตาหูจมูกลิ้นกาย
และมนะคือใจ ก็เพราะว่าอายตนะภายในทั้ง ๖
หรือทวารทั้ง ๖ เหล่านี้ ยังได้ชื่อว่า อินทรีย์
ที่แปลว่าเป็น ใหญ่ อันหมายความว่า ตาเป็นใหญ่
ในทางต่อกับรูป หูเป็นใหญ่ในทางต่อกับเสียง จมูกเป็น
ใหญ่ในทางต่อกับกลิ่น ลิ้นเป็นใหญ่ในทางต่อกับรส
กายเป็นใหญ่ในทางต่อกับโผฏฐัพพะคือสิ่งที่กายถูกต้อง
มโนคือใจข้อที่ ๖ นี้เป็นใหญ่ในทางรับในทางต่อ
กับธรรมะคือเรื่องราว กับทั้งเป็นใหญ่ในทางต่อ
กับรูปคู่กันไปกับตา ต่อกับเสียงคู่กันไปกับหู ต่อ
กับกลิ่นคู่กันไปกับจมูก ต่อกับรสคู่กันไปกับลิ้น ต่อ
กับโผฏฐัพพะคือสิ่งที่กายถูกต้องคู่กันไปกับกาย คือเป็น
ใหญ่ในทางต่อคู่กันไปกับอายตนะภายใน ๕ ข้อข้างต้น
นั้นด้วย อันหมายความว่าลำพังตาหูจมูกลิ้นกายที่
เป็นตัวประสาท
คือประสาทตาประสาทหูประสาทจมูกประสาทลิ้นประสาทกาย
ทั้ง ๕ นี้อย่างเดียว ต่อกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
ไม่ได้ ต้องมีมโนคือใจข้อที่ ๖ นี้เข้าประกอบอยู่อีกด้วย
จึงจะต่อได้ ดังที่เคยยกตัวอย่างมาให้ฟังแล้ว เช่นว่า
ในบัดนี้กำลังแสดงและหูก็กำลังฟัง แต่ว่า
ต้องมีมโนคือใจตั้งใจที่จะฟังด้วย หูจึงจะ
ได้ยินเสียงที่แสดงนี้ แต่ถ้าใจไม่ตั้งฟังคำที่แสดงนี้
คือส่งใจไปเสียในที่อื่นเมื่อใด หูก็ดับเมื่อนั้น คือว่าฟังไม่
ได้ยิน ต่อเมื่อใจกลับมาตั้งอยู่ในเสียงที่แสดงนี้ หูจึงจะ
ไม่ดับฟังได้ยิน นี่ยกตัวอย่างเพียงหู แต่ไม่
ใช่เพียงหูอย่างเดียว แม้ตาจมูกลิ้นและกายก็เช่นเดียว
กัน มโนคือใจข้อที่ ๖ นี้ จะต้องตั้งที่จะดูที่
จะทราบกลิ่น ทราบรส ที่
จะทราบโผฏฐัพพะคือสิ่งที่กายถูกต้องด้วย จึง
จะมองเห็น จึงจะทราบกลิ่น ทราบรส จึง
จะทราบโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น มโนคือใจข้อที่ ๖ นี้
จึงสำคัญย่อมเป็นใหญ่คู่กันไปกับอินทรีย์ ๕ ข้างต้น
ด้วย และเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน คือในทางที่จะต่อ
กับธรรมะคือเรื่องราวด้วย
ทรงสอนให้สำรวมอินทรีย์หรือมีสติ
พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนให้มี อินทรียสังวร คือ
ความสำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
และมนะคือใจ โดยที่เมื่อเห็นอะไรได้ยินอะไรเป็นต้น
ก็ไม่ยึดถือสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดหรือบาง
ส่วนยินดียินร้าย เพราะเมื่อยึดถือ ความยินดียินร้าย
บาปอกุศลธรรมทั้งหลายย่อมไหลเข้าสู่ใจ
หรือสู่จิต ต่อเมื่อมีความสำรวมอยู่ไม่ยึดถือสิ่งที่เห็นที่
ได้ยินเป็นต้นเหล่านั้น ก็ย่อมตกอยู่แค่ตาแค่หู
ในภายนอกเท่านั้นไม่ไหลเข้าสู่จิตใจ และ
ความสำรวมนี้ก็คือตัวสติ เพราะฉะนั้น สติจึง
เป็นเหมือนอย่างนายทวารบาลคือนายประตู
เมื่อมีสติอยู่ สตินี้ก็เหมือนอย่างเป็นนายประตูที่จะรับ
หรือไม่รับบุคคลที่เข้าประตู ถ้าเป็นผู้ร้ายก็
ไม่รับให้เข้า ถ้าเป็นผู้ดีเป็นมิตรญาติสหายผู้ที่นำ
ความดีเข้ามาก็รับ สตินี้เองจึงเป็นตัวอินทรียสังวร
ความสำรวมอินทรีย์ ก็เพราะว่าทวารทั้ง ๖ นี้
เป็นทวารทั้งของส่วนดีทั้งของส่วนไม่ดี
อารมณ์ที่เข้ามาทางทวาร ๖ ทำให้ตัณหาฟุ้งขึ้น
ว่าถึงส่วนไม่ดีนั้น ก็ได้แก่ ตัณหานุสัยทั้งหลาย
คือกิเลสที่ดองจิตสันดาน เช่นตัณหา
ความดิ้นรนทะยานอยาก ที่ดองจิตสันดาน
หรือตัณหานุสัยต่าง ๆ ที่มีชื่อเรียกอย่างอื่นต่าง ๆ
ตัณหานุสัยเหล่านี้ย่อมฟุ้งขึ้น ในเมื่อมีอายตนะภายนอก
เข้ามากระทบกับอายตนะภายใน หรืออีกชื่อหนึ่งก็
เพราะอารมณ์ต่าง ๆ ที่มาทางทวารทั้ง ๖ เหล่านั้น
เมื่อเป็นอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของ ราคะ ราคานุสัย
อนุสัยคือราคะก็ฟุ้งขึ้นมาจับอารมณ์เหล่านั้น
เกิดราคะ ความติดใจ นันทิ
ความเพลิดเพลินยินดีต่าง ๆ
เมื่ออารมณ์เหล่านั้นเป็นที่ตั้งของ ปฏิฆะ หรือ
โทสปฏิฆะ ปฏิฆานุสัย ก็ฟุ้งขึ้นมาเป็น
ความขัดเคืองกระทบกระทั่งหงุดหงิดโกรธแค้น
เมื่ออารมณ์เหล่านั้นเป็นที่ตั้งของ โมหะ ความหลง
อวิชชานุสัย ก็ฟุ้งขึ้นมาเป็นความหลงต่าง ๆ
เพราะฉะนั้น เมื่อดูข้างนอกเข้ามา จึงย่อมปรากฏว่า
อายตนะภายในทั้ง ๖ หรือทวารทั้ง ๖ นี้มีเรื่องอยู่
เป็นอันมาก ตาก็ต้องการจะดูต่าง ๆ ในสิ่งที่อยากจะดู
หูก็อยากจะฟังต่าง ๆ ในสิ่งที่อยากจะฟัง จมูกก็อยากที่จะ
ได้ทราบกลิ่นต่าง ๆ ที่อยากจะได้ ลิ้นก็อยากที่จะ
ได้ทราบรสต่าง ๆ ที่อยากจะทราบ กายก็อยากที่
จะถูกต้องสิ่งถูกต้องต่าง ๆ ที่อยากจะถูกต้อง
มโนคือใจก็อยากที่จะคิดเรื่องต่าง ๆ ที่อยากจะคิด
ก็คืออาศัยกิเลสเหล่านี้ กองราคะโทสะโมหะ
หรือว่ากองตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยาก
เพราะว่าล้วนแต่ทำให้ใจเกิดดิ้นรนทะยานไปทั้งนั้น
ซึ่งเป็นลักษณะของตัณหา เพราะฉะนั้น คนในโลกนี้
จึงต้อพยายามทำต่าง ๆ ที่จะเสนอสนองความ
ต้องการของตา ของหู ของจมูก ของลิ้น ของกาย
และของมนะคือใจ ยกตัวอย่างเอาเพียงตาอย่างเดียว
รูปที่งดงามต่าง ๆ หรือความงามต่าง ๆ ของรูปจะ
เป็นรูปกาย หรือว่าเป็นรูปของบ้านเรือนสิ่งต่าง ๆ
ก็ล้วนแต่เป็นความต้องการของตา ที่ต้องการจะดู
จะเห็นสิ่งที่เห็นว่าสวยงาม จึงต้องมีการแสวงหา
มีการจัดทำ มีการตกแต่ง เพื่อที่จะ
ให้ถูกลูกตาของตน เพื่อที่จะให้ตนเองหรือเพื่อที่จะให้
ผู้อื่น ๆ ได้เห็นว่างาม เป็นต้น
เพียงแต่เรื่องของลูกตาอย่างเดียวก็ต้องวุ่นวายกันอยู่
เป็นอันมาก ยัง
จะเรื่องของหูของจมูกของลิ้นของกายของใจเองซึ่ง
เป็นตัวต้นอีกมากมาย เพราะฉะนั้น จึง
ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ ว่ามีสัตว์อยู่ ๖ จำพวก
คือว่า
งู ก็มุ่งที่จะเลื้อยไปสู่จอมปลวก
จระเข้ ก็วิ่งไปลงแม่น้ำ
นก ก็บินไปในอากาศ
ไก่ ก็บินไปสู่บ้านที่ตัวอาศัยอยู่
สุนัขจิ้งจอก ก็วิ่งไปสู่ป่าช้าเพื่อที่จะได้กัดกินซากศพ
ลิง ก็วิ่งไปอยู่บนต้นไม้ ฉันใดก็ดี
ตา ก็มุ่งจะดูรูปต่าง ๆ
เหมือนอย่างงูที่เลื้อยไปสู่จอมปลวก
หู ก็อยากจะฟังเสียงต่าง ๆ
เหมือนอย่างจระเข้ที่วิ่งไปสู่แม่น้ำ
จมูก ก็อยากที่จะทราบกลิ่นต่าง ๆ
เหมือนอย่างนกที่บินไปในอากาศ
ลิ้น ก็อยากที่จะได้รสต่าง ๆ
เหมือนอย่างไก่ที่บินไปสู่บ้านที่ตัวอาศัย
กาย ก็อยากที่จะถูกต้องสิ่งถูกต้องต่าง ๆ
เหมือนอย่างสุนัขจิ้งจอกวิ่งไปสู่ป่าช้าเพื่อที่จะ
ได้กัดกินซากศพ
มโน คือใจก็วิ่งไปในเรื่องราวต่าง ๆ
เหมือนอย่างวานรหรือลิงที่วิ่งหลุกหลิกไป
อยู่บนต้นไม้
เพราะฉะนั้น จึงมีสัตว์ต่าง ๆ เหล่านี้ ๖ ชนิด
วิ่งไปบ้างบินไปบ้างเพ่นพ่านไปทั้งหมด
ในจิตใจของบุคคลก็เป็นเช่นนั้น
ก็เหมือนอย่างมีสัตว์เหล่านี้
คือเรื่องของตาหูจมูกลิ้นกายใจนี่แหละ
วิ่งเพ่นพ่านไปอยู่ อาการที่จิตใจวิ่งเพ่นพ่านไปอยู่ดั่งนี้
ก็คืออาการที่เรียกว่า ตัณหา
ความดิ้นรนทะยานอยากต่าง ๆ เป็นไป
โดยอำนาจของราคะ หรือโลภะบ้าง โทสะบ้าง
โมหะบ้างหรืออวิชชาบ้าง เป็นต้น
ใช้สติและปัญญากำหนดรู้กระแสของตัณหา
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้มี
ความสำรวมอินทรีย์ ให้มีสติพร้อม
ทั้งมีปัญญากำหนดรู้ ว่าอาการที่เป็นเช่นนั้น
ก็เหมือนอย่างบุคคลที่ตกลงไปสู่กระแสน้ำ
และก็พอใจเสียด้วยในกระแสน้ำนั้น ๆ พอใจที่
จะลอยคอที่จะว่ายน้ำเล่นอยู่ในกระแสน้ำนั้น
และก็ตรัสเปรียบเทียบเอาว่า
กระแสน้ำที่คนตกลงไปนั้น
หรือที่คนกระโดดลงไปนั้น ก็คือกระแสตัณหา
คือตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก
และอาการที่ชอบใจพอใจสนุกสนานเพลิดเพลินที่
จะลอยคอที่จะว่ายเล่นอยู่ในกระแสน้ำนั้น ก็
ได้แก่ตาหูจมูกลิ้นกายและใจนี่แหละ ที่เรียก
เป็นภาษาธรรมะว่า ปิยรูป สาตรูป คือเป็นสิ่งที่
เป็นที่รัก เป็นสิ่งที่สำราญก็เพราะว่าตัณหา
นั้นก็อาศัยตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจนี้เอง ไม่
ใช่อาศัยอะไรอื่นดังที่กล่าวมาแล้ว และก็พอใจเสีย
ด้วย ทั้งนี้ก็โดยที่ไม่รู้ว่า
ในกระแสน้ำคือกระแสตัณหาที่ใช้ตาหูจมูกลิ้นกาย
และมนะคือใจสำหรับที่
จะวิ่งเพ่นพ่านเพลิดเพลินติดอกติดใจอยู่นั้น
เป็นกระแสน้ำอันประกอบด้วยภัยอันตราย
โดยที่เมื่อปล่อยให้ลอยไปก็จะยิ่งจมลงไป
ในห้วงน้ำลึกอันเป็นตัวสังโยชน์ทั้งหลาย อันประกอบ
ด้วยคลื่นอันเป็นตัวโทสะ โกธะ ความโกรธ อุปายาสะ
ความคับแค้นใจทั้งหลาย อันประกอบด้วยวังวน
ได้แก่กามคุณทั้งหลาย อันประกอบ
ด้วยสัตว์ร้ายผีเสื้อน้ำทั้งหลาย อันได้แก่ความที่ติดใจ
กันอยู่ในสิ่งอันเป็นที่ตั้งของกามเหล่านั้น
เป็นบุคคลก็ตามเป็นวัตถุสิ่งของก็ตาม เพราะฉะนั้น
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเตือน เมื่อได้ฟังเตือนแล้วก็จะ
ได้สติว่ายทวนกระแสเข้าฝั่งได้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๙ มกราคม ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 10:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๙ ความรู้จักนามรูป
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๑๙ ความรู้จักนามรูป
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงเรื่องสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
ตามเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ซึ่งภิกษุทั้งหลายได้กราบเรียนถามท่าน และท่านก็
ได้ตอบ ภิกษุทั้งหลายก็ได้กราบเรียนถามท่าน
ถึงปริยายคือทางแสดงอื่นต่อไปอีก ซึ่งท่านก็
ได้กล่าวตอบดังที่ได้แสดงอธิบายมาโดยลำดับ จน
ถึงข้อที่จะแสดงในวันนี้ ซึ่งท่านได้แสดงตอบแก่ภิกษุ
ทั้งหลายว่า ยังมีปริยายคือทางแสดงอย่างอื่นอีก
คือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบก็ได้แก่ รู้จักนามรูป
รู้จักเหตุเกิดแห่งนามรูป รู้จักความดับนามรูป
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับนามรูป และท่านก็
ได้แสดงอธิบายแต่ละข้อตั้งแต่ข้อหนึ่งว่า
รู้จักนามรูป ก็คือ
รู้จักนาม อันได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ
มนสิการ
รู้จักรูป ก็คือรู้จักมหาภูตรูปทั้ง ๔
และอุปาทายรูป รูปอาศัยแห่งมหาภูตรูปทั้ง ๔ นั้น
รู้จักเหตุเกิดแห่งนามรูป ก็คือรู้จักว่า
เพราะวิญญาณเกิด นามรูปจึงเกิด
รู้จักความดับนามรูป ก็คือรู้จักว่า
เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับนามรูป
ก็คือรู้จักมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ
เป็นต้น
จะได้แสดงอธิบายในข้อ ๑ รู้จักนามรูป
รู้จักนามรูปหรือขันธ์ ๕
รู้จักนาม ก็คือรู้จักเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ
มนสิการ นามนี้ที่คู่กับ รูป อันเรียกว่า นามรูป
เป็นศัพท์ธรรมะที่ผู้ศึกษาธรรมะย่อมได้ทราบกัน
อยู่และได้ฟังกันอยู่ในเทศนาทั้งหลายเป็นอันมาก
และโดยทั่วไปก็เป็นคำย่อมาจากขันธ์ ๕ อันขันธ์ ๕
ก็คือกองหรือประชุมทั้ง ๕ อันได้แก่ รูปขันธ์
กองรูป เวทนาขันธ์ กองเวทนา สัญญาขันธ์ กองสัญญา
สังขารขันธ์ กองสังขาร วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ
พระพุทธเจ้าได้แสดงถึงขันธ์ ๕ ตั้งแต่ในปฐมเทศนา ซึ่ง
เป็นเทศนาครั้งแรกของพระองค์ซึ่ง
ได้ตรัสโปรดพระปัญจวัคคีย์ ทรงแสดงขันธ์ ๕ ไว้
ในข้อทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ ซึ่ง
ได้ตรัสแสดงทุกขสัจจะไว้ เริ่มแต่ชาติทุกข์
ทุกข์คือชาติความเกิดเป็นต้น และ
ได้ทรงแสดงอธิบายชี้สิ่งที่เป็นทุกข์ไปแต่ละข้อ ๆ จน
ถึงตรัสสรุปโดยย่อ ว่าขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕
ประการก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
แต่ว่าในปฐมเทศนานั้น ได้ตรัสยกขึ้นแสดงชี้ว่า ขันธ์
เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเป็นทุกข์
ขันธ์ ๕ เป็นที่ตั้งของวิปัสสนากรรมฐาน
มาถึงเทศนาครั้งที่ ๒ จึงได้ตรัสยกเอาขันธ์
เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการนี้มาตรัสอธิบายว่า
รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเป็นอนัตตามิใช่ตัวตน
เพราะบังคับให้เป็นไปตามปรารถนามิได้ และก็
ได้ตรัสแสดงอธิบายทางไตรลักษณ์ด้วยวิธีที่
ได้ตรัสถามพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ว่า ขันธ์ ๕
ดังกล่าวเที่ยงหรือไม่เที่ยง ท่านทั้ง ๕
ก็กราบทูลตอบว่าไม่เที่ยง ก็ได้ตรัสถามต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข
ก็กราบทูลว่าเป็นทุกข์ จึงได้ตรัสถามต่อไปว่าก็สิ่งใด
ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
ควรหรือที่จะเห็นยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นของเราว่าเรา
เป็นสิ่งนั้น ว่าสิ่งนั้นเป็นอัตตาตัวตนของเรา ท่านทั้ง ๕ ก็
ได้กราบทูลว่าไม่ควรที่จะเห็นยึดถืออย่างนั้น
พระพุทธองค์จึงได้ตรัสอธิบายเป็นข้อ ๆ ไปว่า
ขันธ์ทั้ง ๕ เหล่านี้ที่เป็นอดีตล่วงไปแล้ว ที่
เป็นอนาคตยังไม่มาถึง ทั้งที่เป็นปัจจุบัน ที่เป็นภายใน ที่
เป็นภายนอก ที่หยาบที่ละเอียด ที่เลวที่ประณีต ที่
ไกล หรือที่อยู่ใกล้ทั้งหมด ล้วนควรพิจารณา
ให้เห็นด้วย สัมมัปปัญญา คือปัญญาชอบตามเป็นจริง
ว่าไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่เป็นขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่
เป็นอัตตาตัวตนของเรา
อริยสาวกได้สดับแล้วอย่างนี้ย่อมได้ นิพพิทา คือ
ความหน่ายในขันธ์ ๕ เมื่อได้ความหน่ายก็สิ้น
ความติดใจยินดี เมื่อสิ้นความติดใจยินดี จิตก็ วิมุตติ
หลุดพ้นจากอาสวะคือกิเลสที่ดองจิตสันดาน
ทั้งหลาย ขันธ์ ๕ จึงเป็นข้อที่พระพุทธเจ้า
ได้ตรัสแสดงถึงตั้งแต่ในปฐมเทศนา เทศน์ครั้งแรก
และมาตรัสอธิบายโดยไตรลักษณ์
ในเทศนาครั้งที่ ๒ แก่พระเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ท่านทั้ง ๕
เมื่อได้ฟังเทศนาครั้งที่ ๒ จบแล้ว ท่านแสดงไว้ว่า
จิตของท่านทั้ง ๕ ก็พ้นจากอาสวะกิเลสที่ดองจิตสันดาน
ทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น ขันธ์ ๕ จึงเป็นข้อที่
ผู้ศึกษาปฏิบัติพุทธศาสนาพึงศึกษาให้มีความรู้ ความ
เข้าใจ และท่านก็ย่อขันธ์ ๕ นี้เป็น ๒ คือรูปก็เป็นรูป
เวทนาสัญญา สังขารวิญญาณ เป็นนาม แต่เรียกกลับ
กันว่านามรูป เพราะฉะนั้น ขันธ์ ๕ กับนามรูปนี้จึง
เป็นหลักเป็นภูมิเป็นกรรมฐาน
สำหรับพิจารณาปฏิบัติทางปัญญาหรือทางวิปัสสนา
และก็ควรที่จะได้ทำความเข้าใจว่าทำไม
จึงเรียกว่านามรูป สำหรับรูป
นั้นก็คงเรียกว่ารูปตามเดิม
แต่สำหรับเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณทำไม
จึงเรียกว่านาม
นามคือชื่อของภาวะอาการทางกายและใจ
อันคำว่า นาม นี้ใช้เรียกกันหมายถึงว่าเป็น ชื่อ เช่น
ผู้ที่มีชื่ออย่างนี้ ๆ ก็เรียกว่ามีนามอย่างนี้ ๆ เพราะฉะนั้น
จึงใช้ทำความเข้าใจกันง่าย ๆ ว่าที่เรียกว่านาม
นั้นก็คือมีแต่ชื่อสำหรับเรียก คือสักแต่ว่ามีแต่ชื่อ แต่
ไม่มีรูปร่างหน้าตาที่จะให้มองเห็นได้ด้วยตา หรือ
ได้ยินได้ด้วยหู หรือที่จะทราบได้ด้วยกลิ่นด้วยรส
ด้วยการถูกต้องทางกาย ตรงกันข้ามกับรูปซึ่ง
เป็นวัตถุอันจะพึงเห็นได้ด้วยตาเป็นต้น ดังกล่าว
แต่ว่าเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนั้น
ไม่มีรูปร่างหน้าตาที่จะเห็นได้ด้วยตาเป็นต้นดังกล่าว
มีแต่นามที่เป็นชื่อสำหรับเรียกเท่านั้น แต่
โดยอธิบายนี้ ก็ใช้เป็นอธิบายสำหรับทำความ
เข้าใจรูปธรรมนามธรรมที่พูดกันคือ
รูปธรรม ก็มีรูปร่างที่จะเห็นได้ด้วยตาเป็นต้น
นามธรรม นั้นก็ไม่มีรูปร่าง มีแต่ชื่อเรียกเท่านั้น
นี้เป็นทางอธิบายที่เข้าใจกันทั่ว ๆ ไป แต่ว่า
ถ้าอธิบายเพียงเท่านี้ก็ยังไม่เข้าใจอีกเหมือนกันว่าที่
เป็นชื่อสำหรับเรียกเท่านั้นไม่มีรูปร่างมีแต่นาม
หรือชื่อแต่ว่าเป็นนามของอะไร ในข้อนี้จึงต้องทำ
ความเข้าใจต่อไป ว่า
เป็นนามของภาวะอาการที่บังเกิดขึ้นทางร่างกายทางจิตใจ
ภาวะอาการที่บังเกิดขึ้นดังกล่าวไม่มีรูปร่าง
ดังเช่นเวทนา ความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง
ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ที่บังเกิดขึ้นทางกายก็ดี ทางจิตใจก็ดี
เป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่างมีอาการมีภาวะที่เป็นสุขเป็นทุกข์
หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข
เหมือนอย่างเมื่อถูกแดดก็ร้อน เป็นทุกข์เมื่อ
ได้รับลมก็เย็น เป็นสุข อาการที่เป็นสุข
เป็นทุกข์ทางร่างกายนี้
ไม่มีรูปร่างแต่ว่ามีภาวะมีอาการ ทางจิตใจก็เช่นเดียว
กัน สัญญาความจำได้หมายรู้ต่าง ๆ จำรูปจำเสียง
เป็นต้น ก็เป็นอาการหรือเป็นภาวะทางจิตใจ สัญญา
ความคิดปรุงหรือความปรุงคิดก็
เป็นภาวะอาการทางจิตใจ วิญญาณ
ความรู้รูปทางตาที่เรียกว่าเห็น
รู้เสียงทางหูที่เรียกว่าได้ยิน รู้กลิ่นทางจมูก
รู้รสทางลิ้น รู้สิ่งถูกต้องทางกาย
ที่เรียกว่าทราบกลิ่นทราบรสทราบโผฏฐัพพะ
รู้เรื่องราวทางใจที่คิดที่รู้ต่าง ๆ ที่เรียกว่ารู้เรื่อง
ก็เป็นภาวะอาการทางจิตใจ เพราะฉะนั้นนามจึง
เป็นชื่อของอาการหรือภาวะทางจิตใจ
และร่างกายดังกล่าว
นามเป็นอาการของจิตที่น้อมออกรู้อารมณ์
ก็เป็นอันว่าได้ทำความเข้าใจถึงเรื่องนามธรรมทั้ง ๔
นี้ ก็เข้าไปถึงตัวนามธรรมทั้ง ๔ นี้ แต่ก็ควร
จะทราบให้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า ภาวะอาการของจิตใจทั้ง ๔
ดังกล่าวมานี้เป็นไปอย่างไร และคำว่านามจะมี
ความหมายที่ยิ่งไปกว่าชื่อดังที่กล่าวมาแล้วหรือไม่
ในข้อนี้ก็ตอบได้ว่า ยังมี
ความหมายที่ยิ่งไปกว่าเพียงคำว่าชื่อดังกล่าว คือคำว่า
นาม นี้ตามรูปศัพท์ก็เป็นอันเดียวกันกับคำว่า นมะ หรือ
นโม ที่เราทั้งหลายสวดกันอยู่ สวดนำ
ในการสวดมนต์ไหว้พระ และสวดนำว่านำการที่
จะกล่าวถึงสรณคมน์และศีล คือ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
ที่แปลว่า ขอนอบน้อมพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ นั้น
คำว่า นาม ก็มีมูลศัพท์เป็นอันเดียวกัน คือแปลว่า น้อม
แต่ว่ามีความหมายว่า
เป็นอาการของจิตใจที่น้อมออกไปรู้อารมณ์คือเรื่อง
ทั้งหลาย คือว่าจิตใจนี้เมื่อแสดงตามอภิธรรม เมื่อ
ไม่มีอารมณ์ย่อมเป็น ภวังคจิต จิตที่อยู่ในภวังค์
ตามศัพท์ก็แปลว่าองค์ของภพ
ซึ่งท่านเปรียบเหมือนอย่างน้ำ
ในทะเลมหาสมุทรที่สงบอยู่ในขณะที่ยังไม่มีลม
ไม่มีคลื่น คือเมื่อไม่มีลมน้ำก็ไม่มีคลื่น สงบเรียบอยู่
จิตโดยปกติเมื่อยังไม่มีอารมณ์ก็เป็นภวังคจิต
แต่เมื่อมีอารมณ์มากระทบทวารคือประตุทั้ง ๖ ดังที่
ได้เคยอธิบายแล้ว
มีอารมณ์มากระทบประตูตาหูจมูกลิ้นกาย
และกระทบมโนทวารคือประตูใจ จิตจึงออก
จากภวังค์น้อมออกรับอารมณ์
อาการที่จิตน้อมออกรับอารมณ์นี้ ก็รับ
ด้วยวิธีรู้คือรู้อารมณ์ ซึ่งทีแรกก็รู้
ในเมื่ออายตนะภายในอายตนะภายนอกมาประจวบกัน
ก็รู้รูปที่เรียกว่าเห็นรูป รู้เสียงที่เรียกว่า
ได้ยินเสียง
รู้กลิ่นรู้รสรู้โผฏฐัพพะที่เรียกว่าทราบกลิ่นทราบรส
ทราบโผฏฐัพพะ
รู้ธรรมะคือเรื่องราวที่เรียกว่ารู้เรื่องราว
ก็ตั้งศัพท์เรียกว่า วิญญาณ
และเมื่ออายตนะภายนอกภายในกับวิญญาณทั้ง ๓
นี้ประชุมกัน ก็เป็นความรู้ที่แรงขึ้นเรียกว่า สัมผัส
เมื่อเป็นสัมผัสความรู้ก็แรงขึ้น เป็นรู้เป็นสุขรู้
เป็นทุกข์รู้เป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ ไม่สุข ที่เรียกว่า
เวทนา
แล้วก็รู้จำที่เรียกว่า สัญญา
แล้วก็รู้คิดปรุงหรือปรุงคิดต่าง ๆ ที่เรียกว่า
สังขาร
แล้วจิตก็ตกภวังค์ กลับไปสู่ภาวะที่เป็นพื้น
ครั้นเมื่อมีอารมณ์มากระทบทวารทั้ง ๖ นี้อีก
จิตก็ออกจากภวังค์มารับอารมณ์
ด้วยวิธีที่รู้ดังกล่าวนี้ เป็นอารมณ์ ๆ ไป แต่ว่าเพราะ
เป็นสิ่งที่ละเอียดและรวดเร็วมาก จึงยากที่
จะรู้แยกได้ อันนี้เป็นวิถีจิตซึ่ง
เป็นธรรมชาติธรรมดา
อาการที่จิตออกรู้อารมณ์ดังกล่าวนี้แหละเรียกว่า
นาม
คือว่าจิตน้อมออกไปรู้เหมือนอย่างยื่นมือออกไปจับสิ่ง
นั้นสิ่งนี้ และเมื่อจับสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วก็กลับมาตามเดิม
มีอะไรมาก็จับใหม่ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่านาม
นามในพระเถราธิบาย
แต่ว่านามในพระเถราธิบายนี้ ท่านแสดงว่าได้แก่
เวทนา คือความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ
ไม่ทุกข์ไม่สุข
สัญญา ความรู้จำ จำได้หมายรู้
เจตนา ความจงใจ
ผัสสะ คือความกระทบ
มนสิการ การกระทำไว้ในใจ
ก็ขันธ์ ๕ นั่นแหละ แต่ว่าแสดงในที่นี้ที่ซ้ำกับขันธ์ ๕
ก็คือเวทนากับสัญญา ส่วนอีก ๓ คือ เจตนา ผัสสะ
มนสิการ ไม่ซ้ำกับขันธ์ ๕ แต่ก็สรุปเข้าได้
ในสังขารคือความคิดปรุงหรือความปรุงคิด
คือเจตนากับมนสิการ ผัสสะนั้นเมื่อเป็นสัมผัสก็
เป็นเบื้องต้นของเวทนา เพราะฉะนั้น จึงเป็นอันว่า สรุป
เข้าได้ในเวทนา สัญญา สังขาร ส่วนวิญญาณนั้นไม่
ได้แสดงอธิบายไว้ในที่นี้ เพราะว่าได้มีแยกออกไป
ในข้อ ๒ ที่ว่า เพราะวิญญาณเกิด นามรูปจึงเกิด
คือนำวิญญาณไปแสดงไว้ในเหตุเกิดของนามรูป
ก็วิญญาณเป็นเหตุเกิดของนามรูป
เพราะวิญญาณเกิดนามรูปจึงเกิด เพราะฉะนั้นจึง
ไม่แสดงวิญญาณไว้ในที่นี้ ส่วนรูปนั้นก็
ได้แสดงแยกออกไปเป็นมหาภูตรูป ๔
และอุปาทายรูป รูปอาศัยแห่งมหาภูตรูปทั้ง ๔
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 10:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๐ ความรู้จักนามรูป (๒)
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๒๐ ความรู้จักนามรูป (ต่อ)
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงเถราธิบายของท่านพระสารีบุตร
ในข้อสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบมาถึงตอนที่ท่าน
ได้แสดงว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ก็คือรู้จักนามรูป
รู้จักเหตุเกิดแห่งนามรูป รู้จักความดับแห่งนามรูป
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งนามรูป และท่านก็
ได้แสดงอธิบายไปทีละข้อดังที่ได้แสดงแล้ว และ
ได้แสดงอธิบายขยายความในที่นี้
ในข้อแรกคือข้อรู้จักนามรูป ได้แสดงนามมาแล้ว
จะได้แสดง รูป ต่อไป
มหาภูตรูป ๔
อันรูปนั้นก็ได้นำมาใช้กันในภาษาไทยเป็นที่รู้จักกัน
เช่น รูปร่างหน้าตา รูปกาย ตามศัพท์ คำว่า รูป นั้น
แปลว่า ชำรุด สิ่งใดย่อมชำรุด สิ่งนั้นชื่อว่ารูป ตาม
ความหมายก็หมายถึงรูปที่เป็นรูปขันธ์หรือที่
เป็นรูปกาย และได้มีแสดงอธิบายไว้เป็น ๒
อย่างตามพระเถราธิบายนั้นเอง ก็คือ มหาภูตรูป กับ
อุปาทายรูป
มหาภูตรูป รูปที่เป็นภูตะใหญ่ ภูตะ ก็แปลว่า สิ่งที่
เป็น สิ่งที่มี รูปที่เป็นสิ่งที่มี สิ่งที่เป็นส่วนใหญ่
เรียกว่ามหาภูตรูป ก็ได้แก่ ธาตุทั้ง ๔ ที่ประกอบอยู่
ในกายคือในรูปกายนี้อันได้แก่
ส่วนที่แข้นแข็งบรรดาที่มีอยู่ในกายนี้ ก็เรียกว่า
ปฐวีธาตุ ธาตุดิน
ส่วนที่เอิบอาบเหลวไหลบรรดาที่มีอยู่ในกายนี้
ก็เรียกว่า อาโปธาตุ ธาตุน้ำ
สิ่งที่อบอุ่นบรรดาที่มีอยู่ในกายนี้ ก็เรียกว่า เตโชธาตุ
ธาตุไฟ
สิ่งที่พัดไหวบรรดาที่มีอยู่ในกายนี้ ก็เรียกว่า
วาโยธาตุ ธาตุลม
ธาตุทั้ง ๔ บรรดาที่มีอยู่
ในกายนี้นี่แหละคือมหาภูตรูปทั้ง ๔ อันแปลว่า รูป
ที่เป็นมหาภูตะ คือที่เป็นธาตุส่วนใหญ่ ประกอบเข้า
เป็นกาย เมื่อธาตุทั้ง ๔ นี้ยังคุมกันอยู่ กายนี้ก็ย่อมดำรง
อยู่คือเป็นกายมีชีวิต เมื่อธาตุทั้ง ๔ นี้แตกสลาย
ความดำรงอยู่แห่งกายนี้ก็สิ้นไป ชีวิตก็สิ้นไป
การจำแนกธาตุ
ทางพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดา
ได้ทรงแสดงธาตุทั้ง ๔ นี้อันเป็น
ส่วนมหาภูตรูปดังกล่าวเป็นกรรมฐาน
ดังเช่นที่เรียกว่า ธาตุกรรมฐาน หรือ
จตุธาตุววัฏฐานะ กำหนดธาตุทั้ง ๔ และก็ยัง
ได้ตรัสแสดงวิธีพิจารณาธาตุกรรมฐานนี้
จำแนกออกไปเป็นอาการต่าง ๆ สำหรับผู้ปฏิบัติจะ
ได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณา แม้ในทางที่เป็นปฏิกูละ คือ
เป็นปฏิกูลเป็นของไม่สะอาดไม่งดงาม และสำหรับ
ในด้านพิจารณาให้เห็นว่าปฏิกูลไม่สะอาดไม่งดงามนี้
ก็มักยกขึ้นจำแนกในข้อปฐวีธาตุ ธาตุดิน และอาโปธาตุ
ธาตุน้ำ เพราะเป็นสิ่งที่พิจารณาเห็นเป็นของปฏิกูล
ไม่สะอาดได้ง่าย ดังที่ตรัสจำแนกเอาไว้อันเรียกว่า
อาการ ๓๒
ปฐวีธาตุ ธาตุดิน
สำหรับที่เป็นส่วน ปฐวีธาตุ ธาตุดิน นั้น ที่ตรัสจำแนก
ไว้ก็คือ เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทนฺตา ฟัน ตโจ
หนัง มํสํ เนื้อ นหารู เอ็น อฏฺฐิ กระดูก อฏฺฐิมิญฺชํ เยื่อ
ในกระดูก วกฺกํ ไต หทยํ หัวใจ ยกนํ ตับ กิโลมรํ
พังผืด ปิหกํ ม้าม ปปฺผาสํ ปอด อนฺตํ ไส้ใหญ่ อนฺตคุณํ ไส้
เล็กหรือว่าสายรัดไส้ อุทริยํ อาหารใหม่ กรีสํ
อาหารเก่า เป็น ๑๙ แต่ได้ตรัสเติมในที่บางแห่งคือ
มตฺถเก มตฺถลุงฺคํ ขมองในขมองศีรษะ ก็รวมเป็น ๒๐
นี้เป็นส่วนปฐวีธาตุ ธาตุดิน คือเป็นส่วนที่แข้นแข็ง
อาโปธาตุ ธาตุน้ำ
ส่วนที่เป็น อาโปธาตุ ธาตุน้ำ ตรัสแสดงเอา
ไว้สำหรับพิจารณาก็คือ ปิตฺตํ น้ำดี เสมฺหํ น้ำเสลด
ปุพฺโพ น้ำหนองน้ำเหลือง โลหิตํ น้ำเลือด เสโท
น้ำเหงื่อ เมโท มันข้น อสฺสุ น้ำตา วสา มันเหลว เขโฬ
น้ำลาย สิงฺฆานิกา น้ำมูก ลสิกา ไขข้อ มุตฺตํ มูตร
รวมเป็น ๑๒
อาการ ๓๑ หรือ ๓๒
ส่วนที่เป็นปฐวีธาตุเติมขมองศีรษะเป็น ๒๐ กับส่วนที่
เป็นอาโปธาตุ ๑๒ ก็รวมเป็นอาการ ๓๒ ดังที่รู้จักกัน
แต่ที่ตรัสแสดงไว้โดยมากนั้นเพียงอาการ ๓๑ คือ
ไม่มีข้อขมองในขมองศีรษะ
พระอาจารย์แสดงว่ารวมอยู่ในข้อเยื่อในกระดูก
อฏฺฐิมิญฺชํ เยื่อในกระดูก หรือว่าอีกนัยหนึ่งรวมอยู่
ในข้อ หทยํ หัวใจ ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันในครั้งก่อนว่า
เป็นสิ่งที่ให้สำเร็จความคิดนึกด้วย เมื่อเติมขมอง
ในขมองศีรษะเข้า จึงเป็นอาการ ๓๒ แม้ส่วนที่
เป็นเตโชธาตุ ธาตุไฟ วาโยธาตุ ธาตุลม ก็
ได้มีตรัสจำแนกเอาไว้
เตโชธาตุ ธาตุไฟ
สำหรับที่เป็น เตโชธาตุ ธาตุไฟ ก็คือไฟที่ทำ
ให้ร่างกายอบอุ่น ไฟที่ทำ
ให้ร่างกายชำรุดทรุดโทรม ไฟที่ทำ
ให้ร่างกายเร่าร้อน ไฟที่ย่อยอาหารคือที่
ช่วยย่อยอาหารในลำไส้ นี้ก็เป็นเตโชธาตุ ธาตุไฟ
วาโยธาตุ ธาตุลม
ส่วนที่เป็น วาโยธาตุ ธาตุลม ที่ตรัสแสดง
ไว้สำหรับพิจารณา ก็ได้แก่ลมที่พัดขึ้นเบื้องบน
ลมที่พัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้
หรือกระเพาะ ลมที่ซัดไปพัดไปตลอดอวัยวะน้อย
ใหญ่ทั้งหลาย ลมอัสสาสะ ลมหายใจเข้า
ลมปัสสาสะ ลมหายใจออก
พิจารณาให้เห็นสักแต่ว่าเป็นธาตุ
สำหรับที่ตรัสสอนให้พิจารณาทางปฏิกูล ไม่สะอาด
ไม่งดงาม ก็ยกเอาปฐวีธาตุ ธาตุดิน อาโปธาตุ ธาตุน้ำ
จำแนกออกไปเป็นส่วน ๆ เป็นอาการ ๓๑ หรือ ๓๒
ดังกล่าว สำหรับที่ตรัสจำแนกไว้ครบทุกธาตุ ก็เพื่อ
ให้พิจารณาให้เห็นสักแต่ว่าเป็นธาตุ ไม่ควรที่
จะยึดถือว่าเป็นของเรา เราเป็นสิ่งเหล่านี้
หรือสิ่งเหล่านี้เป็นอัตตาตัวตนของเรา ก็
เป็นอันว่ามหาภูตรูปทั้ง ๔ นี้ หรือว่าธาตุทั้ง ๔ นี้
ได้ตรัสสอนให้ใช้เป็นกรรมฐานได้
ทั้งทางสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
และในการแสดงรูป ก็จำแนกรูปออก
เป็นมหาภูตรูปทั้ง ๔ คือธาตุทั้ง ๔ ดังกล่าวซึ่งกล่าว
เป็นส่วนรวม อันได้แก่
ส่วนที่แข้นแข็งก็เป็นมหาภูตรูป ส่วนที่เป็นดิน
ส่วนที่เหลวไหลก็เป็นมหาภูตรูป ส่วนที่เป็นน้ำ
ส่วนที่อบอุ่นก็เป็นมหาภูตรูป ส่วนที่เป็นไฟ
ส่วนที่พัดไหวก็เป็นมหาภูตรูป ส่วนที่เป็นลม
กล่าวรวม ๆ นี้ หมวดหนึ่งของรูป
อุปาทายรูป รูปอาศัย
อีกหมวดหนึ่งของรูปก็คือ อุปาทายรูป ที่แปลว่า
รูปอาศัย คือเป็นรูปที่อาศัยอยู่แห่งมหาภูตรูปทั้ง ๔
เหล่านี้ อันได้แก่
ประสาททั้ง ๕ คือ
สิ่งที่ให้สำเร็จการเห็น เรียกว่า จักขุประสาท
สิ่งที่ให้สำเร็จการได้ยิน เรียกว่า โสตประสาท
สิ่งที่ให้สำเร็จการทราบกลิ่น เรียกว่า
ฆานประสาท
สิ่งที่ให้สำเร็จการทราบรส เรียกว่า
ชิวหาประสาท
สิ่งที่ให้สำเร็จการถูกต้อง เรียกว่า กายประสาท
โคจร คืออารมณ์อันเป็นที่เที่ยวไปของประสาททั้ง ๕
นั้น ๕ ก็คือ
รูป ที่เป็นวิสัยของจักขุประสาท
เสียง ที่เป็นวิสัยของโสตประสาท
กลิ่น ที่เป็นวิสัยของฆานประสาท
รส ที่เป็นวิสัยของชิวหาประสาท
โผฏฐัพพะ สิ่งถูกต้องที่เป็นวิสัยของกายประสาท
ภาวะ คือเพศ ๒ ได้แก่
อิตถีภาวะ ภาวะเป็นหญิงหรือเพศหญิง
ปุริสภาวะ ภาวะเป็นชายหรือเพศชาย
ปกิณณกะ ข้อเบ็ดเตล็ด ๔ อันได้แก่
หทัย หมายถึงสิ่งที่ให้สำเร็จความคิดนึก
ชีวิตินทรีย์ อินทรีย์คือชีวิต ได้แก่ความเป็น
อยู่ของรูปกาย หรือสิ่งที่ให้รูปกายเป็นอยู่
ดำรงชีวิตอยู่
อาหาร หมายถึงโอชะของอาหารที่บริโภคเข้าไป
เป็นโอชะซึมซาบไปเลี้ยงร่างกาย
อากาศ ช่องว่างอันเรียกว่า ปริจเฉทรูป คือ
เป็นรูปที่สำหรับกำหนดขอบเขตหรือปันขอบเขต
เป็นต้นว่า นิ้วทั้ง ๕ ของบุคคลไม่ติดเป็นพืดเดียวกัน
แบ่งออกเป็น ๕ นิ้ว มีช่องว่างในระหว่างทั้ง ๕ นิ้ว
สิ่งที่ทำให้นิ้วทั้ง ๕ นิ้วนี้แยกกันออกเป็น ๕ นิ้วได้ก็
เพราะมีอากาศคือช่องว่างในระหว่าง ถ้า
ไม่มีอากาศคือช่องว่างในระหว่างนิ้วทั้ง ๕ นี้ก็จะติด
เป็นพืดอันเดียวกันทั้งหมด แต่
เพราะมีอากาศคือช่องว่างในระหว่าง จึงได้แบ่งเป็น ๕
นิ้วแยกกันไปได้ เพราะฉะนั้น อากาศ
จึงเรียกว่าปริจเฉทรูป รูปที่กำหนดตัดเป็นส่วน
เป็นชิ้นเป็นอันให้มีขอบเขตของส่วนนั้น ๆ ของร่างกาย
วิญญัตติ ๒ อันได้แก่
กายวิญญัตติ ความเคลื่อนไหวทางกาย
วจีวิญญัตติ ความเคลื่อนไหวทางวาจา
ที่เรียกว่าวิญญัตตินั้น เพราะว่า
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เกิดความรู้กันได้โดย
ใช้กายเคลื่อนไหว ก็เรียกว่า กายวิญญัตติ เช่น
ทำมือแสดงความหมายให้เข้าใจกันและเมื่อ
ใช้วาจาพูดสำหรับที่จะให้เข้าใจกันก็เรียกว่า
วจีวิญญัตติ
วิการ คืออาการที่ต่าง ๆ กัน ๓ ได้แก่
ความเบาของร่างกาย ร่างกายที่ยังมีชีวิต
อยู่นี้เบากว่าร่างกายที่สิ้นชีวิตแล้ว
ความอ่อนของร่างกาย คือร่างกายที่มีชีวิตนี้อ่อน เช่น
แขนจะยกขึ้นยกลงจะงอแขนจะกางแขนก็ทำได้
ขาก็เหมือนกัน จะยืนจะนั่งจะพับขาจะเหยียดขาก็ย่อมทำ
ได้ มีความอ่อนไม่แข็งกระด้างเหมือนอย่างศพ
คือร่างกายของคนตาย
ความควรแก่การงาน คือ
ใช้ร่างกายประกอบการงานต่าง ๆ ได้ตามต้องการ
ใช้มือใช้เท้าเป็นต้นได้ต่าง ๆ ต่าง
จากร่างกายของคนที่ตายแล้ว เป็นศพ
ไม่ควรแก่การงานใช้ทำการงานอะไรไม่ได้
ลักษณะ ๔ ก็คือ
ความที่เติบโตได้ เติบใหญ่ได้ ดั่งเมื่อแรกเกิดมาก็
เป็นเด็กเล็ก ก็เติบโตขึ้นเป็นเด็กใหญ่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา
เป็นต้น
ความสืบต่อ ก็เช่น ผมเก่าหลุดไป ผม
ใหม่ก็งอกขึ้นมาแทน เล็บเก่าหมดไป เล็บ
ใหม่ก็งอกขึ้นมาแทน เหมือนอย่างเมื่อโกนผม
ผมก็งอกขึ้นมาแทนได้ ตัดเล็บ เล็บก็งอกยาวออกมา
ได้ เป็นความสืบต่อ
ความชรา คือความชำรุดทรุดโทรม กับ
อนิจจตา ความไม่เที่ยง ก็คือต้องมีเกิดต้องมีดับในที่สุด
เกิด ก็คือธาตุมาประชุมกัน ดับ ก็คือว่าธาตุ
ทั้งหลายแตกสลาย เป็นอนิจจตา ความไม่เที่ยง
รูป ๒๘
ทั้งหมดนี้เรียกว่า อุปาทายรูป รูปอาศัย
อาศัยแห่งมหาภูตรูปทั้ง ๔ ซึ่งก็รวมเป็น ๒๕
มหาภูตรูป ๔ อุปาทายรูป ๒๕ ก็รวมเป็น ๒๙
แต่ว่าท่านมักจะตัดโคจร ๕ เหลือ ๔ ในอุปาทยรูป
ซึ่งโคจร ๕ นั้นก็ดังที่ได้กล่าวแล้ว ได้แก่รูปอัน
เป็นวิสัยของจักษุ เสียงอันเป็นวิสัยของโสตะคือหู
กลิ่นอันเป็นวิสัยของฆานะคือจมูก รสอัน
เป็นวิสัยของชิวหาคือลิ้นและโผฏฐัพพะอัน
เป็นวิสัยของกายะคือกาย ท่านมัก
จะตัดข้อโผฏฐัพพะนี้ออกเสีย โดยเอาไปรวมเข้า
ในข้อที่หนึ่ง คือรูปที่เป็นวิสัยของจักษุ
เพราะว่าโผฏฐัพพะนั้นก็เป็นรูปเหมือนกัน เพราะฉะ
นั้น เมื่อเอาไปรวมกันเข้ากับข้อรูป รูปข้อที่ ๑ นั้นจึง
เป็นวิสัยของจักษุด้วย เป็นวิสัยของกายด้วย เพราะฉะ
นั้น โคจร ๕ จึงเหลือ ๔ เมื่อโคจร ๕ เหลือ ๔
อุปาทายรูปที่มีทั้งหมด ๒๕ จึงเหลือ ๒๔ ฉะนั้น
เมื่อรวมเข้ากับมหาภูตรูปอีก ๔ ก็เป็น ๒๘ เพราะฉะ
นั้นในอภิธรรมจึงมักจะแสดงว่ารูปทั้งหมด
ทั้งมหาภูตรูปทั้งอุปาทายรูปมี ๒๘ เหล่านี้คือรูป
สัมมาทิฏฐิ ก็คือรู้จักนามรูป รู้จักนาม รู้จักรูป
รู้จักนามก็ได้แก่รู้จักเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ
มนสิการ ดังที่ได้กล่าวอธิบายแล้ว
รู้จักรูปก็คือรู้จักมหาภูตรูปทั้ง ๔
และรู้จักอุปาทายรูปแห่งมหาภูตรูปทั้ง ๔ นั้น
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 11:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๑ ความรู้จักวิญญาณ
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๒๑ ความรู้จักวิญญาณ
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบายเรื่อง สัมมาทิฏฐิ ตามที่ภิกษุ
ทั้งหลาย
ได้กราบเรียนถามท่านพระสารีบุตรเถระมา
โดยลำดับ และเมื่อท่านตอบไปตอนหนึ่ง ๆ แล้วภิกษุ
ทั้งหลายก็ถามต่อไป ว่ายัง
จะมีปริยายคือทางแสดงอย่างอื่นอีกหรือไม่
ท่านก็ตอบว่ามี ในวันนี้จึงถึงข้อที่ท่านตอบว่า สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ ก็คือรู้จักวิญญาณ
รู้จักเหตุเกิดแห่งวิญญาณ รู้จักความดับวิญญาณ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับวิญญาณ แล้วท่าน
ได้อธิบายไปทีละข้อว่า
รู้จักวิญญาณ ก็คือรู้จักหมู่แห่งวิญญาณ ๖ คือ
หมู่แห่งจักขุวิญญาณ วิญญาณทางตา
หมู่แห่งโสตวิญญาณ วิญญาณทางหู
หมู่แห่งฆานวิญญาณ วิญญาณทางจมูก
หมู่แห่งชิวหาวิญญาณ วิญญาณทางลิ้น
หมู่แห่งกายวิญญาณ วิญญาณทางกาย
หมู่แห่งมโนวิญญาณ วิญญาณทางมโนคือใจ
รู้จักเหตุเกิดแห่งวิญญาณ ก็คือรู้จักว่า
เพราะสังขารเกิด วิญญาณจึงเกิด
รู้จักความดับแห่งวิญญาณ ก็คือรู้จักว่า
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับวิญญาณ ก็คือรู้จักว่า
มรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบเป็นต้น
เป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับวิญญาณ
จะได้แสดงอธิบายใน หมู่แห่งวิญญาณ ๖ นี้ต่อไป
จิตกับวิญญาณในขันธ์ ๕
อันคำว่า วิญญาณ นั้น ได้มีใช้ในพุทธศาสนาหลาย
ความหมาย และว่าถึงถ้อยคำที่เกี่ยวแก่จิตใจ
วิญญาณก็มีอยู่ ๓ คำ คือจิตคำหนึ่ง วิญญาณ คำหนึ่ง
มโน ซึ่งมักแปลกันว่าใจ อีกคำหนึ่ง แม้จิตก็มัก
จะเรียกควบกันว่าจิตใจ คำว่าใจนั้นเป็นภาษาไทย
เรียกรวม ๆ กันไป เช่น จิตใจหรือมโนที่แปล
กันว่าใจ สำหรับคำทั้ง ๓ นี้ เมื่อใช้ต่างกันก็ใช้ต่าง
กันดังนี้ จิตนั้นได้มีพระพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ว่า
ให้อบรมจิต ให้รักษาจิต ให้ชำระจิตของตน
ให้ผ่องใส
และยังได้ตรัสเอาไว้อีกว่า
จิตเป็นธรรมชาติประภัสสรคือผุดผ่อง
แต่เศร้าหมองไปเพราะอุปกิเลส
เครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา
แต่ว่าจิตนี้เมื่อปฏิบัติทำจิตตภาวนา
อบรมจิตตามที่ตรัสสั่งสอนไว้ ก็วิมุตติหลุดพ้น
จากเครื่องเศร้าหมองจิตทั้งหลายได้ และ
ในท้ายพระสูตรทั้งหลายเป็นอันมากก็มีแสดงว่าภิกษุ
ทั้งหลายได้ฟังพระพุทธโอวาทที่ตรัสสั่งสอนแล้ว
จิตก็วิมุตติหลุดพ้น
จากอาสวะคือกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลายและ
ในพระสูตรที่แสดงไตรลักษณ์ดังเช่น
อนัตตลักขณสูตร ตรัสว่า
ขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เป็นอนัตตา เพราะบังคับให้เป็นไปตามปรารถนามิได้
เมื่อเป็นดั่งนี้ จึงเป็นอนิจจะคือไม่เที่ยงเป็นทุกข์
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา จึง
ไม่ควรที่จะยึดถือว่านี่เป็นเรา เราเป็นนี่ นี่เป็นอัตตา
ตัวตนของเรา
ท่านพระปัญจวัคคีย์ได้ฟังเทศนานี้จบแล้ว
จิตของท่านก็วิมุตติหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายดังนี้
ในพระสูตรดังกล่าวนี้แสดงขันธ์ ๕ ซึ่งรวมวิญญาณ
ด้วย ว่าเป็นอนัตตา กับทั้งเป็นอนิจจะ เป็นทุกขะ คือ
เป็นไปตามไตรลักษณ์หรือสามัญลักษณะ
ลักษณะที่ทั่วไปแก่สังขารทั้งปวง แต่มิได้ตรัสว่าจิต
เป็นอนัตตาเป็นอนิจจะเป็นทุกขะ
แต่ตรัสว่าจิตวิมุตติหลุดพ้น และยัง
ได้มีพระคาถาแสดงอีกว่า
จิตถึงวิสังขารคือนิพพาน เพราะตัณหา
ทั้งหลายสิ้นไป
จิตกับวิญญาณธาตุในธาตุ ๖
เพราะฉะนั้น ตามที่อ้างมานี้ จิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ในบุคคลที่ตรัสสอนให้รักษาตรัสสอนให้อบรม
จนถึงตรัสว่าจิตนี้เองที่เป็นผู้วิมุตติหลุดพ้น
จิตนี้เองบรรลุวิสังขารคือนิพพานและจิตนี้ก็
เป็นธรรมชาติธรรมดา อันเรียกว่าเป็นธาตุ
แต่ว่าเมื่อแสดงถึงธาตุทั้ง ๖ คือ ปฐวีธาตุ ธาตุดิน
อาโปธาตุ ธาตุน้ำ เตโชธาตุ ธาตุไฟ วาโยธาตุ ธาตุลม
อากาศธาตุ ธาตุอากาศ วิญญาณธาตุ
ธาตุวิญญาณคือธาตุรู้ ก็ใช้คำว่า วิญญาณธาตุ
คือธาตุรู้ ใน ธาตุวิภังคสูตร ตรัสสอน
ให้พิจารณาธาตุทั้ง ๕ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ
ธาตุลม ธาตุอากาศ ว่าไม่ควรที่จะยึดถือว่า นั่น
เป็นเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาตัวตนของเรา
แต่ว่ามิได้ตรัสว่าวิญญาณธาตุเป็นเช่นนั้น
เพราะฉะนั้น คำว่าวิญญาณธาตุในธาตุ ๖ นี้ จึงมี
ความหมายเสมอกับคำว่าจิตดังที่กล่าว คือเป็นสิ่งสำคัญ
ในบุคคลซึ่งเป็นตัวธรรมชาติธรรมดาเป็นตัวธาตุ
และยังมีในที่อื่นอีกหลายแห่งที่ใช้คำว่า
วิญญาณแทนจิตหรือเท่ากับจิต ฉะนั้น คำว่าวิญญาณ
กับคำว่า จิตนี้จึงใช้เท่ากัน หมายถึงธาตุที่เป็นอย่างเดียว
กันอยู่เป็นอันมาก
วิญญาณในขันธ์ ๕ คืออาการที่จิตออกรับอารมณ์
แต่ว่าเมื่อแสดงต่างกันก็แสดง
ถึงวิญญาณที่มีลักษณะต่างจากจิตดังกล่าวข้างต้นนั้น
คือวิญญาณที่แสดงในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีความหมายเป็นอาการของจิต
ในเมื่ออารมณ์ทั้งหลายมาสู่ทวารทั้ง ๖
หรือว่าอายตนะภายนอกกับอายตนะภาย
ในมาประจวบกัน จิต
จึงน้อมออกรับอารมณ์ตั้งต้นแต่รู้อารมณ์
ดังที่เรียกว่าเห็นรูป ที่เรียกว่าได้ยินเสียง
ที่เรียกว่าทราบกลิ่นทราบรส ทราบโผฏฐัพพะ
และรู้เรื่องราว
เพราะอาการที่จิตออกรับอารมณ์นั้นก็คือรู้นั้นเอง
แต่ว่ารู้ทีแรกดังกล่าวเรียกว่าวิญญาณ แล้ว
จึงรู้ที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไปเป็นสัมผัส เป็นสัญญา เป็นสังขาร
ความคิดปรุงหรือปรุงคิด ก็ล้วนแต่จิตนี้เองรู้ทั้ง
นั้น
เมื่อรู้ที่เป็นการเห็นการได้ยินเป็นต้น ก็เป็น วิญญาณ
รู้ที่เป็นสัมผัสคือกระทบ ก็เป็น สัมผัส หรือ ผัสสะ
รู้ที่เป็นสุขเป็นทุกข์ก็เป็น เวทนา
รู้จำก็เป็น สัญญา
รู้ปรุงคิดหรือคิดปรุงก็เป็น สังขาร
อาการที่จิตออกรับอารมณ์นั้นเป็นรู้ทั้งนั้น แต่ว่าที่
เป็นครั้งแรกนั้นก็คือวิญญาณดังกล่าว เมื่อรู้ที่
เป็นวิญญาณมีขึ้น จึงมีรู้ที่เป็นสัมผัส เป็นเวทนา เป็นต้น
ต่อไป นี้เป็นวิญญาณในขันธ์ ๕ ซึ่งเมื่อเป็นวิญญาณ
ในขันธ์ ๕ ดั่งนี้ ก็ต้องตกอยู่ในไตรลักษณ์ คือ อนิจจะ
ไม่เที่ยง ทุกขะเป็นทุกข์
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเป็นอนัตตามิ
ใช่อัตตาตัวตน วิญญาณจึงมีใช้ใน
ความหมายดังกล่าวนี้อีกอย่างหนึ่ง
วิญญาณในขันธ์ ๕ เป็นสิ่งที่เกิดดับ
แต่แม้เช่นนั้น บุคคลโดยมากก็ยัง
ใช้คำว่าวิญญาณแทนจิตหรือเสมอกับจิต และมีความ
เข้าใจว่าวิญญาณเสมอกับจิต หรือมีความ
เข้าใจยิ่งไปกว่านั้น วิญญาณนั้น
เป็นตัวยืนดังที่มีแสดงว่าพระอรหันต์บางรูปนิพพาน
มารเที่ยวค้นหาวิญญาณของท่านว่าท่านไปไหน
พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงได้ตรัสว่าไม่สามารถ
จะค้นพบได้เพราะว่าท่านนิพพานแล้วไม่เกิดอีก
ไม่มีวิญญาณที่จะไปเกิดอีก และก็ยังได้แสดง
ถึงสัตว์บุคคลที่เกิดมา เริ่มตั้งแต่ถือปฏิสนธิ
ในครรภ์ของมารดา ก็เรียกกันว่าปฏิสนธิวิญญาณ
ปฏิสนธิจิตก็เรียก และเมื่อมีปฏิสนธิวิญญาณ
หรือปฏิสนธิจิตในครรภ์ของมารดาแล้ว
ก็เริ่มปฐมจิตปฐมวิญญาณขึ้นมา
เริ่มก่อเกิดนามรูปขึ้นมาตั้งแต่เบื้องต้น แม้
จะเคลื่อนออกไปคือตาย ก็เป็นจุติจิตจุติวิญญาณ
เพราะฉะนั้น คนจึงมักจะใช้กันหลังจากตายว่า
วิญญาณไปเกิด ก็ไม่ใช่ ใช้กันเฉพาะ
ในเวลาปัจจุบันนี้สำหรับคนไทยเท่านั้น แม้
ในภาษาบาลีที่เป็นพระสูตรต่าง ๆ เองก็ยัง
ใช้ดังที่กล่าวมานั้น อันแสดงว่าวิญญาณนั้นได้ใช้
เป็นที่นิยมทั่วไปในความหมายของจิต ที่เป็นสิ่งสำคัญ
ในสัตว์บุคคลทั้งหลาย แต่
ในพุทธศาสนาเมื่อมาแสดงขันธ์ ๕ ก็มา
ใช้คำว่าวิญญาณนี้เป็นขันธ์ที่ ๕ ซึ่งต้องตกอยู่
ในไตรลักษณ์ดังกล่าวมานั้น และเป็นสิ่งที่มีขึ้น
ในเมื่ออายตนะภายนอกภายในประจวบกัน
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า
จิตออกรับอารมณ์เริ่มต้นรู้ ซึ่งเป็นการเห็นการ
ได้ยิน ซึ่งเป็นรู้ขั้นที่ ๑ ก็เป็นวิญญาณ วิญญาณในขันธ์
๕ จึงเป็นสิ่งที่เกิดดับ เกิดดับ เหมือนอย่างขันธ์ ๕ ทุกข้อ
มโนเป็นอายตนะภายในข้อที่ ๖
ส่วนมโนคือใจนั้น ได้ใช้เป็นอายตนะภายในข้อที่ ๖
หรือทวารข้อที่ ๖ นับเข้าในอายตนะภายในทั้ง ๖
หรือในทวารทั้ง ๖ ซึ่งมีหน้าที่สำคัญต้องมีประกอบ
กันไปกับอายตนะ ๕ ข้อข้างต้น ทวาร ๕ ข้อข้างต้น
และมีหน้าที่โดยเฉพาะของตนเอง
รู้ธรรมะคือเรื่องราวต่าง ๆ ของรูปเสียงเป็นต้น
ที่ประจวบพบผ่านมาแล้ว มโนจึง
เป็นเรื่องของอายตนะภายในเป็นเรื่องของทวารทั้ง ๖
ซึ่งมิได้ใช้ในความหมายอื่นมากเหมือนอย่างวิญญาณ
และจิต เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพุทธศาสนาจึงต้องศึกษา
ให้รู้จักความหมายของถ้อยคำที่ท่านใช้เป็นอย่างเดียว
กันบ้าง ต่างกันบ้าง และโดยเฉพาะที่เป็นอย่างเดียวกัน
ก็คือวิญญาณกับจิตดังกล่าวมานั้น ซึ่งมีใช้
เป็นอย่างเดียวกนหรือเท่ากันเป็นอันมาก เพราะฉะนั้น
การที่จะอธิบายศัพท์จึงต้องกำหนดขอบเขตว่า
จะอธิบายศัพท์ เช่นศัพท์ว่าวิญญาณนี้ในข้อไหน
ในเรื่องอะไร
ถ้าในเรื่องของธาตุ ๖ ก็ต้องอธิบายเท่ากับจิต
หรือเสมอกับจิต
ถ้าอธิบายในเรื่องของขันธ์ ๕ วิญญาณก็มี
ความหมายลดลงมา เป็น
ความรู้ของจิตที่ออกรับอารมณ์
เป็นขั้นแรกดังกล่าวมานั้นเท่านั้น
อธิบายหมู่แห่งวิญญาณ ๖
และในพระเถราธิบายนี้ ท่านพระสารีบุตร
ได้แสดงอธิบายในข้อว่ารู้จักวิญญาณ
ก็คือรู้จักหมู่แห่งวิญญาณทั้ง ๖ ก็คือวิญญาณในขันธ์ ๕
นั่นเอง และที่เรียกว่าหมู่นั้นก็เพราะว่าวิญญาณ
ในขันธ์ ๕ นี้เกิดขึ้นดับไปในทุกอารมณ์ที่ผ่านทวารทั้ง
๖ เข้ามา ดังจะยกอายตนะภายในภายนอกขึ้น
เป็นตัวอย่าง ว่าเมื่อตากับรูปประจวบกัน เกิด
ความรู้ขึ้นที่เรียกว่าเห็นรูป ก็เรียกว่าจักขุวิญญาณ
เมื่อเห็นรูปอันใดก็เกิดขึ้นดับไปในรูปอันนั้น ทุก ๆ คน
นั้นย่อมเห็นรูปต่าง ๆ มากมาย เป็นรูปนั่นรูปนี่
วิญญาณก็ย่อมเกิดดับอยู่ในรูปนั่นรูปนี่ที่เห็น
เพราะฉะนั้น ชั่วระยะเวลาประเดี๋ยวเดียว
วิญญาณก็เกิดดับอยู่ในรูปนั่นรูปนี่ที่ตาเห็นนั้น
หลายสิบหลายร้อยหลายพัน แม้ในข้ออื่นก็เหมือน
กัน เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าหมู่
หมู่แห่งวิญญาณเมื่อเกิดขึ้นทางตาก็เรียกว่าหมู่แห่งวิญญาณทางตา
เป็นต้น ดังที่กล่าวมาแล้ว
ใช้สติกำหนดดูให้รู้จักหมู่แห่งวิญญาณ ๖
เพราะฉะนั้น สัมมาทิฏฐิ จึงได้แก่
ความรู้จักหมู่แห่งวิญญาณทั้ง ๖ ดังกล่าวมา
ความรู้จักนั้นต้องกำหนดเข้ามาดูด้วยสติ
คือมีสติกำหนดอยู่ที่ตาที่หูเป็นต้นของตนเอง
เมื่อตาเห็นอะไร หูได้ยินอะไร เห็นหรือ
ได้ยินนั่นแหละคือวิญญาณทางตา วิญญาณทางหู
และก็เกิดดับไปในสิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยิน
นั้นแต่ละสิ่งแต่ละสิ่งไป เพราะฉะนั้น หากว่าหัด
ใช้สติกำหนดดูอยู่รู้อยู่ ก็จะรู้สึกว่าเห็นนั่นเห็นนี่
ได้ยินนั่นได้ยินนี่ และก็เทียบดูได้ว่าเกิดดับอย่างไร
เช่นในขณะที่เห็นใบไม้ วิญญาณก็เกิดอยู่ที่ใบไม้
เห็นผลไม้ วิญญาณก็ดับจากใบไม้ไปเกิดที่ผลไม้
เห็นบ้าน วิญญาณก็ดับจากผลไม้ไปเกิดที่บ้านที่เห็น
เห็นคนเดินมา วิญญาณก็ดับ
จากบ้านไปเกิดที่คนเดินมาที่เห็นนั้น ดั่งนี้เป็นต้น
ลองคิดดูว่า ขณะหนึ่ง ๆ อันหมาย
ถึงว่าระยะเวลาหนึ่ง ๆ ที่แม้ไม่นานนัก
วิญญาณก็เกิดที่นี่ ดับจากที่นี่ไปเกิดที่โน่น
ดับที่โน่นไปเกิดที่โน้น อะไรอย่างนี้มากมาย
หัดดูให้เห็นความเกิดดับ
เมื่อมีสติหัดกำหนดดูดั่งนี้ ก็อาจที่จะกำหนดดูได้รู้
ได้ว่าวิญญาณนี้เกิดที่นี่ดับจากนี่ไปที่นั่น ดับ
จากนั่นไปเกิดที่โน่น ดับจากที่โน่นไปเกิดที่นั่น เป็นอย่าง
ๆ ไป เป็นสิ่ง ๆ ไป จะเห็นว่าเป็นหมู่จริง ๆ มากมาย
และก็ไม่ใช่รูปอย่างเดียว ยังมีเสียงอีก เกิดที่รูป ดับ
จากรูปไปเกิดที่เสียง ดับจากเสียงไปเกิดที่กลิ่น ดับ
จากกลิ่นไปเกิดที่รส ดับจากรสไปเกิดที่โผฏฐัพพะ
สิ่งถูกต้องทางกาย ดับ
จากโผฏฐัพพะไปเกิดที่เรื่องที่ผุดขึ้นในใจ ดับ
จากเรื่องที่ผุดขึ้นในใจก็ไปเกิดที่นั่นที่นี่ เมื่อรวมกันเข้า
ทั้ง ๖ แล้ว ก็จะรู้สึกว่าเป็นหมู่ใหญ่จริง ๆ
ของวิญญาณ เกิดดับเกิดดับกันอยู่ทุกขณะ ๆ ไป
มีสติกำหนดอยู่ดั่งนี้เป็นวิธีกำหนดให้รู้จักวิญญาณ
ที่เรียกว่าหมู่แห่งวิญญาณทางตา หมู่แห่งวิญญาณทางหู
ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางมนะคือใจ แล้วก็หัด
ให้เห็นเกิดดับของวิญญาณดังกล่าวมานี้ ก็จะเป็นตัวสติ
ด้วย แล้วก็ตัวปัญญาที่เป็นวิปัสสนารู้แจ้งเห็นจริง
ด้วย จะมองเห็นความเกิดดับซึ่งเป็นตัวอนิจจะคือไม่เที่ยง
จะทำ
ให้มองเห็นทุกข์คือสิ่งที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป
จะมองเห็นอนัตตา ว่าเป็นสิ่งที่บังคับให้
เป็นไปตามปรารถนามิได้ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
เป็นไปอยู่อย่างนี้ ดั่งนี้คือรู้จักวิญญาณ
รู้จักหมู่แห่งวิญญาณตามพระเถราธิบาย
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 11:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๒ ความรู้จักสังขาร
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๒๒ ความรู้จักสังขาร
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบายตอบคำถามของภิกษุ
ทั้งหลาย ของท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรมา
โดยลำดับจนถึงวันนี้ ท่านได้แสดงอธิบายสัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ ว่าได้แก่รู้จักสังขาร
รู้จักเหตุเกิดสังขาร รู้จักความดับสังขาร
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับสังขาร และท่าน
ได้แสดงชี้แจงไปทีละข้อว่า
รู้จักสังขาร นั้น สังขารมี ๓ คือ กายสังขาร
วจีสังขาร และจิตตสังขาร
รู้จักเหตุเกิดสังขาร นั้น ก็คือรู้จักว่า
เพราะอวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด
รู้จักความดับสังขาร ก็เพราะอวิชชาดับ สังขาร
จึงดับ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับสังขาร ว่า
ได้แก่มรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
เป็นต้น
จะได้แสดงอธิบายในข้อที่ ๑ ที่ท่านแสดงชี้แจง สังขาร
๓ ดังกล่าว
สังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง
แต่ก่อนที่จะได้แสดงสังขาร ๓ จะได้แสดงใจความ
หรือความหมายของคำว่าสังขารก่อน คำว่า สังขาร
นั้น ก็ตามที่ได้ทราบกันอยู่โดยมากสำหรับ
ผู้ปฏิบัติธรรมะหรือศึกษาธรรมะว่าได้แก่
ปรุงแต่ง
คือสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นก็เรียกว่าสังขารการปรุงแต่ง
หรือความปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร โดยอธิบายว่า
ทุก ๆ สิ่งในโลกนี้จะเป็นสิ่งที่มีใจครอง เช่น
มนุษย์เดรัจฉานทั้งหลาย สิ่งที่ไม่มีใจครอง เช่น
ดินน้ำไฟลมที่เป็นภายนอกทั่วไปและที่เป็นต้นไม้ภูเขา
เป็นต้น เรียกว่าสังขาร คือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งสิ้น
แม้ที่รวมกันเป็นพื้นพิภพนี้
หรือว่าดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ดวงดาวทั้งหลายที่เห็น
อยู่ในท้องฟ้า ก็เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งสิ้น
หรือแม้ลมฝนอากาศเย็นร้อน ที่
เป็นเรื่องของโลกธาตุอันบังเกิดขึ้นทั้งสิ้น ก็
เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง
สังขาร ๒
เพราะฉะนั้น ท่านจึงย่อสังขารลงเป็น ๒ คือ
อุปาทินนกสังขาร สังขารที่มีใจครอง
อนุปาทินนกสังขาร สังขารที่ไม่มีใจครอง
แต่ว่าคำนี้ท่านผู้เพ่งธรรมะบางท่านก็อธิบาย
เป็นอีกอย่างหนึ่งว่า
สังขารที่ยังยึดถือเป็น อุปาทินนกสังขาร
สังขารที่ไม่ยึดถือเป็น อนุปาทินนกสังขาร
แต่แม้จะตีความหรือเข้าใจความเป็นอย่างไร รวม
เข้าก็คือว่า บรรดาทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่
เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง เรียกว่าสังขารทั้งหมด
และคำว่า ผสมปรุงแต่งนี้ก็มีความหมายที่แจ่มแจ้งอยู่
ในตัวแล้วว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวที่ปรากฏเป็นนั่น
เป็นนี่ต่าง ๆ แต่ว่ามีส่วนประกอบ
เข้ามาหลายอย่างมาปรุงแต่งกันขึ้น ซึ่ง
ถ้าเทียบอย่างหยาบ ๆ ก็เช่นบ้านเรือนที่เป็นบ้าน
เป็นเรือน ก็เรียกว่าเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง
เพราะประกอบขึ้นด้วยทัพสัมภาระเช่นไม้เป็นต้น
หลายสิ่งหลายอย่างมาประกอบกันเข้าเป็นบ้าน
เป็นเรือน และคำว่าบ้านว่าเรือนนั้นก็
เป็นสมมติบัญญัติของสิ่งผสมปรุงแต่งนั้น ๆ ว่า
เมื่อผสมปรุงแต่งขึ้นเป็นอย่างนั้นก็เรียกว่าอย่างนั้น
เป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าอย่างนี้ แม้คำว่าสัตว์บุคคล
ตัวตนเราเขานี้ก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง จึง
ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ที่แปลความว่า
เพราะประกอบองคสัมภาระ คือ องค์ประกอบต่าง
ๆ ส่วนประกอบต่าง ๆ เข้า เสียงว่ารถจึงมีฉันใด
เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ เสียงว่าสัตว์บุคคลตัวตนเรา
เขาจึงมีอยู่ ดั่งนี้
เพราะฉะนั้นทุก ๆ อย่างดังกล่าวจึงเรียกว่าสังขาร
คือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น
สังขตลักษณะ
ได้มีพระพุทธภาษิตแสดง สังขตลักษณะ
คือลักษณะของสิ่งผสมปรุงแต่งเอาไว้ว่ามี ๓ อย่าง คือ
หนึ่ง ความเกิดขึ้นปรากฏ
สอง ความเสื่อมไปสิ้นปรากฏ
สาม เมื่อยังตั้งอยู่ความเป็นไปอย่างอื่น คือ
ความแปรปรวนไปเป็นอย่างอื่นปรากฏ
ฉะนั้น จึงได้มีภาษิตแสดงภาวะของสังขารทั้งหลาย
ซึ่งพระใช้เป็นคำสำหรับสวดว่า
อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
อุปฺปาทวยธมฺมิโน มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไป
เป็นธรรมดา
อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
เตสํ วูปสโม สุโข ความดับแห่งสังขารทั้งหลายเหล่า
นั้นจึงเป็นสุข ดั่งนี้
พิจารณาโดยลักษณะว่าเป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น ในการพิจารณาทางวิปัสสนา
ยกเอาทุกขลักษณะ
คือลักษณะเครื่องกำหนดหมายว่า
เป็นทุกข์ขึ้นมาพิจารณา พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอน
ให้พิจารณาโดยลักษณะที่เรียกว่า ทุกขทุกขะ
คือทุกข์โดยเป็นทุกข์ ก็ได้แก่ทุกข์ที่ปรากฏเป็นทุกข์
เช่น ทุกขเวทนาต่าง ๆ ที่บังเกิดขึ้นแก่ร่างกาย
และจิตใจ ดั่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสชี้เอาไว้
ในการที่ทรงอธิบาย ทุกขสัจจะ สภาพที่จริงคือทุกข์
ว่า
เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ ความโศก
ความรัญจวนคร่ำครวญ ความไม่สบายกาย
ไม่สบายใจ ความคับแค้นใจเป็นทุกข์ ความประจวบ
กับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพราก
จากสิ่งที่เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความปรารถนาไม่สมหวัง
เป็นทุกข์
พิจารณาทุกข์โดยที่เป็นทุกข์ต่าง ๆ ซึ่งทุกคน
ต้องประสบทางกายบ้างทางใจบ้าง
พิจารณาทุกข์โดยเป็นสังขาร
อนึ่ง ได้ตรัสสอนให้พิจารณาว่าเป็นทุกข์โดย
เป็นสังขาร อันเรียกว่า สังขารทุกข์ ทุกข์โดย
เป็นสังขาร คือล้วนเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งสิ้น ทุก ๆ
อย่างที่สมมติบัญญัติขึ้นว่าเป็นนั่นเป็นนี่
ตั้งต้นแต่รูปกายของตนเอง นามกายของตนเอง
รูปกายนามกายของผู้อื่นและสัตว์บุคคลต่าง ๆ
ทรัพย์สินสิ่งต่าง ๆ ทุกอย่างที่สมมติบัญญัติกันว่าเป็นนั่น
เป็นนี่ทั้งที่ยึดถือกันว่าเป็นของเรา ว่าเราเป็น ว่า
เป็นอัตตาตัวตนของเรา ล้วนเป็นสังขารคือ
เป็นสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น ส่วนที่มีชื่อเรียกกันต่าง ๆ
นั้นก็เป็นสมมติบัญญัติทั้งสิ้น และส่วนที่ว่าเป็นเรา
เป็นของเราก็เป็นความยึดถือเอาเองทั้งสิ้น
เพราะว่าทุก ๆ อย่างนั้น
เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น
พิจารณาทุกข์โดยเป็นวิปริณามะ
อนึ่ง ได้ตรัสสอนให้พิจารณาว่าเป็นทุกข์ โดยเป็น
วิปริณามะ คือความที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป
เพราะทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างที่เป็นสังขารนั้น ล้วนมี
ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา
เป็นไปตามสังขตลักษณะ
ลักษณะเครื่องกำหนดหมายแห่งสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง
ทั้งหลายดังกล่าวมาแล้ว คือมีเกิดมีดับ
เป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป และ
ในระหว่างแห่งเกิดและดับนั้นก็มี
ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น
อยู่เรื่อย ๆ ดังเช่นร่างกายของทุก ๆ คนเรานี้
เมื่อเกิดมาก็เป็นเด็กคือร่างกายเป็นเด็ก
แล้วก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงมาเป็นเด็กใหญ่
ใหญ่ขึ้นโดยลำดับ เป็นหนุ่มสาว เป็นกลางคน
เป็นคนแก่ เป็นคนแก่เฒ่าไปโดยลำดับ
ในที่สุดก็แตกดับ คือสิ่งที่ผสมปรุงแต่งนั้นก็แตกสลาย
จากการปรุงแต่ง หยุดปรุงแต่ง
สังขาร ๓
ฉะนั้น เรื่องสังขารนี้จึงเป็นข้อที่ควรทำความเข้าใจ
และพิจารณาในทางวิปัสสนากรรมฐานได้
เป็นอย่างดียิ่ง ตามที่ประพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน แต่
ในที่นี้ก็ต้องการที่จะให้มีความเข้าใจใน
ความหมายของคำว่าสังขารเพียงว่า
ได้แก่สิ่งที่ผสมปรุงแต่งขึ้น
หรืออาการที่ผสมปรุงแต่งขึ้น เรียกว่าสังขาร
และที่ท่านจำแนกสังขารไว้เป็น ๓ คือ กายสังขาร
วจีสังขาร จิตตสังขาร
กายสังขาร
กายสังขาร นั้นก็ได้แก่การปรุงแต่งกาย อธิบายว่า
ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจเข้า
ลมหายใจออก ได้ชื่อว่ากายสังขารปรุงแต่งกาย
เพราะว่าเป็นเครื่องบำรุงปรนปรือกาย
อยู่ตลอดเวลา กายดำรงอยู่ได้ก็
เพราะมีลมอัสสาสะปัสสาสะบำรุงปรนปรือ
อยู่ตลอดเวลาไม่มีหยุด ดังจะพึงเห็นได้ว่าทุก ๆ คนนั้น
ไม่มีหยุดหายใจ กายจึงดำรงอยู่ได้ที่เรียกว่าชีวิต
หากหยุดหายใจเมื่อใดกายก็ดำรงอยู่ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ จึงเรียกว่า
กายสังขาร เป็นเครื่องปรุงกาย
วจีสังขาร
วจีสังขาร แปลว่าปรุงแต่งวาจา ได้แก่วิตกวิจาร
ที่แปลว่า ความตรึกความตรอง วิตกวิจารนี้เอง
เป็นต้นของวาจาที่ทุก ๆ คนพูด ก็คือว่าพูด
จากใจที่วิตกวิจารคือที่ตรึกตรอง อาจจะกล่าวได้ว่า
จิตใจนี้พูดก่อนคือตรึกตรองขึ้นมาก่อน
จึงพูดออกทางวาจา หรือว่าวาจาจึงพูดออกมา
ถ้าหากว่าไม่มีวิตกวิจารขึ้น
ในจิตใจก่อนการพูดอะไรออกไปทางวาจาก็
เป็นวาจาของคนที่เพ้อคลั่ง หรืออาการที่เพ้อ
หรือที่กล่าวในเวลาหลับและจะไม่เป็นภาษา ฉะ
นั้น วาจาที่ทุกคนพูดนี้จึงออกมา
จากจิตใจที่มีวิตกมีวิจารคือที่ตรึกตรอง
ฉะนั้น วิตกวิจารจึงเรียกว่า วจีสังขาร
เป็นเครื่องปรุงวาจา
จิตตสังขาร
จิตตสังขาร ปรุงแต่งจิต ก็ได้แก่สัญญาเวทนา เวทนา
นั้นก็ได้แก่ความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ
ไม่ทุกข์ไม่สุข สัญญานั้นก็ได้แก่ความจำได้หมายรู้ เช่น
จำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ
จำธรรมะคือเรื่องราว เวทนาสัญญานี้เรียกกลับ
กันว่า สัญญาเวทนา เป็นเครื่องปรุงจิต คือปรุงจิตใจ
ให้คิดไปต่าง ๆ ความคิดไปต่าง ๆ นั้นอาศัยสัญญาเวทนา
ถ้าหากว่าไม่มีสัญญาคือความจำได้หมายรู้
ไม่มีเวทนาคือรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ
ไม่ทุกข์ไม่สุขก็คิดอะไรไม่ได้ เพราะทุก ๆ คนนั้น
จะไปคิดในเรื่องที่ตนเองจำไม่ได้ หรือว่าที่ลืมไป
แล้วนั้นหาได้ไม่ จะคิดอะไรได้ก็ต้องคิดได้ตามที่จำ
ได้เท่านั้น อันที่จริงยกเอาสัญญาขึ้นมาอย่างเดียว
อธิบายอย่างนี้ก็เข้าใจ แต่ท่านยกเอาเวทนาขึ้นมาคู่ด้วยก็
โดยที่สัญญานี้ตามวิถีจิตในขันธ์ ๕
ย่อมเกิดขึ้นอาศัยเวทนา คือต้องมีเวทนาที่เป็นสุข
เป็นทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข จึง
จะมีสัญญาคือจำได้ ถ้าไม่มีเวทนาแล้วก็จำอะไรไม่ได้
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เหมือนอย่างคนที่ดับ
ความรู้ทางกายประสาท เช่นว่าฉีดยาชาที่ร่างกาย
เมื่อร่างกายส่วนนั้นชาไปแล้ว หมอก็ทำการผ่าตัด
หรือทำอะไรก็ไม่มีความรู้เจ็บ เมื่อไม่มีความรู้เจ็บ
ก็แปลว่าสัญญาคือความจำในการที่หมอ
ได้กระทำอะไรตรงร่างกายส่วนนั้นก็ไม่มี ถ้าหากว่า
ไม่ได้ฉีดยาชา เมื่อเอามีดไปปาดเข้าก็เจ็บ เมื่อเจ็บก็จำ
ได้ในอาการที่เจ็บนั้น นี้ยกตัวอย่างเพียงการทำ
ให้กายประสาทไม่รู้สึกเพียงข้อเดียว ถ้าหากว่าไม่มี
ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ที่เป็นเวทนา
ทางจักขุประสาท โสตประสาท ฆานประสาท
ชิวหาประสาท หรือทางกายประสาทดังกล่าวนั้น
ด้วย ใครจะทำอะไรที่ร่างกายทุกส่วน ก็ย่อมจะไม่มี
ความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์
ไม่สุข ก็ไม่มีสัญญาคือความจำในส่วนนั้น ๆ
หรือคนที่ถูกฉีดยาสลบหมดความรู้ไป
ในขณะที่สลบนั้น ก็เป็นอันว่าจำอะไรในขณะนั้นไม่
ได้เลย เพราะฉะนั้น สัญญาจึงมาจากเวทนา
ต้องมีเวทนาจึงจะเกิดสัญญาคือความจำ
ได้หมายรู้ขึ้นมา
เพราะฉะนั้น จิตที่คิดไปต่าง ๆ ที่ปรุงไปต่าง ๆ
จึงปรุงไปตามสัญญาเวทนา ถ้าไม่มีสัญญาเวทนา
แล้วจิตก็ปรุงไม่ถูก แม้จิตที่คิดปรุงไปต่าง ๆ
ดังกล่าวนั้น ก็รวมวิตกวิจารดังกล่าวมาข้างต้น
ในข้อวจีสังขารเข้าด้วย เพราะวิตกวิจารคือ
ความตรึกความตรองก็เป็น
ความคิดไปของจิตอย่างหนึ่ง
ซึ่งก็อาศัยสัญญาเวทนาดังกล่าวนี้นั่นแหละ
เพราะฉะนั้น สัญญาเวทนาจึงเป็น จิตตสังขาร
เครื่องปรุงจิต
สรุปสังขาร ๓
กายสังขาร ปรุงแต่งกาย มีลมหายใจ
เข้าลมหายใจออกเป็นเครื่องปรุงแต่งกาย
วจีสังขาร ก็มีวิตกวิจารเป็นเครื่องปรุงแต่งวาจา
จิตตสังขาร ก็มีสัญญาเวทนาเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต
นี้แสดงอธิบาย
ถึงเครื่องปรุงแต่งกายปรุงแต่งวาจาปรุงแต่งจิต
แต่ว่ายังมีการปรุงแต่ง
ของกายเองของวาจาเองของจิตเอง
คือกายที่มีการปรุงแต่งอยู่ คือ กายที่ยังประกอบกัน
เป็นกาย มีอาการปรุงแต่งของกาย ซึ่งเป็นไปเองต่าง ๆ
เช่นว่าอาการ ๓๑ หรือ ๓๒ เกสา ผม โลมา ขน นขา
เล็บ ทันตา ฟัน เป็นต้น ผมเองก็มียาวขึ้นไปได้
ขนเองก็มีการที่ตั้งอยู่ หรือที่หลุดก็งอกขึ้นมาใหม่ได้
เหล่านี้เป็นต้น เป็นความปรุงแต่งของกายตลอดจน
ถึงที่เป็นอวัยวะภายในต่าง ๆ เช่น ตับ ปอด
ก็ปฏิบัติหน้าที่ เช่นปอดก็ปฏิบัติหน้าที่
ในการที่ทำการหายใจเข้าหายใจออกเป็นต้น ไป
อยู่ตลอดเวลา เหล่านี้
เป็นอาการปรุงแต่งของกายเอง ซึ่งเป็นไปอยู่ไม่มีหยุด
วจีสังขาร วาจาเองที่พูดออกไป ก็พูดกัน
อยู่ทุกวันตามที่ควรพูด หรือแม้ว่าที่ไม่ควรพูด
จิตที่คิดนึกไป ก็คิดนึกกันไปต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา
ไม่หยุด
แปลว่าอาการปรุงแต่งของกายของวาจาของจิตเองก็ปรุงแต่ง
อยู่ไม่หยุดเหมือนกัน นี่ก็เป็นสังขาร
เพราะฉะนั้น ชีวิตนี้อันประกอบด้วยกายด้วยวาจา
ด้วยจิตดั่งที่กล่าวมา ยกเป็นตัวอย่างเพียง ๓ ข้อนี้
เป็นสังขารที่ปรุงแต่งอยู่ไม่หยุดตั้งแต่เกิดมา
หยุดเมื่อไรก็คือตาย เมื่อยังไม่ตายก็ต้อง
เป็นสังขารคือปรุงแต่ง
ปรุงแต่งตั้งแต่ถือกำเนิดเกิดก่อขึ้น
ในครรภ์ของมารดา
คลอดออกมาก็ปรุงแต่งเรื่อยไปจนถึงตายในที่สุด
เพราะฉะนั้น อาการที่เรียกว่าสังขารคือปรุงแต่งนี้
เป็นอาการของชีวิต ซึ่งต้องมีการปรุงแต่งกัน
อยู่ดั่งนี้ตลอดเวลาไม่หยุด หยุดปรุงแต่งเมื่อใดก็ตาย
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 11:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๓ ความรู้จักอวิชชา
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๒๓ ความรู้จักอวิชชา
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบายในข้อสัมมาทิฏฐิตามที่ภิกษุ
ทั้งหลายได้กราบเรียนถามมาทีละตอนทีละตอน
โดยลำดับ จนถึงตอนที่ท่านพระสารีบุตรเถระ
ได้ตอบว่ายังมีปริยายคือทางแสดงอื่นต่อไปอีก
คือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
ได้แก่รู้จักอวิชชารู้จักเหตุเกิดอวิชชา รู้จัก
ความดับอวิชชา รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอวิชชา
และท่านได้แสดงอธิบายไปทีละข้อว่า
รู้จักอวิชชา อวิชชาก็คือไม่หยั่งรู้ในทุกข์ ไม่หยั่งรู้
ในเหตุเกิดทุกข์ ไม่หยังรู้ในความดับทุกข์ ไม่หยั่งรู้
ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
รู้จักเหตุเกิดอวิชชา ก็คือรู้จักว่าเพราะอาสวะเกิด
อวิชชาจึงเกิด
รู้จักความดับอวิชชา ก็คือรู้จักว่าเพราะอาสวะดับ
อวิชชาจึงดับ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอวิชชา
ก็คือรู้จักมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
เป็นต้น
จะได้อธิบายในข้อแรก รู้จักอวิชชา
อวิชชาเป็นต้นเหตุสำคัญแห่งกิเลสและกองทุกข์
อวิชชา นี้เป็นข้อที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้
ว่าเป็นต้นเหตุสำคัญแห่งกิเลสและกองทุกข์ทั้งหลาย
ในปฏิจจสมุปบาท คือธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้นก็ตรัสแสดงอวิชชาไว้เป็นข้อต้น
และบรรดากิเลสที่เป็นอย่างละเอียดกันบังเกิด
นอนจมหมักหมมอยู่ในจิตสันดาน ดองจิตสันดาน
ซึ่งเรียกว่าอาสวะหรืออนุสัย ก็คืออวิชชาเป็นข้อสำคัญ
และได้มีพระพุทธาธิบายอวิชชา
ดังที่ท่านพระสารีบุตรได้นำมาอธิบาย คือความ
ไม่หยั่งรู้ในอริยสัจทั้ง ๔ ได้แสดงอวิชชา ๔ ไว้ดั่งนี้
เป็นพื้น และที่แสดง อวิชชา ๘ ก็มี เติมเข้าอีก ๔ ข้อ อัน
ได้แก่
ไม่รู้จักเงื่อนต้น
ไม่รู้จักเงื่อนปลาย
ไม่รู้จักทั้งเงื่อนต้นทั้งเงื่อนปลาย
ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท คือธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้น
อีกปริยายคือทางแสดงอันหนึ่ง ก็ได้แก่
ไม่รู้จักอดีต
ไม่รู้จักอนาคต
ไม่รู้จักทั้งอดีตทั้งอนาคต
ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท คือธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้น
จะได้แสดงคำว่าอวิชชาและอวิชชาในอริยสัจทั้ง ๔
นั้นก่อน อันเป็นข้อหลัก
อวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะ
อวิชชา แปลตามศัพท์ว่า ความไม่รู้ อันหมายความว่า
ไม่รู้ในอริยสัจทั้ง ๔ ดังกล่าวนั้น แต่ว่า
ถ้ายกขึ้นมาเพียงคำเดียวว่าไม่รู้ ก็อาจมีปัญหาว่า สิ่งที่มี
ความไม่รู้ก็จะเป็นดั่งก้อนหินก้อนดินท่อนไม้เป็นต้น ซึ่ง
ไม่มีความรู้อยู่ในตัว แต่ว่าอันบุคคลแม้สัตว์เดรัจฉาน
ทั้งหลาย ย่อมมีความรู้อยู่ในตัว ดังคนเราก็มี
ความรู้อะไร ๆ อยู่ในตัว ฉะนั้นจะเรียกว่ามีอวิชชา
ได้อย่างไร จึงมีคำอธิบายให้ชัดขึ้นว่า อวิชชานั้น
เป็นข้อที่มีอยู่ เป็นสิ่งที่มีอยู่แก่สัตวโลกทั้งหลาย
ซึ่งมีวิญญาณธาตุคือธาตุรู้หรือว่ามีจิตวิญญาณซึ่ง
เป็นธรรมชาติเป็นธาตุรู้ ดังมนุษย์เราคนเราก็มี
ความรู้อะไร ๆ อยู่ ตั้งต้นแต่มีความรู้เห็นรูป รู้
ได้ยินเสียง เป็นต้น ตลอดจนถึงความรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่มี
เป็นพื้นอยู่ และที่ศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมขึ้นมาต่าง ๆ
อันเรียกว่าวิชชาหรือปัญญา ฉะนั้น คนเราจึง
จะชื่อว่ามีอวิชชาได้อย่างไร จึงมีคำตอบว่า ก็มี
ความรู้นั่นแหละจึงมีอวิชชาขึ้นมาได้ ถ้าไม่มี
ความรู้อย่างก้อนดินก้อนหินท่อนไม้ก็ไม่มีอวิชชาขึ้นมา
ได้ ก็คือมีความรู้ แต่ว่าความรู้ที่มีอยู่นั้นเป็นความรู้ที่
ไม่จริงเป็นความรู้ที่ผิดจากความจริง
ฉะนั้น ความรู้ที่ไม่จริงความรู้ที่ผิดจาก
ความจริงนี้แหละ คืออวิชชา ในทางตรงกันข้าม เมื่อ
เป็นความรู้ที่จริงไม่ผิดจากความจริงก็เป็นวิชชา
และอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะ คือ
ความจริงของจริงของแท้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า
เป็นความรู้ที่ผิดจากสัจจะ คือของจริงของแท้
นี้คืออวิชชา
ปฏิปทาปฏิบัติก่อนตรัสรู้
พระพุทธเจ้าผู้รู้ผู้เห็นได้ทรงอธิบายอวิชชานี้ไว้ ว่า
ได้แก่ความที่ไม่มีญาณคือความหยั่งรู้ในทุกข์เป็นต้น
ดังกล่าว แต่หากว่าถ้ามิได้พระพุทธเจ้าผู้รู้
ผู้เห็นมาทรงแสดงสั่งสอนทุก ๆ คนก็ย่อมจะไม่
สามารถจะรู้จักอวิชชาที่มีอยู่ในตนเองได้ ย่อมจะ
เข้าใจว่าตนมีวิชชาคือความรู้ที่เป็นความรู้จริง เป็น
ความรู้ถูก ดังศาสดาทั้งหลายแห่งศาสนา
ทั้งหลายแห่งลัทธิทั้งหลาย ซึ่ง
ได้เกิดขึ้นก่อนพระพุทธเจ้า
หรือภายหลังพระพุทธเจ้า มิได้เป็นผู้รู้
ผู้เห็นเหมือนพระพุทธเจ้า คือมิ
ได้ตรัสรู้เหมือนพระพุทธเจ้า ก็ย่อมเข้าใจว่า
แต่ละท่านมีวิชชาหรือความรู้ถึงที่สุด เป็นผู้ที่ปราศ
จากอวิชชาคือความไม่รู้ เป็นผู้รู้เป็นผู้เห็นแล้ว
แต่อันที่จริงนั้นเมื่อยังมีชาติมีภพก็ชื่อว่ายังมีทุกข์
ยังมีกิเลส ยังไม่สิ้นทุกข์ยังไม่สิ้นกิเลส ดังที่มีความ
ต้องการเกิดอีกแม้ในชาติภพที่เข้าใจว่ายั่งยืน
และเมื่อไปเกิดในชาติภพนั้นแล้วก็ยั่งยืน มีผู้ที่เกิด
อยู่ยั่งยืนและเต็มไปด้วยความสุขต่าง ๆ ดังฤษี
ทั้งหลายดาบสทั้งหลายผู้ปฏิบัติแม้ใกล้พุทธศาสนา
เข้ามามาก ดังเช่นท่านอาฬารดาบส กาลามโคตร
อุททกดาบส รามบุตร ปฏิบัตินับว่าสมบูรณ์อยู่มาก
ในศีลในสมาธิคือได้ถึงสมาบัติ ๗ สมาบัติ ๘
หรือว่ารูปฌาน อรูปฌาน แต่ว่าก็ติดอยู่แค่นั้น
เพราะว่าต้องการที่จะไปเกิดในพรหมโลก
เป็นพรหม ซึ่งเข้าใจว่าดำรงอยู่ยั่งยืนตลอดไป
ในพรหมโลกนั้น แต่พระพุทธเจ้าเมื่อ
เป็นพระโพธิสัตว์เสด็จออกทรงผนวช ได้เสด็จ
เข้าไปทรงศึกษาในสำนักของท่านดาบสทั้งสองนั้น
ก็ทรงเห็นว่ายังเป็นข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อชาติภพ
เพราะฉะนั้นจึงยังมีกิเลสคือความต้องการ
จะไปเกิดอีกอันเป็นตัณหา และเมื่อไปเกิดอีก ความเกิด
นั้นก็ยังเป็นทุกข์ เพราะเมื่อมีเกิดก็จะต้องมีแก่มีตาย
เมื่อไปเกิดเป็นเทพก็จะต้องมีจุติคือเคลื่อนออกจาก
ความเป็นเทพในที่สุด จึงยังไม่พ้นทุกข์ไม่พ้น
ความเวียนว่ายตายเกิด อันเรียกว่า วัฏฏสงสาร
ทรงแสวงหาโมกขธรรม
เพราะฉะนั้น ก็เป็นอันว่าท่านศาสดาและลูกศิษย์
ทั้งปวงนั้นก็ยังมีอวิชชาคือความไม่รู้คือยังมี
ความรู้ที่ผิดจากสัจจะที่เป็นตัวความจริง ยังเห็นในสิ่งที่
เป็นทุกข์ว่าสิ้นทุกข์ ยังเห็นในสิ่งที่เป็นเหตุเกิดทุกข์ว่า
เป็นเหตุเกิดสุข เพราะฉะนั้น
ความรู้ของบรรดาศาสดาและศิษย์ทั้งปวงนั้น จึง
เป็นความรู้ที่ยังไม่ถึงที่สุด และเมื่อสำคัญว่าถึงที่สุด ก็
เป็นความสำคัญผิด เป็นความเห็นผิด ความรู้ก็เป็น
ความรู้ที่ผิดจากสัจจะที่เป็นตัวความจริงดังกล่าว ยัง
เป็นความรู้ที่เป็นอวิชชาอยู่ เพราะฉะนั้น จึง
ได้เสด็จหลีกออกไปทรงแสวงหาโมกขธรรม
ธรรมะที่เป็นเครื่องหลุดพ้นด้วยพระองค์เอง
และแม้พระองค์เองก็ทรงรู้พระองค์เองว่า
ความรู้ของพระองค์เองที่ยังมีอยู่
ในขณะที่ทรงแสวงหานั้น ก็ยังเป็นความรู้ที่ยัง
เป็นอวิชชาอยู่อีกเหมือนกัน เพราะยังเรียกว่าไม่พบสัจ
จะที่เป็นตัวความจริงอันเป็นโมกขธรรม ธรรมะที่
เป็นเครื่องหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ได้จริง
ยังไม่ทรงรู้ในขณะนั้นว่า สัจจะที่เป็นความจริง
นั้นคืออะไร ฉะนั้นแม้ความรู้ของพระองค์เองในขณะ
นั้นก็ยังเป็นความรู้ที่ยังเป็นอวิชชา ทรงปรารถนา
จะได้ความรู้ที่เป็นวิชชาคือความรู้ที่ตรงกับสัจจะคือ
ความจริง
ในเบื้องต้น ก็ทรงมุ่งอาศัยท่านคณาจารย์ที่มีอยู่
ในขณะนั้นดังเช่นท่านดาบสทั้งสอง แต่เมื่อทรงเห็นว่า
แม้ความรู้สูงสุดของท่านอาจารย์ทั้งสองนั้นก็ยัง
เป็นอวิชชาอยู่ คือยังไม่เป็นความรู้ที่เข้าถึงสัจจะที่
เป็นตัวความจริง จึงได้เสด็จหลีกออกไปทรงแสวงหา
ด้วยพระองค์เองเพราะอาศัยผู้อื่นไม่ได้แล้ว จึง
ได้ทรงจับบำเพ็ญทุกกรกิริยา ก็ไม่ได้
ความรู้อะไรขึ้นมาจึงได้ทรงเลิก
แล้วก็ทรงจับปฏิบัติสมาธิ ด้วยทรงนึก
ถึงสมาธิอย่างแน่วแน่ที่ทรงได้เมื่อ
เป็นพระกุมารตามเสด็จพระราชบิดาไป
ในพระราชพิธีแรกนาขวัญ ทรงได้สมาธิ
ถึงขั้นปฐมฌาน โดยที่จิตของพระองค์ได้รวม
เข้ามากำหนดลมหายใจเข้าออกสงบจากนิวรณ์
ทั้งหลาย (ที่ท่านแสดงว่าถึงปฐมฌาน แต่หลังจาก
นั้นสมาธินี้ก็เสื่อมไป) เป็นสมาธิที่บริสุทธิ์ เมื่อทรง
ได้สมาธินี้ด้วยไม่มุ่งที่จะไปเกิดเป็นพรหมหรือ
เป็นอะไร หรือเพื่อชาติภพอะไร จิตรวม
เข้ามากำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออกก็สงบ
อยู่ภายใน สงบจากกาม สงบจากอกุศลธรรม สงบ
จากนิวรณ์ทั้งหลาย จึง
ได้จับปฏิบัติทางสมาธิอันบริสุทธิ์นี้ จนทรง
ได้อัปปนาสมาธิ สมาธิที่บริสุทธิ์ ก็เป็นสมาธินับเข้า
เป็นสมาบัติหรือในฌานที่ท่านดาบสทั้งสองท่านได้
และก็ได้สอนนั่นแหละ แต่ว่าความมุ่งหมายต่างกัน
และของท่านดาบสทั้งสองนั้น ท่านสิ้นสุดเพียงเท่านั้น
เพราะเพียงพอที่จะไปเกิดเป็นพรหมแล้ว
ก็สิ้นสุดเพียงเท่านั้น ก็กลายเป็นสมาธิที่
เป็นตัวทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ เพราะเป็นเหตุ
ให้เกิดชาติต่อไปอีก
ทรงปฏิบัติสัมมาสมาธิเพื่อทุกขนิโรธ
อันนี้เป็นเงื่อนสำคัญ คือสมาธิที่ปฏิบัติไม่ถูกทาง แม้จะ
ได้สมาธิจนถึงฌานถึงสมาบัติ ก็เป็นสมาธิที่
เป็นทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ไม่ใช่เป็นสมาธิที่
เป็นทุกขนิโรธความดับทุกข์ ไม่เป็นสมาธิที่นับเข้า
ในมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้าคือสัมมาสมาธิที่
เป็นข้อที่ ๘ ฉะนั้น สมาธิเมื่อสรุปเข้าแล้วจึงมี ๒ อย่าง
สมาธิที่เป็นทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ อย่างหนึ่ง
สมาธิที่เป็นทุกขนิโรธ คือเหตุให้ดับทุกข์เป็น
ความดับทุกข์ อีกอย่างหนึ่ง
ผู้ปฏิบัติสมาธิแม้
ในพุทธศาสนาเองตามวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
ไว้เอง บางทีก็ได้สมาธิดี อัปปนาสมาธิ แต่หากว่าถ้า
เป็นไปไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์เพื่อความสิ้นทุกข์
ก็กลายเป็นสมาธิที่เป็นทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ไป
ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อย ส่วนสมาธิที่เป็นไปเพื่อทุกขนิโรธ
ความดับทุกข์ พระโพธิสัตว์จับปฏิบัติสมาธิ
เป็นไปเพื่อทุกขนิโรธคือความดับทุกข์ คือไม่
ต้องการชาติภพอีกต่อไป ไม่ต้องการมนุษยสมบัติ ไม่
ต้องการสวรรค์สมบัติ หรือไม่ต้องการความ
เป็นเทพความเป็นพรหมอะไรทั้งสิ้น แต่ว่า
ต้องการนิพพานซึ่งยังเป็นความต้องการอยู่
เพราะฉะนั้น แม้จะยังมีตัณหาคือ
ความดิ้นรนทะยานอยากเพราะยังละตัณหาไม่ได้
ยังมีตัณหาอยู่แต่ก็ใช้ตัณหานั้นไปเพื่อนิพพาน คือ
ต้องการนิพพานเพียงอย่างเดียว ดังที่ได้มีแสดงว่า
อาศัยตัณหาละตัณหา ก็คืออาศัยตัณหาที่มีอยู่นี้
เป็นตัณหาเพื่อนิพพาน
ต้องการนิพพานก็เพื่อละตัณหานั่นเอง จึง
เป็นสมาธิวิธีปฏิบัติเพื่อทุกขนิโรธ คือความดับทุกข์
ละความยึดถือในอุปกิเลสของสมาธิและวิปัสสนา
เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติพุทธศาสนาที่พอใจกรรมฐาน ก็
ต้องรู้จักว่ามี ๒ อย่าง คือ
ปฏิบัติไป ๆ แล้วก็เป็นไปเพื่อ ทุกขสมุทัย เหตุ
ให้เกิดทุกข์
หรือว่าปฏิบัติไป ๆ ก็เป็นไปเพื่อ ทุกขนิโรธ
ความดับทุกข์
ฉะนั้น ต้องให้รู้จักดังนี้ และที่เป็นไปเพื่อทุกขสมุทัย
เหตุให้เกิดทุกขนั้นก็เพราะไปยึดถือ
ในอุปกิเลสของสมาธิในเมื่อปฏิบัติทางสมาธิ ไปยึดถือ
ในอุปกิเลสของปัญญาในเมื่อปฏิบัติวิปัสสนา
อันเรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส ไปติดเสีย
ในวิปัสสนูปกิเลสนั่น ก็เลยกลายเป็นทุกขสมุทัย เหตุ
ให้เกิดทุกข์ไป เพราะว่าผลของสมาธิของวิปัสสนา
นั้นที่ได้โดยลำดับเป็นผลที่ชวนให้ติด
เป็นอุปกิเลสขึ้นมาเป็นอันมาก เมื่อไปติดเข้าแล้ว
สมาธิปัญญาที่ปฏิบัติไปนั้น ก็กลายเป็นทุกขสมุทัยไป
ต่อเมื่อละผลของสมาธิของปัญญาที่น่าติดน่าชมน่าเสวย
นั้นได้ ก็เป็นอันว่า
ไม่สร้างอุปกิเลสของสมาธิของปัญญาขึ้นมา จึง
จะปฏิบัติสมาธิปัญญาของตนให้เป็นทุกขนิโรธคือ
ความดับทุกข์ขึ้นมาได้
ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔
เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์จึงได้จับปฏิบัติในศีล
ในสมาธิอันเป็นไปเพื่อทุกขนิโรธ ได้อัปปนาสมาธิ
สมาธิที่แน่วแน่ ก็ถึงขั้นฌานขั้นสมาบัติ นั่นแหละญาณ
คือความหยั่งรู้ คือผุดขึ้นแก่พระองค์ ดังที่ตรัสแสดง
ไว้ในปฐมเทศนาเมื่อทรงพบทางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา
ข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางกลาง มีสัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ เป็นต้น ก็คือมรรคมีองค์ ๘ นั่นแหละ
ทรงปฏิบัติไปในมรรคมีองค์ ๘ นี้ อัน
เป็นไปเพื่อดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นไปเพื่อญาณคือ
ความหยั่งรู้ จึงทรงได้ญาณ คือความหยั่งรู้ขึ้น
ก็คือว่าญาณคือความหยั่งรู้ที่แสดงไว้ว่า
จักขุ คือดวงตาผุดขึ้น ญาณ คือความหยั่งรู้ผุดขึ้น
ปัญญา คือความรู้ทั่วถึงผุดขึ้น วิชชา คือความรู้ผุดขึ้น
อาโลก คือความสว่างผุดขึ้น ในธรรมะที่พระองค์มิ
ได้เคยทรงสดับมาก่อนว่า นี้ทุกข์ ทุกข์ควรกำหนดรู้
ทุกข์พระองค์ทรงกำหนดรู้ได้แล้ว นี้สมุทัยเหตุ
ให้เกิดทุกข์ สมุทัยนี้ควรละ สมุทัยนี้ทรงละได้
แล้ว นี้นิโรธ คือความดับทุกข์
ความดับทุกข์ควรกระทำให้แจ้ง
ความดับทุกข์นี้พระองค์กระทำให้แจ้งได้แล้ว
นี้มรรค คือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทางปฏิบัติ
ให้ถึงความดับทุกข์นี้ ควรอบรมให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น
ทางดับทุกข์นี้พระองค์ได้ทรงอบรมให้มีขึ้นให้
เป็นขึ้นสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ดังนี้
ญาณคือความหยั่งรู้ผุดขึ้นแก่พระองค์ดั่งนี้
ในธรรมะที่มิได้ทรงสดับแล้วมาก่อน จึง
ได้ทรงพอพระทัยว่ารู้ละรู้แล้ว ได้ตรัสรู้
อภิสัมโพธิ คือความตรัสรู้ยิ่งแล้ว ทรงเป็น
ผู้ที่ตรัสรู้ยิ่งที่เรียกว่าตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
แล้ว อวิชชาคือความไม่รู้จึงดับไป วิชชา
ความรู้ผุดขึ้น หรือจะเรียกว่าวิชชาคือ
ความรู้ผุดขึ้นอวิชชาดับไป เหมือนแสงสว่างบังเกิดขึ้น
ความมืดก็หายไป เพราะฉะนั้นจึงทรงเป็น พุทฺโธ คือ
เป็นผู้รู้แล้ว เป็น วิมุตฺโต คือเป็นผู้พ้นแล้ว
พระพุทธเจ้าเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ก็ทรงอยู่
ด้วยวิชชาคือความรู้ และวิมุตติคือความหลุดพ้น
แต่ว่าผู้ที่ยังมิได้ตรัสรู้เหมือนอย่างพระพุทธเจ้า
หรือแม้พระองค์เองเมื่อยังไม่ได้ตรัสรู้ ก็
ยังมีอวิชชา คือมีความรู้ที่เป็นอวิชชา ไม่รู้จริงในสัจ
จะทั้ง ๔
เพราะฉะนั้น อวิชชาจึงได้แก่ความไม่หยั่งรู้ในทุกข์
ในเหตุเกิดทุกข์ ในความดับทุกข์ ในทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 11:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๔ อวิชชา ๘
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๒๔ อวิชชา ๘
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ทบทวนอริยสัจจะ
ได้แสดงเถราธิบาย
ในข้อสัมมาทิฏฐิที่ท่านพระสารีบุตรได้แสดงแก่ภิกษุ
ทั้งหลายมาถึงอวิชชาซึ่งได้แสดงอธิบายมา
แล้วตามเถราธิบายว่า อวิชชาคือความไม่รู้ก็ได้แก่
ไม่หยั่งรู้ในทุกข์ ไม่หยั่งรู้ในเหตุเกิดทุกข์ ไม่หยั่งรู้
ในความดับทุกข์ ไม่หยั่งรู้ในทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์ ได้แสดงอธิบายคำว่าอวิชชา และเล่า
ถึงปฏิปทาปฏิบัติของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ก่อนตรัสรู้
ได้ทรงแสวงหาโมกขธรรม ธรรมะ
เป็นเครื่องหลุดพ้นจนได้ตรัสรู้อริยสัจทั้ง ๔
อวิชชาดับ วิชชาเกิด หรือวิชชาเกิด อวิชชาดับ
จึงทรงเป็นพุทโธคือเป็นผู้ตรัสรู้แล้วและก็
ได้ตรัสแสดงอธิบายอริยสัจ ๔ ทุกข้อ ว่า
ทุกขสัจจะ สภาพที่จริงคือทุกข์
ทรงชี้ สภาวทุกข์ ตั้งต้นแต่ชาติ ความเกิด ชรา
ความแก่ มรณะ ความตาย ว่าเป็นทุกข์
ทรงชี้ ปกิณณกทุกข์ ทุกข์เบ็ดเตล็ดทางจิตใจ
ทั้งหลายว่า โสกะ ความโศก ความแห้งใจ ปริเทวะ
ความรัญจวนคร่ำครวญใจ ทุกขะ ความไม่สบายกาย
โทมนัสสะ ความไม่สบายใจ อุปายาสะ ความคับแค้นใจ
เป็นทุกข์
ทรงชี้ สรุปเข้ามาเป็น ๒ คือความประจวบกับสิ่ง
หรือสัตว์สังขารทั้งหลายที่ไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งหรือสัตว์สังขาร
ทั้งหลายที่เป็นที่รักเป็นทุกข์
ทรงชี้ สรุปเข้ามาเป็นหนึ่ง คือปรารถนาไม่
ได้สมหวังเป็นทุกข์
และทรงชี้ สรุปเข้ามาโดยสังเขป ว่า ขันธ์
เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ เป็นทุกข์ ก็ได้แก่กองรูป
กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ อัน
เป็นที่ยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเราเป็นทุกข์
อริยสัจจะข้อสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ทรงชี้เอา
ตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากมีอาการ
เป็นกามตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากไปในกาม คือ
กามคุณ
รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ
ทั้งหลาย หรือความดิ้นรนไปด้วยอำนาจของกาม
ความใคร่ทั้งหลาย
ภวตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากไปในภพคือความ
เป็นนั่นเป็นนี่
วิภวตัณหา คือความดิ้นรนทะยานอยากไปในวิภพคือ
ความไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่เป็นสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
อริยสัจจะข้อนิโรธ ความดับทุกข์ ทรงชี้เอา
ความดับตัณหาซึ่งเป็นตัวเหตุ ทุกข์ดับไปหมดก็เป็น
ความดับทุกข์
อริยสัจจะข้อมรรค คือทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์ ทรงชี้เอามรรคคือทางมีองค์ ๘ อัน
ได้แก่
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ
ความดำริชอบ ๒ ข้อนี้รวมเข้าเป็น ปัญญาสิกขา
สัมมาวาจา เจรจาชอบ สัมมากัมมันตะ การงานชอบ
สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ ๓ ข้อนี้รวมเข้าเป็น
สีลสิกขา
สัมมาวายามะ เพียรชอบ สัมมาสติ สติคือระลึกชอบ
สัมมาสมาธิ สมาธิคือตั้งใจไว้ชอบ ๓ ข้อนี้รวมเข้าเป็น
จิตตสิกขา หรือ สมาธิ
เป็นมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
พระพุทธาธิบายอวิชชาเพิ่มเติม
อนึ่ง ในที่อื่นได้มีพระพุทธาธิบายในข้อ อวิชชา
เพิ่มขึ้นอีก ๔ ข้อ คือ
ไม่หยั่งรู้ในอดีต
ไม่หยั่งรู้ในอนาคต
ไม่หยั่งรู้ในทั้งอดีตทั้งอนาคต
ไม่หยั่งรู้ในธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
สำหรับใน ๔ ข้อหลังนี้ คำว่า อดีต ก็คือสิ่ง
หรือกาลเวลาที่ล่วงมาแล้ว อนาคต ก็คือสิ่ง
หรือกาลเวลาที่ยังไม่มาถึง ไม่หยั่งรู้ในอดีต
ไม่หยั่งรู้ในอนาคต ย่อมมีความหมายหลายอย่าง
อย่างที่เข้าใจกันทั่วไปก็มักจะเข้าใจว่า หมาย
ถึงเรื่องอดีต หรือหมายถึงเรื่องอนาคตของชีวิต
หรือของตน เช่นว่าในอดีตคือในกาลเวลาที่ล่วงมา
แล้วตนเป็นอย่างไร แม้ในชาติที่ล่วงมาแล้วคือ
ในชาติอดีตตนเป็นอะไรอย่างไร ในอนาคตคือ
ในกาลข้างหน้าตนจะเป็นอะไรจะเป็นอย่างไรต่อไป
ตลอดจนถึงในชาติหน้าตนจะเป็นอะไรจะ
เป็นอย่างไรต่อไป ไม่หยั่งรู้ก็คือไม่รู้ในเรื่องของตน
ในอดีตคือในกาลเวลาที่ล่วงมาแล้ว ในอนาคตคือ
ในกาลเวลาข้างหน้าที่ยังไม่มาถึงดังกล่าว มักจะ
เข้าใจกันดังนี้ แต่ว่าคำว่าไม่รู้จักอดีตไม่รู้จักอนาคต
ในที่นี้มิได้มีความหมายดังนั้น
ทรงได้พระญาณ ๓
ดังจะพึงเห็นได้ว่า ท่านแสดงถึงญาณคือ
ความหยั่งรู้ของพระพุทธเจ้า
ในราตรีที่ตรัสรู้คือตั้งแต่ก่อนตรัสรู้ ทรงได้
พระญาณ ๓ โดยลำดับ
ในปฐมยามทรงได้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ความรู้ระลึกขันธ์เป็นที่อาศัยอยู่ในปางก่อนได้
คือระลึกชาติหนหลังได้ ทรงระลึกชาติหนหลัง
ได้ไปมากมายพร้อมทั้งความเป็นไปในชาตินั้น ๆ
ตลอดจนถึงชื่อโคตร สุขทุกข์ทั้งหลายเป็นต้น
ในชาตินั้น ๆ ทรงระลึกได้สืบต่อกันมาโดยลำดับ
จากชาตินั้นก็มาสู่ชาตินั้นมาสู่ชาตินั้น เรื่อยมาจน
ถึงสู่ชาติปัจจุบัน และก็ย้อนหลังไปได้มากมาย
ในมัชฌิมยามทรงได้ จุตูปปาตญาณ คือความรู้ในจุติ
ความเคลื่อนอุปบัติเข้าถึงชาตินั้น ๆ ของสัตว์
ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรม ทำกรรมชั่ว
ไว้ก็ไปสู่ชาติที่ชั่วมีทุกข์ ทำกรรมดี
ไว้ก็ไปสู่ชาติที่ดีมีสุข
ในปัจฉิมยามทรงได้ อาสวักขยญาณ ความรู้
เป็นเหตุสิ้นอาสวะคือกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลาย
ก็คือทรงหยั่งรู้ในอริยสัจทั้ง ๔ อวิชชาดับไปหมด
วิชชาบังเกิดขึ้น หรือวิชชาบังเกิดขึ้น อวิชชาดับไปหมด
เหมือนอย่างความสว่างบังเกิดขึ้นความมืดก็หายไป
ตามพระญาณทั้ง ๓ ที่ท่านแสดงไว้นี้ ก็เป็นเครื่องชี้
ให้เห็นว่า เมื่อทรงได้พระญาณที่ ๑ ที่ ๒ ก็ยังมิ
ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยังมีอวิชชาอยู่ คือแม้ว่า
จะทรงระลึกชาติหนหลังได้เป็นอันมาก
เรียกว่ารู้อดีตชาติ และทรงรู้ความเคลื่อนและ
ความเข้าถึงชาตินั้น ๆ ของสัตว์ทั้งหลายว่า
เป็นไปตามกรรม ด้วยพระญาณที่ ๒ ก็ยังมีอวิชชา
อยู่ จนถึงทรงได้ญาณที่ ๓ คือตรัสรู้ในอริยสัจทั้ง
๔ อาสวกิเลสที่ดองจิตสันดานสิ้นไป อวิชชาดับ
วิชชาเกิดขึ้น จึงทรงดับอวิชชาได้ด้วยพระญาณที่ ๓ นี้
เพราะฉะนั้น ข้อว่าไม่รู้จักคือไม่หยั่งรู้ในอดีต
ไม่หยั่งรู้ในอนาคตอันเป็นตัวอวิชชา จึงมิได้มี
ความหมายถึงไม่รู้ระลึกอดีตชาติได้ ตลอดถึง
ไม่รู้ระลึกถึงอนาคตชาติได้ แต่ว่ามี
ความหมายอีกอย่างหนึ่ง
ความหมายของการที่ไม่รู้จักอดีตไม่รู้จักอนาคตอัน
เป็นตัวอวิชชานี้ พิจารณาดูเทียบเคียงกับข้อที่ตรัสไว้
ในเทศนาครั้งที่ ๒ ที่ได้ตรัสแสดงขันธ์ ๕ ว่า
เป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน บังคับให้
เป็นไปตามปรารถนามิได้ และสิ่งใดที่เป็นอนัตตาดั่ง
นั้นสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่
ไม่พึงเห็นยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา
ก็คือตรัสแสดงไตรลักษณ์นั่นเอง แต่ยกอนัตตาขึ้น
เป็นที่ตั้งทีแรก แต่ภายในเนื้อหาของพระสูตรก็
เป็นอันว่าได้แสดงไตรลักษณ์ไว้ครบทุกข้อในทางที่
เข้าใจได้ง่าย และก็ได้ตรัสสรุปไว้ในตอนท้ายว่า
ขันธ์ ๕ ทั้งที่เป็นอดีตทั้งที่เป็นอนาคตทั้งที่เป็นปัจจุบัน
ทั้งที่เป็นภายในทั้งที่เป็นภายนอก ทั้งที่หยาบ
ทั้งที่ละเอียด ทั้งที่ดีทั้งที่เลว ทั้งที่อยู่ไกลทั้งที่อยู่
ใกล้ ก็ล้วนไม่พึงเห็นยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา
ทั้งหมด
ตามที่ตรัสแสดงไว้นี้ จึงเป็นอันว่าทรงสอน
ให้รู้จักขันธ์ ๕ ในอดีตก็ตาม ในอนาคตก็ตาม
ในปัจจุบันก็ตาม ก็เป็นอนิจจะทุกขะอนัตตาอย่างเดียว
กันหมดไม่แตกต่างกัน
ความไม่รู้ในอริยสัจสายทุกข์และสายความดับทุกข์
เพราะฉะนั้น ข้อว่าไม่หยั่งรู้จักอดีต อนาคต
ไม่หยั่งรู้จักทั้งอดีตทั้งอนาคตในข้อที่แสดงอวิชชานี้ก็
จึงมีความหมายว่า อริยสัจทั้ง ๔ ที่เป็นไปอยู่
ในสายทุกข์กับในสายนิโรธความดับทุกข์
ในสายทุกข์ ก็คือทุกข์กับสมุทัย
ในสายนิโรธ ก็คือนิโรธความดับทุกข์ และทางปฏิบัติ
ให้ถึงความดับทุกข์
อริยสัจทั้ง ๔ นี้ในอดีตก็คงเป็นอริยสัจทั้ง ๔ นี้
ในอนาคตก็คงเป็นอริยสัจทั้ง ๔ นี้ คือว่าในอดีตนั้นจะ
เป็นอดีตในชาตินี้หรืออดีตในอดีตชาติ ชาติไหน ๆ
ก็ตาม กี่สิบกี่ร้อยกี่พันชาติในอดีตก็ตามมากกว่า
นั้นก็ตาม อริยสัจทั้ง ๔ ที่เป็นสายทุกข์ก็คงเป็นสายทุกข์
อยู่นั่นแหละ สายนิโรธความดับทุกข์ก็คง
เป็นสายนิโรธความดับทุกข์อยู่นั่นแหละ
เป็นอย่างเดียวกัน ในอนาคตคือข้างหน้าก็เหมือนกัน
เมื่อมีสมุทัยก็ต้องมีทุกข์ เมื่อดำเนินในมรรคก็ย่อมพบ
ความดับทุกข์ คงเป็นสายทุกข์สายนิโรธความดับทุกข์
อยู่เช่นเดียวกันไม่ต้องสงสัย และก็ไม่จำเป็นที่จะ
ต้องไปสงสัยหรือไปคิดว่าในอดีตชาตินั้นเกิด
เป็นอะไรมาบ้างที่ไหนบ้างเป็นอย่างไรบ้าง ในอนาคต
จะไปเกิดที่ไหนบ้างเป็นอะไรบ้าง ไม่จำเป็นเพราะว่า
จะเกิดเป็นอะไรก็คงอยู่ในสายทุกข์
กับสายดับทุกข์นี่แหละมาแล้ว หรือจะไปเกิด
เป็นอะไรข้างหน้าก็คงอยู่
ในสายทุกข์สายดับทุกข์นี่แหละ
อริยสัจทั้ง ๔ นี้ จึงเป็นกฎธรรมดา เป็นธรรมะที่
เป็นกฎธรรมดาอยู่ตลอดกาลเวลา เป็นอกาลิโก
ไม่มีกาลไม่เวลา เหมือนอย่างว่าโลกธาตุที่ทุก ๆ
คนอาศัยอยู่นี้ บางคราวก็มีฝนตก
บางคราวก็มีฝนแล้ง ปีหนึ่ง ๆ ฝนก็ย่อมตกลงมา
ในฤดูฝนหรือในฤดูอื่นไม่รู้ว่ากี่ครั้ง หากว่า
จะไปมัวนับว่าปีนี้ฝนตกกี่ครั้ง ปีที่แล้วมาฝนตกกี่ครั้ง
ย้อนไป ๆ ก็คงจะเป็นการรวมครั้งได้มากมาย
แล้วก็ตกที่ไหนบ้าง ตกมากหรือตกน้อยอย่างไร
ก็เช่นเดียวกับสัตวโลกที่เวียนว่ายตายเกิดมาในอดีต
เกิดมาครั้งหนึ่งก็ครั้งหนึ่ง
ก็เหมือนอย่างว่าฝนตกลงมาครั้งหนึ่ง ๆ ในปีหนึ่ง ๆ
หากว่าจะนับครั้งดูย้อนขึ้นไปมาก ๆ ปี
ก็ยิ่งมากครั้งขึ้นนับไม่ถ้วน และหากว่าจะไปคิดถึง
ในอนาคตว่าในปีหน้าในปีโน้นฝนจะตกปีละกี่ครั้ง
คอยนับครั้งว่าครั้งหนึ่งนั้นตกมากตกน้อยอย่างไร
ตกที่ไหน ก็คล้าย ๆ กับว่าไปคิดว่าในอนาคตนั้น
จะไปเกิดที่ไหน เกิดเป็นอะไรเป็นอย่างไร ก็นับ
ไม่ถ้วนอีกเหมือนกัน และก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ดับอวิชชาได้นั้น ก็
เพราะได้ตรัสรู้ใน กฎธรรมดา อันเป็นกฎเกณฑ์ที่
เป็น
ธรรมฐิติ ความตั้งอยู่แห่งธรรม
ธรรมนิยาม ความกำหนดแห่งธรรม
เป็นตัวกฎธรรมดาที่ดำรงอยู่ คือรวมเข้า
ในสายทุกข์กับในสายดับทุกข์ เมื่อยังมีสมุทัยคือตัณหา
อยู่ก็ต้องเกิดก็ต้องมีทุกข์ เป็นสายทุกข์ ดับสมุทัยได้จึง
จะดับทุกข์ได้ ก็เป็นสายดับทุกข์ ทรงได้พบกฎที่
เป็นธรรมชาติธรรมดาอันนี้คืออริยสัจทั้ง ๔
ก็เหมือนอย่างว่าความรู้ของคนในปัจจุบันนี้รู้เหตุที่ทำ
ให้ฝนตก เมื่อรู้เหตุที่ทำให้ฝนตกได้ก็เป็นอันว่ารู้จักฝน
ในอดีตรู้จักฝนในอนาคตทั้งหมด ว่าฝน
ในอดีตที่ตกมาทุก ๆ ครั้ง นั่นก็เพราะมีเหตุอย่างนี้
ฝนที่จะตกต่อไปในอนาคตกี่ครั้ง ๆ ก็
เพราะมีเหตุอย่างนี้ ซึ่งเป็นเหตุอันเดียวกัน
เป็นอันว่ารู้จักเหตุผลอันเดียวกันนี้เท่านั้นครอบไปได้
ทั้งหมด รู้จักฝนในปัจจุบันว่าฝนในปัจจุบันนี้ตกลงมาก็
เพราะเหตุนี้ ฝนที่ตกมาในอดีตกี่ร้อยกี่พันปีกี่หมื่นปี
ในอดีตก็เพราะเหตุอย่างนี้ ที่ตก
ในอนาคตกี่ร้อยกี่หมื่นกี่พันปีก็เพราะเหตุอย่างนี้
เพราะฉะนั้นความตรัสรู้ของพระองค์นั้นจึงครอบ
เป็น สัพพัญญู รู้ทั้งหมด
เมื่อยังมีสมุทัยคือตัณหาอยู่ก็ต้องมีทุกข์
ตั้งต้นแต่ชาติทุกข์ คือความเกิด เหมือนอย่างเมื่อมีเหตุ
ให้ฝนตกอยู่ ฝนก็จะต้องตก ตกมาแล้วในอดีต ตก
ในบัดนี้ และต่อไปก็จะต้องตกต่อไปอีก
เหมือนอย่าง เมื่อมีตัณหาอยู่เป็นตัวสมุทัย ก็จะ
ต้องมีชาติคือความเกิด เกิดมาแล้วในอดีต เกิดอยู่
ในปัจจุบัน และก็จะต้องเกิดต่อไปในอนาคต ตราบ
เท่าที่ยังมีเหตุ
เมื่อดับเหตุคือตัณหาได้ ก็ดับชาติคือความเกิดได้ ก็
เป็นอันว่าหยุดตกกันที เป็นอันว่าในอดีตนั้นตกกันมา
แล้ว แต่ปัจจุบันนี้ดับเหตุเสียได้แล้ว เหมือนอย่างว่า
เป็นอันว่าดับเหตุฝนตกได้ ฝนก็เป็นอันว่าไม่ต้องตก
กันต่อไปในอนาคตอีก หยุดกันเสียทีหนึ่ง
ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจึง
เป็นพระญาณที่ครอบโลกครอบจักรวาล
ครอบกาลเวลาทั้งหมด ทั้งอดีตทั้งอนาคตทั้งปัจจุบัน
หัวใจของอริยสัจ
เพราะฉะนั้น เมื่อยังเป็นอวิชชาอยู่ก็คือ
ไม่รู้จักอริยสัจทั้ง ๔ เมื่อไม่รู้จักอริยสัจทั้ง ๔ ก็
เป็นอันว่าไม่รู้จักอดีต ไม่รู้จักอนาคต ไม่รู้จักทั้งอดีต
ทั้งอนาคต และไม่รู้จักธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้นอันเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ก็ย่อลงว่า
ทุกข์นั้นก็อาศัยสมุทัย นิโรธนั้นก็ต้องอาศัยมรรค
เพราะมีสมุทัย ก็ต้องมีทุกข์ และ
เพราะมีมรรคก็ดับทุกข์ได้
นี้ย่อลงมาซึ่งเป็นธรรมะซึ่งอาศัยซึ่งกันและกัน
เป็นไป และปฏิจจสมุปบาทนี้ ท่านพระสารีบุตรก็
ได้แสดงเป็นเถราธิบาย จับแต่ชรา มรณะ โสกะ
เป็นต้น และจับเหตุแห่งชรามรณะโสกะเป็นต้น
ว่าคือชาติความเกิด อาศัยชาติคือความเกิด
จึงเกิดชรามรณะโสกะ เป็นต้น
แล้วก็จับเหตุย้อมขึ้นมาโดยลำดับจน
ถึงอวิชชาที่กำลังจะแสดงอธิบายอยู่นี้ นี่
เป็นธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น ซึ่งก็ล้วน
เป็นอริยสัจ ๔ ที่จำแนกออกไปเป็นตอน ๆ แต่เมื่อสรุป
เข้าแล้วก็สรุปเข้าในอริยสัจทั้ง ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย
นิโรธ มรรค นี้แหละ และก็สรุปเข้า
ในคาถาของท่านพระอัสสชิเถระที่
ได้แสดงแก่ท่านพระสารีบุตรเมื่อเป็นปริพาชกอยู่
ซึ่งท่านพระสารีบุตรก็ขอให้ท่านแสดง
ท่านบอกว่าท่านยังรู้น้อย แสดงได้แต่โดยย่อ
ท่านพระสารีบุตรก็ตอบก็เรียนท่านว่า
ท่านพระสารีบุตรเองก็ต้องการย่อ ๆ
ประโยชน์อะไรด้วยข้อที่จะต้องแสดงยาว ๆ
ท่านพระอัสสชิจึงได้แสดงแก่ท่านว่า
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา ธรรมทั้งหลายมีเหตุ
เป็นแดนเกิดหรือว่าเกิดแต่เหตุ
เตสํ เหตุ ตถาคโต
พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ และความดับแห่งธรรมเหล่า
นั้น
เอวํวาที มหาสมโณ พระมหาสมณะมีวาทะอย่างนี้ดังนี้
ซึ่งเป็นที่นับถือว่าคาถาของพระอัสสชินี้
เป็นคาถาที่แสดงหัวใจของอริยสัจอันพระเจ้าอโศกมหาราช
ได้โปรดให้จารึกคาถานี้ไว้ในหลักศิลาของท่าน
ทั่วอินเดียในครั้งนั้น
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 12:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๕ อวิชชา ๘ (๒)
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๒๕ อวิชชา ๘ (ต่อ)
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
อวิชชา ๘ อีกปริยายหนึ่ง
ได้แสดงพระเถราธิบายแห่งท่านพระสารีบุตร
ในข้อสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบมาโดยลำดับ จน
ถึงหมวดอวิชชา ซึ่งท่านพระเถระได้อธิบายอวิชชาว่า
ได้แก่
ความไม่หยั่งรู้ในทุกข์
ไม่หยั่งรู้ในเหตุเกิดทุกข์
ไม่หยั่งรู้ในความดับทุกข์
ไม่หยั่งรู้ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ คือไม่หยั่งรู้
ในอริยสัจทั้ง ๔
ท่านได้แสดงอธิบายอวิชชาเพียงเท่านี้ แต่ในที่นี้
ได้แสดงอธิบายยกเอาพระพุทธาธิบายที่ตรัสเอา
ไว้มาเพิ่มเติม โดยที่ได้มีพระพุทธาธิบาย อวิชชา ก็คือ
ไม่หยั่งรู้ในอริยสัจทั้ง ๔ ดั่งนั้นนั่นแหละ แต่
ในที่บางแห่งได้มีเพิ่มอีก ๔ ข้อ คือ
ไม่หยั่งรู้ในอดีต
ไม่หยั่งรู้ในอนาคต
ไม่หยั่งรู้ทั้งในอดีตทั้งในอนาคต
ไม่หยั่งรู้ในธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
ซึ่งใน ๔ ข้อหลังนี้ก็ได้แสดงอธิบายในที่นี้แล้ว
แต่มีอีกปริยายหนึ่งที่ตรัสแสดงเอาไว้ คือ
ไม่ยกเอากาลเวลาเป็นที่ตั้ง แต่ตรัสแสดงไว้ซึ่งแปล
กันว่า
ไม่หยั่งรู้ในเงื่อนต้น
ไม่หยั่งรู้ในเงื่อนปลาย
ไม่หยั่งรู้ทั้งในเงื่อนต้นทั้งในเงื่อนปลาย และ
ไม่หยั่งรู้ในธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
ซึ่งข้อที่ ๔ นี้ก็ตรงกัน แต่ว่า ๓ ข้อข้างต้นต่าง
กันดังกล่าว
ความหมายของเงื่อนต้นเงื่อนปลาย
คำว่า เงื่อนต้นเงื่อนปลาย นี้ ท่านใช้ศัพท์ว่า ปุพพันตะ
เงื่อนต้น อัปรันตะ เงื่อนปลาย ถ้าตามศัพท์คำว่า อันตะ
นั้นแปลว่า ที่สุด อย่างในธรรมจักรที่ตรัสแสดงถึง
ทางที่สุดโต่ง ๒ ทาง คือ กามสุขัลลิกานุโยค
ความประกอบพัวพันอยู่ด้วยความสุขสดชื่นในกาม
และ อัตตกิลมถานุโยค ความประกอบทรมานตน
ให้ลำบากก็ใช้คำว่า อันตะ ซึ่งในที่นั้นแปล
กันว่าสุดโต่ง ซึ่งทางที่สุดทั้ง ๒ ทางนี้อันบรรพชิต
ผู้มุ่งที่จะตรัสรู้ไม่ควรส้องเสพปฏิบัติ
ส่วนในที่นี้ ปุพพันตะ ก็อาจแปลได้ว่า ที่สุดเบื้องต้น
อัปรันตะ ที่สุดเบื้องปลาย และที่สุดทั้งเบื้องต้น
ทั้งที่สุดเบื้องปลาย แต่ที่แปลกันว่า เงื่อนต้น
เงื่อนปลาย ทั้งเงื่อนต้น ทั้งเงื่อนปลาย ก็เพื่อให้
เข้าใจง่าย และโดยที่คำว่าเงื่อนนี้มาใช้
ในภาษาไทยหลายคำ เช่น เค้าเงื่อน เงื่อนงำ เงื่อนไข
ซึ่งคำว่าเงื่อนนี้ก็หมายถึงอย่างเช่นทำเงื่อนที่เชือก
หรือที่ด้าย ก็ทำให้เป็นปุ่มเป็นปมเป็นจุด เพราะฉะนั้น
จึงเป็นที่น่าสังเกตเห็นได้ เช่นว่าเส้นด้ายที่
เป็นสายยาวเส้นยาว ถ้าไม่ผูกให้มีเงื่อนก็จะเห็น
เป็นเส้นยาว ๆ ไปเหมือนกันหมด แต่เมื่อผูกตรง
ใดตรงหนึ่งให้เป็นเงื่อนขึ้น ก็จะเป็นปมเป็นจุด
ให้สังเกตเห็นได้ เพราะฉะนั้น จึงใช้คำว่าเงื่อนนี้
ในคำต่าง ๆ ดังกล่าว เช่น เค้าเงื่อน .
เมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นยังคลุมเครืออยู่ ก็ยัง
ไม่รู้ว่าอะไรจึงต้องค้นหา
ในเมื่อพอเห็นเค้าเงื่อนของเรื่องนั้นก็พอที่จะบอกได้
ว่าเรื่องนั้นเป็นอย่างไรตามที่ต้องการทราบ
เพราะฉะนั้น
จะแปลว่าที่สุดเบื้องต้นที่สุดเบื้องปลายเหมือนอย่างไม้ท่อนหนึ่งก็
ต้องมีต้นมีปลาย คือมีที่สุดข้างต้นที่สุดข้างปลาย สิ่ง
ทั้งหลายอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน จะ
ต้องมีที่สุดด้านต้นด้านปลาย เบื้องต้นเบื้องปลาย
และเมื่อที่สุดนั้นมีเค้าเงื่อนที่จะเห็นได้ เช่นไม้ที่วางไว้
เป็นท่อน ๆ มีเค้าเงื่อนที่จะเห็นได้ ไม้ที่ต่อ
กันหลายท่อนต่อกันยาว ๆ
ก็อาจสังเกตเห็นรอยต่อของไม้เหล่านั้น ทำ
ให้รู้ว่าท่อนใดต่ออยู่ที่ตรงไหน
มองเห็นเบื้องต้นเบื้องปลายของไม้ท่อนนั้น ที่รอยต่อ
เป็นเค้าเงื่อนให้บอกได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงแปลที่สุด
ในคำว่า ที่สุดเบื้องต้นที่สุดเบื้องปลาย
ว่าเงื่อนต้นเงื่อนปลาย อันทำให้เข้าใจว่ามีเค้าเงื่อนที่จะ
ให้พิจารณาเห็นได้ แต่โดย
ความหมายก็คือว่าที่สุดเบื้องต้นที่สุดเบื้องปลายนั่นแหละก็
เป็นความหมายอันเดียวกัน
จับเงื่อนไขในอริยสัจให้ถูกต้อง
เพราะฉะนั้น ไม่รู้ที่สุดเบื้องต้นหรือเงื่อนต้น
ไม่รู้ที่สุดเบื้องปลายหรือเงื่อนปลายจึงมี
ความหมายถึงในสัจจะคือความจริงทุก ๆ อย่าง คือสัจ
จะเมื่อรวมเข้าก็ในอริยสัจทั้ง ๔ นั่นแหละ อันได้แก่
ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ นี้เป็น ฝ่ายทุกข์
ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ นี้เป็น
ฝ่ายดับทุกข์
ฉะนั้น ในการที่จะรู้จักในอริยสัจดังกล่าวนี้ จึงจะ
ต้องรู้จักเค้าเงื่อนจึงจะจับได้ถูก จับทุกข์ได้ถูกต้อง
จับสมุทัยเหตุที่เกิดทุกข์ได้ถูกต้อง จับความดับทุกข์
ได้ถูกต้อง จับทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ได้ถูกต้อง
อันจะพึงกล่าวได้ว่าสมุทัยคือเหตุนั้นย่อมเป็นเงื่อนต้น
หรือที่สุดข้างต้น ส่วนทุกข์นั้นย่อมเป็นเงื่อนปลาย
หรือที่สุดข้างปลาย นี้ในฝ่ายทุกข์ ในความทุกข์ที่ทุก
ๆ คนได้รับอยู่ซึ่งเป็นสภาวทุกข์ ได้แก่ เกิด แก่ ตาย
หรือเป็นปกิณณกทุกข์
ทุกข์ทางจิตใจที่บังเกิดขึ้นมีโสกะปริเทวะ ความโศก
ความรัญจวนคร่ำครวญใจเป็นต้น ซึ่งเป็น
ความทุกข์เดือดร้อนทางใจทั้งหลาย
เหล่านี้เมื่อบังเกิดขึ้น ก็จะ
ต้องมีเงื่อนต้นเงื่อนปลายของทุกข์
มีที่สุดเบื้องต้นที่สุดเบื้องปลายของทุกข์
ยกตัวอย่างดังเช่น เมื่อเป็นทุกข์เพราะ
ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก เช่นบุคคลที่
เป็นที่รัก ต้องพรากกันจากกัน หรือว่าทรัพย์ซึ่ง
เป็นที่รักต้องหายไป
หรือถูกลักขโมยไปถูกอันตรายต่าง ๆ ไป ก็เกิด
ความทุกข์ เช่น เกิดความโศกความแห้งใจ ปริเทวะ
ความรัญจวนคร่ำครวญใจ เป็นความทุกข์ที่ทุก ๆ คน
ต้องได้เคยประสบ
ตัณหาอุปาทานเป็นเงื่อนต้นของทุกข์
คราวนี้เมื่อความทุกข์ดังนี้บังเกิดขึ้น ก็จับความทุกข์
ได้ว่านี่คือทุกข์ซึ่งเป็นเบื้องปลายคือเป็นตัวผล จึง
ต้องจับว่าอะไรเป็นเหตุ ในการจับว่าอะไรเป็นเหตุนั้น
โดยมากก็มักจะไปจับเอาว่าเพราะบุคคลซึ่งเป็นที่รัก
ต้องจากไปต้องพรากไป หรือว่าทรัพย์สินซึ่ง
เป็นที่รักนั้น ๆ ต้องพรากไปหรือจากไป หรือว่า
ได้มีคนนั้น ๆ ซึ่งเป็นศัตรูมาทำลายมาพราก เหล่านี้
เป็นต้น โดยมากก็จับตัวเหตุกันดั่งนี้ แต่เมื่อ
จะพิจารณาตามทางอริยสัจของพระพุทธเจ้า
ซึ่งทรงแสดงว่าสมุทัยเหตุเกิดทุกข์ก็คือตัณหา
ตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากซึ่งเป็นเหตุ
ให้ยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา ตัณหาคือ
ความดิ้นรนทะยานอยาก และความยึดถือว่า
เป็นตัวเราของเราอันเรียกว่าอุปาทานนี้เอง
เป็นสมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์ มีโสกะปริเทวะ
เป็นต้นดังที่กล่าวนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อจะจับเงื่อนต้น
หรือที่สุดเบื้องต้นให้ถูกต้อง ก็
ต้องพิจารณาจับตามหลักอริยสัจของพระพุทธเจ้าว่าตัวเหตุ
นั้นก็คือตัณหาอุปาทานในจิตใจนี่เอง ไม่ใช่บุคคล
หรือวัตถุภายนอก บุคคลซึ่งเป็นที่รักวิ่งพรากไป
จากไป ทรัพย์สินซึ่งเป็นที่รักซึ่งพลัดพรากไป
จากไปเป็นอันตรายไป นี้เป็นภายนอก ถ้าหากว่าจิตใจนี้
ไม่มีความอยากความยึดอยู่ในบุคคลในทรัพย์สินนั้น
ทุกข์ก็ย่อมจะไม่เกิด แต่เพราะจิตใจนี้มี
ความอยากคือตัวตัณหา มีความยึดคือตัวอุปาทานอยู่จึง
ได้บังเกิดความทุกข์
เพราะฉะนั้น ก็ต้องหัดจับเงื่อนต้น
หรือเบื้องต้นที่สุดเบื้องต้นว่า คือตัณหาอุปาทาน
ในจิตใจตนเองนี้เองเป็นเงื่อนต้นหรือ
เป็นที่สุดเบื้องต้นของทุกข์ที่กำลังได้รับอยู่ เพราะฉะ
นั้น การหัดที่จะจับสัจจะคือความจริงตามหลักสัจ
จะของพระพุทธเจ้าก็ต้องหัดที่
จะพิจารณาจับเงื่อนต้นเงื่อนปลาย
หรือว่าที่สุดเบื้องต้นที่สุดเบื้องปลายของเรื่อง
คือเมื่อเรื่องที่กำลังประสบอยู่เป็นตัวทุกข์
กำลังโศกอยู่กำลังร้องไห้อยู่คร่ำครวญรำพันอยู่
ก็ต้องจับให้ถูกว่าทุกข์ซึ่งกำลังเสวยอยู่กำลังรับอยู่นี้
เป็นเงื่อนปลาย เงื่อนต้นก็คือตัณหาอุปาทาน
ในจิตใจของตนเอง บุคคลก็ตามวัตถุก็ตามซึ่ง
เป็นภายนอกนั้นเป็นตัวอารมณ์ที่ยึดถือว่าเป็นตัวเรา
เป็นของเรา เพราะฉะนั้น ตัวเงื่อนต้นที่แท้จริงจึง
อยู่ที่ตัวตัณหาอุปาทานในจิตใจนี้เอง
เมื่อตัณหาอุปาทานนี้สงบลงไป ทุกข์คือโสกะปริเทวะ
เป็นต้น ก็ย่อมจะสงบ
ดังจะพึงเห็นได้ว่า บุคคลที่ต้องประสบ
ความพลัดพรากดังกล่าวนั้น เบื้องต้นมักจะทุกข์มาก
ต้องโศกมากต้องร้องไห้คร่ำครวญรำพันมาก
เพราะว่าตัณหาคือความอยากอุปาทานคือความยึด
ยังมากอยู่ ครั้นต่อไป ๆ นาน ๆ เข้า ตัณหาอุปาทานคือ
ความอยากความยึดอยู่ในบุคคล
ในทรัพย์สินที่พลัดพรากไปนั้น ๆ น้อยลงไป ๆ
เพราะเหตุว่าจืดจางลืมเลือนไปเองก็ตาม
ความทุกข์โศกซึ่งกำลังได้รับอยู่กำลังเสวยอยู่
นั้นก็ผ่อนคลายไปหายไป
ในที่สุดเมื่อจิตใจจืดจางลืมเลือนผ่อนคลาย
ความอยากความยึดลงไป ทุกข์โศกก็หายไป
โดยลำดับ จนถึงเมื่อเลิกอยากเลิกยึดในบุคคลนั้น
ในสิ่งนั้น ทุกข์โศกก็หายไปหมดไม่มี เพราะฉะนั้น
นี้แหละคือการหัดจับเงื่อนปลายของเรื่อง
ทั้งหลาย ในบางคราวเมื่อได้รับความประจวบ
กับสิ่งซึ่งเป็นที่รัก ย่อมจะมีความยินดีเบิกบานใจเป็นสุข
และมีความอยากความยึดอยู่ในบุคคลและสิ่งซึ่ง
เป็นที่รักนั้น ดังเช่นเมื่อได้บุคคลซึ่งเป็นที่รักมา
หรือว่าได้บุตรธิดา ได้ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ที่
ต้องการมา ก็ยินดีเป็นสุข และก็มีความอยากความยึด
อยู่ในบุคคลในวัตถุนั้น ๆ ดั่งนี้เรียกว่าเป็นเงื่อนต้นคือ
เป็นตัณหาเป็นอุปาทานย่อมจะมี
ความติดใจยินดีเพลิดเพลิน เพราะฉะนั้น จึงได้ตรัส
ไว้ว่า ตัณหานั้นไปกับความติดใจยินดี
ความเพลิดเพลิน เพราะฉะนั้น จึงได้ตรัสไว้ว่า
ตัณหานั้นไปกับความติดใจยินดีความเพลิดเพลิน ทำ
ให้มีความยินดีเพลิดเพลินยิ่ง ๆ ขึ้นในอารมณ์นั้น ๆ
ในสิ่งนั้น ๆ นี้นับว่าเป็นเงื่อนต้น ซึ่งมักจะไม่นึก
ถึงเงื่อนปลายคือตัวทุกข์ เพราะในขณะที่ยัง
เป็นสมบัติคือเป็นความพรั่งพร้อมอยู่นั้นมีความสุขมี
ความเพลิดเพลิน ยังไม่มีวิบัติ แต่ว่าทุก ๆ อย่างนั้น
เมื่อเป็นสมบัติแล้วก็ต้องมีวิบัติ เมื่อมีประจวบก็
ต้องมีพลัดพราก
หัดจับให้รู้จักเงื่อนปลายของทุกเรื่อง
เพราะฉะนั้น ในเงื่อนปลายอันหมายความว่า เมื่อ
ถึงเวลาที่จะต้องพลัดพรากโดยที่
ต้องพลัดพรากไปในระหว่างชีวิต
เพราะเหตุอันตรายต่าง ๆ ก็ตาม หรือว่าจะ
ต้องพลัดพรากไปตามคติธรรมดา
หรือตามสภาวทุกข์ แก่เจ็บตายไปก็ตาม โดยที่ตนเอง
จะต้องพลัดพรากไปเอง หรือว่าสิ่งนั้นจะ
ต้องพลัดพรากไปก็ตาม เมื่อยังมีตัณหาอุปาทานอยู่
ซึ่งเป็นเงื่อนต้นอยู่ ก็จะต้องพบทุกข์ซึ่ง
เป็นเงื่อนปลายข้างหน้า
เพราะฉะนั้น แม้ในขณะที่กำลังหัวเราะ
อยู่เพลิดเพลินอยู่ ตื่นเต้นยินดีอยู่ก็ต้องหัดที่จะ
ให้พิจารณาจับว่า นี่เป็นเงื่อนต้นคือเป็นตัณหาอุปาทาน
ซึ่งจะต้องพบเงื่อนปลายคือทุกข์ในที่สุด
เมื่อสิ่งที่อยากยึดถือไว้นั้นต้องพลัดพรากไป
ด้วยเหตุต่าง ๆ ในระหว่างก็ตาม นั้นเป็นเงื่อนปลายที่
จะต้องพบ
เพราะฉะนั้น ก็หัดจับให้รู้จักเงื่อนปลายไว้ดังนี้
หัดจับเงื่อนต้นเงื่อนปลายในสายทุกข์
เพราะฉะนั้น ทุกคนนั้นในปัจจุบันนี้ย่อมประสบอยู่
ทั้งบางคราวก็เป็นเงื่อนปลายบางคราวก็เป็นเงื่อนต้น
คือในคราวที่มีทุกข์ เช่น โสก ทุกข์โศกต่าง ๆ เป็นต้น
นี่กำลังพบอยู่กับเงื่อนปลาย กำลังร้องไห้
อยู่คร่ำครวญอยู่ นี่กำลังพบเงื่อนปลาย
ในขณะที่หัวเราะอยู่ตื่นเต้นยินดีอยู่ นี่กำลังอยู่
กับเงื่อนต้น เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมจึงสมควรที่
จะหัดจับเงื่อนให้ถูก
เมื่อกำลังอยู่กับเงื่อนปลายคือทุกข์โศกต่าง ๆ ก็
ต้องจับเงื่อนต้นว่า นี่เกิดจากตัณหาอุปาทานในจิตใจ
ในขณะที่กำลังอยู่กับเงื่อนต้นคือกำลังอยู่
กับตัณหาอุปาทาน มีความติดใจยินดี มี
ความเพลิดเพลินมีความสุข ก็ต้องให้รู้ว่า จะ
ต้องพบเงื่อนปลายในภายหลังคือทุกข์ ในเมื่อ
ยังมีตัณหาอุปาทานนี้อยู่
ดั่งนี้เป็น การหัดจับเงื่อนต้นเงื่อนปลายในสายทุกข์
หัดจับเงื่อนต้นเงื่อนปลายในสายนิโรธ
และอีกทางหนึ่ง ก็หัดจับเงื่อนต้นเงื่อนปลาย
ในสายนิโรธ คือความดับทุกข์ กล่าวคือในขณะที่
ได้ปฏิบัติธรรมะตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
ปฏิบัติอยู่ในศีลปฏิบัติอยู่ในสมาธิปฏิบัติอยู่ในปัญญา ก็
ให้รู้จักว่า ธรรมะที่ปฏิบัติอยู่นี้เป็นเงื่อนต้นของ
ความดับทุกข์ ซึ่งจะได้พบกับความดับทุกข์
แม้ว่าในขณะที่ปฏิบัตินั้นจะรู้สึกว่าไม่เป็นสุข เช่น
ผู้ที่ปฏิบัติในศีลจะต้องงดเว้นจากข้อนั้นข้อนี้
ในบางคราวกิเลสตัณหาในใจของตนต้องการจะ
ให้ทำอีกอย่างหนึ่ง แต่ว่าศีลของพระพุทธเจ้านั้น
ให้งดเว้นเสียไม่ทำ เพราะฉะนั้น ใจหนึ่งจึงอยากจะทำ
แต่ว่าอีกใจหนึ่งนั้นยังตั้งอยู่ในศีล
ก็แปลว่าสองฝ่ายต่อสู้กัน คือศีล
ในใจของพระพุทธเจ้ากับกิเลสตัณหา
ในใจของบุคคลผู้ที่รักษาศีล
ถ้าหากว่าศีลมีกำลังกว่าศีลก็ชนะ ก็แปลว่างดเว้น
ได้ไม่ทำ แต่หากว่า
ถ้ากิเลสมีกำลังกว่าตัณหาอุปาทานมีกำลังกว่า
ตัณหาก็บงการให้บุคคลทำ ศีลก็ขาดไป
แปลว่าทิ้งศีลปฏิบัติไปตามอำนาจของตัณหาอุปาทาน
เพราะฉะนั้น ความไม่เป็นสุขจึงบังเกิดขึ้น อย่างที่
ต้องทิ้งศีลเพราะเป็นทุกข์เพราะศีล ก็ทิ้งศีล
แต่ว่าถ้ามาพิจารณาให้รู้จักว่า ศีลนั้นแหละ
เป็นเงื่อนต้นของความดับทุกข์ ให้มีความรู้มีความ
เข้าใจจริง ๆ แต่ว่าตัณหาอุปาทานนั่นแหละ
เป็นสมุทัยคือเหตุแห่งทุกข์ ให้มีความรู้จักดั่งนี้ และก็
ให้รู้จักว่าเงื่อนต้นคือตัณหาอุปาทานอัน
เป็นเงื่อนต้นของสายทุกข์นั้นควรจะต้องละเสีย
ต้องงดเว้นเสียไม่ทำ แต่ว่าเงื่อนต้นของ
ความดับทุกข์คือศีลนั้นควรทำดั่งนี้
ก็แปลว่ารู้จักเงื่อนต้นในสายดับทุกข์ แม้ว่า
ในขณะที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้นเป็นทุกข์ไม่เป็นสุข
เพราะว่าใจที่อยากจะทำที่จะละเมิดศีลอัน
เป็นตัณหาอุปาทานนั้นบางคราวก็แรง แต่ว่าเมื่อ
ความรู้จักอันเป็นตัวปัญญาพร้อมทั้งสติกำกับอยู่ได้ ก็
จะทำให้เอาชนะได้ สามารถรักษาศีลไว้ได้
และอันที่จริงนั้นผลของศีลย่อมมีตั้งแต่เมื่อปฏิบัติ
ในศีล แต่ว่าตัวทุกข์เพราะเหตุว่าต้องสู้กับกิเลส
นั้นกำบังผลของศีลซึ่งกำลังได้รับอยู่
เหมือนอย่างคนที่ป่วยไข้และต้องบริโภคยาขม ซึ่ง
ต้องเป็นทุกข์เพราะต้องบริโภคยาขม
แต่เมื่อบริโภคยาเข้าไปแล้วแม้จะขมก็จริง แต่ว่ายา
นั้นก็เข้าไปทำการเยียวยาแก้ไขโรค บำบัดโรค
ให้หายไป ซึ่งในเบื้องต้นนั้นคนป่วยเองก็ยังไม่รู้
แต่ว่าที่รู้ก็คือตัวทุกข์เพราะต้องกินยาขม หรือว่าที่
ต้องผ่าตัด ต้องฉีดยา เขาเอาเข็มแทงเนื้อก็เจ็บ ที่รู้อยู่
ในปัจจุบันคือว่าเจ็บซึ่งเป็นตัวทุกข์ แต่ว่าผลที่ได้
จากการที่ฉีดยาหรือว่าผ่าตัดนั้นจะเป็นการรักษา
ให้หายโรคซึ่งทีแรกยังไม่รู้ แต่ความจริง
นั้นการปฏิบัติรักษานั้นก็
เป็นการบำบัดโรคตั้งแต่เบื้องต้นแล้ว แต่ความเจ็บ
ยังกำบังอยู่ยังมองไม่เห็น
รู้ผลหรือเงื่อนปลายของศีล
เพราะฉะนั้น จึงต้องหัดทำความรู้ดั่งนี้ ว่าผลของศีล
นั้นมีตั้งแต่ต้น แต่ว่าตัวทุกข์นั้นทุกข์
เพราะกิเลสตัณหาต่างหาก ซึ่งยังครอบงำใจอยู่มาก
เมื่อกิเลสตัณหาพ่ายแพ้ลงไปสงบลงไปแล้ว
ความดิ้นรนต่าง ๆ ก็จะหายไปกลายเป็นความสงบ
ความสุขขึ้นโดยลำดับ ความดับทุกข์ที่ยังไม่ปรากฏก็
จะปรากฏขึ้นมา นี้เป็นเงื่อนปลาย
เงื่อนปลายคือความดับทุกข์ในเบื้องต้นนั้นเหมือนอย่าง
กับกำบังซ่อนเร้นอยู่ บุคคลยังไม่อาจรู้ได้
แต่เมื่อเอาชนะกิเลสได้ กิเลสสงบไปโดยลำดับ
แล้ว ความดับทุกข์ก็จะโผล่ขึ้นมา เป็นตัวความสุข
เป็นตัวความสงบ นี่เป็นเงื่อนปลายของศีล
รู้ว่าสมาธิเป็นเงื่อนต้นของนิโรธ
ในการปฏิบัติสมาธิก็เหมือนกัน ก็มักจะทำกันไม่ได้
รวมใจไม่อยู่ เพราะว่าใจนั้นมัก
จะแล่นไปตามอารมณ์ที่ใคร่ที่ปรารถนา
ให้มารวมอยู่กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็รู้
หายใจออกก็รู้ หรือจะบริกรรมว่า พุทโธ พุทโธ
ใจก็มักจะไม่อยู่ใจมักจะออกไปก็
เพราะเหตุว่านิวรณ์นี้เอง เป็นต้นว่ากามฉันท์บ้าง
พยาบาทบ้าง ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้มบ้าง
ความฟุ้งซ่านรำคาญใจบ้าง
ความเคลือบแคลงสงสัยต่าง ๆ บ้างอันเป็นตัวกิเลส
ดึงใจออกไปสู่อารมณ์อันเป็นที่ตั้งของกามฉันท์
พยาบาทเป็นต้นเหล่านั้น เพราะว่าจิตใจอันนี้อยู่
กับกิเลสเหล่านี้มานาน ซึ่งเปรียบเหมือนปลาที่อยู่
ในน้ำ จิตก็อยู่ในอารมณ์และกิเลสมานาน เพราะฉะ
นั้น การที่จะดึงใจขึ้นมาจากอารมณ์
และกิเลสมาสู่อารมณ์ของกรรมฐานในเบื้องต้น
จิตใจจึงไม่เป็นสุข เมื่อจิตใจไม่เป็นสุขร่างกายก็ไม่
เป็นสุข ก็ทำให้ทำสมาธิไม่ได้นานประเดี๋ยวประด๋าว ๔
– ๕ นาที ก็เหมือนอย่างเป็นตั้งชั่วโมง แต่หากว่า
ถ้าปฏิบัติตามใจของกิเลส
เช่นว่าดูหนังดูละครเล่นไพ่อะไรเหล่านี้เป็นต้น
เป็นชั่วโมง ๆ ก็ไม่รู้สึกว่าเมื่อยล้าเพราะเหตุว่า
เป็นไปตามอำนาจของกิเลสที่จิตใจ อันนี้ยังมีความติด
ยังมีความเพลิดเพลินอยู่ เมื่อมาทำสมาธิก็ไม่ได้สุข
จากสมาธิในเบื้องต้น
เพราะฉะนั้น จึงต้องทำความรู้ สมาธินี่แหละ
เป็นเงื่อนต้น เป็นที่สุดเบื้องต้นของความดับทุกข์
ต้องพยายามทำไปบ่อย ๆ จนจิตใจเอาชนะนิวรณ์ได้
นิวรณ์สงบลงไปได้ เมื่อนิวรณ์สงบลงไปได้แล้ว
จิตก็จะเริ่มได้ความสุขจากสมาธิ คือได้ปีติความอิ่มใจ
ได้สุขความสบายกายสบายใจ ได้ความสงบอันเป็น
ความดับทุกข์ขึ้นไปโดยลำดับ
วิปัสสนาปัญญาเป็นเงื่อนต้นของการปล่อยวางทุกข์
ในทางปัญญาก็เหมือนกัน
เมื่อมาพิจารณาทางวิปัสสนาปัญญา
พิจารณานามรูปว่าเป็นอนิจจะ ไม่เที่ยง ทุกขะ
เป็นทุกข์ อนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน ก็มักจะฝืนกับ
ความที่มีความอยากยึดอยู่ในนามรูปอันนี้ว่า
เป็นตัวเราของเรา ครั้นมาพิจารณาว่าไม่
ใช่ตัวเราของเรา จึงฝืนกันขัดกันในเบื้องต้น ใจจึง
ไม่ลงคือใจไม่ยอม
ต่อเมื่อมาพิจารณาให้รู้จักว่า
ตัวปัญญาวิปัสสนานี้แหละเป็นเงื่อนต้นของ
ความดับทุกข์จริง ๆ แต่ที่ใจยังไม่ยอมนี้ก็
เพราะเหตุว่าใจยังมีตัณหา มีราคะความติดมีนันทิคือ
ความเพลินอยู่ในนามรูป ยังมีความอยากความยึด
อยู่ว่าตัวเราของเรา ต่อเมื่อ
ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อตัณหาอุปาทานในใจของตน
หมั่นพิจารณาอยู่บ่อย ๆ ในเมื่อความไม่เที่ยงความ
เป็นทุกข์ความเป็นอนัตตาปรากฏขึ้น
ตัณหาอุปาทานที่เคยยึดถืออยากยึดอยู่นั้นก็จะลดลง
ๆ ปัญญาคือความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเห็นชัดขึ้น ว่า
เป็นอนิจจะ ไม่เที่ยงจริง ทุกขะ เป็นทุกข์
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงจริง
เป็นอนัตตาบังคับมิได้ไม่ใช่ตัวเราของเราจริง เมื่อ
เป็นดั่งนี้แล้ว ก็จะพบกับความดับทุกข์ คือ
ความปล่อยวางไปโดยลำดับ นี่เป็นเงื่อนปลาย
รู้ว่าเงื่อนต้นเงื่อนปลายต้องอาศัยกัน
เพราะฉะนั้น การหัดจับเงื่อนต้นเงื่อนปลาย
หรือที่สุดเบื้องต้นที่สุดเบื้องปลายแยกกันทีละอย่าง
และการหัดจับทั้งเงื่อนต้นทั้งเงื่อนปลายหรือ
ทั้งที่สุดเบื้องต้นทั้งที่สุดเบื้องปลายที่ขนานกันไป
ให้เห็นต่อกันไปเชื่อมกันไป ประกอบกันไปดั่งนี้
ในอริยสัจทั้ง ๔ ของพระพุทธเจ้า หัดจับเข้าทั้ง
ในสายทุกข์ทั้งในสายดับทุกข์ดั่งนี้แล้ว เป็นการหัดให้
ได้ญาณคือความหยั่งรู้อันเป็นฝ่ายวิชชา
แต่ว่าฝ่ายอวิชชานั้นก็คือไม่หยั่งรู้ในเงื่อนต้น
หรือที่สุดเบื้องต้น ในเงื่อนปลาย
หรือที่สุดเบื้องปลาย ในทั้งเงื่อนต้น
หรือที่สุดเบื้องต้นทั้งเงื่อนปลาย
หรือที่สุดเบื้องปลาย ในอริยสัจ ๔
ของพระพุทธเจ้าดังที่ผู้ที่ยังมีอวิชชาเป็นไปอยู่นี้คือ
ความไม่รู้จัก และในข้อท้ายไม่รู้จักธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้น ก็คือ
ไม่รู้จักข้อที่เงื่อนต้นเงื่อนปลายนี้ต่างอาศัยกันและ
กันเป็นไปในเรื่องทั้งหลาย ก็รวมเข้า
ในหลักอริยสัจ ๔ นี้แหละ
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 12:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๖ อวิชชาโดยสรุป
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๒๖ อวิชชาโดยสรุป
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบายในข้อสัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ ในหมวดว่า รู้จักอวิชชา
รู้จักเหตุเกิดอวิชชา รู้จักความดับอวิชชา
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอวิชชา และ
ได้มีพระเถราธิบายในข้อ อวิชชา ว่าได้แก่
ไม่หยั่งรู้ในทุกข์
ไม่หยั่งรู้ในเหตุเกิดทุกข์
ไม่หยั่งรู้ในความดับทุกข์
ไม่หยั่งรู้ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ได้แสดงอธิบายเพิ่มเติมในที่นี้อีก ๔ ข้อ ๒ นัย
ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระสูตรอื่น คือ
ไม่หยั่งรู้ในอดีต
ไม่หยั่งรู้ในอนาคต
ไม่หยั่งรู้ทั้งในอดีตทั้งในอนาคต
ไม่หยั่งรู้ในธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
อีกนัยหนึ่งหรืออีกปริยายหนึ่งว่า
ไม่หยั่งรู้ในเงื่อนต้น
ไม่หยั่งรู้ในเงื่อนปลาย
ไม่หยั่งรู้ทั้งในเงื่อนต้นทั้งในเงื่อนปลาย
ไม่หยั่งรู้ในธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
รวมเข้าจึงเป็นอวิชชา ๘ แต่อวิชชา ๘ นี้ก็มีข้ออริยสัจ
ทั้ง ๔ เป็นหลัก และอีก ๔ ข้อนั้น
นัยหนึ่งก็ยกเอาอดีตอนาคตขึ้นแสดง
อีกนัยหนึ่งก็ยกเอาเงื่อนต้นเงื่อนปลายขึ้นแสดง
แต่เมื่อยกเอาอดีตอนาคตขึ้นแสดงก็
ไม่ยกเอาเงื่อนต้นเงื่อนปลายขึ้นแสดง จึงรวมเป็น ๘
หรือเมื่อยกเอาเงื่อนต้นเงื่อนปลายขึ้นแสดงก็
ไม่ยกเอาอดีตหรืออนาคตขึ้นแสดง จึงรวมเป็น ๘
อวิชชาเป็นตัวต้นเดิมของอุปกิเลส
และโดยที่ข้ออวิชชานี้เป็นข้อสำคัญ
ในพระพุทธศาสนา ในปฏิจจสมุปบาท
คือธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
พระพุทธเจ้าเมื่อทรงสาวขึ้นไปก็ถึงอวิชชา เพราะฉะ
นั้นอวิชชาจึงเป็นอันว่า
เป็นปัจจัยแรกที่สำคัญแห่งปัจจัยที่เกิดสืบต่อกันไป
โดยลำดับ จนถึงชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
เป็นต้น และเราทั้งหลายได้รู้เรื่องอวิชชา ก็
โดยที่พระพุทธเจ้า
ได้ทรงตรัสจำแนกแจกแจงแสดงสั่งสอนไว้ ถ้าไม่เช่น
นั้นก็จะไม่สามารถรู้เรื่องอวิชชาได้ทั้งที่อวิชชานี้ก็มิ
ได้มีอยู่ที่ไหน มีอยู่ในจิตใจของทุก ๆ คนนี้เอง ทุก ๆ คน
จะรู้จักหรือไม่รู้จักอวิชชาซึ่งนับว่า
เป็นตัวต้นเดิมของกิเลสทั้งหลาย อวิชชาก็คงมีอยู่
และเพราะมีอวิชชาอยู่นี้เอง จึงทำให้จิตนี้ซึ่ง
เป็นธรรมชาติปภัสสรคือผุดผ่องต้องเศร้าหมองไป
เพราะอุปกิเลสคือกิเลสเครื่องเศร้าหมอง
ทั้งหลายที่จรเข้ามา เพราะฉะนั้น
จึงควรพิจารณาใคร่ครวญคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ในเรื่องอวิชชานี้ให้มีความเข้าใจ แม้ว่าจะยังไม่
สามารถรู้เจาะแทงไปถึงตัวอวิชชา ซึ่งมีอยู่
ในจิตใจของตนเองได้ ก็ยังเป็นการเริ่มต้นแห่ง
ความรู้ในเรื่องอวิชชานี้ จึงจะ
ได้แสดงอธิบายประมวลกันเข้าอีกครั้งหนึ่ง
อธิบายทบทวนอวิชชาในอริยสัจทั้ง ๔
อวิชชา คือไม่หยั่งรู้ในอริยสัจทั้ง ๔ คือในทุกข์
ในเหตุเกิดทุกข์ ในความดับทุกข์ ในทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์ นี้เป็นหลัก และเพื่อที่จะได้แสดงขยาย
ความถึงอริยสัจทั้ง ๔ นี้ สำหรับที่จะได้
เป็นทางพิจารณาเพื่อทำความรู้ความเข้าใจ จึง
ได้มีแสดงต่อไปอีก ๒ นัย ยกเอาอดีตอนาคตขึ้นแสดง
หรือว่ายกเอาเงื่อนต้นเงื่อนปลายขึ้นแสดง
ดั่งที่กล่าวมาแล้ว
อธิบายโดยปริยายคือทางอันหนึ่ง ไม่หยั่งรู้หรือ
ไม่รู้จักอดีต ก็คือไม่รู้จักสาวหลัง
ได้แก่เมื่อประสบผลอยู่ในปัจจุบัน ก็ไม่รู้จัก
จะสาวไปข้างหลังในอดีตว่าเกิดมาจากเหตุอะไร
ดั่งนี้ก็เรียกว่า ไม่รู้จักอดีต ผลที่ได้รับอยู่ในปัจจุบัน
จึงเท่ากับเป็นเงื่อนปลาย ส่วนเหตุในอดีตก็เท่ากับเป็น
เงื่อนต้น ที่ตรัสแสดงไว้ในนัยที่ ๒
อีกอย่างหนึ่งเมื่อเริ่มกระทำอะไรอยู่
ในปัจจุบันอันนับว่าเป็นส่วนเหตุ ก็ไม่รู้จักที่
จะคาดหน้าไปในอนาคต ว่าจะ
ให้เกิดผลต่อไปอย่างไร การที่จับกระทำอะไรอยู่
ในปัจจุบันที่เป็นกรรมต่าง ๆ เป็นกายกรรม
กรรมทางกาย วจีกรรม กรรมทางวาจา
มโนกรรม กรรมทางใจ อันเป็นส่วนเหตุ ก็เท่ากับว่า
เป็นเงื่อนต้น ส่วนผลที่จะบังเกิดขึ้นต่อไปก็เท่ากับว่า
เป็นเงื่อนปลาย ไม่รู้จักคาดหน้าคือไม่รู้จักหยั่ง
ถึงผลที่จะบังเกิดขึ้นข้างหน้า ดั่งนี้จึงเรียกว่า
ไม่รู้จักอนาคต ก็เท่ากับว่า ไม่รู้จักเงื่อนปลาย
ที่แสดงไว้ในนัยที่ ๒
และความที่ไม่รู้จักที่จะโยงอดีตและอนาคตเข้าถึง
กัน คือไม่หยั่งรู้ถึงเหตุและผล หรือว่าผล
และเหตุที่โยงกันอยู่ ก็เรียกว่า ไม่รู้จักทั้งอดีต
ทั้งอนาคต หรือว่า ไม่รู้จักทั้งเงื่อนต้นทั้งเงื่อนปลาย
ดังกล่าวไว้ในนัยที่ ๒
ส่วนที่ ไม่รู้จักธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้นอันเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น ก็ได้แก่
ไม่รู้จักดังที่ท่านพระสารีบุตร
ได้แสดงเถราธิบายมาโดยลำดับดั่งที่ยกมาแสดง
ไว้ทีละหมวด
จับตั้งแต่ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ คือความโศก
ความรัญจวนคร่ำครวญใจ เป็นต้น ว่ามี
เพราะอะไร ก็มีเพราะชาติคือความเกิด
ชาติคือความเกิดมีเพราะอะไร ก็เพราะภพคือความ
เป็น
ภพมีเพราะอะไร ก็เพราะอุปาทานคือความยึดถือ
อุปาทานมีเพราะอะไร ก็เพราะตัณหา
ความดิ้นรนทะยานอยาก
ตัณหามีเพราะอะไร ก็เพราะเวทนา
เวทนามีเพราะอะไร ก็เพราะผัสสะ ความกระทบ
ผัสสะมีเพราะอะไร ก็เพราะอายตนะ ๖
อายตนะทั้ง ๖ มีเพราะอะไร ก็เพราะนามรูป
นามรูปมีเพราะอะไร ก็เพราะวิญญาณ
วิญญาณมีเพราะอะไร ก็เพราะสังขาร
สังขารมีเพราะอะไร ก็เพราะอวิชชา
รู้จักปฏิจจสมุปบาทหรือลูกโซ่ที่เป็นอริยสัจ ๔
เพราะฉะนั้น เมื่อมาถึงอวิชชา อวิชชาจึงเท่ากับ
เป็นเงื่อนต้น สังขารเท่ากับเป็นเงื่อนปลาย
และสังขารนั้นเองก็ต้องไปเป็นเงื่อนต้น วิญญาณเท่า
กับเป็นเงื่อนปลาย ก็ทยอยกันไปดั่งนี้ จนถึงชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ เป็นต้น และก็อาจกล่าว
ได้ว่าอวิชชานั้นก็เป็นปัจจุบันก่อน และเมื่ออวิชชา
เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารอวิชชาก็เท่ากับเป็นอดีต
สังขารก็เป็นปัจจุบัน เมื่อสังขารเป็นปัจจัย
ให้เกิดวิญญาณสังขารก็เท่ากับเป็นอดีต วิญญาณก็
เป็นปัจจุบัน ก็โยงกันไปดั่งนี้ ซึ่ง
ความรู้จักปฏิจจสมุปบาท คือธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้นนี้ ก็กล่าวได้ว่า
เป็นอริยสัจอย่างละเอียด แต่ละข้อ ๆ นั้นเท่ากับ
เป็นลูกโซ่อันหนึ่ง ๆ ที่โยงกันไป อวิชชาก็เท่ากับ
เป็นลูกโซ่อันหนึ่ง สังขารก็เท่ากับ
เป็นลูกโซ่อีกอันหนึ่งเป็นต้น โยงกันไปอาศัยกันไป
และท่านพระสารีบุตร
ได้มาจับอธิบายลูกโซ่แต่ละลูกโซ่นี้ แจกออกไปเป็น
๔ เป็น ๔ คือลูกโซ่อันหนึ่ง ๆ ก็เท่ากับเป็นอริยสัจ ๔
ไปทุกลูกโซ่ ดังในลูกโซ่ อวิชชา นี้ท่านแจกไปเป็น ๔
ดังที่กล่าวมาข้างต้น คือ
ไม่รู้จักอวิชชา
ไม่รู้จักเหตุเกิดอวิชชา
ไม่รู้จักความดับอวิชชา
ไม่รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอวิชชา
ลูกโซ่อื่น ๆ ถัดไปท่านก็แจกเป็น ๔ เป็น ๔ คือ
เป็นอริยสัจ ๔ ไปทุกลูกโซ่ ซึ่ง
เป็นการแสดงอธิบายอย่างละเอียดพิสดาร และ
ในปฏิจจสมุปบาทที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสั่งสอน
นั้นจบลงแค่อวิชชา แต่ของท่านพระสารีบุตรยัง
ไม่จบ ยังมีต่อไปอีกลูกโซ่หนึ่ง คือว่า
ในข้อเหตุเกิดอวิชชาที่ท่านชี้เอาว่าได้แก่อาสวะ
ทั้งหลาย แต่เมื่อถึงอาสวะ
ทั้งหลายท่านก็แจกออกไปอีกเป็น ๔ เหมือนกัน
แต่ว่าเหตุเกิดอาสวะนั้นคืออะไร ท่านก็ชี้เอาอวิชชา
ก็วนกลับมาอีก ก็เป็นอันว่า
ในพระเถราธิบายนี้มีเพิ่มปฏิจจสมุปบาทที่พระพุทธเจ้า
ได้ทรงแสดงไว้ไปอีกเงื่อนหนึ่งคืออาสวะ ซึ่งจะยัง
ไม่แสดงอธิบายในวันนี้
ก็เพียงแต่กล่าวย่อคำว่าปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นไว้เสียก่อนคราวหนึ่ง
มีไตรลักษณ์เพราะมีกาลเวลา
เพราะฉะนั้น อวิชชา ๘ นี้จึงมีอริยสัจ ๔ เป็นหลัก
และอีก ๔ ข้อข้างหลังก็มี ๒ นัยดังที่กล่าวมาแล้ว
แต่ก็มีความอธิบายที่สัมพันธ์กัน อีก ๔ ข้อ ๒ นัย
ข้างหลังนั้นก็เป็นการอธิบายอริยสัจ ๔ นั้นเอง
อันเกี่ยวด้วยกาลเวลา เกี่ยวด้วยเงื่อน การจับทำ
ความเข้าใจในอริยสัจ ๔ อาศัยกาลเวลา อาศัยเงื่อน
คือพิจารณาอาศัยกาลเวลา อาศัยเงื่อน ย่อมจะทำ
ให้มีความเข้าใจในอริยสัจ ๔ นี้ได้มากขึ้นหรือ
ได้ง่ายขึ้น ข้อที่ควรอธิบายเพิ่มเติมก็คือ กาลเวลา
นั้นย่อมควบคู่กันไปกับไตรลักษณ์ คือ
อนิจจตา ความไม่เที่ยง หรืออนิจจลักษณะ
เครื่องกำหนดหมายว่าไม่เที่ยง
ทุกขตา ความเป็นทุกข์ หรือทุกขลักษณะ
เครื่องกำหนดหมายว่าเป็นทุกข์
อนัตตา ความเป็นอนัตตา หรืออนัตตลักษณะ
เครื่องกำหนดหมายว่าเป็นอนัตตา
ความเป็นไตรลักษณ์ย่อมมี ก็เพราะมีกาลเวลา
คือมีอดีตมีอนาคตมีปัจจุบัน สังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง
ทั้งหลาย เป็นสังขารขึ้นก็เพราะอาศัยกาลเวลา
จึงได้เป็นสังขารขึ้นมาคือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง
และเมื่อเป็นสังขารขึ้นมาก็ต้องเป็นไตรลักษณ์
คือสังขารนี้เองแสดงตัวออกว่าอนิจจะ ไม่เที่ยง
ต้องเกิดดับ ทุกขะเป็นทุกข์
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง เป็นอนัตตาบังคับให้
เป็นไปตามปรารถนามิได้ มิ
ใช่ตัวเราของเราอย่างแท้จริง เพราะว่ากาลเวลา
นั้นล่วงไป ๆ อยู่เสมอ ปัจจุบันนั้นเป็นปัจจุบันขึ้นมา
แล้วก็เป็นอดีตคือล่วงไป ส่วนที่ยังไม่มาถึงเป็นอนาคต
อนาคตก็มาเป็นปัจจุบัน เป็นปัจจุบันแล้วก็เป็นอดีต
เพราะฉะนั้นมีปัจจุบันก็เพราะมีอนาคต และ
เพราะมีปัจจุบันจึงมีอดีต
สังขารขึ้นอยู่กับกาลเวลา
กาลเวลาจึงเลื่อนไป ๆ อยู่ทุกขณะไม่มีหยุด
สังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งหลายซึ่งมีชาติ
เป็นเบื้องต้น จึงต้องมีชราต้องมีมรณะ
ถ้าหากว่ากาลเวลานี้หยุดได้ ไม่เลื่อนไป ๆ ความ
ไม่เที่ยงของสังขารก็ต้องหยุดได้ เช่นเมื่อเกิด
เป็นเด็กออกมา กาลเวลาหยุดอยู่เพียงนั้น ก็คง
เป็นเด็กอยู่นั่นแหละ หรือว่าเมื่อเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่ม
เป็นสาว กาลเวลาหยุดอยู่แค่นั้น ก็คงเป็นหนุ่มเป็นสาว
อยู่นั่นแหละ เมื่อเป็นคนแก่ กาลเวลาหยุดอยู่แค่นั้น
ก็เป็นคนแก่อยู่นั่นแหละ แต่นี่กาลเวลาไม่หยุด
กาลเวลาที่มาถึงจำเพาะหน้าเป็นปัจจุบัน ที่ยังไม่มาถึง
เป็นอนาคต ที่ล่วงไปก็เป็นอดีต ปัจจุบันนั้นมา
จากอนาคต อดีตก็มาจากปัจจุบัน ทั้งอดีตทั้งอนาคต
ทั้งปัจจุบันไม่มีหยุด เพราะฉะนั้น ความ
ไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลายความเป็นทุกข์
เป็นอนัตตาของสังขารทั้งหลาย จึงไม่มีหยุด คนเรา
จึงต้องมีอายุ ๑ ขวบ ๒ ขวบ ๓ ขวบ ๔ ขวบ เป็นต้น
สมมติว่า ถ้ากาลเวลาหยุดอยู่แค่เมื่ออายุ ๔ ขวบ ก็คง
๔ ขวบอยู่นั่นแหละ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่หา
เป็นเช่นนั้นไม่ อายุก็ต้องล่วงไป ๆ จนในที่สุดก็
ถึงเวลาที่แตกสลาย ชาติ ชรา มรณะ อันเป็นความ
ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาของสังขารทั้งหลายนี้ จึง
เป็นไปตามกาลเวลา กาลเวลานี้เองก็เป็นตัว
ไม่เที่ยงเป็นตัวทุกข์เป็นตัวอนัตตาด้วย เพราะฉะนั้น จึง
ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ว่า
กาลเวลาย่อมกินสรรพสัตว์ทั้งหลายพร้อม
ทั้งตัวเอง
คือกาลเวลานี้กินผู้ที่เกิดมาคือสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ด้วย และกินตัวเองด้วย สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
ซึ่งเกิดมาก็ต้องตกอยู่ในไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา กาลเวลาเองก็
เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตากินสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย
กินตัวเองด้วยดั่งนี้ เพราะฉะนั้น ทุก ๆ สิ่งที่ยังขึ้น
อยู่แก่กาลเวลา คือเป็น กาลิโก ประกอบ
ด้วยกาลเวลา ย่อมตกอยู่ในทุกขสัจจะ
สภาพที่จริงคือทุกข์ทั้งนั้น เป็น สังขาร ทั้งนั้น
ส่วนธรรมชาติที่พ้นจากกาลเวลา จึงจะ
เป็นวิสังขาร คือไม่ใช่สิ่งผสมปรุงแต่งอันได้แก่นิพพาน
อันเป็นอมตธาตุ ธาตุที่ไม่ตาย ทุก ๆ สิ่งที่ขึ้น
อยู่แก่กาลเวลานั้น ต้องเกิดแก่ตายทั้งนั้น จะ
เป็นเทพก็ตามเป็นมนุษย์ก็ตามเป็นพรหมก็ตามขึ้น
อยู่แก่กาลเวลา ต้องเกิดแก่ตายทั้งนั้น
แต่ธรรมชาติที่อยู่เหนือกาลเวลา เป็น อกาลิโก
ไม่ประกอบด้วยกาลเวลาเป็น วิสังขาร คือนิพพาน
เป็นอมตธาตุ ธาตุที่ไม่ตาย ก็คือเป็นธรรมชาติที่พ้น
จากกาลเวลาเป็นอกาลิโก
สัจจธรรมไม่ประกอบด้วยกาลเวลา
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก ไม่ประกอบ
ด้วยกาลเวลา ตั้งต้นแต่ธรรมะที่เป็นสัจจะคือ
ความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซึ่งตรัสเรียกว่า
เป็น
ธรรมฐิติ ความตั้งอยู่แห่งธรรม
ธรรมนิยาม ความกำหนดแน่แห่งธรรม
คือเป็นธรรมชาติธรรมดา ซึ่งเรียกอีกคำหนึ่งว่า
ธาตุ ซึ่งแปลว่า ทรงอยู่ ดำรงอยู่ มี
ความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ธรรม ที่แปลว่า ทรง
อยู่ ดำรงอยู่ ดังที่มีตรัสเอาไว้ใน ธรรมนิยามสูตร
ว่า
พระตถาคตพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นหรือ
ไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้นซึ่งเป็นธรรมฐิติ
ความตั้งอยู่แห่งธรรม ธรรมนิยาม
ความกำหนดแน่แห่งธรรม ก็ตั้งอยู่ดำรงอยู่แล้ว อัน
ได้แก่ข้อที่สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ข้อที่สังขารทั้งปวง
เป็นทุกข์ ข้อที่สังขารทั้งปวงเป็นอนัตตามิ
ใช่อัตตาตัวตน ข้อที่วิสังขารทั้งปวงเป็นอนัตตามิ
ใช่อัตตาตัวตนซึ่งตรัสรวมเรียกว่า ข้อที่ธรรม
ทั้งหลายเป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน
พระตถาคตพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธาตุนั้นคือ
ธรรมฐิติธรรมนิยามนั้นแล้ว จึง
ได้ตรัสจำแนกแจกแจงแสดงเปิดเผยกระทำให้ตื้น
เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขาร
ทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา คือ
ทั้งสังขารธรรมทั้งวิสังขารธรรมเป็นอนัตตาดั่งนี้
ข้อที่เป็นสัจจะคือความจริง ซึ่ง
เป็นธรรมชาติธรรมดาดังกล่าวนี้ไม่ขึ้น
อยู่แก่กาลเวลาเป็นอกาลิโก ไม่ประกอบ
ด้วยกาลเวลา เมื่อไร ๆ ก็คงเป็นอยู่อย่างนี้ คือ
ข้อที่สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวง
เป็นอนัตตา ก็ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอยู่อย่างนี้
ไม่มีที่จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น
วิสังขารหรือนิพพานอยู่เหนือกาลเวลา
เพราะฉะนั้น สัจจธรรม ธรรมะที่เป็นสัจจะคือ
ความจริงที่เป็นธรรมชาติธรรมดาดั่งนี้จึง
เป็นอกาลิโก และจิตนี้เองที่
ได้สดับฟังธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
ได้ปฏิบัติจนกำจัดอวิชชาได้หมดสิ้น เป็นวิชชาบังเกิดขึ้น
วิมุตติหลุดพ้นจากอาสวะทั้งสิ้น ก็บรรลุ
ถึงวิสังขารคือนิพพาน เพราะสิ้นตัณหาทั้งหลาย
ก็บรรลุถึงความเป็นอมตธาตุ อมตธรรม
ธรรมะที่ไม่ตาย อยู่เหนือกาลเวลา เป็นอกาลิโก
ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา พ้นจากภาวะที่
เป็นสังขารซึ่งขึ้นอยู่แก่กาลเวลา ซึ่งตรัสว่า
ไม่เกิดอีก เพราะความเกิดอีกนั้นก็เกิดเป็นสังขาร
ต้องขึ้นอยู่แก่กาลเวลา เมื่อขึ้นอยู่แก่กาลเวลาก็
ต้องตกอยู่ในไตรลักษณ์เกิดแก่เจ็บตาย เพราะฉะนั้น
เกี่ยวแก่กาลเวลานี้ เมื่อทำความเข้าใจให้ดีพร้อม
กับเงื่อนทั้งหลายซึ่งอาศัยกันอยู่สัมพันธ์กันอยู่ ย่อม
จะทำให้เข้าใจในอริยสัจทั้ง ๔ ของพระพุทธเจ้า
ได้ดีขึ้น และสามารถที่จะจับกาลเวลาได้ถูกต้อง
รู้จักที่จะสาวหลัง ในเมื่อประสบผลที่เป็นไปอยู่
ในปัจจุบันได้ถูกต้อง
รู้จักที่จะคาดหน้า คือเมื่อกระทำอะไรที่เป็นส่วนเหตุ
อยู่ในปัจจุบัน ก็จะคาดไปข้างหน้าได้ถูกว่าจะ
ให้เกิดผลอย่างไร
เป็นการจับเงื่อนได้ถูกต้องทั้งในด้านที่เป็นสายทุกข์ทั้ง
ในด้านที่เป็นสายดับทุกข์
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 12:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๗ ความรู้จักอาสวะ
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๒๗ ความรู้จักอาสวะ
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงข้อสัมมาทิฏฐิตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรมา
โดยลำดับ ถึงหมวดสุดท้ายที่ภิกษุทั้งหลาย
ได้กราบเรียนถามท่าน ว่า
ยังมีปริยายคือทางแสดงอย่าง
อื่นแห่งข้อสัมมาทิฏฐิต่อไปอีกหรือ
ท่านพระสารีบุตรก็กล่าวตอบว่า
ยังมีปริยายคือทางแสดงอย่างอื่นต่อไปอีก และท่านก็
ได้แสดงอธิบายต่อไป อันนับว่า
เป็นหมวดสุดท้ายว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
ก็คือรู้จักอาสวะ รู้จักเหตุเกิดอาสวะ รู้จัก
ความดับอาสวะ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ
เมื่อท่านให้หัวข้อไว้เป็น ๔ ดั่งนี้แล้ว ก็ได้
ให้อรรถาธิบายต่อไปว่า
รู้จักอาสวะ อาสวะมี ๓ คือ กามาสวะ อาสวะคือกาม
ภวาสวะ อาสวะคือภพ อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา
รู้จักเหตุเกิดอาสวะ คือเพราะอวิชชาเกิด อาสวะ
ทั้งหลายจึงเกิด
รู้จักความดับอาสวะ คือรู้จักว่าเพราะอวิชชาดับ
อาสวะจึงดับ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ
ก็คือรู้จักมรรคคือทางที่มีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น
จะได้แสดงอธิบายในข้อ อาสวะ
อาสวะและอนุสัยเป็นกิเลสอย่างละเอียด
กิเลสที่ดองจิตสันดานที่หมักหมมอยู่ในจิตสันดาน
ได้ชื่อ อาสวะ จัดเป็นกิเลสอย่างละเอียด
และกิเลสอย่างละเอียดนี้มีเรียกชื่ออีกคำหนึ่งว่า
อนุสัย คือกิเลสที่นอนจมติดตามไปอยู่เสมอ
อนุสัยนี้ก็แจกเป็น ๓ อีกเหมือนกัน คือ
ราคานุสัย อนุสัยคือราคะ
ปฏิฆานุสัย อนุสัยคือปฏิฆะ
อวิชชานุสัย อนุสัยคืออวิชชา
เป็นกิเลสอย่างละเอียดอีกเช่นเดียวกัน คำว่าอาสวะ
กับอนุสัยนี้ แม้ว่าจะมีชื่อเพี้ยนกันอยู่ก็มีความหมาย
เป็นอย่างเดียวกัน เมื่อแสดงถึงอาสวะก็หมาย
ถึงอนุสัยรวมอยู่ด้วย เมื่อแสดง
ถึงอนุสัยคือเมื่อยกอนุสัยขึ้นแสดง ก็หมาย
ถึงอาสวะรวมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น แม้จะแสดงชื่อ
ใดชื่อหนึ่ง ก็เป็นอันว่าหมายถึง ๒ นี้รวมอยู่ด้วยกัน
และเมื่อกล่าวว่าอาสวอนุสัยเป็นกิเลสอย่างละเอียด
ก็ย่อมจะมีกิเลสอย่างหยาบ
และกิเลสอย่างกลางอีกด้วย ซึ่งก็ได้มีแสดงไว้
กิเลสอย่างหยาบหรืออกุศลมูล
กิเลสอย่างหยาบ นั้นเรียกว่า วีติกกมกิเลส
คือกิเลสที่เป็นเหตุ
ให้ล่วงละเมิดออกไปทางไตรทวาร สำเร็จ
เป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ได้แก่ โลภะ
โทสะ โมหะ หรือว่า ราคะ โทสะ โมหะ อย่างแรงที่
เป็นตัวอกุศลมูล คือเป็นรากเหง้าของอกุศล
ทั้งหลาย ก็ได้แก่รากเหง้าของอกุศลกรรม
ดังที่เรียกว่าอกุศลกรรมบถ ทางของกรรมที่
เป็นอกุศล
อกุศลกรรมบถ ทางของกรรมที่เป็นอกุศล
นั้นก็แจกเป็น ๓ คือเป็นกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔
และมโนกรรม ๓
กายกรรม ๓ นั้นได้แก่ ปาณาติบาต ทำสัตว์มีชีวิต
ให้ตกล่วงไป คือฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อทินนาทาน
ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ด้วยจิตใจเป็นขโมย
คือจิตใจคิดจะลัก กาเมสุมิจฉาจาร ประพฤติผิด
ในกามทั้งหลาย
วจีกรรม ๔ ก็คือ มุสาวาท พูดเท็จ ปิสุณาวาท
พูดส่อเสียด ผรุสวาท พูดคำหยาบ สัมผัปปลาปวาท
พูดโปรยประโยชน์ คือพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล
มโนกรรม ๓ ก็คือ อภิชฌา
โลภเพ่งเล็งทรัพย์สิ่งของ ๆ ผู้อื่นมาเป็นของตน
พยาบาท มุ่งร้ายปองร้ายหมายล้างผลาญ
มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากทำนองคลองธรรมคือ
เห็นว่าไม่เป็นอันทำ หรือไม่มีการทำกรรม
คือกรรมที่กระทำไม่มีบุญ ไม่มีบาป
เห็นว่าไม่มีเหตุ คือผลที่ได้รับเป็นสุขเป็นทุกข์หรือ
เป็นความเสื่อมเป็นความเจริญต่าง ๆ
ไม่มีกรรมที่ทำดีหรือกรรมชั่วเป็นเหตุ แต่ว่าผล
ทั้งปวงเหล่านี้ บังเกิดขึ้นตามคราวตามความบังเอิญ
เป็นต้น ไม่มีกรรมดีกรรมชั่วที่ทำไว้มาเป็นเหตุ
เห็นว่าทุก ๆ อย่างไม่มี
คือข้อที่นับถือว่ามารดาบิดามีคุณนั้นก็ไม่มี
ข้อที่ถือว่าทำทานหรือบูชาต่าง ๆ มีผลนั้นก็ไม่มี
ไม่มีสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีประพฤติชอบ
เพราะว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดีสิ่งที่เรียกว่าชอบ
ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกหน้าเป็นต้น
อกุศลกรรมบถ ทางของกรรมที่เป็นอกุศล
ย่อมประกอบด้วยกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔
มโนกรรม ๓ ดังกล่าว บังเกิดขึ้นก็
เพราะมีเจตนาอันประกอบด้วยกิเลส กองโลภ
กองโกรธ กองหลง ดังกล่าว ซึ่ง
เป็นกิเลสอย่างหยาบ คือบังเกิดขึ้นรุนแรง จนถึง
ให้ละเมิดออกไปทางกายทวารเป็นกายกรรม
ทางวจีทวารเป็นวจีกรรม ทางมโนทวาร
เป็นมโนกรรมดังกล่าว จึงเรียกว่า วิติกกมกิเลส
กิเลสที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิด
พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเรียกไว้อีกชื่อหนึ่งว่า
กรรมกิเลส ที่ตรัสแสดงเอาไว้ ๔ คือ ปาณาติบาต
อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร และ มุสาวาท
จะแปลว่ากรรมที่เศร้าหมองก็ได้ แปลว่ากิเลสที่
เป็นเหตุให้กระทำกรรมทั้ง ๔ ข้อนี้ก็ได้
คือปรากฏออกมาเป็นปาณาติบาต เป็นต้น
ซึ่งก็ปรากฏออกมาจากจิตใจนี้เอง อันประกอบ
ด้วยโลภโกรธหลงอย่างรุนแรง
และเมื่อจับแสดงถึงกิเลสอย่างรุนแรงที่บังเกิดขึ้น
ในจิตใจ ในขณะที่ประกอบกรรมอัน
เป็นอกุศลกรรมบถหรือที่
เป็นกรรมกิเลสดังกล่าวนั้น ก็เรียกว่า
เป็นกิเลสอย่างหยาบหรือวีติกกมกิเลส กิเลสที่
เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดออกทางไตรทวาร
เป็นกรรมทั้ง ๓ ดังกล่าวนั้น
นิวรณ์หรือกิเลสอย่างกลาง
กิเลสอย่างกลาง คือกิเลสที่บังเกิดขึ้นเป็นนิวรณ์อยู่
ในจิตใจ คือทำจิตใจไม่ให้พบกับความสงบ
และทำปัญญาให้เสียให้ทราม คือไม่ให้เกิดปัญญา
ที่เรียกว่า นิวรณ์ หรือที่เรียกว่า ปริยุฏฐานะ
คือกิเลสที่บังเกิดขึ้นทำจิตใจ
ให้กลัดกลุ้มวุ่นวายกระสับกระส่าย จึง
ใช้คำว่าปริยุฏฐานะ ที่มาจากคำว่าปล้นสะดม โจรที่
เข้าปล้นสะดมในบ้านเรือนของผู้ใด ก็ทำให้เกิด
ความโกลาหลอลหม่านเดือดร้อนวุ่นวาย
ทรัพย์สินเสียหายหรือตลอดถึงเสียชีวิตเลือดเนื้อ
กิเลสที่บังเกิดขึ้นในจิตใจก็ปล้นจิตใจ ทำจิตใจ
ให้วุ่นวายกระสับกระส่ายเดือดร้อนทำลายธรรมะ
ในจิตใจที่เป็นส่วนดีส่วนชอบต่าง ๆ เหมือนอย่างโจร
เข้าปล้นทำลายทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เรียกว่า
เป็นกิเลสอย่างกลางนั้นก็เพราะบังเกิดขึ้นในจิตใจ
ไม่ถึงให้ละเมิดล่วงออกไปทางไตรทวาร
เป็นกรรมดังกล่าว พระพุทธเจ้า
ได้ทรงแสดงนิวรณ์เอาไว้ ก็คือ
กามฉันท์ ความพอใจรักใคร่ในกาม คือ รูป เสียง
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่ารักใคร่ ปรารถนาพอใจ
ทั้งหลาย หรือว่าความพอใจรักใคร่
ด้วยอำนาจของกาม คือความใคร่ความปรารถนา
ทั้งหลาย
พยาบาท ความโกรธแค้นขัดเคือง
ถีนมิทธะ ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม
อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ และ
วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัย
ก็ย่อลงในกิเลสกองโลภโกรธหลง
หรือราคะโทสะโมหะนั่นแหละ ที่นับว่า
เป็นอย่างกลางก็คือ บังเกิดขึ้นในจิตใจ เป็นนิวรณ์อยู่
ในจิตใจ ทำจิตใจให้กลัดกลุ้ม ทำให้ไม่ได้สมาธิ ทำให้
ไม่ได้ปัญญา การปฏิบัติทางกรรมฐานแต่ว่าไม่ค่อย
ได้สมาธิไม่ค่อยได้ปัญญาก็เพราะนิวรณ์นี้เอง
หรือปริยุฏฐานะ กิเลสเหล่านี้เอง ไม่สงบไป
จากจิตใจ ยังบังเกิดขึ้นอยู่ในจิตใจเป็นนิวรณ์อยู่
ในจิตใจ เป็นปริยุฏฐานะ คือปล้นจิตใจอยู่ เพราะฉะ
นั้น จิตใจจึงไม่ได้สมาธิ ไม่ได้ปัญญา
แต่เมื่อสงบนิวรณ์เสียได้ หรือว่าสงบปริยุฏฐานะ
คือกิเลสที่ปล้นจิต ทำจิตใจที่กลัดกลุ้มวุ่นวายนี้เสีย
ได้ นั่นแหละจึงจะได้สมาธิจึงจะได้ปัญญา
การปฏิบัติกรรมฐานจึงจะสำเร็จเป็นขั้นตอนขึ้นไป
ได้
อาสวะ ๓ และอนุสัย ๓
กิเลสอย่างละเอียด ก็ได้แก่ อาสวะ ๓ คือ กามาสวะ
ภวาสวะ อวิชชาสวะ หรือ อนุสัย ๓ คือราคานุสัย
ปฏิฆานุสัย และอวิชชานุสัย ดังที่กล่าวแล้ว
สำหรับอาสวะและอนุสัยอัน
เป็นกิเลสอย่างละเอียดที่แสดงไว้เป็น ๒ ชื่อนี้
กามาสวะและราคานุสัย
ข้อที่ ๑ ในส่วนอาสวะ ก็ได้แก่ กามาสวะ อาสวะคือกาม
ในส่วนอนุสัย ก็ได้แก่ ราคานุสัย อนุสัยคือราคะ
กาม แปลว่า ใคร่ ราคะ แปลว่า ติด คือติดใจ กาม
กับราคะนั้นก็หมายถึง กิเลสกองความยินดีด้วยกัน
ราคะความใคร่ก็เป็นกิเลสกองยินดี ราคะ
ความติดใจ ก็เป็นกิเลสกองยินดีพอใจด้วยกัน
เพราะฉะนั้น แม้ว่าชื่อจะต่างกัน ก็มีความหมาย
เป็นอันเดียวกัน
ภวาสวะและปฏิฆานุสัย
ข้อที่ ๒ ในส่วนอาสวะ ได้แก่ ภวาสวะ อาสวะคือภพ
ที่แปลว่าความเป็นความเป็นนั่นความเป็นนี่ ตั้งต้นแต่
ความเป็นเราเป็นของเรา อันเรียกว่า อัสมิมานะ
หรืออัสมิทิฏฐิ หรือวาเรียกรวมกันว่า
อัสมิมานะทิฏฐิ ความเห็นนับถือว่า เรามี เราเป็น คือ
เป็นเราเป็นของเรา นี่เป็นตัวภวะหรือตัวภพ ซึ่ง
เป็นต้นเดิมในทุก ๆ คน เมื่อมีเรามีของเรา เป็นเรา
เป็นของเราขึ้น เรานี้เองก็เป็นนั่นเป็นนี่ต่อไปอีก
เพราะฉะนั้น จึงต้องมีเรา คือเป็นเราขึ้นก่อนซึ่ง
เป็นตัวภพซึ่งเป็นต้นเดิม นี้คือภพ
ในส่วนอนุสัยข้อ ๒ ได้แก่ ปฏิฆานุสัย
อนุสัยคือปฏิฆะที่แปลว่าการกระทบกระทั่ง
ดูถ้อยคำแล้วต่างกัน แต่ว่าเมื่อดูความสัมพันธ์ย่อม
จะเห็นว่าสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด คือว่าจะต้องมีภพ
ความเป็น เป็นนั่นเป็นนี่ ตั้งต้นแต่เป็นเราขึ้นมา
จึงมีปฏิฆะขึ้นมาได้ คือมีที่กระทบกระทั่ง ตัวเราที่
เป็นตัวภพนี้แหละเป็นที่กระทบกระทั่ง
ความกระทบกระทั่งจึงมีได้ ถ้าไม่มีตัวเราซึ่ง
เป็นที่กระทบกระทั่ง ปฏิฆะ คือ
ความกระทบกระทั่งก็มีขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นภพ
กับปฏิฆะนั้นจึงสัมพันธ์กันดั่งนี้ และเมื่อยกขึ้นว่าปฏิฆะ
ความกระทบกระทั่ง ก็ต้องหมายว่าต้องมีสิ่งที่
เป็นที่กระทบกระทั่ง คือมีตัวเราอันเป็นภพอัน
เป็นที่กระทบกระทั่ง หรือเมื่อกล่าวว่าภพความ
เป็นนั่นเป็นนี่ตั้งต้นแต่เป็นเรา ก็ต้องหมายถึงว่าจะต้องมี
ความกระทบกระทั่งขึ้นได้แล้ว
เพราะมีที่กระทบกระทั่ง ฉะนั้น จะยกขึ้นว่าภพ
หรือยกขึ้นว่าปฏิฆะ ก็ย่อมเป็นอันเดียวกันมีความเนื่อง
ถึงกัน ดังจะพึงเห็นได้ว่า บุคคล
ทั่วไปเมื่อมีใครมาสรรเสริญว่า นาย ก. นาง ข.
ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ตัวนาย ก. นาง ข. นั่นย่อมมีตัวภพ
ความเป็นนั่นเป็นนี่ตั้งต้นแต่เป็นเรา คือมีตัวเราอยู่
ในนาย ก. นาง ข. อันเป็นตัวภพซึ่งเป็นต้นเดิมดังกล่าว
นั้น ตัวเราซึ่งนาย ก. นาง ข.
นั้นก็ออกรับคำสรรเสริญ คำสรรเสริญ
นั้นก็แปลว่ามีที่กระทบเพราะว่ามีตัวเราของนาย ก.
นาง ข. ออกรับ ก็มีปฏิฆะ คือ การกระทบขึ้น แต่ว่า
เป็นการกระทบในด้านทำให้ยินดี เพราะ
เป็นคำสรรเสริญ แต่ถ้าเป็นคำนินทาว่าร้าย
ตัวเราของนาย ก. นาง ข. ก็ออกรับ คำนินทา
นั้นก็มากระทบตัวของนาย ก. นาง ข. เข้า ก็เกิด
ความขัดใจยินร้าย แต่ถ้าหากว่านาย ก. นาง ข. นั้น
ไม่มีตัวเราออกรับ คำสรรเสริญ
หรือนินทาของใคร ๆ นั้นก็ไม่มากระทบ
เพราะว่านาย ก. นาง ข. นั้นไม่เอาตัวออกรับ เมื่อ
ไม่เอาตัวเราออกรับ คำนินทาหรือสรรเสริญ
ทั้งปวงนั้นก็ผ่านไป ๆ ไม่ทำให้บังเกิดความยินดีไม่ทำ
ให้บังเกิดความยินร้าย เพราะว่าไม่มีตัวเราของนาย
ก. นาง ข. ออกรับการกระทบแห่งคำสรรเสริญ
หรือคำนินทาดังกล่าว
รู้จักภพกับปฏิฆะว่าเป็นสิ่งที่เนื่องกัน
เพราะฉะนั้น เมื่อพิจารณาดูที่จิตใจของตนเอง
และของทุก ๆ คนแล้ว ก็จะรู้สึกได้ว่าเป็นเช่นนี้
เวลาใครเขามายกย่องก็พอใจก็
เพราะมีตัวเราออกรับ มีใคร
เขามานินทาว่าร้ายก็ขัดแค้นโกรธเคืองก็
เพราะมีตัวเราออกรับ คือออกรับการกระทบ
การกระทบก็บังเกิดขึ้นอันเรียกว่าปฏิฆะนั้น
เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมะจึงต้องทำสติให้มี
ความรู้ดั่งนี้ และไม่เอาตัวเราออกรับ แต่ว่ารู้
ได้ยินเห็น แต่ไม่เอาตัวเราออกรับ เมื่อ
ไม่เอาตัวเราออกรับการกระทบก็ไม่มี
การกระทบที่เรียกว่าปฏิฆะนั้นก็ไม่มี ก็ไม่ทำ
ให้จิตใจบังเกิดความขึ้นลง จิตใจคงสงบเป็นปกติในเมื่อ
ไม่มีปฏิฆะคือการกระทบ ความยินดีความยินร้ายต่าง
ๆ ตลอดจนถึงกรรมต่าง ๆ ที่สืบเนื่องไป ก็บังเกิดขึ้น
เพราะมีตัวเรานี้แหละออกรับ
ปฏิฆะคือการกระทบก็บังเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ภพ
กับปฏิฆะนี้จึงเนื่องกันดั่งนี้
อวิชชาสวะและอวิชชานุสัย
ในส่วนในข้อที่ ๓ นั้น ก็ได้แก่ อวิชชาสวะ
อาสวะคืออวิชชา และ อวิชชานุสัย อนุสัยคืออวิชชา ซึ่ง
เป็นอันเดียวกัน
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๓ มีนาคม ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 12:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๘ ความรู้จักอาสวะ (๒)
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๒๘ ความรู้จักอาสวะ (ต่อ)
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
จะแสดงอธิบายข้อ อาสวอนุสัย ต่อไป
กิเลสกามและวัตถุกาม
อาสวะ ๓ กามาสวะ อาสวะคือกาม กามนั้นมี ๒ อย่าง คือ
กิเลสกาม กามคือความใคร่ที่เป็นตัวกิเลส กับ
วัตถุกาม กามคือวัตถุอันหมายถึงพัสดุ
หรือสิ่งที่น่าใคร่ที่ใคร่ที่ปรารถนาที่พอใจ
ทั้งหลาย
วัตถุกาม กามคือพัสดุ ดังกล่าวย่อมเกิดขึ้น
จากกิเลสกาม กามที่เป็นตัวกิเลส คือ
ความใคร่ที่บังเกิดขึ้นในจิตใจ ต้องมีกิเลสกามขึ้นก่อน
และเมื่อกิเลสกามไปใคร่ปรารถนาต้องการ
ซึ่งพัสดุหรือสิ่งอันใด พัสดุหรือสิ่งอันนั้นก็
ได้ชื่อว่าวัตถุกาม ถ้าหากว่าไม่มีความใคร่ในจิตใจ
หรือว่าความใคร่ในจิตใจไม่มีบังเกิดขึ้นในสิ่งอันใด
สิ่งอันนั้นก็ไม่เป็นวัตถุกาม และวัตถุกาม กามคือวัตถุ
หรือพัสดุหรือสิ่งที่ใคร่ที่ปรารถนาที่พอใจนั้น
ก็รวมเข้าใน กามคุณทั้ง ๕ โดยมาก คือ
รูป ที่ตาเห็น
เสียง ที่หูได้ยิน
กลิ่น ที่จมูกได้ทราบ
รส ที่ลิ้นได้ทราบ และ
โผฏฐัพพะ สิ่งถูกต้องที่กายได้ถูกต้อง
โดยมากแสดงเอาไว้ ๕ และเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
กามคุณ เพราะว่าคนโดยมากนั้นติดในข้อที่เป็นคุณ
คือข้อที่น่าพอใจน่ารักใคร่ปรารถนา ในรูป เสียง
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สิ่งถูกต้องเหล่านี้ มักจะมอง
ไม่เห็น กามาทีนพ คือโทษของกาม ซึ่งพระพุทธเจ้าก็
ได้ตรัสสอนไว้เนือง ๆ ว่า กามทั้งหลายมี
ส่วนที่น่าพอใจหรือจะเรียกว่า คุณน้อย
แต่ว่ามีอาทีนพคือโทษมาก และ
ได้ตรัสแสดงจำแนกโทษไว้ต่าง ๆ และแม้
จะตรัสแสดงโทษของกามไว้ต่าง ๆ แล้วเป็นอันมาก ก็
ยังมีประวัติแสดงไว้ว่า ได้มีภิกษุสามเณรบางรูป
ไม่แลเห็นโทษกล่าวคัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ว่าข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามีโทษนั้นหา
ได้มีโทษจริงไม่ จนถึงเป็นเหตุให้ภิกษุทั้งหลายพา
กันติเตียนและกราบทูลพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสโอวาทสั่งสอนจนถึงบัญญัติ
เป็นพระวินัยไว้บางข้อ เกี่ยว
กับเรื่องคัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้
ข้อที่คัดค้านนั้นข้อหนึ่งก็คือเรื่องกามนี้แหละ ที่ยังพา
กันมองเห็นแต่ส่วนที่เป็นกามคุณ แต่ว่ากามโทษ
โทษของกาม นั้นมักจะมองกันไม่เห็น
รู้จักกามที่เป็นอาสวะ
และ กามที่เป็นอาสวะ หมายถึงกามคือความใคร่ ที่
เป็นกิเลสซึ่งดองจิตสันดานอยู่ในภายใน โดยปกติ
นั้นทุกคนก็ย่อมไม่รู้สึกในกามที่เป็นอาสวะนี้ของตนที่มี
อยู่ เพราะเป็นอย่างละเอียด เพราะฉะนั้น ท่าน
จึงมีเปรียบว่าเหมือนอย่างตะกอนที่นอนอยู่ก้นตุ่ม น้ำ
ในตุ่มก็ดูใสสะอาด ในเมื่อตะกอนนั้นนอนอยู่ก้นตุ่มเฉย ๆ
ไม่ฟุ้งขึ้นมา น้ำก็ไม่ขุ่น เหมือนอย่างว่าเป็นน้ำที่บริสุทธิ์
ไม่มีตะกอนอยู่ จิตของบุคคลที่เป็นปุถุชนสามัญทั่วไปก็
เป็นเช่นนั้น แม้
ในขณะที่จิตรู้สึกว่าบริสุทธิ์ผ่องใสเหมือนอย่างว่า
ไม่มีกิเลสไม่รู้สึกรักใคร่ในอะไรต้องการ
ในอะไร หรือบางทีปฏิบัติในศีลในสมาธิในปัญญา
ได้ศีลได้สมาธิได้ปัญญาที่ทำจิตให้บริสุทธิ์ แต่ว่า
ยังละอาสวะดังกล่าวนี้ไม่ได้ แต่ว่ากดทับอาสวะไว้ไม่
ให้ฟุ้งขึ้นมาก็ทำให้รู้สึกเหมือนอย่างว่าไม่มีกิเลส
ในครั้งพุทธกาลเอง พระพุทธเจ้าผู้ทรงรู้ทรงเห็น
ได้มีภิกษุบางรูปบางกลุ่ม ซึ่ง
ได้ออกไปปฏิบัติสมณธรรมในป่า ก็ได้ศีลได้สมาธิ
ได้ปัญญาที่กดอาสวะเอาไว้กลบอาสวะเอาไว้ จนทำ
ให้ภิกษุเหล่านั้นรู้สึกว่าตนสิ้นกิเลสหมดแล้ว จึง
ได้มาเข้าเผ้าพระพุทธเจ้าเพื่อรับพุทธพยากรณ์
เพราะในครั้งพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าเป็น
ผู้ทรงประทานพุทธพยากรณ์ว่าท่านองค์
ใดสิ้นกิเลสแล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็
เป็นที่รับรองของภิกษุทั้งหลาย ของพุทธบริษัท
ทั้งหลาย ภิกษุกลุ่มนั้นก็ได้มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
กราบทูลถึงการปฏิบัติของตนเพื่อ
ให้ทรงพยากรณ์ พระพุทธเจ้าทรงทราบว่ายัง
ไม่สิ้นกิเลสที่เป็นอาสวะดังกล่าวจึงยังมิให้เข้าเฝ้า
ได้ตรัสสั่งให้ไปในป่าช้าผีดิบ ซึ่งในครั้งพุทธกาลนั้น
ผู้ที่ตายก็ต้องนำเอาศพไปทิ้งไว้ในป่าช้าผีดิบ สำหรับที่
จะให้สัปเหร่อเป็นผู้จัดการเผาต่อไป ภิกษุเหล่านั้นก็
ได้เข้าไปในป่าช้าผีดิบ เมื่อได้เห็นศพที่ยังสดชื่น กามที่
เป็นกามาสวะก็โผล่ขึ้นมา เป็น
ความรู้สึกรักใคร่ปรารถนาพอใจขึ้น จึง
ได้รู้สึกตนเองว่ายังไม่สิ้นกิเลส จึง
ได้ไปบำเพ็ญสมณธรรมต่อไปจนเมื่อสิ้นกิเลสจริง ๆ
แล้ว ได้กลับไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าใหม่ จึง
ได้โปรดให้เข้าเฝ้าและได้ประทานพุทธพยากรณ์
ในครั้งพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าเองได้เป็น
ผู้ประทานพุทธพยากรณ์แก่พระสาวก ท่านองค์
ใดที่สิ้นกิเลสอันหมายถึงสิ้นอาสวะดังกล่าวนี้แล้ว
ก็ตรัสพยากรณ์ว่าเป็นผู้เสร็จกิจแล้ว ซึ่งก็
เป็นที่รับรองของภิกษุทั้งหลายของพุทธบริษัท
ทั้งหลายดังกล่าว แต่ว่าหลังจากพุทธปรินิพพาน
แล้วไม่มีผู้พยากรณ์ แต่ก็ได้มีผู้ที่นับถือพยากรณ์
กันเอาเอง มาจนถึงปัจจุบันนี้ ท่านที่กล่าว
กันว่าท่านสำเร็จชั้นนั้นสำเร็จชั้นนี้ต่าง ๆ นั้น
ก็ล้วนแต่ผู้เคารพนับถือเป็นผู้พยากรณ์ถวายท่านทั้ง
นั้น จึงได้ปรากฏเรื่อย ๆ มาจน
ถึงปัจจุบันว่ามีพระอริยะบังเกิดขึ้นที่นั่นบังเกิดขึ้นที่นี่
อยู่ที่นั่นอยู่ที่นี่ ตั้งแต่พระอรหันต์ลงมา
กันหลายองค์หลายท่าน ก็ล้วนเป็นผู้ที่
ผู้นับถือพยากรณ์ถวายท่านทั้งนั้น ซึ่งผู้พยากรณ์คือ
ผู้นับถือทั้งหลายนั้นอันที่จริงก็มิใช่เป็นผู้รู้เป็น
ผู้เห็นเหมือนพระพุทธเจ้า แต่ว่าเมื่อ
ได้ฟังธรรมของท่านผู้ที่ตนเคารพนับถือ
ได้เห็นอากัปกิริยาความสำรวมระวังของท่าน ก็เกิด
ความเคารพนับถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ก็นับถือเลยเข้าไปถึงว่าท่านสำเร็จแล้ว
ก็ถวายพยากรณ์ท่านเป็นโน่นเป็นนี่ คือพา
กันตั้งถวายท่านให้เป็นพระอริยบุคคลชั้นต่าง ๆ
แต่ตามประวัตินั้น ภายหลังพุทธนิพพานแล้ว
แม้ท่านที่เป็นพระอรหันต์
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์เอาไว้แล้ว ซึ่งมีชีวิต
อยู่หลังจากพุทธปรินิพพาน
ดังเช่นพระมหากัสสปเถระ พระอนุรุทธเถระ ก็
ไม่ปรากฏว่าท่านพยากรณ์ใคร
แม้ท่านพระอานนท์เถระที่ตามพุทธประวัติแสดงว่าท่านสำเร็จ
เป็นพระอรหันต์ในราตรีก่อนที่จะ
ถึงวันเริ่มกระทำปฐมสังคายนาหลัง
จากพุทธปรินิพพานแล้ว ก็เป็นที่รับรองกัน
ในหมู่พระอรหันต์ทั้งหลายเท่านั้น แต่ก็
ไม่ปรากฏว่าได้มีพระอรหันต์รูปใดซึ่ง
ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วได้กล่าวพยากรณ์เอาไว้
แต่ว่า ท่านเป็นผู้รู้ผู้เห็น ท่านจึงรู้จึงเห็น
จึงทราบภูมิธรรมในจิตใจของ
ผู้ที่บรรลุภูมิธรรมถึงขั้นเดียวกันได้
เพราะฉะนั้น อาสวะนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ
และอาสวะคือกามนี้ก็หมายถึงกามที่เป็นอย่างละเอียด
อันมีอยู่
ในจิตใจเหมือนอย่างตะกอนที่นอนก้นตุ่มดังกล่าวนั้น
ซึ่งปุถุชนสามัญชนย่อมมีอยู่ด้วยกัน อาจกล่าวได้ว่ามี
อยู่ตั้งแต่ปฐมจิตปฐมวิญญาณในครรภ์ของมารดา
คือเกิดมาก็มีอาสวะติดมาด้วย
รู้จักภพที่เป็นอาสวะ
ภวาสวะ อาสวะคือภพ ก็ได้อธิบายแล้ว เริ่มตั้งแต่
ความเป็นเรา หรือว่าเราเป็นเรามีอันฝังอยู่ดองอยู่
ในจิตใจของทุก ๆ คน
รู้จักอวิชชาที่เป็นอาสวะ
อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา ก็ได้แก่ความไม่รู้ในสัจ
จะที่เป็นตัวความจริงเป็นต้น ดังที่ได้กล่าวอธิบาย
แล้ว เป็นความไม่รู้ที่ตั้งอยู่ในความรู้ คือทุก ๆ
คนที่เกิดมานี้มีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ก็มีตัวความรู้อยู่ แต่ว่า
ความรู้ที่มีอยู่นี้เป็นความรู้ผิด เป็นความรู้หลง นั่นก็
เพราะว่ายังเป็นความรู้ที่เป็นอวิชชา รู้แต่ว่าเป็น
ความรู้ที่เป็นอวิชชา แต่ว่าตนเองนั้น
ไม่รู้จักตัวอวิชชาที่มีอยู่ในความรู้ของตัวเอง
พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้เป็นผู้เห็น
ได้ตรัสชี้แจงแสดงไว้เพื่อให้ทราบ
แม้อวิชชาดังกล่าวนี้ก็เป็นตัวความ
ไม่รู้อย่างละเอียดที่มีอยู่ในตัวความรู้ ทำให้
ความรู้ของทุกคนเป็นความรู้ผิดเป็นความรู้หลง ไม่
ใช่เป็นความรู้จริง ยกตัวอย่างง่าย ๆ เหมือนอย่าง
ความรู้ทางตา
เช้านี้ก็มองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
แล้วก็ขึ้นสูง ๆ ขึ้น เย็นลงก็อาทิตย์ตกทางทิศตะวันตก
ก็รู้ว่าอาทิตย์ขึ้นอาทิตย์ตก อาทิตย์โคจรไปดั่งนี้
และโลกนี้ก็รู้สึกเฉย ๆ เป็นของที่แบนอยู่กับที่ แต่เมื่อ
ความรู้ในภูมิศาสตร์ของโลกของบุคคลเจริญขึ้น
ได้แสดงไว้ตรงกันข้ามดั่งที่ผู้ศึกษาในปัจจุบันทราบ
กันอยู่ แต่ว่าความรู้ที่แสดงในปัจจุบันดังกล่าวนี้มอง
ไม่เห็นด้วยตา แม้จะสอนว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ว่า
เท่าที่มองเห็นด้วยตารู้ด้วยตา ก็
ยังเห็นอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเวลาเช้า
ตกทางทิศตะวันตกในเวลาเย็นอยู่นั่นเอง
อาทิตย์โคจรทุก ๆ วันดังนี้ แต่ความจริงนั้นตรง
กันข้าม ดังที่ผู้ศึกษาทราบกันอยู่ แต่ว่าข้อตรง
กันข้ามนี้มองไม่เห็นด้วยตา ไม่รู้ด้วยตา แต่ว่ารู้ด้วย
ความรู้ตามเหตุตามผล เพราะฉะนั้นความรู้ที่
เป็นตัววิชชาจริง ๆ นี้ แม้ในทางภูมิศาสตร์ของโลกก็
ยังไม่ปรากฏทางตาทางหูของตน แต่ว่าปรากฏด้วย
ความรู้อันเป็นความรู้จริงซึ่งพิสูจน์ได้ในทางต่าง ๆ
และก็เป็นที่รับรองกัน
เพราะฉะนั้น ความรู้ทางตาจึงเป็นอย่างหนึ่ง
ความรู้จริงนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง คนเรานั้นได้อาศัย
ความรู้ทางตาทางจมูกทางลิ้นทางกายทางมนะคือใจ
คือคิดเอาเองกันอยู่ดั่งนี้เป็นพื้น ซึ่งไม่ใช่เป็น
ความรู้จริง แต่ความรู้จริงนั้นก็
ต้องอาศัยตาหูเหล่านี้แหละ แต่ก็
ต้องมาพินิจพิจารณา ที่เรียกว่าดูแล้วก็ต้องมาคิด
คิดแล้วก็ต้องมาปฏิบัติมากระทำต่าง ๆ จึงจะ
เป็นตัวปัญญาคือความรู้จริงขึ้นในทุก ๆ สิ่งเป็นอยู่ดั่งนี้
นิวรณ์เกิดจากาอาสวอนุสัย
เพราะฉะนั้น อวิชชานี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาจึง
จะรู้ว่ายังมีอวิชชา แต่ถ้าไม่พิจารณาแล้วก็
จะหลงว่าเรารู้แล้วเรารู้แล้วในสิ่ง
ทั้งหลายต่าง ๆ อยู่เสมอ อวิชชาที่เป็นอาสวะนี้ก็มี
อยู่ดองจิตสันดานของบุคคลอยู่ แม้ในส่วนที่เป็น อนุสัย
อีกชื่อหนึ่ง
ราคานุสัย ราคะก็หมายถึงความติดใจที่
เป็นราคะอย่างละเอียด
ปฏิฆานุสัย อนุสัยคือปฏิฆะ ความกระทบกระทั่ง
ก็หมายถึงความกระทบกระทั่งอย่างละเอียด
อวิชชานุสัย อนุสัยคืออวิชชา ก็
เป็นอวิชชาอย่างละเอียดดังที่กล่าวมาแล้ว
เพราะฉะนั้น เป็นอันว่าสามัญชนหรือปุถุชน
ทั้งหลายย่อมมีอาสวะมีอนุสัย ดองจิตสันดานนอนเนื่อง
อยู่ในจิตสันดานมาตั้งแต่ปฐมจิตปฐมวิญญาณ
ในครรภ์ของมารดา ติดมากับปฏิสนธิจิต
คลอดออกมาเป็นเด็กก็มีอาสวะมีอนุสัย โตขึ้นเป็นผู้
ใหญ่ เมื่ออายตนะภายในภายนอกเจริญขึ้นเติบโตขึ้น
อาสวะอนุสัยที่ดองจิตสันดานอยู่นี้
เมื่อถูกอารมณ์มากระทบเหมือนอย่างตะกอนที่ถูกกวน
ก็ฟุ้งขึ้นมาเป็นกิเลสอย่างกลาง คือเป็นนิวรณ์หรือ
เป็นปริยุฏฐานะ กิเลสที่ปล้นจิต ทำจิต
ให้กลัดกลุ้มวุ่นวาย
ยกเอาอนุสัยเป็นที่ตั้ง ราคานุสัย กิเลสที่นอนเนื่องอยู่
ในจิตสันดานคือราคะ เมื่อถูกกระทบ
ด้วยอารมณ์ทางตาทางหูเป็นต้น คือได้เห็น
ได้ยินรูปเสียงเป็นต้น ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ
ก็กวนตะกอนหรือราคานุสัยนี้ คือตัวราคะที่มีอยู่
เป็นต้น เดิมในจิตใจนี้ให้ฟุ้งขึ้นมา ทำจิตใจให้บังเกิด
ความรู้สึกกำหนัดยินดีรักใคร่ปรารถนาพอใจต่าง
ๆ ในรูปในเสียงเป็นต้น ก็เป็นนิวรณ์ขึ้นในจิตใจ
และเมื่อกระทบกับอารมณ์ที่
ไม่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ปฏิฆานุสัย
อนุสัยคือปฏิฆะ ความกระทบกระทั่ง ซึ่งมีอยู่ใน
ส่วนลึกของจิตใจนี้ก็ฟุ้งขึ้นมาเป็นโกธะ ความโกรธ
หรือโทสะ ความประทุษร้ายใจคือขัดใจ
เป็นนิวรณ์ขึ้นในจิตใจ
เมื่อกระทบกับอารมณ์ที่เป็นกลาง ๆ ไม่พอที่จะ
ให้เกิดรักใคร่ยินดีหรือเกิด
ความขัดใจขัดเคืองหงุดหงิด แต่เพราะว่าไม่รู้
ความเกิดขึ้นไม่รู้ความดับไป ไม่รู้คุณไม่รู้โทษ
ไม่รู้วิธีที่จะสลัดออกแล่นออก อวิชชา คือความไม่รู้
ซึ่งเป็นอนุสัยก็ฟุ้งขึ้นมาเป็นโมหะคือความหลง คือ
ความหลงถือเอาผิดจากความเป็นจริง ก็
เป็นนิวรณ์ขึ้นในจิตใจ
ดังที่มีแสดงไว้ว่า กามฉันท์ก็คือราคะนั้นเองฟุ้งขึ้นมา
เป็นกามฉันท์ ความพอใจรักใคร่ในกาม
ปฏิฆะก็ฟุ้งขึ้นมาเป็นพยาบาท แต่พยาบาทในที่นี้หมาย
ถึงแค่ความขัดใจ หงุดหงิดขัดเคือง ยังไม่
ถึงมุ่งร้ายออกไปแก่ใคร ขัดใจขึ้นในใจ
ขัดเคืองหงุดหงิดขึ้นในใจ และอวิชชาก็ฟุ้งขึ้นมาเป็น
ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
ความสงสัยลังเลใจต่าง ๆ แต่ว่า
ความรำคาญใจนี้บางท่านก็จัดเข้าเป็นกองโทสะ
นี้เป็นกิเลสอย่างกลางบังเกิดขึ้นในจิตใจ
จิตใจตัวเองก็มีความรู้สึกว่าตัวมีอยู่ มีกามฉันท์อยู่ มี
ความหงุดหงิดโกรธแค้นขัดเคืองอยู่ มี
ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้มอยู่ มีความเคลือบแคลง มี
ความฟุ้งซ่านรำคาญใจอยู่ มี
ความเคลือบแคลงสงสัยอยู่ แต่ยัง
ไม่แสดงออกไปทางกาย ทางวาจา ทางใจ ที่
เป็นตัวทวาร เป็นกรรม
กรรมกิเลสหรือวีติกกมกิเลส
คราวนี้กิเลสอย่างกลางนี้เมื่อแรงขึ้นไปอีก ก็
เป็นกิเลสอย่างหยาบที่เป็นวีติกกมะ ให้ล่วงละเมิด ก็
ได้แก่ตัว
ราคะ ที่เป็นความกำหนัดยินดีหรือเป็นกามฉันท์นั้น
หรือเป็นโลภะความโลภ อยากได้ก็แรงขึ้นเป็น
อภิชฌา โลภเพ่งเล็งเอาสิ่งของ ๆ ผู้อื่นมาเป็นของตน
โทสะ ความโกรธแค้นขัดเคือง
ซึ่งเดิมก็ประทุษร้ายใจของตัวเองให้เดือดร้อน
ก็แรงขึ้นเป็น พยาบาท มุ่งที่จะทำร้ายเขาว่าร้าย
เขาต่าง ๆ ที่จะทำลายเขาออกไปให้พินาศ
โมหะ คือความหลงถือเอาผิดนั้นแรงขึ้นก็เป็น
มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
ก็เป็นมโนกรรมฝ่ายอกุศลกรรมบถดังที่ได้แสดง
แล้ว ก็เป็นกิเลสอย่างหยาบ
กิเลสอย่างหยาบนี้ปรากฏออกมาทางไตรทวาร
เริ่มตั้งแต่มโนทวาร กายทวาร วจีทวาร เป็น
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ฝ่ายอกุศล
ทั้งหลาย ที่คนทั้งหลายได้พากันประกอบกระทำ
กันอยู่ ก็เพราะว่ากิเลสนี้เองกำเริบขึ้นมา
เป็นอย่างแรง เหมือนอย่างตะกอนนอนก้นตุ่มนั้นถูกคน
ให้ฟุ้งขึ้นมา ก็ทำให้น้ำในตุ่มนั้นขุ่นจนถึงขุ่นมาก
และเมื่อถูกกวนคนมากขึ้น น้ำในตุ่มนั้นก็กระเพื่อมจน
ถึงกระเพื่อมออกไปจากตุ่ม หกไปจากตุ่ม
ออกไปเรี่ยราดอยู่ในภายนอกจากตุ่ม กิเลส
ในใจของบุคคลก็เป็นเช่นนี้ มีอาสวอนุสัยที่
เป็นอย่างละเอียดอยู่
และเมื่อกระทบอารมณ์ก็ฟุ้งขึ้นมาเป็นอย่างกลาง
เป็นอย่างหยาบ ก็ปรากฏเป็นกายกรรม วจีกรรม
มโนกรรม ที่ประกอบกระทำกันในทางที่ผิดต่าง ๆ
ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่ากรรมกิเลสบ้าง
วีติกกมกิเลสบ้าง ดังที่ได้แสดงแล้ว
ละอาสวะได้จึงจะเป็นพระอรหันต์
เพราะฉะนั้น พระอรหันต์นั้นจึงมีคำเรียกว่า
ขีณาสวะ ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว คือมิใช่ว่าสงบได้
จากกิเลสที่เป็นอย่างหยาบ กิเลสที่เป็นอย่างกลาง
ซึ่งคนที่ปฏิบัติในศีลก็สามารถที่จะงดเว้น
จากกิเลสอย่างหยาบได้ ปฏิบัติในสมาธิ
ได้สมาธิก็สงบกิเลสอย่างกลางได้ แต่ว่ายังไม่
ได้ปัญญาที่ตรัสรู้ในสัจจะที่เป็นความจริงอัน
เป็นเหตุละกิเลสได้หมดสิ้น ก็แปลว่ายังมีอาสวะอยู่
เมื่อยังมีอาสวะอยู่ก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์ แม้จะ
ได้ศีลได้สมาธิหรือได้ปัญญาอย่างสามัญที่
ยังตัดกิเลสไม่ได้
ครอบงำบรรดากิเลสอย่างกลางอย่างหยาบไว้ได้
แต่ว่ายังละที่เป็นอาสวะไม่ได้ ก็ยังไม่
เป็นพระอรหันต์ จะต้องละกิเลสที่เป็นอาสวะ
ได้ที่เรียกว่า ขีณาสวะ
ผู้มีอาสวะคือกิเลสที่ดองจิตสันดานได้สิ้นแล้ว จึงจะ
เป็นพระอรหันต์ผู้เสร็จกิจในพุทธศาสนา
อวิชชาเกิดเพราะอาสวะ อาสวะเกิดเพราะอวิชชา
ท่านพระสารีบุตรท่านได้แสดงข้ออาสวะนี้เพิ่ม
จากปฏิจจสมุปบาท ในปฏิจจสมุปบาทนั้นที่สุดแค่อวิชชา
แต่ท่านพระสารีบุตรก็ยังได้แสดงต่อไปว่า เหตุที่
ให้เกิดอวิชชาก็คืออาสวะ เพราะอาสวะเกิดอวิชชา
จึงเกิด แต่ต่อจากนั้นท่านก็ต้องแสดงกลับไปอีกว่า
อาสวะเกิดก็เพราะอวิชชา คือเพราะอวิชชาเกิดอาสวะ
จึงเกิด ก็วนกลับมาหาอวิชชาอีกนั่นเอง
การที่ท่านแสดงอาสวะเพิ่มขึ้นอีกข้อหนึ่งนี้ก็มิใช่ว่าจะ
เป็นการแสดงที่เกินเลยอาจารย์คือพระพุทธเจ้าไป
เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซึ่งสำเร็จ
เป็นพระพุทธเจ้านั้นซึ่งมีแสดงว่า ทรง
ได้ญาณที่ระลึกถึงชาติในหนหลังได้
ในปฐมยามของราตรีที่ตรัสรู้ ทรงได้ญาณคือ
ความหยั่งรู้ในจุติความเคลื่อน อุปบัติความเข้า
ถึงภพชาตินั้น ๆ ของสัตว์ทั้งหลายว่า
เป็นไปตามกรรมในมัชฌิมยาม ทรง
ได้อาสวักขยญาณ ความหยั่งรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ
ทั้งหลาย ในปัจฉิมยามของราตรี เมื่อทรง
ได้อาสวักขยญาณจึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
และ อาสวักขยญาณนั้นก็คือความหยั่งรู้ในอริยสัจ ๒
สาย ที่ตรัสแสดงเอาไว้เอง
สาย ๑ ก็คือญาณหยั่งรู้ในทุกข์ ในเหตุเกิดทุกข์ ใน
ความดับทุกข์ ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ นี้
เป็นอริยสัจสายที่ ๑
อริยสัจสายที่ ๒ ก็คือญาณความหยั่งรู้ในอาสวะ ญาณ
ความหยั่งรู้ในเหตุเกิดอาสวะ ญาณความหยั่งรู้ใน
ความดับอาสวะ ญาณความหยั่งรู้ในทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับอาสวะ
พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้เองดั่งนี้ เพราะฉะนั้น
ท่านพระสารีบุตรจึงได้นำอาสวะมาแสดง
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๔ มีนาคม ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 12:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๙ ความรู้จักอาสวะ (๓)
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๒๙ ความรู้จักอาสวะ (ต่อ)
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
วิชชา วิมุตติเกิดจากจิตตภาวนา
ได้แสดงข้อสัมมาทิฏฐิตามเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรแก่ภิกษุ
ทั้งหลายมาโดยลำดับ จนถึงหมวดอาสวะ และก็
ได้แสดงข้ออาสวะกับข้ออนุสัยมาแล้ว จะ
ได้แสดงเพิ่มเติมถึง
ความเกิดขึ้นของอาสวอนุสัยตามที่พระพุทธเจ้า
ได้ตรัสแสดงไว้จากพระสูตร
เพราะว่าอาสวอนุสัยนี้
เป็นกิเลสอย่างละเอียดที่หมักหมมดองจิตสันดานที่นอน
เนื่องอยู่ในจิตสันดานของสัตว์บุคคลทั้งหลาย เรา
ทั้งหลายได้ทราบก็เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้
ความตรัสรู้ของพระองค์ได้เจาะแทงลงไป
ถึงอาสวอนุสัย ละถอนกำจัดอาสวอนุสัยได้หมดสิ้น
ด้วยพระปัญญาพร้อมทั้งมรรคข้ออื่น ๆ ประกอบ
กันเป็นมรรคสามัคคี กำจัดอาสวอนุสัยให้หมดสิ้นไป
จิตของพระองค์จึงบรรลุถึงวิสังขารคือนิพพาน
สิ้นปรุงแต่งด้วยประการทั้งปวง สิ้นตัณหาอัน
เป็นสมุทัยแห่งกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวง
จิตนี้พระองค์ได้ตรัสบอกไว้ว่าประภัสสรคือผุดผ่อง
แต่เศร้าหมองไปเพราะกิเลสทั้งหลายที่จรเข้ามา
แต่ว่าเมื่อบุคคลได้สดับธรรมะที่ทรงสั่งสอน
ทำจิตตภาวนาคืออบรมจิตตามที่ทรงสั่งสอน
ด้วยมรรคมีองค์ ๘ ย่อลงก็เป็นศีลสมาธิปัญญา
จิตก็จะวิมุตติหลุดพ้น
จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา
เป็นจิตที่ประกอบด้วยวิชชาคือความรู้อันตรงกันข้าม
กับอวิชชา วิมุตติคือความหลุดพ้นอันตรงกันข้าม
กับอุปาทานคือความยึดถือ
อนุสัยกิเลสเกิดจากเวทนา
พิจารณาดูตามกระแสพระพุทธภาษิตที่ตรัสแสดง
ไว้นี้ ก็ย่อมจะเห็นได้ว่า จิตนี้แม้
เป็นธรรมชาติที่ประภัสสรคือผุดผ่อง แต่เมื่อยังมิ
ได้ปฏิบัติทำจิตตภาวนาอบรมจิต จิตนี้ก็ยังมีอวิชชาคือ
ความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง แม้จิตนี้จะ
เป็นธาตุรู้ แต่ก็ยังเป็นรู้ผิดรู้หลง จึงยังมี อุปาทาน
คือความยึดถือ
และเมื่ออายตนะภายนอกอายตนะภายในประจวบกัน
ซึ่งเป็นไปตามธรรมดาของกายและใจอันนี้
หรือของนามรูปอันนี้ ก็ย่อมเกิด
จักขุวิญญาณ ความรู้ทางจักษุ คือเห็นรูป
โสตวิญญาณ ความรู้ทางหู คือได้ยินเสียง
ฆานวิญญาณ ทราบกลิ่นทางจมูก
ชิวหาวิญญาณ ทราบรสทางลิ้น
กายวิญญาณ ทราบสิ่งถูกต้องทางกาย
มโนวิญญาณ ทราบเรื่องราวที่รู้ที่คิดทางมโนคือใจ
และเมื่ออายตนะภายในตาหูจมูกลิ้นกาย
และมนะคือใจ
อายตนะภายนอกคือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะคือสิ่งถูก
ต้อง และธรรมะคือเรื่องราวที่รู้ที่คิดทางใจ
กับวิญญาณดังกล่าวทั้ง ๓ อย่างนี้มาประชุมกันเข้า ก็
เป็น สัมผัสหรือผัสสะ คือความกระทบ
และเพราะสัมผัสคือความกระทบก็หมายถึง
ความกระทบจิตนี้เอง จึงเกิด เวทนา คือความรู้
เป็นสุขรู้เป็นทุกข์หรือรู้เป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์
ไม่สุขทางกายทางใจ ดังที่ทุก ๆ คนได้มีเวทนากันอยู่
เป็นประจำ เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้างเป็นกลาง ๆ
ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้างทางกายทางใจ
ราคานุสัยเกิดจากสุขเวทนา
และเมื่อได้พบกับ สุขเวทนา เวทนาที่เป็นสุข ก็ย่อมจะมี
ความติดใจยินดีในสุข เมื่อเป็นดั่งนี้ ราคะคือ
ความติดใจยินดีในสุขนี้ก็ตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ในจิต
เรียกว่า ราคานุสัย อนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่
ในจิตคือราคะความติดใจยินดี แม้ว่าสุขเวทนานั้น
จะหายไปแล้ว แต่ว่าราคานุสัยก็ยังตกตะกอนนอน
เนื่องอยู่ในจิต
ปฏิฆานุสัยเกิดจากทุกขเวทนา
เมื่อพบกับ ทุกขเวทนา เวทนาที่เป็นทุกข์ ก็เกิด
ความทุกข์เดือดร้อนอย่างแรง ก็ตีอกชกหัวต่าง ๆ
ปฏิฆะคือความกระทบกระทั่งนั้นก็ตกตะกอนนอนเนื่อง
อยู่ในจิต เป็น ปฏิฆานุสัย กิเลสที่นอนเนื่องอยู่
ในจิตคือปฏิฆะความกระทบกระทั่ง แม้ว่าทุกขเวทนา
นั้นจะสงบไปแล้ว แต่ปฏิฆานุสัยก็ยังนอนเนื่องอยู่ในจิต
อวิชชานุสัยเกิดจากอทุกขมสุขเวทนา
เมื่อพบกับ เวทนาที่เป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็มิ
ได้พิจารณาให้รู้จักความเกิดขึ้นความดับไป
ความน่าพอใจ ความไม่น่าพอใจ และการที่
จะนำจิตแล่นออกไปได้ นี้ก็เป็นอวิชชา ก็นอนจมนอน
เนื่องอยู่ในจิต เป็น อวิชชานุสัย กิเลสที่นอนเนื่องอยู่
ในจิต คืออวิชชาคือตัวที่ไม่รู้ แม้ว่าเวทนาที่เป็นกลาง ๆ
นั้นจะสงบไปแล้ว แต่อวิชชานุสัยนี้ก็ยังนอนเนื่องอยู่
ในจิตเป็นตะกอนอยู่ในจิต
ซึ่งโดยปกติทุกคนก็จะไม่รู้สึกว่ามีอนุสัยเหล่านี้อยู่
ในจิต ยิ่งผู้ที่ปฏิบัติธรรมะได้ศีลได้สมาธิได้ปัญญา
แต่ยังไม่เป็นมรรคกำจัดกิเลสได้ อนุสัยเหล่านี้ก็ยิ่ง
ไม่ปรากฏ แต่ก็ยังมีอยู่ยังนอนเนื่องอยู่ในจิต นอนจมอยู่
ในจิต เป็นตะกอนอยู่ในจิตดังที่เปรียบไว้
แล้วว่าเหมือนอย่างตะกอนนอนก้นตุ่ม ไม่ฟุ้งขึ้นมา น้ำ
ในตุ่มก็ดูใสสะอาด แต่อันที่จริงนั้น ไม่ใช่
เป็นน้ำบริสุทธิ์สิ้นเชิง เพราะยังมีตะกอนนอนจม
อยู่ก้นตุ่ม นี่คืออนุสัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงพบ
ได้ตรัสแสดงไว้ในพระสูตรหนึ่งถึง
ความบังเกิดขึ้นของอนุสัยดั่งนี้ ว่าอาศัยเวทนานี้เอง
หรือว่ากล่าว
ให้หมดก็คือว่าอาศัยอายตนะภายนอกภาย
ในของบุคคลที่ประจวบกันเกิดวิญญาณ และทั้ง ๓
นี้ก็มาประชุมกันเป็นสัมผัสหรือผัสสะ ก็เป็นเหตุ
ให้เกิดเวทนา เมื่อเกิดเวทนาก็เป็นเหตุให้เกิดราคะบ้าง
คือจิตใจยินดีในสุข ปฏิฆะบ้าง คือว่าหงุดหงิดในทุกข์
อวิชชาบ้าง คือไม่รู้ในเวทนาที่เป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์
ไม่สุข ราคะ ปฏิฆะ อวิชชาเหล่านี้ก็ตก
เป็นตะกอนนอนจมอยู่ในจิต เป็นราคานุสัยบ้าง
ปฏิฆานุสัยบ้าง อวิชชานุสัยบ้าง ดังกล่าว และเมื่อ
ได้ประสบเวทนากันอยู่เป็นประจำ และก็มี
ความติดใจยินดีในสุขกันอยู่เป็นประจำ
หงุดหงิดขัดเคืองในทุกข์อยู่เป็นประจำ ไม่รู้อยู่
ในเวทนาที่เป็นกลาง ๆ อยู่เป็นประจำ ราคะ ปฏิฆะ
อวิชชาที่บังเกิดขึ้นใหม่ ๆ
อยู่ทุกวี่ทุกวันทุกเวลาเหล่านี้ก็นอนจมลงไปในจิต
นอนเนื่องอยู่ในจิตเป็นอนุสัยเพิ่มเติมขึ้นอยู่เสมอ
ก็แปลว่าตะกอนก้นตุ่มนั้นก็มากขึ้นมากขึ้น แต่เมื่อ
ไม่ฟุ้งขึ้นมา น้ำในตุ่มก็ดูยังใส
ตรัสสอนให้มีอินทรียสังวร
ส่วนอาสวะนั้นก็มีตรัสแสดงไว้ในข้อที่ตรัสสอน
ให้ปฏิบัติใน อินทรียสังวร ความสำรวมอินทรีย์
คือตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ ดังที่ตรัสสอนเอา
ไว้ว่า
เห็นรูปอะไรทางตา ได้ยินเสียงอะไรทางหู
สูดกลิ่นอะไรทางจมูก ลิ้มรสอะไรทางลิ้น ถูก
ต้องโผฏฐัพพะคือสิ่งถูกต้องอะไรทางกาย คิด
หรือรู้เรื่องอะไรทางมโนคือใจ ก็ไม่ยึดถือโดยนิมิต
คือไม่ยึดถือทั้งหมดว่างามหรือไม่งาม น่าชอบใจหรือ
ไม่น่าชอบใจ ไม่ยึดถือโดยอนุพยัญชนะ คือเลือกแต่บาง
ส่วนว่างามหรือไม่งาม น่าชอบใจหรือไม่น่าชอบใจ
อภิชฌาคือความยินดี โทมนัสคือความยินร้าย
บาปอกุศลธรรมทั้งหลายย่อมไหลเข้ามาสู่จิต
เพราะเหตุที่มิได้สำรวมมิได้รักษาอินทรีย์
คือตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจเหล่านี้
เพราะตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจเหล่านี้อันใด
เป็นเหตุ ย่อมปฏิบัติรักษาอินทรีย์คือตาหูจมูกลิ้นกาย
และมนะคือใจเหล่านี้ไว้ มิให้ยึดถือดั่งนั้น มิให้
ความยินดียินร้าย บาปอกุศลธรรมทั้งหลายไหล
เข้ามาสู่ใจอย่างนั้น ปฏิบัติดังนี้เรียกว่า อินทรียสังวร
ความสำรวมอินทรีย์
ตามพระพุทธภาษิตนี้ตรัสเรื่องอินทรียสังวร
และก็ย่อมส่องความถึงว่าหาก
ไม่มีอินทรียสังวรก็ย่อมจะยึดถือย่อม
จะยินดียินร้ายย่อมจะมีบาปอกุศลธรรม
ทั้งหลายไหลเข้ามาสู่จิต เพราะเหตุที่ยึดถือ
และยินดียินร้ายดังกล่าว หรือเพราะเหตุที่มิ
ได้รักษามิได้สำรวมระวังอินทรีย์ทั้ง ๖ คือ
ตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจดังกล่าว บุคคล
โดยมากย่อมหย่อนต่อการรักษาอินทรีย์ทั้ง ๖
เหล่านี้ หรือว่าโดยปกติย่อมไม่รักษาอินทรีย์ทั้ง ๖
เหล่านี้ เมื่อเห็นอะไรทางตา ได้ยินอะไรทางหู
ตลอดจนถึงคิดถึงเรื่องอะไรทางมโนคือใจ ย่อม
จะยึดถือสิ่งที่ได้เห็นสิ่งที่ได้ยินตลอดจนสิ่งที่คิดเป็นต้น
นั้น ยึดถือทั้งหมดหรือว่ายึดถือบางอย่างบางส่วน
ว่างามบ้าง ไม่งามบ้าง น่าชอบใจบ้าง ไม่น่าชอบใจบ้าง
และเมื่อเป็นดั่งนี้ จึงเกิดความยินดีความยินร้าย
เกิดบาปอกุศลธรรมทั้งหลายไหลลงสู่จิต ไหล
เข้าสู่จิต ก็ไหล
เข้ามาทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางมนะคือใจนี้เอง
สิ่งที่ไหลเข้ามาสู่จิตก็มาหมักหมมดองจิตสันดานอยู่
เป็น
กามาสวะ อาสวะสิ่งที่ไหลมาดองจิตสันดานคือกาม
ความใคร่
ภวาสวะ อาสวะคือภพความเป็นเราเป็นของเรา
อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชาไม่รู้
แม้อาสวะเหล่านี้ก็ไหลเข้ามาจากตาหูเป็นต้นดังกล่าว
ซึ่งเมื่อเห็นอะไรได้ยินอะไรเป็นต้น ก็เกิดความใคร่
ความยินดีก็คือกามนั่นเอง และยึดถือ ก็ยึดถือ
เป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็เป็นภพ ซึ่ง
เป็นที่ตั้งของอาสวะคือภพ และแม้เป็นกลาง ๆ ก็ไม่
ได้พิจารณาให้รู้จักความเกิดความดับเป็นต้น ก็
เป็นอวิชชาคือไม่รู้ แม้ว่าการเห็นการยึดถือ
ความยินดีความยินร้ายเป็นต้นนั้นจะผ่านไป
แล้วสงบไปแล้ว แต่ก็ยังตกตะกอนลงมาเป็นอาสวะ
มาดองมาหมักหมมจิตสันดานเป็นกามาสวะ ภวาสวะ
อวิชชาสวะอยู่ เพราะฉะนั้น ความบังเกิดขึ้นของอาสวะ
นั้นจึงบังเกิดขึ้น ดั่งนี้
อนุสัย ๔
และใน สัมมาทิฏฐิสูตร ท่านพระสารีบุตรก็
ได้แสดงรวมกันไว้ว่า
เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ มีความเห็นตรง ย่อม
จะทำให้ประกอบด้วยความเลื่อมใส ไม่หวั่นไหว
ในธรรมะ นำมาสู่พระสัทธรรม
คือพระธรรมวินัยนี้ จะละราคานุสัย กิเลสที่นอน
เนื่องอยู่ในจิตคือราคะ จะถอนปฏิฆานุสัย
จะบรรเทาปฏิฆานุสัย อนุสัยคือปฏิฆะ
ความกระทบกระทั่ง จะถอนทิฏฐิมานานุสัย
อนุสัยคือทิฏฐิมานะว่าเรามีเราเป็น จะละอวิชชา
ทำวิชชาให้บังเกิดขึ้น จะกระทำทุกข์ให้สิ้นสุดไปได้
ในปัจจุบัน
เพราะฉะนั้น ก็เท่ากับท่านแสดงอนุสัยไว้เป็น ๔ คือ
ราคะ ปฏิฆะ และ อัสมิทิฏฐิมานานุสัย
เรียกสั้นก็คือภวานุสัยนั่นเอง แต่ท่าน
ไม่เรียกว่าภวานุสัย เรียกอย่างเต็มที่ว่าทิฏฐิมานานุสัย
อนุสัยคือทิฏฐิมานะ ความเห็นยึดถือว่าเรามีเราเป็น
ก็ตัวภพนั้นแหละดังที่กล่าว และ อวิชชา ก็
เป็นอันว่าท่านนำอาสวะกับอนุสัยที่แยกเอาไว้นี้มารวม
กันเข้า แต่แม้ว่าจะไม่รวมกันเข้า แยกออกเป็น ๒ หมวด
ข้อที่ ๒ ของหมวดทั้ง ๒ นั้นจะต่างกัน คือเป็นภวาสวะกับ
เป็นปฏิฆานุสัย แต่ก็มีความที่เนื่องถึงกันสัมพันธ์กัน ดั่งที่
ได้อธิบายแล้ว ก็นับว่าเป็นอันเดียวกันได้
แต่เมื่อแยกแสดงได้เป็น ๔ ก็เป็นอันว่าครบถ้วน คือ
เป็นราคะหรือกามหนึ่ง เป็นปฏิฆะหนึ่ง เป็นภพ
หรืออัสมิทิฏฐิมานะหนึ่ง เป็นอวิชชาหนึ่ง
เป็นตัวกิเลสที่นอนเนื่อง
หรือนอนจมหมักหมมดองจิตสันดานอยู่
รู้จักจิตส่วนลึกอันเป็นที่ตั้งของอาสวอนุสัย
ก็เพราะเหตุที่จิตนี้ที่ยังไม่มีจิตตภาวนา แม้
เป็นธรรมชาติที่ประภัสสร แต่ก็ยังมีอวิชชา
เมื่อมีอวิชชาก็ยังมีอุปาทาน เพราะฉะนั้น
เมื่ออายตนะภายในภายนอกประจวบกันเกิดวิญญาณ
เกิดผัสสะ เกิดเวทนา จึงยังมียินดีมียินร้าย ยังมีหลง
ไม่รู้ และแม้ว่าความประสบทางตาหูเป็นต้น
ความยินดียินร้าย หลงไม่รู้ที่บังเกิดขึ้นสงบไป
เป็นคราว ๆ แต่ก็ยังนอนจมเป็นตะกอนอยู่ในจิตดอง
เป็นอาสวะ นอนเนื่องเป็นอนุสัย และก็เพิ่มพูนขึ้น
อยู่เสมอ ต่อเมื่อได้ปฏิบัติในอินทรียสังวรและ
ได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนคือ
ในมรรคมีองค์ ๘ รวมเข้าเป็นศีลเป็นสมาธิ
เป็นปัญญา รักษาอินทรีย์ รักษาจิต มิ
ให้ยึดถือยินดียินร้าย หลงไม่รู้
ในเวลาที่ประสบเรื่องประสบอารมณ์ต่าง ๆ
ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางมนะคือใจอยู่
จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ไม่เพิ่มราคะอนุสัย
และเมื่อศีลสมาธิปัญญาที่ปฏิบัตินี้ลึกซึ้งลงไปจน
ถึงรู้ถึงตัวอาสวอนุสัย คือลึกซึ้งลงไปถึงจิต
ส่วนลึกอันเป็นที่ตั้งของอาสวอนุสัย ก็
จะกำจัดอาสวอนุสัยได้บางส่วนจนถึงสิ้นเชิง
นั่นแหละจิตนี้จึงเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ พร้อม
ทั้งประภัสสรคือผุดผ่อง ประกอบด้วยวิชชาวิมุตติ
อยู่กับวิชชาวิมุตติตลอดเวลา
ดั่งที่มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า
ตถาคตคือพระพุทธเจ้าทรงอยู่ด้วยวิชชาวิมุตติ
ทรงมีวิชชาวิมุตติเป็นธรรมะเครื่องอยู่
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๐ มีนาคม ๒๕๒๘
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 13:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๓๐ สรุปสัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๓๐ สรุปสัมมาทิฏฐิ
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ทบทวนพระเถราธิบาย
ได้แสดงข้อสัมมาทิฏฐิตามเถราธิบายแห่งท่านพระสารีบุตรมา
โดยลำดับ และได้แสดงอธิบายแต่ละข้อ จะ
ได้กล่าวสรุปข้อที่ได้แสดงอธิบาย
แล้วตั้งแต่ต้นจนจบสักครั้งหนึ่งและจะได้แจ้งว่าข้อ
ใดที่ได้แสดงอธิบายมาแล้ว และข้อใดที่
จะแสดงอธิบายต่อไป ท่านพระสารีบุตร
ได้ประทานเถราธิบายข้อสัมมาทิฏฐิแก่ภิกษุทั้งหลาย
ผู้ที่ได้กราบเรียนถามท่านและเมื่อท่าน
ได้แสดงอธิบายหมวดหนึ่งแล้ว ภิกษุ
ทั้งหลายก็ถามต่อไป ท่านก็แสดงต่อไปอีกโดยลำดับ
และ หลัก
ในการตั้งอธิบายของท่านก็ตั้งหลักอธิบายตามหลักแห่งอริยสัจ
ทั้ง ๔ นั้นแหละ จับตั้งต้นแต่แสดงอธิบายว่า สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ ก็ได้แก่ความเห็นตรงถูกต้อง ซึ่งทำให้
ผู้มีสัมมาทิฏฐิได้ความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในธรรม
นำมาสู่สัทธรรมคือพระธรรมวินัยนี้ ก็ได้แก่
รู้จัก อกุศล รู้จักอกุศลมูล มูลรากของอกุศล
รู้จัก กุศล รู้จักกุศลมูล มูลรากของกุศล
รู้จัก อาหาร รู้จักสมุทัย เหตุเกิดแห่งอาหาร
รู้จักนิโรธ ความดับอาหาร รู้จักมรรค ทางปฏิบัติ
ให้ถึงความดับอาหาร รู้จัก ทุกข์ รู้จักสมุทัย เหตุ
ให้เกิดทุกข์ รู้จักนิโรธ ความดับทุกข์ รู้จักมรรค
ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ต่อจากนี้
ท่านก็แสดงอธิบายไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นย้อนหลังขึ้นมา
คือท่านแสดงอธิบายว่า สัมมาทิฏฐิก็
ได้แก่รู้จักชรามรณะ
รู้จักสมุทัยเหตุเกิดชรามรณะ รู้จัก
ความดับชรามรณะ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับชรามรณะ
และท่านก็ได้แสดงว่า เหตุเกิดชรามรณะ ก็คือ ชาติ
ท่านจึงแสดงต่อไปว่า รู้จักชาติคือความเกิด
รู้จักสมุทัยเหตุให้เกิดชาติ รู้จักความดับชาติ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับชาติ
สมุทัยคือเหตุเกิดแห่งชาตินั้น ก็ได้แก่ ภพ ท่าน
จึงแสดงอธิบายต่อไปว่า รู้จักภพ รู้จักสมุทัยเหตุ
ให้เกิดภพ รู้จักความดับภพ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับภพ
และ สมุทัยคือเหตุเกิดแห่งภพ นั้น ก็ได้แก่ อุปาทาน
ท่านจึงแสดงอธิบายต่อไปว่า รู้จักอุปาทาน
รู้จักสมุทัยเหตุให้เกิดอุปาทาน รู้จักความดับอุปาทาน
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอุปาทาน
ก็ สมุทัยเหตุให้เกิดอุปาทาน นั้น ก็ได้แก่ ตัณหา ท่าน
จึงแสดงอธิบายต่อไปว่า รู้จักตัณหา รู้จักสมุทัยเหตุ
ให้เกิดตัณหา รู้จักความดับตัณหา รู้จักทางปฏิบัติให้
ถึงความดับตัณหา
ก็ สมุทัยคือเหตุให้เกิดตัณหา ก็ได้แก่ เวทนา ท่าน
จึงแสดงอธิบายต่อไปว่า รู้จักเวทนา รู้จักสมุทัยเหตุ
ให้เกิดเวทนา รู้จักความดับเวทนา รู้จักทางปฏิบัติให้
ถึงความดับเวทนา
ก็ สมุทัยคือเหตุให้เกิดเวทนา ก็ได้แก่ สัมผัสหรือผัสสะ
ท่านจึงแสดงอธิบายต่อไปว่า รู้จักผัสสะ
รู้จักสมุทัยเหตุให้เกิดผัสสะ รู้จักความดับผัสสะ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับผัสสะ
ก็ สมุทัยคือเหตุให้เกิดผัสสะ ก็ได้แก่ สฬายตนะ
คืออายตนะทั้ง ๖ ท่านจึงแสดงอธิบายต่อไปว่า
รู้จักอายตนะทั้ง ๖ รู้จักสมุทัยเหตุให้เกิดอายตนะทั้ง
๖ รู้จักความดับอายตนะทั้ง ๖ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับอายตนะทั้ง ๖
ก็ สมุทัยคือเหตุให้เกิดอายตนะทั้ง ๖ ก็คือ นามรูป ท่าน
จึงแสดงอธิบายต่อไปว่า รู้จักนามรูป รู้จักสมุทัยเหตุ
ให้เกิดนามรูป รู้จักความดับนามรูป รู้จักทางปฏิบัติ
ให้ถึงความดับนามรูป
ก็ สมุทัยคือเหตุให้เกิดนามรูป ก็ได้แก่ วิญญาณ ท่าน
จึงแสดงอธิบายต่อไปว่า รู้จักวิญญาณ รู้จักสมุทัยเหตุ
ให้เกิดวิญญาณ รู้จักความดับวิญญาณ รู้จักทางปฏิบัติ
ให้ถึงความดับวิญญาณ
ก็ สมุทัยคือเหตุให้เกิดวิญญาณ ก็ได้แก่ สังขาร ท่าน
จึงแสดงอธิบายต่อไปว่า รู้จักสังขาร รู้จักสมุทัยเหตุ
ให้เกิดสังขาร รู้จักความดับสังขาร รู้จักทางปฏิบัติ
ให้ถึงความดับสังขาร
ก็ สมุทัยคือเหตุให้เกิดสังขาร ก็ได้แก่ อวิชชา ท่าน
จึงแสดงต่อไปว่า รู้จักอวิชชา รู้จักสมุทัยเหตุ
ให้เกิดอวิชชา รู้จักความดับอวิชชา รู้จักทางปฏิบัติให้
ถึงความดับอวิชชา
อวิชชาและอาสวะเป็นที่สิ้นสุดของสายเกิดทุกข์
ก็ปฏิจจสมุปบาทที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเอา
ไว้ก็สิ้นสุดลงแค่อวิชชานี้
แต่ท่านพระสารีบุตรเมื่อท่านแจกออกเป็น ๔
ในหมวดอวิชชาข้อ ๒ คือ เหตุเกิดอวิชชา ท่าน
จึงแสดงอธิบายต่อไปว่า เหตุเกิดอวิชชานั้นก็
ได้แก่อาสวะ ท่านจึงแสดงอธิบายต่อไปว่ารู้จักอาสวะ
รู้จักสมุทัยเหตุให้เกิดอาสวะ รู้จักความดับอาสวะ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ
และเมื่อท่านได้แสดงว่า สมุทัยเหตุให้เกิดอาสวะ ท่าน
จึงแสดงอธิบายต่อไปว่า อวิชชานั้นเอง
เพราะอวิชชาเกิดอาสวะก็เกิด
ก็เป็นอันว่าวนมาหาอวิชชาอีก
และเมื่อวนมาหาอวิชชาอีกดังนี้ ก็เป็นอันว่าท่าน
ได้แสดงอธิบาย แม้ว่าจะเพิ่มอาสวะว่าเป็นเหตุเกิดอวิชชา
แต่เมื่อท่านแสดงเหตุเกิดอาสวะ
ท่านก็เอาอวิชชาอีกนั่นแหละมาเป็นเหตุเกิดอาสวะ
ก็วนมาหาอวิชชาอีก เพราะฉะนั้น จึง
เป็นอันว่าก็ยุติลงที่อวิชชา เป็นแต่เพียงว่าอวิชชา
นั้นเกิดขึ้น ก็เพราะอาสวะเกิดขึ้น และอาสวะ
จะเกิดขึ้นก็เพราะอวิชชาเกิดขึ้นอีกนั่นแหละ ก็
เป็นอันว่าอวิชชามีก็เพราะอาสวะ อาสวะมีก็
เพราะอวิชชา จึงเป็นอันว่าวนกันอยู่ตรงนี้ จึงยุติกัน
อยู่ตรงนี้ อาสวะเกิดก็เพราะอวิชชา อวิชชาเกิดก็
เพราะอาสวะ อาสวะเกิดก็เพราะอวิชชา อวิชชาเกิดก็
เพราะอาสวะ ก็เป็นอันว่าสิ้นสุดอยู่แค่นี้ เพราะถ้า
ไม่สิ้นสุดลงแค่นี้ ก็จะแล่นออกไปนอกทาง
ยกชาติชรามรณะเป็นที่ตั้งในทุกขสัจจะ
เพราะฉะนั้น อวิชชาและอาสวะนี้จึงนับว่า
เป็นที่สิ้นสุดของสายเกิดทุกข์ ซึ่งเมื่อสาวขึ้นมา
คือสาวผลหาเหตุขึ้นมา เมื่อจับอริยสัจทั้ง ๔
เป็นหลัก ทุกข์ ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ทุกขนิโรธ
ความดับทุกข์ และมรรค ทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์ อันเป็นอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้า
ได้ตรัสแสดงทั่วไป และทุกข์นั้นก็ได้ทรงชี้เอาว่าเกิด
เป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ เป็นต้น ดั่งที่เรา
ทั้งหลายสวดกันอยู่ว่า
ชาติปิ ทุกฺขา ความเกิดเป็นทุกข์
ชราปิ ทุกฺขา ความแก่เป็นทุกข์
มรณมฺปิ ทุกฺขํ ความตายเป็นทุกข์
เพราะฉะนั้นท่านจึงจับมาชี้แจงในทุกขสัจ
จะนี่แหละขึ้นเป็นที่ตั้ง คือยกเอาชาติชรามรณะ
เป็นที่ตั้ง โดยที่จับแสดงอธิบายเพื่อให้เกิดปัญญา
รู้จักอริยสัจทั้ง ๔ นี้
โดยพิสดารคือจับเอาชรามรณะความแก่
ความตายขึ้นมาแยกออกไปเป็นอีก ๔ ข้อ ก็เป็นอริยสัจ
๔ ในข้อชรามรณะ โดยที่ให้ผู้ปฏิบัติพิจารณาให้
ได้สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบความเห็นตรง
คือรู้จักชรามรณะ รู้จักเหตุเกิดชรามรณะ รู้จัก
ความดับชรามรณะ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับชรามรณะ เอาอริยสัจ ๔ กันแค่นี้ก่อน
แล้วท่านก็ชี้ว่าชรามรณะคืออะไร
เหตุเกิดชรามรณะคืออะไร ก็คือชาติ
ความเกิดดับชรามรณะก็คือ ดับชาติ ความเกิด
เมื่อดับชาติความเกิดได้ก็ดับชรามรณะได้ ทางปฏิบัติ
ให้ถึงความดับชรามรณะก็คือมรรคมีองค์ ๘
ในที่นี้จึงได้แสดงอธิบายในอริยสัจ ๔ ที่ท่านจำแนกออก
โดยละเอียดดั่งนี้ ตามแนวปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นตามที่พระพุทธเจ้า
ได้ตรัสแสดงเอาไว้ตามที่ได้ทรงพิจารณา คือ
ได้แสดงอธิบายเฉพาะข้อที่ ๑ ของแต่ละหมวดว่า
ชรามรณะคืออะไร ชาติคืออะไร ภพคืออะไร
อุปาทานคืออะไร ตัณหาคืออะไร เวทนาคืออะไร
ผัสสะคืออะไร อายตนะ ๖ คืออะไร
นามรูปคืออะไร วิญญาณคืออะไร สังขารคืออะไร
อวิชชาคืออะไร อาสวะคืออะไร คือแสดงอธิบาย
ในข้อที่ ๑ มาโดยลำดับ
จับอธิบายเหตุเกิดของแต่ละข้อ
ส่วนข้อที่ ๒ ของแต่ละหมวด
นั้นคือเหตุเกิดของแต่ละข้อ
เหตุเกิดของชรามรณะก็คือชาติ เรื่อยขึ้นมาจน
ถึงเหตุเกิดของอวิชชาก็คืออาสวะ
เหตุเกิดของอาสวะก็คืออวิชชา เป็นเหตุเกิดกันอย่างไร
ในข้อนี้ยังมิได้อธิบาย เพราะฉะนั้น จึงจะจับอธิบาย
ในข้อที่ ๒ นี้ว่าเป็นเหตุเกิดกันอย่างไร จับตั้งแต่อวิชชา
เป็นเหตุเกิดอาสวะอย่างไร อาสวะ
เป็นเหตุเกิดอวิชชาอย่างไร เรื่อยมาจนถึงชาติ
เป็นเหตุเกิดแห่งชรามรณะอย่างไร
สำหรับ อวิชชา นั้นก็ได้แสดงอธิบายแล้ว
ท่านพระสารีบุตรได้แสดงอธิบายไว้ก็ได้แก่
ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ไม่รู้จักนิโรธ ความดับทุกข์ ไม่รู้จักมรรค
คือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ท่านแสดงไว้ก็คืออวิชชา ๔ แต่ในที่อื่นได้มีแสดงไว้เป็น
อวิชชา ๘ คือเพิ่มขึ้นอีก ๔ ข้อ ได้แก่ ไม่รู้เงื่อนต้น
ไม่รู้เงื่อนปลาย ไม่รู้ทั้งเงื่อนต้นทั้งเงื่อนปลาย
ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
อีกนัยหนึ่ง คือไม่รู้จักอดีต ไม่รู้จักอนาคต ไม่รู้จัก
ทั้งอดีตทั้งอนาคต ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น ซึ่งก็ได้แสดงอธิบาย
แล้ว
อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกาลเวลา
แต่ในที่นี้ก็จะได้เพิ่มเติมในแนวอธิบายที่เกี่ยว
กับกาลเวลาอีกปริยายคือทางอันหนึ่งที่ว่า
ไม่รู้จักอดีต ไม่รู้จักอนาคต ไม่รู้จักทั้งอดีต
ทั้งอนาคต กาลเวลาที่ไม่รู้จักดั่งนี้ ก็ทำให้
ไม่รู้จักทุกขสัจจะ สภาพที่จริงคือทุกข์ด้วย ก็
เพราะว่าสภาพที่จริงคือทุกข์นั้น ที่พระพุทธเจ้า
ได้ตรัสแสดงอธิบายไว้ว่า ชาติ ความเกิด เป็นทุกข์
ชราความแก่ เป็นทุกข์ มรณะความตาย เป็นทุกข์ จน
ถึงกล่าวโดยย่อ ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ
เป็นทุกข์ และข้อที่เป็นทุกข์นี้ พระพุทธเจ้าก็
ได้ตรัสแสดงอธิบายไว้
โดยปริยายคือแนวทางอธิบายต่าง ๆ เป็นอันมาก ที่เป็น
พหุลานุสาสนี คือคำสั่งสอนเป็นอันมาก ดั่งที่เรา
ทั้งหลายสวดกันอยู่ก็ดั่งที่ได้ตรัสสอนไว้ว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตามิ
ใช่อัตตาตัวตน
สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง
ธรรมทั้งปวงคือทั้งที่เป็นสังขารและทั้งที่
เป็นวิสังขาร เป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน
เป็น ทไวลักษณะ ลักษณะ ๒
อีกนัยหนึ่งที่ตรัสแสดงไว้ก็เป็น ไตรลักษณ์ อนิจจะ
ไม่เที่ยง ทุกขะ เป็นทุกข์ อนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน
ก็เพื่อที่จะให้รู้จักทุกขสัจจะ
สภาพที่จริงคือทุกข์นั่นเอง อนิจจะคือไม่เที่ยง ก็คือ
ต้องเกิดต้องดับไม่ยั่งยืน อนัตตามิใช่อัตตาตัวตน ก็
เพราะบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้
และหากว่าจะเติมทุกขะให้เป็นไตรลักษณ์ ก็
เพราะตั้งอยู่คงที่มิได้
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เมื่อพิจารณาขันธ์
๕ ซึ่งย่อลงเป็นนามรูปให้เห็นไตรลักษณ์
หรือทไวลักษณ์ ลักษณะ ๒ อนิจจะ
อนัตตาบังเกิดขึ้น จึงจะเห็นทุกขสัจจะ
สภาพที่จริงคือทุกข์ แต่ว่าท่านแสดงไว้ว่า
เครื่องกำบังอนิจจตา ความไม่เที่ยง ก็คือสันตติ
ความสืบต่อ
เครื่องกำบังทุกขตา ความเป็นทุกข์ ก็คือความสุข
ความผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ
เครื่องกำบังอนัตตตา ความเป็นอนัตตา ก็คือความ
เป็นก้อนเป็นแท่ง
เครื่องกำบังเหล่านี้ทำให้มองไม่เห็นอนิจจะ ทุกขะ
อนัตตา
รู้จักความสืบต่อของกาลเวลา
จะยกตัวอย่างข้ออนิจจะไม่เที่ยง
เครื่องกำบังก็คือสันตติ ความสืบต่อ ดังเช่นหายใจเข้า
หายใจออกสืบต่อกันอยู่เสมอ ชีวิตจึงดำรงสืบต่อกัน
อยู่เสมอ จึงทำให้ไม่เห็นความดับ เห็นความเกิดและ
ความดำรงอยู่ความตั้งอยู่ ไม่เห็นความดับ สันตติ คือ
ความสืบต่อนี้ ก็คือความสืบต่อของอดีตปัจจุบัน
และอนาคตด้วย คือมองไม่เห็นอดีตมองไม่เห็นอนาคต
และก็มองไม่เห็นปัจจุบัน เมื่อเป็นดั่งนี้
จึงรู้สึกเหมือนอย่างว่าเที่ยง รู้สึกเหมือนอย่างว่าขันธ์ ๕
นี้เที่ยง ชีวิตนี้เที่ยง เกิดตั้งอยู่แต่ไม่ดับ หรือว่าตั้งอยู่แต่
ไม่ดับ เมื่อเที่ยงตั้งอยู่ไม่ดับ ก็คือไม่มีอดีต และเมื่อ
ไม่มีอดีตก็ไม่ต้องมีอนาคต มีปัจจุบันคือตั้งอยู่ มอง
ไม่เห็นอดีตคือส่วนที่ดับ และก็มองไม่เห็นอนาคต คือ
ส่วนที่เข้ามาสืบต่อและก็ไม่รู้จักปัจจุบัน
เพราะมองเห็นเหมือนอย่างว่าเป็นปัจจุบัน คือตั้ง
อยู่อย่างไม่ดับ และไม่ดับก็ไม่ต้องเกิด ก็เหมือนอย่าง
ไม่เห็นเกิด เหมือนอย่างคนเราทั้งหลายที่มีความรู้สึก
กันอยู่ในชีวิต ในนามรูปที่ดำรงกันอยู่นี้ ว่ารู้สึกว่าเป็น
อยู่ตั้งอยู่ดำรงอยู่ เป็นความเที่ยงอยู่ ไม่ดับ เมื่อไม่ดับก็
ไม่ต้องเกิดและไม่ต้องมีอนาคต เพราะฉะนั้น จึง
เป็นอันชื่อว่าไม่รู้จักอดีต ไม่รู้จักอนาคต ไม่รู้จัก
ทั้งอดีตทั้งอนาคต
มองเห็นความไม่เที่ยงหรือความเกิดดับ
เพราะอันที่จริงนั้นความเป็นไปของนามรูปของชีวิตนี้
มีเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เหมือนอย่างมีหายใจ
เข้าก็มีหายใจออกอยู่ตลอดเวลา มีเกิดดับ
อยู่ตลอดเวลา รูปก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา
เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา
ดับก็เป็นอดีตไป และเมื่อเป็นอดีตไป อนาคตก็เข้ามา
เป็นปัจจุบัน เมื่อเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันก็เป็นอดีตดับไป
อนาคตก็เข้ามาเป็นปัจจุบัน เพราะมีอนาคต
เข้ามานี้แหละ จึงมีสันตติคือความสืบต่อ
เหมือนอย่างว่ากลางวันกลางคืน กลางวันล่วงไป
กลางคืนก็มา ขณะที่ยังเป็นกลางวันอยู่ กลางคืนก็
เป็นอนาคต และเมื่อกลางวันหมดไปกลางคืนมา
กลางคืนก็มาเป็นปัจจุบัน และเมื่อกลางคืนหมดไป
กลางวันซึ่งเป็นอนาคต รุ่งขึ้นก็มาเป็นปัจจุบัน
เพราะฉะนั้น เมื่อวานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ จึงวนเวียนสืบต่อกัน
อยู่ดั่งนี้ แต่ว่าเมื่อไม่คิด ก็ไม่รู้ว่าเป็นอดีต เป็นอนาคต
เป็นปัจจุบันกันอยู่ดั่งนี้ และเมื่อคิดจึงจะรู้และเมื่อรู้
จึงจะรู้ว่านี่แหละคือตัวไม่เที่ยง เพราะอดีต
นั้นก็คือที่ดับไป อนาคตก็คือว่าที่มาแทนส่วนที่ดับไปนั้น
มาเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันก็เป็นอดีตดับไป อนาคตก็
เข้ามาแทน จึงมีสันตติคือความสืบต่อ ถ้า
ความสืบต่อนี้สิ้นสุดเมื่อใด ความดับในที่สุดก็สิ้นสุดเมื่อ
นั้น ความดับในที่สุดก็ปรากฏเมื่อนั้น ดังจะพึงเห็น
ได้ว่าลมหายใจเข้าล่วงไปก็เป็นอดีต ลมหายใจเข้า
ใหม่ก็มาแทนซึ่งเป็นอนาคตก็เข้ามาแทนเป็นปัจจุบัน
เมื่ออดีตอนาคตปัจจุบันยังมาสืบต่อกันอยู่ดังนี้ ชีวิตก็
ยังดำรงอยู่ แต่เมื่อลมหายใจเข้า
หรือลมหายใจออกซึ่งเป็นปัจจุบันแล้วก็เป็นอดีต แต่
ไม่มีอนาคตเข้ามาทดแทนสืบต่อ คือหยุดหายใจ
ในที่สุดชีวิตก็สิ้นสุด นั่นคือว่าสันตติขาด แต่คนเราที่
ยังมีสันตติความสืบต่อกันอยู่ดั่งนี้ ก็
เพราะว่ามีอดีตมีอนาคตมีปัจจุบันนี่แหละสืบต่อกันอยู่
กาลเวลานี้เอง
เพราะฉะนั้น เมื่อรู้จักอดีตรู้จักอนาคตรู้จักปัจจุบัน
จึงจะมองเห็นความไม่เที่ยง คือเห็นว่าเกิดดับ
อยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อดับแล้วก็มีอนาคต
เข้ามาทดแทน ไม่มีอนาคตเข้ามาทดแทนเมื่อ
ใดก็สิ้นสุดเมื่อนั้น เพราะฉะนั้น หาก
ไม่รู้จักกาลเวลา ไม่รู้จักอดีต ไม่รู้จักอนาคต
ไม่รู้จักทั้งอดีตทั้งอนาคต ก็เป็นอันว่าไม่รู้จักทุกขสัจ
จะ สภาพที่จริงคือทุกข์ มองไม่เห็นอนิจจะ ไม่เที่ยง
ทุกขะ เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่อัตตาตัวตน
ต่อเมื่อรู้จักกาลเวลาดังที่กล่าวมานี้ จึง
จะมองเห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเกิดดับ
อยู่ตลอดเวลา เป็นอดีตเป็นอนาคตเป็นปัจจุบันกัน
อยู่ตลอดเวลา แต่ว่ามีอนาคตมาทดแทนมา
เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นอดีตไปแล้ว มีอนาคตมา
เป็นปัจจุบันแทน จึงไม่สิ้นสุดยังสืบต่อกันอยู่
แต่อันที่จริงนั้นหาใช่ว่า เที่ยงคือหยุดอยู่เฉย ๆ
ไม่เกิดดับเกิดดับอยู่ตลอดเวลา จึง
เป็นอดีตปัจจุบันอนาคตอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันก็
เป็นอดีต อนาคตก็เข้ามาเป็นปัจจุบัน แล้วเป็นอดีต
อนาคตก็เข้ามาเป็นปัจจุบันแล้วเป็นอดีต เพราะฉะนั้น
เมื่อรู้จักอดีต อนาคต รู้จักทั้งอดีตทั้งอนาคตดั่งนี้ จึง
เป็นอันมองเห็นอนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา
มองเห็นทุกขสัจจะ สภาพที่จริงคือทุกข์ เป็นวิชชาขึ้นได้
อวิชชาเป็นต้นเหตุสำคัญของอาสวะ
ฉะนั้น เมื่อยังมีอวิชชาอยู่ จึงยังมองไม่เห็น อนิจจตา
ทุกขตา อนัตตตา ยังยึดถือว่าเป็นของเที่ยงเป็นสุขและ
เป็นอัตตาตัวตนเป็นเราเป็นของเรา เมื่อเป็นดั่งนี้จึง
ได้ก่ออาสวะขึ้น ดังที่ได้แสดงถึงความเกิดอาสวอนุสัยมา
แล้ว เมื่อเห็นอะไรทางตา ได้ยินอะไรทางหูเป็นต้น
จึงยึดถือเป็นตัวเราเป็นของเรา เกิดยินดียินร้าย
เกิดอกุศลบาปธรรมทั้งหลายไหล
เข้ามาดองจิตสันดานเป็นอาสวะ หรือว่าประสบเวทนา
ทั้งหลายก็ยินดียินร้าย ไม่รู้ ก็เป็นอนุสัยนอนเนื่องอยู่
ในจิต ก็เพราะอวิชชาคือไม่รู้ดั่งนี้ เมื่อไม่รู้ดั่งนี้
จึงยึดถือและก่ออาสวอนุสัยขึ้นในจิตใจ เพราะฉะนั้น
อวิชชานี้จึงเป็นต้นเหตุสำคัญที่ให้เกิดอาสวะ
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๑ มีนาคม ๒๕๒๘
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร