วันเวลาปัจจุบัน 06 ส.ค. 2025, 01:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 06:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑ ปัญญาในธรรม
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๑ ปัญญาในธรรม
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ปัญญาในธรรมคือสัมมาทิฏฐิ
ปัญญาในธรรมนั้นเรียกได้ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบ เป็นความเห็นตรง สัมมาทิฏฐินี้
เป็นข้อสำคัญ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้เป็นข้อแรก
ในมรรคมีองค์ ๘ คือเป็นองค์แรกของมรรคมีองค์
๘ นั้น เพราะฉะนั้น การทำสมาธิดั่งที่
ได้กล่าวว่าทำสมาธิในการฟัง ก็เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐินี้เอง ถ้าหากว่าไม่ได้ปัญญา
ในธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐินี้ ก็มิบรรลุ
ถึงข้อที่ปฏิบัติและผลแห่งข้อที่ปฏิบัติ อันเป็นที่มุ่ง
ในทางพุทธศาสนา
คำว่า พุทธศาสนา นั้นก็แสดงอยู่แล้วว่า
เป็นศาสนาทางปัญญา
เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็คือทรงปัญญาตรัสรู้
นั้นเอง ฉะนั้น ปัญญาจึงเป็นข้อสำคัญ
และปัญญาที่มุ่งหวังก็คือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
ความเห็นตรงนี้เอง เมื่อได้ความเห็นชอบ ได้
ความเห็นตรง ก็ย่อมจะได้ปสาทะคือความเลื่อมใสอัน
ไม่หวั่นไหวในพระธรรม เป็นผู้มาสู่สัทธรรมนี้ ฉะ
นั้น จึงกล่าวได้ว่าการมาสู่สัทธรรมนี้ ก็ต้องอาศัย
ความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรม
ความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรมก็
ต้องอาศัยสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบความเห็นตรง
เป็นหลัก ทุกคนย่อมมีความรู้ความเห็นซึ่ง
เป็นตัวปัญญาที่ได้มาแต่ชาติกำเนิดเป็นมนุษย์
ซึ่งแปลอย่างหนึ่งว่า ผู้ที่มีใจสูงหรือผู้ที่มีความรู้สูง
ฉะนั้น จึงสามารถที่จะรู้สัจจะคือความจริงของสิ่ง
ทั้งหลายได้ในขั้นธรรมสามัญทั่วไป และเมื่อ
ได้อบรม ปัญญาที่ได้มาแต่ชาติกำเนิด อันเรียกว่า
สชาติปัญญา ยิ่ง ๆ ขึ้นไปแล้ว ก็จะได้ความรู้ที่ยิ่ง ๆ
ขึ้นไป ได้สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ได้
ความเห็นตรงที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
รู้จักอกุศล รู้จักอกุศลมูล
พระพุทธเจ้าได้ตรัสอธิบายสัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบไว้ทั่วไป ว่าคือความรู้ในอริยสัจทั้งสี่
รู้จักทุกข์ รู้จักสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ รู้จักนิโรธ
ความดับทุกข์ รู้จักมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์ ท่านพระสารีบุตรเถระก็
ได้อธิบายสัมมาทิฏฐิแก่ภิกษุทั้งหลายที่ท่านประมวล
ไว้ใน สัมมาทิฏฐิสูตร โดยที่ท่าน
ได้อธิบายกว้างขวางออกไปขยายความออกไป
จับตั้งแต่เบื้องต้น โดยที่ท่านได้กล่าวตั้ง
เป็นกระทู้ขึ้นว่า ที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบนั้นเป็นอย่างไร ท่านก็อธิบายว่าได้แก่
ความรู้จักอกุศล ความรู้จักอกุศลมูล
มูลเหตุของอกุศล รู้จักกุศล ความรู้จักกุศลมูล
มูลเหตุของกุศล ท่านก็ได้แสดงอธิบายขยาย
ความต่อไปอีกว่าอกุศลนั้นได้แก่อะไร ท่านก็ยกเอา
อกุศลกรรมบถ คือ ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศล
ขึ้นแสดง
ทางกายอันเรียกว่ากายกรรมอันเป็นอกุศล ๓ คือ
การทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป ๑
การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ๑
การประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ๑ ทั้ง ๓ นี้
เป็นทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทางกาย
ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทางวาจาคือวจีกรรมมี
๔ ก็ได้แก่ พูดเท็จ ๑ พูดส่อเสียด ๑ พูดคำหยาบ ๑
พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ๑ ก็รวมทางแห่งกรรมที่
เป็นอกุศลทางวาจาเป็น ๔
ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทางใจ ๓ ก็คือ อภิชฌา
โลภเพ่งเล็งทรัพย์สิ่งของของผู้อื่น ๑
พยาบาทปองร้ายเข้า ๑ มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด
จากคลองธรรม เช่น เห็นว่าไม่มีบาป ไม่มีบุญ
จะทำอย่างไรก็ไม่เป็นบาป จะทำอย่างไรก็ไม่เป็นบุญ
ไม่มีผลของบาปบุญ และไม่มีมารดาบิดา
ไม่มีกรรมดีกรรมชั่ว ผลของกรรมดี
กรรมชั่ว ไม่มีโลกนี้ไม่มีโลกหน้า
ไม่มีสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติชอบทั้งหลายปฏิเสธว่า
ไม่มีทั้งหมด เหล่านี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด
จากคลองธรรม ๑ ก็รวมเป็นทางกรรมที่
เป็นอกุศลทางใจ ๓
รวมเป็นอกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งกรรมที่
เป็นอกุศล ๑๐ นี้คืออกุศล สัมมาทิฏฐิก็คือ
รู้จักทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทั้ง ๑๐
ประการเหล่านี้ว่าเป็นอกุศลจริง
อกุศลมูล มูลเหตุของอกุศล ก็ได้แก่ โลภะ คือ
ความโลภอยากได้ อันนำให้ประกอบอกุศลกรรม
โทสะ ความโกรธแค้นขัดเคืองอันนำ
ให้ประกอบอกุศลกรรม โมหะ ความหลงอันนำ
ให้ประกอบอกุศลกรรม สัมมาทิฏฐิก็คือ
ความรู้จักอกุศลมูลเหล่านี้ว่า โลภะ โทสะ โมหะ
เป็นมูลเหตุของอกุศลกรรมทั้งหลายตาม
เป็นจริง
รู้จักกุศล รู้จักกุศลมูล
ส่วนกุศลและกุศลมูลนั้นก็ตรงกันข้าม กุศลก็
ได้แก่ กุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ คือ ทางแห่งกรรมที่
เป็นกุศล เป็นกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔
มโนกรรม ๓
กายกรรม ๓ ก็คือ เว้นจากการทำสัตว์มีชีวิต
ให้ตกล่วง เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้
ให้ เว้นจากความประพฤติผิดในกามทั้งหลาย
วจีกรรม ๔ ก็คือ เว้นจากพูดเท็จ เว้นจากพูดส่อเสียด
เว้นจากพูดคำหยาบ เว้นจากพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล
มโนกรรม ๓ ก็คือ
ไม่โลภเพ่งเล็งทรัพย์สิ่งของของผู้อื่น
ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น และสัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบตามคลองธรรม
ทั้ง ๑๐ ข้อนี้ ก็ตรงกันข้ามกับอกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐
สัมมาทิฏฐิก็คือรู้จักกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ นี้
ว่าแต่ละข้อเป็นกุศลจริง
ส่วน กุศลมูล มูลเหตุของกุศลนั้น ก็ได้แก่ อโลภะ
ความไม่โลภอยากได้ โดยมีสันโดษความพอใจอยู่
ในทรัพย์สมบัติเฉพาะที่เป็นของตนเท่านั้นเป็นต้น
อโทสะ ความไม่โกรธแค้นขัดเคือง ก็
โดยที่มีเมตตากรุณาเป็นต้น อโมหะ ความไม่หลง ก็คือ
ความที่มีปัญญารู้ตามเป็นจริงอันทำไม่ให้หลงใหล
ไม่ให้ถือเอาผิด
สุตะ จินตา ภาวนา
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ก็คือรู้จักกุศลมูลเหล่านี้
ว่าทุก ๆ ข้อเป็นมูลเหตุของกุศลจริง สัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบดังนี้ เป็นทิฏฐิคือความเห็น เป็นทัสสนะคือ
ความเห็น เป็นญาณะคือความรู้ หรือเป็นปัญญาคือ
ความรู้ทั่วถึงที่จะต้องการเป็นขั้นต้นของทุก ๆ คน
ในโลก แต่ว่าจะได้สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบดั่งนี้ได้
ก็ต้องอาศัยความที่ใช้ปัญญาที่มีอยู่เป็นพื้น
ในการประกอบปลูกปัญญาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ด้วยการฟังการเรียน อันรวมในคำว่า สุตะ
ด้วยการคิดพินิจพิจารณา อันรวมเรียกว่า จินตา
และ
ด้วยการปฏิบัติอบรมต่างๆ ในข้อที่พึงปฏิบัติอบรมนั้น
ๆ อันเรียกว่า ภาวนา
และเมื่อได้ประกอบปฏิบัติปลูกปัญญา
อบรมปัญญา เพิ่มพูนปัญญาในทางที่ถูกต้องอยู่เสมอ
ก็ย่อมจะได้ ปัญญาที่เป็นปัญญาถูกต้อง อันเรียกว่า
สัมมัปปัญญา ได้สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบดังกล่าว
กัลยาณมิตร และโยนิโสมนสิการ
และข้อนี้ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ในที่อื่นอีกว่า ก็
ต้องอาศัย มิตตสัมปทา คือ ความถึงพร้อมด้วยมิตร
อันหมายความว่าได้มิตรที่ดีงาม
อันเรียกว่ากัลยาณมิตร พระพุทธเจ้า
เป็นยอดของกัลยาณมิตร มารดาบิดาครูอาจารย์
ทั้งหลายก็เป็นกัลยาณมิตร เพื่อนมิตรทั้งหลาย
ซึ่งเป็นผู้ทรงปัญญาสามารถที่จะ
ให้คำแนะนำอบรมอันถูกต้องได้ก็เรียกว่า
กัลยาณมิตร
ต้องอาศัยกัลยาณมิตรนี้ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง ก็คือ โยนิโสมนสิการ ที่แปลว่า
การทำไว้ในใจ จับให้ถึงต้นเหตุ
ดังเช่นเมื่อกำหนดเพื่อรู้จักอกุศล ก็ต้องจับให้
ถึงต้นเหตุว่า มีมูลเหตุมาจาก โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่ง
เป็นอกุศล และเมื่อกำหนดเพื่อรู้จักกุศล ก็ต้องจับ
ให้ถึงต้นเหตุ ว่ามีต้นเหตุหรือมูลเหตุมาจากกุศลมูล
คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ดังกล่าว ความใส่ใจคือ
ความกำหนดใจพินิจพิจารณาจับเหตุของผลให้
ได้ดั่งนี้คือ โยนิโสมนสิการก็
ต้องอาศัยโยนิโสมนสิการนี้อีกข้อหนึ่ง
ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า กัลยาณมิตร
และโยนิโสมนสิการนี้ย่อม
เป็นเบื้องต้นของสัมมาปฏิบัติทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นปัญญา หรือจะคลุมไป
ได้จนถึงศีลทั้งหมด ต้องอาศัยมีกัลยาณมิตร
และโยนิโสมนสิการมาตั้งแต่เบื้องต้น
เหมือนอย่างอรุณเป็นเบื้องต้นของวัน กัลยาณมิตร
และโยนิโสมนสิการก็เปรียบเหมือนว่าเป็นอรุณ
เป็นเบื้องต้นของความสว่างของสัมมาปฏิบัติ คุณงาม
ความดีทั้งสิ้น อันนับว่าเป็นความสว่าง จึง
ต้องอาศัยกัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการดั่งนี้
และในหมวดธรรมบางหมวดก็ได้ตรัสอธิบายขยาย
ความออกไปในทางปฏิบัติว่า
ส้องเสพคบหาสัตตบุรุษคือคนดีก็
ได้แต่กัลยาณมิตรนี้เอง
ฟังธรรมของคนดี มีโยนิโสมนสิการใส่ใจ
คือนำเอาธรรมะที่ฟังมาใส่ไว้ในใจตั้งต้นแต่ตั้งใจฟัง
ตั้งใจพิจารณาจับเหตุจับผล
และปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ข้อใดที่พึงละก็ละ
ข้อใดที่พึงปฏิบัติก็พึงปฏิบัติ
ข้อใดที่พึงปฏิบัติก่อนก็ปฏิบัติก่อน
ข้อใดที่พึงปฏิบัติภายหลังก็ปฏิบัติภายหลัง
ดั่งนี้เป็นต้นเรียกว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
และเมื่อมีทั้ง ๔ ข้อนี้ ก็เป็นอันว่านำให้ได้สัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบความเห็นตรง นำให้ได้ความเลื่อมใสที่
ไม่หวั่นไหวในพระธรรม นำ
เข้ามาสู่สัทธรรมของสัตตบุรุษ
หรือธรรมที่ดีคือถูกต้อง คือพระธรรมวินัยนี้
ดั่งนี้
สัมมาทิฏฐินำมาซึ่งความสิ้นทุกข์
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติเพื่อให้
ได้สัมมาทิฏฐิดังกล่าวนี้ พระสารีบุตรจึง
ได้นำมาอธิบายไว้เป็นประการแรก และท่านยัง
ได้กล่าวไว้ด้วยว่า เมื่อได้สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ
รู้จักอกุศล รู้จักอกุศลมูล รู้จักกุศล
รู้จักกุศลมูล อันนำให้ได้สัมมาทิฏฐิ คือ
ความเห็นชอบความเห็นตรง ก็ย่อมจะนำให้ได้
ความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรมนำ
เข้ามาสู่พระธรรมวินัยนี้ ที่ท่านเรียกว่านำ
เข้ามาสู่สัทธรรมนี้ ก็คือนำเข้ามาสู่พระพุทธศาสนา
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้นั่นเอง และเมื่อ
เป็นดั่งนี้ก็ย่อมจะเป็นเหตุ
ให้ปฏิบัติละกิเลสที่นอนจมหมักหมมดองจิตสันดานอันเรียกว่า
อาสวะ หรือเรียกว่า อนุสัย อันยกขึ้นมาก็คือเป็นเหตุ
ให้ ละราคานุสัย
กิเลสที่นอนจมหมักหมมจิตสันดานคือราคะ
บรรเทาปฏิฆานุสัย อนุสัยคือปฏิฆะ
ความกระทบกระทั่งอัน
เป็นเบื้องต้นของกิเลสกองโทสะ ถอนทิฏฐิมานานุสัย
อนุสัยคือทิฏฐิมานะ ละอวิชชา ทำวิชชาให้บังเกิดขึ้น จึง
เป็นไปเพื่อการกระทำความสิ้นสุดแห่งกองทุกข์
ได้ดังนี้
ญาณทัสสนะ
เพราะฉะนั้น ปัญญาที่ต้องการในทางพุทธศาสนาอัน
เป็นขั้นต้นที่ต้องการทั่วไป ก็คือปัญญาที่ทำให้
เป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบดังกล่าว ก็คือ
ให้รู้จักอกุศลให้รู้จักอกุศลมูลให้รู้จักกุศล
ให้รู้จักกุศลมูล แต่วาพึงทำความเข้าใจด้วยอีกว่า
ความรู้จักที่เป็นตัวปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิดังกล่าวนี้
ไม่ใช่สัญญาคือความทรงจำ ความทรงจำนั้นก็คือ
ความทรงจำตามที่ฟัง ตามที่อ่าน ตามที่เล่าเรียน
ก็จำได้ว่าอกุศลกรรมบถ ๑๐ อกุศลมูล ๓
มีอะไรบ้าง กุศลกรรมบถ ๑๐ กุศลมูล ๓
มีอะไรบ้างก็จำได้ ความจำได้ดั่งนี้ยังไม่เป็นปัญญา ยัง
ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิดังกล่าว ต้องอาศัย
ความคิดพินิจพิจารณาและการปฏิบัติอีกด้วย คือว่า
ต้องคิดพิจารณาไป และต้องปฏิบัติไป การปฏิบัติไป
นั้นก็คือ ปหานะ ละ อย่างหนึ่ง ภาวนา ทำให้มีขึ้นให้
เป็นขึ้น อย่างหนึ่ง
ละ ก็คือว่าต้องฝึกละอกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐
ละอกุศลมูลทั้ง ๓ นี่เป็นข้อต้องปฏิบัติฝึกหัดละ
ภาวนา คือทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้นนั้น คือต้องปฏิบัติฝึกที่
จะประกอบกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐
และอบรมกุศลมูล อโลภะ อโทสะ อโมหะ ให้มีข้น
ให้บังเกิดขึ้นในจิตใจ
นี่ก็รวมเข้าในคำว่า สุตะ จินตา ภาวนา ซึ่งเป็นเหตุให้
ได้ปัญญา
ปัญญาที่ได้จากสุตะคือการสดับการอ่านการเรียน
ก็เรียกว่า สุตมัยปัญญา
ที่ได้จากความคิดพินิจพิจารณา ก็เรียกว่า
จินตามัยปัญญา
ที่ได้จากการปฏิบัติอบรม ก็เรียกว่า
ภาวนามัยปัญญา
แต่ว่าในข้อ ๓ นี้ ก็ต้องประกอบด้วยทั้งละและทั้งทำ
ให้มีขึ้นดังกล่าวนั้น และเมื่อปฏิบัติไป ๆ อาศัยสุตะ
อาศัยจินตา อาศัยภาวนา ทั้ง ๓ นี้ ก็ย่อมจะได้ปัญญาที่
เป็นตัวความรู้ขึ้นของตัวเอง ได้ความเห็นขึ้นของตัวเอง
ซึ่งมีคำเรียกอีกว่า ญาณทัสสนะ ความรู้ ความเห็น
รู้เห็นว่าข้อนี้ ๆ เป็นอกุศลจริง ข้อนี้ ๆ
เป็นอกุศลมูลจริง ข้อนี้ ๆ เป็นกุศลจริง ข้อนี้ ๆ
เป็นกุศลมูลจริง
ในการที่จะปฏิบัติประกอบปัญญาในทางทั้ง ๓
ดังกล่าวนั้น ก็ต้องอาศัยกัลยาณมิตร
และอาศัยโยนิโสมนสิการดังกล่าวมานั้นประกอบ
กันอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นผู้มุ่งจะได้ปัญญาที่
เป็นสัมมาทิฏฐิ จึง
ต้องปฏิบัติตามมงคลสูตรคาถาแรกของพระพุทธเจ้า
อยู่ให้เป็นประจำคือ
ไม่เสวนาคบหาคนพาลทั้งหลาย เสวนาคบหาบัณฑิต
ทั้งหลาย และบูชาผู้ที่ควรบูชาทั้งหลาย
เมื่อปฏิบัติอยู่ดังนี้แล้ว จึงจะได้กัลยาณมิตร
และเมื่อมีโยนิโสมนสิการประกอบอยู่ตลอด ก็ย่อม
จะเจริญปัญญาขึ้นโดยตลอด ทำให้เกิด
ความรู้ของตัวเองขึ้นรับรองว่านี่เป็นอย่างนี้จริง นี่
เป็นอย่างนี้จริงตามความเป็นจริง
โดยที่จับเหตุจับผลได้ถูก จับได้ว่าอกุศลมูลนั้น
เป็นตัวเหตุ ตัวอกุศลนั้นเป็นตัวผล กุศลมูลนั้น
เป็นตัวเหตุตัวกุศลนั้นเป็นตัวผล ซึ่งการที่
จะจับเหตุจับผลได้ถูกต้องดังนี้ ก็เกิด
จากโยนิโสมนสิการ ใส่ใจ
ตั้งแต่ตั้งใจฟังคำสอนของกัลยาณมิตร มาจน
ถึงพินิจพิจารณาขบเจาะจับเหตุแห่งผลให้ได้
หรือว่าจับผลสาวหาเหตุให้ได้ จับเหตุที่จะส่งผลให้
ได้ นี่แหละคือโยนิโสมนสิการ ให้
ความรู้ของตัวเองบังเกิดขึ้น รับรองว่าข้อนี้เป็น
ความจริง ข้อนี้เป็นความจริง และเมื่อได้ปัญญาคือ
ความรู้ของตัวเอง ให้เกิดขึ้นรับรองขึ้นตาม
เป็นจริงดั่งนี้ ก็จะชื่อว่า มีความเห็นชอบ ที่เรียกว่า
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นตรง ที่เรียกว่า อุชุกทิฏฐิ ทำให้มี
ความเลื่อมใส ไม่หวั่นไหวในพระธรรม
โดยตรงก็คือในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า
สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธรรมะอันพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว คือ ดีจริง ถูก
ต้องจริง งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
ประกาศพรหมจรรย์คือศาสนา คำสั่งสอนที่แสดง
ความประพฤติอันประเสริฐ พร้อม
ทั้งอรรถะคือเนื้อความ พร้อมทั้งพยัญชนะคือถ้อยคำ
บริบูรณ์คือไม่บกพร่อง บริสุทธิ์คือ
ไม่มีผิดพลาดสิ้นเชิง ย่อมจะได้ความเลื่อมใส ที่
ไม่หวั่นไหวในพระธรรมอัน
เป็นสวากขาตธรรมของพระพุทธเจ้าดั่งนี้
และเมื่อเป็นดั่งนี้แหละจึงจะชื่อว่าได้
เข้ามาสู่พระสัทธรรมนี้ ได้เข้ามาสู่พระศาสนานี้ ได้
เข้ามาสู่พระธรรมวินัยนี้ ถ้าหากว่ายังไม่
ได้สัมมาทิฏฐิแม้ในขั้นต้นดังกล่าว ยังหาชื่อว่าได้
เข้ามาสู่พระสัทธรรมนี้ไม่ หาชื่อว่ามี
ความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรมไม่
เพราะฉะนั้น จึงเป็นข้อที่ควรปฏิบัติ ตั้งใจที่
จะสดับตรับฟัง ที่จะพินิจพิจารณา ที่จะปฏิบัติอบรม
เพื่อให้ได้ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ดังกล่าว
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๔ ตุลาคม ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 06:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒ อาหาร ๔
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๒ อาหาร ๔
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้
เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ปัญญาในธรรมนั้น ดังได้กล่าวแล้ว ก็คือสัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ ท่านพระสารีบุตร
ได้แสดงสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบไว้ ว่าเป็นอย่างไร
เป็นความเห็นชอบ และยังได้แสดงไว้ต่อไปดังที่
จะกล่าว ณ บัดนี้ คือภิกษุทั้งหลายเมื่อ
ได้ฟังท่านพระสารีบุตรอธิบายสัมมาทิฏฐิดังที่
ได้กล่าวมาแล้ว จึงได้ถามท่านต่อไปว่า ยังมีอธิบาย
โดยปริยายคือทางอันอื่นอีกหรือไม่
ท่านพระสารีบุตรก็ได้ตอบว่ามี และก็
ได้แสดงปริยายคือทางอธิบายต่อไปอีกว่า สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ ก็คือ
ความรู้จักอาหาร
รู้จักอาหารสมุทัย เหตุเกิดแห่งอาหาร
รู้จักอาหารนิโรธ ความดับอาหาร และ
รู้จักอาหารนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติอันเป็นทาง
ให้ถึงความดับอาหาร
รู้จักอาหาร
คำว่า อาหาร นั้นเป็นคำที่ทุก ๆ คนก็เรียกกัน
ถึงอาหารที่บริโภคเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย
แต่คำว่าอาหารมิใช่หมายความ
ถึงเพียงอาหารสำหรับบำรุงเลี้ยงร่างกายเพียงอย่างเดียว
แต่หมายถึงอาหารอย่างอื่นอีกด้วย
ท่านพระสารีบุตรได้แสดงอธิบายอาหารไว้ ๔
ประการ คือ
หนึ่ง กวฬิงการาหาร อาหารคำคำข้าว
สอง ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะ
สาม มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือมโนสัญเจตนา
ความจงใจ และ
สี่ วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ
คำว่า อาหาร นั้นตามศัพท์แปลว่า นำมา ก็หมาย
ถึงสิ่งที่เป็นปัจจัย คือเป็นเครื่องอาศัยที่นำผลมา
หนึ่ง อาหารของกายหรือรูปธรรม
ข้อที่หนึ่ง กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว ก็หมาย
ถึงอาหารที่บุคคลตลอดจนถึงสัตว์เดรัจฉาน
ทั้งหลายบริโภค เป็นอย่างละเอียดก็มี
เป็นอย่างหยาบก็มี ยกเอาคำข้าวขึ้นเป็นที่ตั้งเป็นชื่อ
เพราะว่าข้าวนั้นก็ถือว่าเป็นอาหารหลักสำหรับที่
จะบำรุงเลี้ยงร่างกาย ฉะนั้น จึงยกขึ้น
เป็นชื่อของอาหารสำหรับบำรุงเลี้ยงร่างกายอันหมายคลุม
ถึงอาหารทุกอย่างที่บริโภคสำหรับบำรุงเลี้ยงร่างกาย
นี้คือกวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าว ข้อที่หนึ่ง
สอง อาหารของนามธรรม
ข้อที่สอง ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะ หมาย
ถึงอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ
มาประชุมกัน เรียกว่า สัมผัส หรือ ผัสสะ
อันแปลว่า กระทบ เป็นอาหารแห่งนามธรรม
ทั้งหลาย คือ แห่งเวทนา แห่งสัญญา แห่งสังขาร
และแห่งวิญญาณเองที่เกิดสืบต่อไป
กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าวข้อแรก
เป็นอาหารของรูปธรรม คือ ร่างกายส่วนรูป
ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะหรือสัมผัส
เป็นอาหารของนามธรรม คือ เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ ที่เกิดสืบเนื่องกันไป
ผัสสาหาร อาหารคือผัสสะข้อที่สองนี้ พระพุทธเจ้า
ได้ตรัสแสดงไว้ว่า คือความประชุมของอายตนะภาย
ใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ โดยที่เมื่อตา
กับรูปประจวบกันก็ย่อมเกิดวิญญาณ คือ ความรู้
ในรูปที่เรียกว่าเห็นรูป อันการเห็นรูป ดังที่พูด
กันก็มักจะพูดกันว่า เห็นรูปด้วยจักษุคือตา
แต่เมื่อแสดงตามทางอภิธรรม ท่านแสดงว่าเห็นรูป
ด้วยจักขุวิญญาณคือความรู้รูปทางจักษุ ตานั้น
เป็นเพียงประสาทสำหรับ
เป็นที่อาศัยรับรูปที่มาประจวบกันเท่านั้น ถ้ายัง
ไม่เกิดจักขุวิญญาณ การเห็นรูปก็ยังไม่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นจึงต้องเกิดจักขุวิญญาณ วิญญาณทางตา
ก็คือรู้รูปทางตา ที่เรียกกันว่าเห็นรูป เพราะฉะ
นั้นการเห็นรูปจึงมิใช่เห็นด้วยจักขุหรือจักษุ
แต่ว่าเห็นด้วยจักขุวิญญาณ
เมื่อพูดตามธรรมดาก็พูดว่าเห็นรูปด้วยจักษุ
แต่เมื่อพูดตาทางอภิธรรมก็จะพูดว่าเห็นรูปด้วย
จักขุวิญญาณ
แม้ในอายตนะข้อต่อไปก็เช่นเดียวกัน หู
กับเสียงมาประจวบกันก็เกิด โสตวิญญาณ ได้ยินเสียง
จมูกกับกลิ่นมาประจวบกันก็เกิด ฆานวิญญาณ
รู้กลิ่นทางจมูก
ลิ้นกับรสมาประจวบกันก็เกิด ชิวหาวิญญาณ
รู้รสทราบรสทางลิ้น
กายกับโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้องมาประจวบกันก็เกิด
กายวิญญาณ รู้สิ่งถูกต้องทางกาย
มโนคือใจกับธรรมะคือเรื่องราวมาประจวบ
กันก็เกิด มโนวิญญาณ รู้เรื่องที่ใจคิดทางมโนทางใจ
นี้เป็นปกติของอายตนะภายในภายนอก
และวิญญาณทางอายตนะทั้ง ๖ นี้ บังเกิดขึ้น
เป็นปกติแก่ทุก ๆ คน ทุก ๆ เวลา และเมื่อทั้ง ๓
นี้มาประชุมกัน จึงเรียกว่าเป็นสัมผัสที่แปลว่า
ความกระทบ หรือเรียกสั้นว่าผัสสะ และผัสสะ
หรือสัมผัสดังกล่าวมานี้เอง
เป็นอาหารของนามธรรมทั้งหลาย คือ ของเวทนา
ของสัญญา ของสังขาร และของวิญญาณที่เกิดสืบ
จากสังขาร
เพราะฉะนั้น ตามอธิบายนี้วิญญาณจึงบังเกิดขึ้น
ในเมื่ออายตนะภายในอายตนะภายนอกมาประจวบกัน
ก็เป็นวิญญาณขึ้นตามทางอายตนะ และเมื่อทั้ง ๓
มาประชุมเป็นสัมผัส จึงเกิดเวทนา เกิดสัญญา
เกิดสังขาร และก็เกิดวิญญาณสืบต่อกันไปอีก
เพราะฉะนั้น วิญญาณจึงมาตรงที่เมื่ออายตนะภาย
ในอายตนะภายนอกประจวบกันนั้นหนหนึ่ง
และเมื่อมาประชุมกันเป็นสัมผัสหรือผัสสะก็
เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร และก็
เป็นวิญญาณขึ้นอีก วิญญาณก็มาบังเกิดขึ้นสืบ
จากสังขารอีกครั้งหนึ่ง และก็มาเป็นสัมผัส
เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร และก็เป็นวิญญาณ
ก็วนกันไปอยู่ดั่งนี้ในอารมณ์ทั้งหลายที่จิตนี้รับ
เริ่มมาจากทางอายตนะซึ่งเป็นฝ่ายรูปแล้วก็มา
เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น ขันธ์ ๕ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ อันประกอบย่อเข้าเป็นรูป
เป็นนาม รูปก็เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ก็เป็นนาม รวมเป็นขันธ์ ๕ ย่อก็เป็นรูปเป็นนาม
อันเรียกว่านามรูปนี้ จึง
เป็นสิ่งที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ถือกำเนิดเกิดก่อขึ้น
ในครรภ์ของมารดา แต่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ จนเมื่อ
ได้คลอดออกมาจึงมีความสมบูรณ์ แต่แม้เช่นนั้นก็
ยังอ่อน เมื่อเติบโตขึ้นจึงเจริญสมบูรณ์ขึ้นจนมี
ความสมบูรณ์เต็มที่ ดังรูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณของบุคคลที่เติบโตขึ้น ตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก
เป็นเด็กใหญ่ เป็นหนุ่มเป็นสาว ก็เป็น
ความสมบูรณ์ของขันธ์ ๕ ขึ้นมาโดยลำดับ
ดังจะพึงเห็นได้ว่า เมื่อส่วนรูปมีความสมบูรณ์
ส่วนนามก็สมบูรณ์ ดังเช่นเมื่อตาหูจมูกลิ้นกาย
และมนะคือใจสมบูรณ์จึงรับอายตนะภายนอกต่าง ๆ
ได้ฉับพลันคล่องแคล่วว่องไว วิญญาณที่บังเกิดขึ้น
สัมผัสที่บังเกิดขึ้น สืบมาถึงเวทนา สัญญา สังขาร
แล้วต่อไปวิญญาณอีกก็สมบูรณ์ฉับพลัน
และตรงนี้ก็น่าที่จะต้องอธิบาย เพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งว่า
ในขันธ์ ๕ นั้นไม่จัดใส่วิญญาณกับสัมผัสที่บังเกิดขึ้น
ในช่วงนี้เข้าไว้ จัดรูปเป็นที่ ๑ แล้วก็มาเวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณต่อท้าย ตัดเอาวิญญาณ
กับสัมผัสที่บังเกิดขึ้นในระหว่างรูปกับเวทนาเสีย
ถ้าหากว่าจะใส่ไว้ด้วยก็ไม่ใช่เป็นขันธ์ ๕ จะต้องเป็นขันธ์
๖ ขันธ์ ๗ แต่นี่ไม่ใส่ไว้ ตัดเอาวิญญาณ
กับสัมผัสที่บังเกิดขึ้นในช่วงนี้ออกเสียจึงเป็นขันธ์ ๕
แสดงวิญญาณไว้ข้างท้ายเท่านั้น
พิจารณาดูก็เพื่อสะดวกเป็น วิปัสสนาภูมิ คือ
เป็นภูมิแห่งวิปัสสนา คือ
เป็นกรรมฐานสำหรับวิปัสสนาในอันที่
จะกำหนดพิจารณาให้รู้ให้เห็นได้สะดวก
เพราะว่ารูปนั้นก็เป็นของหยาบ พิจารณาได้สะดวก
มาเวทนาก็นับว่าเป็นนามธรรมที่หยาบบังเกิดขึ้น
ทั้งทางกายทั้งทางใจ จึงมาเป็นที่ ๒ จึงมาถึงสัญญา
ถึงสังขารซึ่งเป็นส่วนนามธรรมล้วน ๆ แล้ว
จึงมาวิญญาณซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ละเอียด ก็เอาคุม
ไว้ข้างท้ายสำหรับที่จะพิจารณาเป็นกรรมฐาน
เป็นวิปัสสนาภูมิได้โดยสะดวก
ฉะนั้น ผัสสะจึงมีความหมายถึงความประชุมของทั้ง ๓
อย่างดังที่กล่าวนั้น เป็นอาหารของเวทนา คือ
เป็นปัจจัยนำผลมา คือนำให้เกิดเวทนา ความรู้เป็นสุข
เป็นทุกข์ หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข
ให้เกิดสัญญาคือความรู้จำ
ได้จำรูปจำเสียงจำกลิ่นจำรสจำโผฏฐัพพะจำเรื่องราวอะไรต่าง
ๆ ได้ เป็นสังขารคือความรู้คิดปรุง
หรือปรุงคิดต่าง ๆ และเมื่อคิดปรุงไปก็รู้ไปด้วยก็
เป็นวิญญาณ แล้วก็วนเป็นวงกลมมาใหม่อีก
ก็เป็นไปอยู่ดังนี้ เป็นเรื่องของรูปและนามที่บังเกิด
อยู่ในปัจจุบันของบุคคลทุก ๆ คนโดยที่รูปนั้นก็
ต้องอาศัยอาหารคือคำข้าว หยาบบ้างละเอียดบ้าง
ส่วนนามก็อาศัยอาหารคือผัสสะดังที่กล่าวมาแล้ว
ถ้าหากว่ารูปไม่ได้อาศัยอาหารคือคำข้าวก็ดำรงอยู่
ไม่ได้ นามไม่อาศัยอาหารคือผัสสะหรือสัมผัส
นามก็บังเกิดขึ้นเป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น อาหารคือคำข้าวจึงเป็นที่ ๑
อาหารคือผัสสะจึงเป็นที่ ๒
สาม อาหารของกรรม
มาถึงข้อที่สาม มโนสัญเจตนาหาร
อาหารคือมโนสัญเจตนา ความจงใจ ตรัสว่า
เป็นอาหารของกรรม และพระสารีบุตรก็
ได้แสดงอธิบายตามพระพุทธเจ้า
เพราะว่ากรรมคือการงานที่บุคคลกระทำ
ทางกายก็เป็นกายกรรม ทางวาจาก็เป็นวจีกรรม
ทางใจก็เป็นมโนกรรม ย่อมเกิดจากมโนสัญเจตนาคือ
ความจงใจ จะต้องมีมโนสัญเจตนา
หรือเรียกสั้นว่าเจตนา ความจงใจเป็นเหตุ จึง
ได้กระทำทางกายเป็นกายกรรม กระทำทางวาจา
เป็นวจีกรรม กระทำทางใจเป็นมโนกรรม
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอาไว้ว่า
เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวเจตนาคือความจงใจว่าเป็นกรรม คือ
เป็นเหตุให้กระทำกรรม
เพราะว่าบุคคลมีเจตนาคือความจงใจแล้ว
จึงกระทำทางกายบ้าง กระทำทางวาจาบ้าง
และกระทำทางใจบ้าง
ฉะนั้น กรรมที่บุคคลกระทำทุก ๆ อย่าง ทางกาย
ทางวาจา ทางใจ ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรม
หรือบุญกรรม ไม่ว่าจะเป็นอกุศลกรรม
หรือบาปกรรม ย่อมมีเจตนาคือความจงใจ
หรือมโนสัญเจตนาเป็นเหตุ คือเป็นอาหาร
เป็นปัจจัยที่นำผลมาคือนำให้เป็นเหตุให้บังเกิดกรรม
ฉะนั้น มโนสัญเจตนาหรือเจตนาคือความจงใจจึง
เป็นอาหารของกรรม นับเป็นข้อที่ ๓
สี่ อาหารของนามรูป
มาถึงข้อที่ ๔ วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ
อันวิญญาณนี้ที่ได้กล่าวมาไว้เบื้องต้น ท่านเรียกว่าเป็น
วิถีวิญญาณ เป็นวิญญาณในวิถี อันหมายความว่า
เป็นวิญญาณที่บังเกิดขึ้นตามวิถีคือตามทาง วิถีคือทาง
ก็คือวิถีของกายจิตนี้ที่ประกอบกันอยู่เป็นไปอยู่
อันนับแต่อายตนะภายในอายตนะภายนอกมาประจวบ
กันเป็นวิญญาณ เป็นสัมผัส เป็นเวทนา
เป็นต้นดังกล่าวมาแล้ว นี้เรียกว่าเป็นวิถีคือ
เป็นทางแห่งความเป็นไปของกายและจิต ที่อาศัยกันอยู่
ที่ประกอบกันอยู่ ที่ดำเนินไปอยู่จึงเรียกว่า
วิถีวิญญาณ
อีกอย่างหนึ่ง ปฏิสนธิวิญญาณ วิญญาณในปฏิสนธิ
วิญญาณในปฏิสนธินี้ก็ได้แก่วิญญาณธาตุคือธาตุรู้
หรือจิตที่อาศัยอยู่ในกายนี้ ซึ่งบุคคลทุก ๆ คนนี้มีกาย
และจิตประกอบกันอยู่ ถ้าหากว่าไม่มีจิต
กายนี้ก็ดำรงอยู่มิได้ ต้องแตกสลาย เพราะฉะนั้น จึง
ได้มีแสดงเอาไว้ในบางพระสูตรว่า เมื่อมีชาติคือ
ความเกิด ตั้งแต่ต้นเกิดขึ้นในครรภ์ของมารดา
เริ่มก่อเกิดขึ้นก็มีปฏิสนธิวิญญาณ ซึ่งมีคำเรียกว่า
คันธัพพะ คนธรรพ์เข้ามาสู่ครรภ์ของมารดาอีก
ส่วนหนึ่ง มาประกอบเข้ากับส่วนประกอบที่เป็นรูป
เมื่อเป็นดังนี้ สัตว์จึงเริ่มมีชาติก็คือความเกิดขึ้นมา
และเมื่อคันธัพพะหรือปฏิสนธิวิญญาณ
เข้าสู่ครรภ์ของมารดาในขณะที่
ได้เริ่มก่อรูปขึ้นตั้งต้นแต่เป็นกลละ
และก็เริ่มเติบโตขึ้นแตกเป็นปัญจสาขา
มีอายตนะที่บริบูรณ์ขึ้นโดยลำดับ ก็จะ
ต้องมีปฏิสนธิวิญญาณประกอบอยู่ด้วยตลอด
ถ้าหากว่าปฏิสนธิวิญญาณหรือว่าจิต
หรือว่าคนธรรพ์ดังที่เรียกในพระสูตร
พรากออกไปเสียเมื่อใดรูปที่ก่อขึ้นมาตั้งแต่ต้นนั้นก็
เป็นอันว่าแตกสลาย ไม่ก่อเกิดขึ้นอีกต่อไป
แม้ว่าเมื่อคลอดออกมาจากครรภ์ของมารดาแล้ว
กายและจิตนี้ก็ต้องประกอบกัน
อยู่ตลอดเวลาเรียกว่าปฏิสนธิวิญญาณที่มาตั้งแต่
ในเบื้องต้นนั้นก็จะต้องอยู่
ถ้าหากว่าปฏิสนธิวิญญาณที่มาตั้งแต่เบื้องต้นนั้น
หรือว่าจิตออกไปเสียจากร่างกายนี้เมื่อใด
ร่างกายอันนี้ก็เป็นอันว่าหยุดที่จะเติบโต แตกสลาย
ที่เรียกว่าตาย จะดำรงอยู่ต่อไปมิได้ หรือ
จะเรียกว่าขันธ์ ๕ หรือรูปนาม
เมื่อวิญญาณดังกล่าวไม่มีแล้ว ขันธ์ ๕
หรือรูปนามก็แตกสลาย
ได้มีพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ ที่ใช้
เป็นบทสำหรับพิจารณาว่า
อจิรํ วตยํ กาโย ไม่นานหนอกายนี้
ปฐวึ อธิเสสฺสติ จักนอนทับแผ่นดิน
ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ ปราศจากวิญญาณ ถูกทิ้ง
นิรตฺถํว กลิงฺครํ ราวกับท่อนไม้ท่อนฟืน
ไม่มีประโยชน์
คาถาบทนี้ก็เป็นเครื่องแสดงว่า กายนี้ทั้งรูปกาย
ทั้งนามกายคือขันธ์ ๕ หากปราศจากวิญญาณเสียแล้ว
ก็จักต้องนอนหรือถูกทอดทิ้งให้นอนทับแผ่นดิน
เหมือนอย่างท่อนฟืนท่อนไม้ไม่มีประโยชน์ กาย
ทั้งรูปกายทั้งนามกายหรือขันธ์ ๕ นี้ที่ยังดำรงชีวิต
อยู่ได้ก็เพราะยังมีวิญญาณ ไม่ปราศจากวิญญาณ ฉะ
นั้น วิญญาณนี้จึงเป็นอาหารสำคัญของนามรูป
หรือของขันธ์ ๕ หรือว่าของรูปกาย นามกาย
เมื่อวิญญาณนี้ยังอยู่ นามรูปก็ยังดำรงอยู่
แต่เมื่อปราศจากวิญญาณเสียแล้ว นามรูปก็
เป็นอันว่าแตกสลาย
ฉะนั้น วิญญาณจึงเป็นอาหารของนามรูป เป็นข้อที่ ๔
รู้จักอาหารสมุทัยคือตัณหา
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอาหารไว้ ๔ อย่างดังนี้
และพระสารีบุตรก็ได้แสดงตามสัมมาทิฏฐิก็คือ
ความรู้จักอาหารทั้ง ๔ เหล่านี้ว่า
คำข้าว เป็นอาหารของกาย คือของรูปกาย
ผัสสะ หรือสัมผัส เป็นอาหารของนามมีเวทนาเป็นต้น
มโนสัญเจตนา หรือเจตนาความจงใจ
เป็นอาหารของกรรม
วิญญาณ เป็นอาหารของนามรูป
ต่อจากนี้ท่านพระสารีบุตรก็ได้แสดงอธิบาย
ให้รู้จักอาหารสมุทัย เหตุเกิดแห่งอาหาร
ก็ชี้เอาตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก
สัมมาทิฏฐิก็คือความรู้จักว่า ตัณหาคือ
ความดิ้นรนทะยานอยากเป็นเหตุแห่งอาหารทั้ง ๔
ดังกล่าว
รู้จักอาหารนิโรธ
และแสดงต่อไปว่า ความรู้จักอาหารนิโรธคือ
ความดับอาหาร ก็คือความรู้จักว่าดับตัณหาเสียได้ ก็
เป็นความดับอาหาร และปัญญาที่รู้จักดังนี้ก็
เป็นสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ
รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาหาร
ต่อไปก็แสดงว่า ปัญญาที่รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึง
ความดับอาหารก็คือมรรคมีองค์ ๘ อันได้แก่
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ
ความดำริชอบ สัมมาวาจา เจรจาชอบ สัมมากัมมันตะ
การงานชอบ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ
สัมมาวายามะ เพียรชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ
สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ เป็นข้อปฏิบัติให้ถึง
ความดับอาหาร ปัญญาที่รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึง
ความดับอาหารดังนี้เป็นสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ
ดับภพดับชาติเมื่อดับตัณหา
พิจารณาดูแนวอธิบายของท่านดังนี้ ก็จะพึงเห็นได้ว่า
เพราะตัณหานี้เองเป็น โปโนพฺภวิกา เป็นเหตุ
ให้ถือภพถือชาติใหม่ เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหตุ
ให้แสวงหาอาหารแห่งรูปธรรมนามธรรมแห่งกรรม
และแห่งวิญญาณอยู่ตลอดไป
ซึ่งเมื่อมีอาหารเหล่านี้อยู่ก็เป็นอันว่าไม่มีที่
จะจบภพจบชาติ เพราะท่านต้องการแสดง
ในทางดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งสิ้น
ก็คือดับภพดับชาติ เป็นแนวอธิบายในทางดับภพดับชาติ
จึงได้แสดงว่าตัณหาเป็นตัวสมุทัยแห่งอาหาร
และดับตัณหาเสียได้ก็เป็นการดับอาหาร คือ
เป็นการดับภพดับชาติและก็มีมรรคมีองค์ ๘
นั่นแหละเป็นทางปฏิบัติ แม้จะกล่าวว่าท่านแสดงมุ่ง
ในทางดับภพดับชาติ แต่ก็เป็นสัจจะคือความจริงว่า
ความสืบต่อภพชาติก็เพราะมีตัณหานี้เองเป็นตัวเหตุ
เพราะสัจจะคือความจริงเป็นดั่งนี้ จึง
ได้มีพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ว่า โลกอันตัณหาก่อขึ้น
เพราะฉะนั้น เมื่อยังเป็นโลกก็เพราะยังมีตัณหาอยู่
เป็นตัวก่อให้เกิดขึ้น ดับตัณหาเสียได้ก็ดับโลก และก็
เป็นการดับทุกข์ เป็นสัจจะคือความจริง แต่แม้เช่น
นั้นเมื่อไม่ประสงค์จะดับโลก ไม่ประสงค์
จะดับตัณหา ยังต้องการโลกอยู่ ยังอยู่
กับโลกก็ปฏิบัติในการแสวงหาอาหารทั้ง ๔ นี้
โดยทางที่ชอบ เพื่อจะได้ภพชาติที่ดีที่ชอบ ภพชาติ
ในปัจจุบันก็เป็นภพชาติที่ดี ที่ชอบ มีความสุข
ภพชาติต่อไปก็มีความสุข ดั่งนี้ก็เป็นการปฏิบัติที่ถูก
ต้อง
เพราะฉะนั้น ท่านพระสารีบุตรจึงได้แสดงสัจจะคือ
ความจริง และความที่มีปัญญารู้จักความจริง
ในเรื่องอาหาร ในเรื่องเหตุเกิดอาหาร ในเรื่อง
ความดับอาหาร ในเรื่องทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับอาหาร ดั่งนี้แหละคือเป็นสัมมาทิฏฐิ คือ
ความเห็นชอบ แม้จะเป็นข้อที่ต้องพิจารณา
เรียกว่ายากขึ้นไปจากประการแรก แต่ก็สามารถ
จะพิจารณาให้เห็นสัจจะคือความจริงได้ และจะทำ
ให้เข้าใจธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนดียิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นท่านจึงได้แสดงว่า เมื่อมีสัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบ ก็ย่อมจะมีความเห็นตรง ย่อมจะมี
ความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระธรรม
มาสู่หลักสัทธรรมนี้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 11:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๓ ความรู้จักอริยสัจ ๔
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๓ ความรู้จักอริยสัจ ๔
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้
เป็นศีลทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงเรื่องสัมมาทิฏฐิ
ตามอธิบายของท่านพระสารีบุตรในสัมมาทิฏฐิสูตร
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ความเห็นตรง ย่อมนำให้
ได้ปสาทะความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรม
นำมาสู่พระสัทธรรมคือพระธรรมวินัย
ในศาสนานี้ ท่านพระสารีบุตร
ได้แสดงอธิบายว่าเห็นอย่างไรรู้อย่างไร
เป็นสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ
โดยปริยายคือทางแสดงหลายประการ ตั้งแต่
ในเบื้องต้นก็คือ รู้จักอกุศล รู้จักอกุศลมูล
รู้จักกุศล รู้จักกุศลมูล อันเป็นสัมมาทิฏฐิที่คน
ทั่วไปพึงมีเป็นพื้นฐาน ต่อจากนั้นท่านก็ได้แสดงอาหาร
คือธรรมะที่นำผลมา อันหมายถึงเหตุแห่งผล
ตั้งต้นแต่อาหารอันเป็นเหตุความดำรงอยู่
ในของกายอันเป็นฝ่ายรูปธรรม
อาหารของนามธรรม อาหารของกรรม
คือการที่กระทำทางกายวาจาใจของทุกคน
และอาหารของนามรูป เพื่อให้รู้จักอาหาร
ธรรมะที่นำผลมาคือเหตุแห่งทั้ง ๔ อย่างนั้น
และต่อจากนั้น เมื่อภิกษุทั้งหลายได้ถามต่อไป ท่านก็
ได้แสดงอธิบายสืบต่อไปอันจะแสดงในวันนี้ ก็คือท่าน
ได้อธิบายไว้มีใจความว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบก็คือ
ความรู้จักทุกข์
รู้จักทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
รู้จักทุกขนิโรธ ความดับทุกข์
รู้จักทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์
อริยสัจ ๔ เป็นที่รวมของกุศลกรรม
ท่านก็ได้แสดงอธิบายตามที่พระพุทธเจ้า
ได้ตรัสเทศนาไว้ ตั้งต้นแต่ปฐมเทศนาของพระองค์
ซึ่งเราทั้งหลายต่างก็ได้ยินได้ฟังเรื่องอริยสัจทั้ง ๔
นี้มาแล้ว แต่แม้เช่นนั้น เรื่องอริยสัจทั้ง ๔ นี้ก็
เป็นเรื่องอันสำคัญในพระพุทธศาสนา
ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสว่าเป็นที่รวมแห่งธรรมะ
ในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น โดยพยัญชนะที่ตรัส
นั้นยกเอาว่าเป็นที่รวมแห่งกุศลธรรมในพุทธศาสนา
ทั้งสิ้น ก็หมายถึงความรู้ในอริยสัจทั้ง ๔ อัน
เป็นสัมมาทิฏฐินั้นเอง
ความรู้ในอริยสัจทั้ง ๔ นี้เป็นกุศลอันสำคัญ คำว่า
กุศล นั้นตามศัพท์แปลว่า ความฉลาด ก็คือความรู้ที่
เป็นความฉลาด ยอดของความรู้ที่เป็น
ความฉลาดก็กล่าวได้ว่าคือความรู้จักอริยสัจทั้ง ๔
เพราะฉะนั้น กุศลธรรมทั้งหมดจึงรวมอยู่
ในอริยสัจทั้ง ๔ ก็คือรวมอยู่ในความรู้จักอริยสัจทั้ง
๔ นี้ และแม้ตัวอริยสัจทั้ง ๔ เอง สรีระแห่งอริยสัจ
ทั้ง ๔ เองก็เป็นที่รวมของธรรมะทั้งสิ้น ดังที่
ได้กล่าวไว้ในเบื้องต้นนั้น เพราะฉะนั้น แม้จะฟังบ่อย ๆ
พิจารณาบ่อย ๆ ก็ยิ่งเป็นการดี เพราะจะทำให้ได้
ความรู้ซาบซึ้งในอริยสัจทั้ง ๔ นี้มากขึ้น จะเห็น
ความสำคัญของอริยสัจทั้ง ๔ นี้มากขึ้น และก็มิ
ใช่เฉพาะเป็นธรรมะเบื้องสูงเท่านั้น แต่ว่า
เป็นธรรมะที่มีอยู่เป็นไปอยู่ตั้งแต่ในเบื้องต้น มีอยู่
เป็นไปอยู่ทั่วไป เป็นแต่เพียงว่าใครจะเห็นหรือไม่เห็น
เท่านั้น เพราะเป็นสัจจะคือความจริงที่ปรากฏอยู่ที่
เป็นไปอยู่ ฉะนั้น ในเบื้องต้นจึงจะได้กล่าวทบทวน
ถึงพระเถราธิบายซึ่งอธิบายตามพระพุทธาธิบาย
นั้นเองก่อน
รู้ทุกข์
รู้จักทุกข์ ก็คือรู้จักว่า ชาติ ความเกิด เป็นทุกข์ ชรา
ความแก่ เป็นทุกข์ มรณะ ความตาย เป็นทุกข์ โสกะ
ความแห้งใจ ปริเทวะ ความคร่ำครวญรัญจวนใจ
ทุกขะ ความไม่สบายกาย โทมนัสสะ ความไม่สบายใจ
อุปายาสะ ความคับแค้นใจเป็นทุกข์ ความประจวบ
กับสัตว์ และสังขารทั้งหลาย สิ่งทั้งหลายอันไม่
เป็นที่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสัตว์
และสังขารทั้งหลาย สิ่งทั้งหลายอันเป็นที่รัก
เป็นทุกข์ ความปรารถนาไม่ได้สมหวังเป็นทุกข์
กล่าวโดยย่อ ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ
เป็นทุกข์ ก็คือ รูปขันธ์ กองรูป เวทนาขันธ์ กองเวทนา
สัญญาขันธ์ กองสัญญา สังขารขันธ์ กองสังขาร
วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ เป็นทุกข์
รู้จักทุกขสมุทัย
รู้จักทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ก็คือรู้จักว่า ตัณหา
ความอยาก ความดิ้นรนของใจ ความทะยานอยาก อัน
เป็นไปเพื่อภพใหม่ ประกอบกับ นันทิ ความเพลิน
ราคะ ความติดใจยินดี มีความเพลิดเพลินยิ่งขึ้น ๆ
ในอารมณ์นั้น ๆ ในสิ่งนั้น ๆ อันได้แก่ กามตัณหา
ความอยากไปในกาม คืออารมณ์หรือสิ่ง
คือรูปเสียงกลิ่นรส
โผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย
ภวตัณหา ความอยากไปในภพ ความเป็นนั่นเป็นนี่
วิภวตัณหา ความอยากไปในวิภพ คือความไม่เป็นนั่น
เป็นนี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
รู้จักทุกขนิโรธ
รู้จักทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ ก็คือรู้จักว่า
ความดับตัณหา สำรอกตัณหาออกได้ไม่มีเหลือ
การสละตัณหาเสียได้ การสลัดตัณหาเสียได้
ความพ้นตัณหาเสียได้ ความ
ไม่อาลัยเกี่ยวเกาะผูกพันตัณหาได้ เป็นความดับทุกข์
รู้จักมรรค
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็คือรู้จัก
มรรคมีองค์ ๘ อันได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
สัมมาสัมกัปปะ ความดำริชอบ สัมมาวาจา เจรจาชอบ
สัมมากัมมันตะ การงานชอบ สัมมาอาชีวะ
เลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายามะ เพียรชอบ สัมมาสติ
ระลึกชอบ สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ
เป็นมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดั่งนี้
ความรู้จักอริยสัจทั้ง ๔ ดังกล่าวเป็นสัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบ เป็นความเห็นตรง ซึ่งนำให้เกิดปสาทะ
ความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระธรรม
นำมาสู่สัทธรรมคือธรรมวินัยในศาสนานี้
เป็นไปเพื่อละราคานุสัย อนุสัยคือกิเลสที่นอน
เนื่องจิตสันดาน คือราคะ ความติดใจยินดี
บรรเทาปฏิฆานุสัย อนุสัยคือปฏิฆะ
ความกระทบกระทั่งหงุดหงิดขัดเคืองโกรธแค้น
ถอนอวิชชานุสัย อนุสัยคืออวิชชา ความไม่รู้ในสัจจะที่
เป็นตัวความจริง ละมานะทิฏฐิอนุสัย ว่าเรามีเรา
เป็น ละอวิชชา ทำวิชชาให้บังเกิดขึ้น ดั่งนี้
อธิบายอริยสัจเพิ่มเติม
นี้
เป็นพระเถราธิบายที่ท่านอธิบายตามพระพุทธาธิบาย
นั้นเอง และเป็นอธิบายที่เป็นหลัก
ในการอธิบายอริยสัจทั้ง ๔ นี้ จึงควรจะทำความ
เข้าใจสักเล็กน้อย ในคำว่า อริยสัจ ที่ท่านให้คำแปล
ไว้ว่า สัจจะคือความจริงที่ทำผู้รู้ให้
เป็นอริยะคือบุคคลผู้เจริญบุคคลผู้ประเสริฐ
หรือแปลว่า สัจจะคือความจริงที่บุคคลผู้
เป็นอริยะพึงรู้ ดั่งนี้ และบางทีก็แปลรวบรัดว่า
สัจจะคือความจริงที่ประเสริฐ อันหมาย
ถึงที่สูงที่ละเอียดอันเป็นวิสัยที่จะพึงรู้
ได้ของปัญญาที่สูงกว่าปัญญาสามัญ แต่มิได้หมาย
ความว่าสัจจะที่ประเสริฐนั้นเป็นสัจจะที่ดี
ที่พึงปฏิบัติอบรมให้มีขึ้น เพราะว่าทุกขสัจจะ
ความจริงคือทุกข์นั้น ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใครต้องการ
จะก่อทุกข์ให้บังเกิดขึ้น สมุทัยสัจจะ สัจจะคือสมุทัย เหตุ
ให้เกิดทุกข์ อันได้แก่ตัณหานั้น ก็มิได้ตรัสสอน
หรือสั่งสอนให้ปฏิบัติอบรมตัณหาให้มีขึ้น
เพราะฉะนั้น หากแปล อริยสัจจะ ว่า สัจ
จะอันประเสริฐ คำว่าประเสริฐในที่นี้จึงไม่ได้หมาย
ความว่าดี ที่จะพึงปฏิบัติอบรมไปทุกอย่าง แต่หมาย
ความว่าที่ละเอียด ที่สูงกว่าสัจจะสามัญทั่วไป อัน
เป็นวิสัยของภูมิปัญญาที่สูงขึ้นจะพึงรู้ คือที่
จะพึงรู้แจ้งเห็นจริง ที่จะปฏิบัติในกิจของสัจจะทั้ง ๔ นี้
ได้จริง ๆ เพราะว่าเมื่อว่าถึงลำพังตัวสัจจะคือ
ความจริงทั้ง ๔ นี้ มีกิจที่จะพึงปฏิบัติต่าง ๆ กัน
กิจในอริยสัจ
พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ทำปริญญา คือ
ความรู้รอบคอบในทุกข์ ตรัสสอนให้ทำปหานะ
คือละสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ สั่งสอนให้ทำสัจฉิกรณะ
คือ การกระทำให้แจ้งในนิโรธคือความดับทุกข์
ตรัสสอนให้ทำภาวนา
คือการปฏิบัติอบรมมรรคมีองค์ ๘ อัน
เป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ปฏิบัติอบรมให้มีขึ้น
ให้เป็นขึ้นมา เพราะฉะนั้น กิจที่จะพึงปฏิบัตินั้น
ในอริยสัจทั้ง ๔ จึงมีอยู่ ๔ อย่าง คือ
หนึ่ง ปริญญา รู้รอบคอบหรือกำหนดรู้จักทุกข์
สอง ปหานะ ละสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์
สาม สัจฉิกรณะ กระทำให้แจ้งนิโรธ ความดับทุกข์
และ
สี่ ภาวนา การปฏิบัติอบรมทำมรรคมีองค์ ๘ ให้มีขึ้น
ให้เป็นขึ้นมา
กิจในอริยสัจทั้ง ๔ จึงมีต่างกันเป็น ๔ ดังนี้ แต่ว่า
ในการปฏิบัติอริยสัจทั้ง ๔ ก็คือการปฏิบัติทำกิจ
ในอริยสัจทั้ง ๔ นี้ให้บังเกิดขึ้น
พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งสอนทุกคนนี่แหละ
ให้ปฏิบัติตั้งแต่ในเบื้องต้น เรียกว่าเมื่อ
เข้ามาสู่พุทธศาสนาตั้งแต่ในเบื้องต้น ก็
ต้องเริ่มปฏิบัติกิจในอริยสัจทั้ง ๔ นี้ด้วยกัน
อาศัยศรัทธาและปัญญา
แต่ในการปฏิบัติเบื้องต้นนั้นก็เรียกว่า
ต้องอาศัยศรัทธา คือความเชื่อ
ในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ
ต้องอาศัยปัญญา คือความที่ฟัง อ่าน คิดพินิจพิจารณา
ตลอดจนถึงปฏิบัติให้มีความรู้ความเข้าใจ
เป็นตัวปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจทั้ง ๔ นี้
พุทธศาสนิกชนทุกคนเมื่อ
เข้ามาสู่พุทธศาสนาตั้งแต่เบื้องแรกก็ต้องอาศัยศรัทธา
และอาศัยปัญญาดังกล่าวนี้ นำการปฏิบัติให้เป็นไป
บางคนก็หนักทางศรัทธา เรียกว่า สัทธานุสารี
แล่นไปตามศรัทธา
บางคนก็หนักทางปัญญา ชอบใคร่ครวญพิจารณา
เรียกว่า ปัญญานุสารี แล่นไปตามปัญญา
ศรัทธาและปัญญาทั้ง ๒ นี้เป็นหลัก ซึ่งทุก ๆ
คนที่จริงก็ต้องมีอยู่ด้วยกันทั้งศรัทธาและทั้งปัญญา
ก็เพราะว่าสิ่งใดที่รู้เห็นได้ด้วยปัญญาของตัวเอง
เช่นธรรมะที่ทรงสั่งสอนเป็นเหตุผลขั้นต้นขั้นต่ำอัน
เป็นธรรมดาสามัญที่จะพึงบังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
ตามองเห็นได้ในบัดนี้ ก็ไม่จำต้องอาศัยศรัทธา เพราะ
ได้ปัญญารู้เห็นได้ด้วยตัวเองแล้ว แต่ว่าข้ออันใดที่ตน
ยังไม่อาจจะรู้เห็นได้ ก็ต้องอาศัยศรัทธาคือความเชื่อ
ในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่
ใช่เชื่อเพียงอย่างเดียว ก็ต้อง
ใช้ปัญญาพิจารณาจับเหตุจับผล
อันเรียกว่าโยนิโสมนสิการ ทำไว้ในใจ
คือรับเอาคำสั่งสอนมาไว้ในใจ ตั้งต้นแต่ใส่ใจที่จะฟังที่
จะอ่านกำหนดจดจำ นำมาขบเจาะคือพินิจให้มีความรู้
ความเข้าใจ ลงความเห็น ก็คือทำความรู้ความเข้าใจ
ให้ถูกต้องว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ดั่งนี้ก็เรียกว่าอาศัยศรัทธานำเพื่อจะได้ปัญญายิ่ง ๆ
ขึ้นต่อไป และแม้ว่าจะชอบทางปัญญาพินิจพิจารณา
ให้มีความรู้ความเข้าใจด้วยตนเอง แต่แม้เช่นนั้น สิ่งที่
ยังไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเองได้ ที่พระพุทธเจ้า
ได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ก็รับฟัง คือใช้ศรัทธาเชื่อไว้ก่อน
ยังไม่ปฏิเสธ และก็ปฏิบัติเพื่อให้ได้ปัญญายิ่ง ๆ
ขึ้นสืบต่อไป ดั่งนี้ ต้องอาศัยศรัทธา
ต้องอาศัยปัญญาดังกล่าว
แม้ในอริยสัจทั้ง ๔ นี้ก็เช่นเดียวกัน หน้าที่ของ
ผู้ฟังอริยสัจก็คือ ปฏิบัติ
ในกิจของอริยสัจดังที่กล่าวมาแล้ว อาศัยศรัทธา
และอาศัยปัญญาในการที่จะทำ
ความกำหนดรู้จักทุกข์ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
อะไรที่ตรัสว่าเป็นทุกข์ ก็ใช้ศรัทธา
ใช้ปัญญาประกอบกันเพื่อกำหนดรู้ เพื่อทำ
ความรู้รอบคอบ ว่าข้อนี้เป็นทุกข์จริง ข้อนี้
เป็นทุกข์จริง และเป็นทุกข์จริงอย่างนี้
เป็นทุกข์จริงอย่างนี้ ข้ออื่นก็เช่นเดียวกัน
อาศัยศรัทธาอาศัยปัญญาเพื่อละสมุทัย
คือละตัณหา อาศัยศรัทธาอาศัยปัญญาเพื่อทำ
ให้แจ้งนิโรธ คือความดับตัณหา ซึ่งตรัสว่าเป็น
ความดับทุกข์อาศัยศรัทธาและปัญญาปฏิบัติทำภาวนา
คืออบรมมรรคมีองค์ ๘ ให้บังเกิดขึ้น
ก็อาศัยศรัทธาและปัญญาดังนี้ ปฏิบัติ
ในกิจของอริยสัจทั้ง ๔ นี้ให้ก้าวหน้าไปโดยลำดับ
บุคคล ๔ จำพวก
ในการปฏิบัตินั้น ผู้ที่เป็นอุคฆติตัญญูคือรู้เร็ว
เมื่อฟังคำสอนเรื่องอริยสัจเพียงหัวข้อก็เข้าใจได้ทันที
ผู้ที่เป็นวิปจิตัญญูคือมีความรู้ที่ช้าเข้าอีกหน่อยหนึ่ง
เมื่อฟังอริยสัจเพียงหัวข้อและฟังอธิบายในหัวข้อ ก็มี
ความรู้ความเข้าใจ บุคคลที่เป็นเนยยะคือพึงแนะนำ
ได้ เมื่อฟังหัวข้อฟังอธิบายแล้ว หนหนึ่งก็ยังไม่ค่อย
เข้าใจก็จะต้องฟังหนที่ ๒ หนที่ ๓ หนที่ ๔ หลาย ๆ หน
ก็อาจจะมีความรู้ความเข้าใจได้ ที่เรียกว่า เนยยะ
คือพึงแนะนำได้ ต้องแนะนำอบรมพร่ำสอนอยู่บ่อย ๆ
บุคคลส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นพวกที่ ๓ นี้ คือ
เป็นพวกที่เรียกว่า เนยยะ คือพึงแนะนำอบรมได้
และคำว่าเนยยะนี้เองก็ใช้อยู่ในคำว่า เวไนยนิกร ดังที่
ได้กล่าวกันว่าพระพุทธเจ้า
ได้อบรมสั่งสอนเวไนยนิกรซึ่งแปลว่า
หมู่แห่งชนที่พึงแนะนำได้ที่พึงสอนได้ และ
ยังมีอีกคำหนึ่งในบทพระพุทธคุณว่า
ปุริสทัมมสารถิ พระพุทธเจ้าทรง
เป็นเหมือนอย่างสารถี ฝึกบุรุษบุคคลที่ควรฝึก
ก็คือฝึกบุรุษบุคคลที่ฝึกได้
ซึ่งคำนี้ว่า ปุริสทัมมะ บุรุษบุคคลที่ฝึกได้ หรือ
เวไนยนิกร หมู่แห่งชนที่พึงแนะนำได้ อบรมได้ ก็หมาย
ถึงบุคคล ๓ จำพวกดังกล่าวมา คือ
อุคฆติตัญญู บุคคลที่รู้ได้เร็ว
วิปจิตัญญู บุคคลที่รู้ได้ช้า
เข้าหน่อยหนึ่งคือเมื่อยกหัวข้อขึ้นแล้วก็ต้องอธิบาย
เนยยะ บุคคลที่พึงแนะนำได้อบรมได้ คือ
ต้องพร่ำสอนกันอยู่บ่อย ๆ หลายครั้งหลายหน
สามจำพวกนี้เป็นปุริสทัมมะ บุรุษบุคคลที่พึงฝึกที่ฝึก
ได้ เป็นเวเนยยะหรือเวไนยนิกร หมู่แห่งชนที่พึงฝึก
ได้แนะนำได้อบรมได้ พระพุทธเจ้าย่อมทรงสั่งสอน
ได้แก่บุคคลทั้ง ๓ พวกดังกล่าวนี้ และคำนี้เองก็บ่งว่า
จะต้องมีอีกพวกหนึ่งคือจำพวกที่ฝึกไม่ได้ คือมิใช่
เป็นปุริสทัมมะ บุรุษบุคคลที่พึงฝึกได้ แต่ว่า
เป็นบุรุษบุคคลที่ฝึกไม่ได้ ดั่งนี้ก็มีอยู่
บุคคลจำพวกที่ฝึกไม่ได้นี้เอง ก็เช่นเป็น
ผู้ที่มีทิฏฐิมานะมาก
ไม่ยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือที่เรียกว่า
ปทปรมะ มีบทอย่างยิ่ง ก็คือหมายความว่าเป็น
ผู้ที่โง่เง่ามาก ไม่สามารถที่
จะรู้ธรรมะที่ทรงสั่งสอนได้ และก็หมายรวมไป
ถึงผู้ที่มีทิฏฐิมานะมากดังกล่าวนั้นด้วย
จำพวกที่มีทิฏฐิมานะมากนั้นก็ยกตัวอย่างเช่น
อาจารย์สญชัยของท่าน พระสารบุตร
พระโมคคัลลานะ ที่เมื่อท่านพระอัครสาวกทั้ง ๒
ก่อนที่ท่านจะเข้าบวช ท่านได้พบพระอัสสชิเถระ
แล้วท่านกลับไปชักชวนท่านอาจารย์ของท่าน
คืออาจารย์สญชัย ท่านอาจารย์สญชัยนั้นท่าน
เป็นอาจารย์ใหญ่มีผู้นับถือมาก ก็ไม่ยอมที่จะลดตัวไป
เป็นลูกศิษย์ของใครอีก มีทิฏฐิมานะอยู่ จึง
ไม่ยอมไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ทั้งที่ท่านก็รู้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นน่าจะ
ต้องดี จึงได้จูงใจเอาศิษย์สำคัญของท่านไปนับถือได้
ท่านจึงถามว่า ในโลกนี้คนฉลาดมากหรือคนโง่มาก
ท่านพระอัครสาวกทั้งสองเมื่อยังเป็นปริพาชก
ท่านก็ตอบว่า คนโง่มาก ท่านอาจารย์สญชัยจึง
ได้บอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนฉลาดไปหาพระพุทธเจ้า
ให้คนโง่มาหาท่านก็แล้วกัน ดั่งนี้ก็คือ
เป็นจำพวกที่เรียกว่าเป็นบุรุษบุคคลที่ฝึกไม่ได้
เพราะมีทิฏฐิมานะมาก และตลอดจนถึง
ผู้ที่โง่เง่าจนเกินไป ก็รวมอยู่ในคำว่าปทปรมะอัน
เป็นจำพวกที่ ๔
เพราะฉะนั้น กิจในอริยสัจทั้ง ๔ นี้จึงเป็นข้อที่ทุกคน
จะพึงปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้นด้วยกันทั้งนั้น
และการปฏิบัติในพุทธศาสนาทั้งสิ้น ก็รวมเข้า
ในการปฏิบัติกิจทั้ง ๔ นี้ คือ กำหนดรู้จักทุกข์
ละสมุทัย ทำให้แจ้งในนิโรธ ปฏิบัติอบรม
ในมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งย่นเข้าก็ในศีล สมาธิ ปัญญา
เพราะฉะนั้น อริยสัจทั้ง ๔ นี้จึง
เป็นธรรมะสำคัญที่ควรจะต้องฟังบ่อย ๆ
ต้องพินิจพิจารณากันบ่อย ๆ และ
เป็นที่รวบรวมธรรมะทั้งสิ้น ก็รวมอยู่ในอริยสัจ
ทั้ง ๔ นี้ กุศลธรรมทั้งสิ้นก็รวมอยู่ในความรู้
ในอริยสัจทั้ง ๔ นี้
ต่อจากนี้ไปก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำ
ความสงบสืบไป
๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 11:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๔ ความรู้จักอริยสัจ ๔ (๒)
สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๔ ความรู้จักอริยสัจ ๔ (ต่อ)
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจ
ถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงท่านพระสารีบุตรอธิบายสัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ ในขั้นที่อธิบายนี้ก็คือรู้ในอริยสัจทั้ง ๔
รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักดับทุกข์ รู้จักทางปฏิบัติ
ให้ถึงความดับทุกข์ และได้แสดง กิจในอริยสัจทั้ง ๔ คือ
ทำปริญญา ความรู้รอบคอบกำหนดรู้ในทุกข์
ทำปหานะ การละสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ทำสัจฉิกรณะ กระทำให้แจ้งความดับทุกข์
ทำภาวนา อบรมปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ให้มีขึ้นให้
เป็นขึ้นมาและเป็นข้อปฏิบัติที่พึงปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้น
ละความยึดถือในขันธ์ ๕
การปฏิบัติพุทธศาสนาก็ปฏิบัติในกิจ ๔ อย่างนี้ในอริยสัจ
นั้นเองดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้น ในเบื้องต้น
ผู้ปฏิบัติธรรมะก็พึงศึกษาสดับตรับฟังว่าทุกข์คืออะไรตามที่ตรัส
ไว้ว่าชาติความเกิดเป็นทุกข์เป็นต้น และเมื่อสรุปเข้าขันธ์
เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ เป็นทุกข์ดั่งนี้ กำหนดพิจารณา
ให้มีความรู้ความเข้าใจ และสำหรับข้อข้างต้น ๆ
ก็พิจารณาเห็นได้โดยไม่ยากนัก
ส่วนข้อที่ว่าขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ เป็นทุกข์
โดยย่อ ก็ต้องทำความเข้าใจว่า ขันธ์คือกองทั้ง ๕
รูปขันธ์ ก็คือรูปกาย อันประกอบด้วยธาตุดินน้ำไฟลมนี้
เวทนาขันธ์ กองเวทนา ก็ได้แก่ความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์
เป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขทั้งทางกายทั้งทางใจ
สัญญาขันธ์ ก็คือกองแห่งสัญญา ความจำได้หมายรู้
เป็นต้นว่า จำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ
สิ่งที่กายถูกต้อง จำธรรมะ คือเรื่องราวที่คิด
หรือที่รู้ทางมโนคือใจ
สังขารขันธ์ กองสังขาร ก็คือความคิดปรุงหรือ
ความปรุงคิดต่าง ๆ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส
ในโผฏฐัพพะ และในธรรมะ คือเรื่องราวที่จำได้
วิญญาขันธ์ กองวิญญาณ คือความรู้เห็นรูปทางตา ความรู้
ได้ยินเสียงทางหู ความรู้ทราบกลิ่นรส
โผฏฐัพพะทางจมูกทางลิ้นทางกาย และความรู้เรื่องที่คิด
หรือที่นึกที่รู้ทางมโนคือใจ
รูปก็เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รวมเรียกว่านาม รูปนาม แต่เรียกลับกันเสียว่านามรูป
ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเหล่านี้เป็นทุกข์ ก็
เพราะยึดถือจึงเป็นทุกข์ ถ้าไม่ยึดถือ ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ก็
เป็นสภาพธรรมดา ซึ่งมีชาติคือความเกิดเป็นเบื้องต้น
มีชราความเก่าตลอดจนถึงชำรุดทรุดโทรมโดยลำดับ
และมีมรณะความตายเป็นที่สุด ก็เป็นสภาวะเป็นธรรมดา
เมื่อบุคคลไม่ยึดถือ ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ก็
เป็นไปตามสภาพธรรมดา เกิดแก่ตายหรือเกิดแก่เจ็บตาย
แต่เมื่อบุคคลไปยึดถือเพราะมีตัณหาคือ
ความดิ้นรนทะยานอยากเป็นเหตุปัจจัยให้ยึดว่า
เป็นของเรา เป็นอัตตาตัวตนของเรา บุคคล
โดยตรงคือจิตใจจึงต้องเป็นทุกข์ ต้องมีโศกะ มีปริเทวะ
เป็นต้น ซึ่งรวมเข้าก็เป็น ๒ คือ
ประจวบกับสิ่งหรือสัตว์สังขารที่ไม่เป็นที่รัก
พลัดพรากจากสิ่งหรือสัตว์สังขารซึ่งเป็นที่รัก
ย่อเข้าอีกก็เป็นหนึ่งคือ ปรารถนา ไม่ได้สมหวัง
และทั้งหมดนี้ก็สรุปเข้าย่อเข้าในขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕
ประการเหล่านี้นั่นแหละ
รู้วัฏฏะของกิเลส กรรม วิบาก
เพราะฉะนั้น จึงมีความสำคัญอยู่ที่ความยึดถือ ยึดถือว่า
เอตํ มม นี่เป็นของเรา
เอโสหมสฺมิ เราเป็นนี่
เอโส เม อตฺตา นี่เป็นอัตตาตัวตนของเรา
ที่ยึดถือก็เพราะมีตัณหา ความอยากความดิ้นรน
ความทะยานอยากของจิตใจ เพราะฉะนั้น จึงศึกษา
ให้รู้จักว่าตัณหานี้เป็นตัวสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ นอกจาก
ให้เกิดทุกข์ทางจิตใจ มีโศกะปริเทวะเป็นต้นดังกล่าว ยัง
เป็นเหตุก่อภพชาติต่อไป ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
ความเวียนว่ายตายเกิดต่อไปนั้นเรียกว่า สังสาระ หรือ
สงสาร อันแปลว่า ความท่องเที่ยวไป และ
ความท่องเที่ยวไปนั้นก็ท่องเที่ยวไปโดยอาการที่เป็น
วัฏฏะ อันแปลว่า วน วัฏฏะคือวนนั้น ก็พูดกันง่าย ๆ
ว่าเวียนเกิดเวียนตาย หรือเวียนเกิดแก่เจ็บตาย
คือเมื่อเกิด ก็แก่ก็เจ็บก็ตาย ตายแล้วก็เกิดก็แก่ก็เจ็บ
แล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด ก็เวียนอยู่ดั่งนี้ ความเวียน
อยู่ดังนี้เรียกว่า วัฏฏะ คือความวนหรือความเวียนซึ่งพูด
กันเข้าใจง่าย ๆ
แต่เมื่อจะแสดงถึงวัฏฏะคือ
ความวนตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ก็มี ๓
อย่าง คือ
กิเลสวัฏฏะ วนคือกิเลส
กรรมวัฏฏะ วนคือกรรม
วิปากวัฏฏะ วนคือวิบาก ผลของกรรม
อันหมายความว่า กิเลสก็เป็นเหตุให้ทำกรรม กิเลสจึง
เป็นเหตุ กรรมจึงเป็นผลของกิเลส และกรรมนั้นเองก็
เป็นตัวเหตุให้เกิดวิบากคือผล กรรมจึงเป็นเหตุวิบากจึง
เป็นผล และวิบากนั้นเองก็เป็นตัวเหตุก่อกิเลสขึ้นอีก เมื่อ
เป็นดังนี้ วิบากนั้นก็เป็นเหตุ กิเลสก็เป็นผลของวิบาก
และกิเลสก็เป็นเหตุให้กระทำกรรม กิเลสก็เป็นเหตุ
กรรมก็เป็นผลของกิเลสและกรรมนั้นเองก็
เป็นเหตุส่งวิบาก เมื่อเป็นดังนี้ กิเลสก็กลับเป็นเหตุ
วิบากก็เป็นผล และวิบากคือผลนั้นก็กลับเป็นเหตุก่อ
ให้เกิดกิเลสขึ้นอีก
เพราะฉะนั้น กิเลส กรรม วิบาก จึงวนอยู่ดั่งนี้ ก็
โดยที่บุคคลนี้เอง หรือจิตนี้เองที่วนอยู่ในกิเลส กรรม
วิบาก แล้วก็กลับเป็นเหตุก่อกิเลส กิเลสก็ก่อกรรม
กรรมก็ก่อวิบาก วิบากก็ก่อกิเลส เพราะฉะนั้น สัตว์บุคคล
จึงวนอยู่ในกิเลส กรรมวิบากทั้ง ๓ นี้ นี้เป็นวัฏฏะ
วัฏฏะคือความวนนี้ ก็วนอยู่ในปัจจุบันนี้นี่เอง และวน
อยู่เรื่อยไป ในอดีตก็วนมาดั่งนี้ ในปัจจุบันก็วนมาดั่งนี้
ในอนาคตก็จะวนต่อไปดั่งนี้
เพราะฉะนั้นวัฏฏะคือความวนนี้ จึงวนอยู่ในกิเลศ กรรม
วิบาก หรือในกงของกิเลส กรรม วิบาก กิเลส กรรม
วิบากนี้เป็นกำ เมื่อเทียบกับล้อ จะเป็นล้อเกวียน
หรือล้อรถก็ตามซึ่งประกอบด้วยกง ประกอบด้วยกำ ก็มี
อยู่ ๓ กำ ก็คือกิเลส กรรม วิบาก ปิดประกอบอยู่ในกงอัน
เป็นวงกลม วัฏฏะคือความวนก็วนเป็นวงกลมอยู่ดั่งนี้
พิจารณาดูความเป็นไปของจิตในปัจจุบัน ก็จะพึงเห็น
ได้ว่าก็วนอยู่ใน ๓ อย่างนี้ เป็นต้นว่าเกิดตัณหาขึ้นในรูป
ตัณหานั้นก็เป็นกิเลส ก็เป็นเหตุ
ให้ประกอบกรรมคือจงใจที่จะดูรูป และเมื่อ
เป็นกรรมคือประกอบการดูรูป เช่น ขวนขวายไปดู มองดู
ดั่งนี้ก็เป็นกรรม ก็ได้วิบากคือผล คือเป็นรูปที่จงใจจะดู
ด้วยรูปตัณหา การเห็นรูปนี่เป็นวิบากคือผล
ผลของกรรมคือการที่จงใจดู และเมื่อเห็นรูป
รูปที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ก็ก่อ
ให้เกิดรูปตัณหายิ่งขึ้นไปอีก รูปตัณหานั้นก็เป็นเหตุ
ให้ประกอบกรรมคือการดูยิ่งขึ้นไปอีก ดูก็เห็นซึ่งเป็นผล
รูปที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจก็ก่อ
ให้เกิดรูปตัณหายิ่งขึ้นไปอีก
เพราะฉะนั้น ทุก ๆ อย่างในปัจจุบันนี้
จิตของสรรพสัตว์คือจิตที่ยังมีความข้องความเกี่ยว
มีสังโยชน์คือความผูกพัน ก็วนอยู่ในกิเลสกรรมวิบากทั้ง
๓ นี้ตลอดเวลาไม่ออกไปนอกจากวงแห่งกิเลสกรรมวิบาก
ทั้ง ๓ นี้ ก็เป็นไปอยู่ดังนี้
ตัดวัฏฏะด้วยการดับตัณหา
และเมื่อว่าถึงวงกว้างคือเกิดแก่ตายในชาติหนึ่ง ๆ
เกิดคือชาติ ก็เป็นตัววิบากคือ ผลของกิเลสที่
เป็นมาแต่อดีต ก็คือตัณหานั่นเอง ยกตัณหาขึ้น
เป็นประธาน แต่ที่ท่านอธิบายนั้นท่านมักอธิบายว่า
อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม
ในที่นี้ก็ยกเอาเพียงข้อกิเลสคือตัณหาอย่างเดียว
เพราะตัณหานั้นเป็นตัวก่อภพชาติ และเมื่อมีชาติคือ
ความเกิดขึ้นมา ก็แก่ก็เจ็บก็ตายในที่สุด และเมื่อ
ยังมีตัณหาอยู่ ก็ดับตัณหาไม่ได้ ตัณหาก็
เป็นชนกกิเลสชนกกรรม นำก่อภพก่อชาติใหม่ขึ้นมาอีก
และเป็นชาติขึ้นก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ตาย
แล้วก็มีปฏิสนธิคือเกิด เกิดก็แก่ก็เจ็บก็ตาย ตายแล้วก็เกิด
ก็เป็นอันว่าแม้ในวงกว้างก็วนเวียนอยู่ดั่งนี้ สัตว์ บุคคล
หรือจิต อันนี้จึงท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะคือวนดังที่กล่าวมานี้
เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า วัฏสงสารท่องเที่ยววนเวียนอยู่
ในกิเลส กรรม วิบาก ท่องเที่ยววนเวียนเกิดแก่เจ็บตายก็
เป็นไปอยู่ดั่งนี้ เพราะฉะนั้นก็เป็นอันศึกษา
ให้รู้จักตัวสมุทัยคือตัณหาซึ่งเป็นตัวต้นเหตุ
เมื่อดับตัณหาเสียได้ก็เป็นอันว่าหักวัฏฏะคือวนดังกล่าว
ดับกิเลส ดับทุกข์ ทางจิตใจในปัจจุบัน วิบากขันธ์ยังอยู่ก็
อยู่ไปเหมือนดังวิบากขันธ์ของพระพุทธเจ้า
และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย และเมื่อดับขันธ์ในที่สุด
ไม่เกิดอีก ก็เป็นอันว่าเป็น ปรินิพพาน คือ ดับรอบ
สิ้นทุกข์ด้วยประการทั้งปวง ก็เป็นอันศึกษา
ให้รู้จักทุกขนิโรธ คือความดับทุกข์ จึงมาถึงศึกษา
ให้รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ซึ่งก็รวมเข้า
ในมรรคมีองค์ ๘ ย่อเข้าก็เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา
หัดดูให้รู้จักทุกข์ว่าเป็นทุกข์
เมื่อศึกษาให้รู้จักดังนี้ ก็ปฏิบัติหัดที่
จะกำหนดรู้จักทุกข์ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
และกำหนดเข้ามาดูทุกข์อันมีอยู่ที่ตัวเราเอง คือ ชาติ
ชรา พยาธิ มรณะ ซึ่งเป็นตัวสภาวทุกข์ หัดดู
ให้รู้จักทุกข์ทางจิตใจที่บังเกิดขึ้น มีโศกะปริเทวะ เป็นต้น
และกำหนดให้รู้จักว่า
ที่ต้องมีทุกข์โศกกันอยู่ดั่งนี้ ก็เพราะว่ายังมีที่รัก ยังมีไม่
เป็นที่รัก เมื่อประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ขึ้นมา
พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ขึ้นมา รวม
เข้าก็คือว่าเพราะยังมีความปรารถนา และความปรารถนา
นั้นไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ขึ้นมา
อันความปรารถนาไม่สมหวังนั้นย่อมมีอยู่ เพราะ
ความปรารถนาที่สมหวังที่เรียกว่าสมหวังนั้น ก็คือความที่
ได้มาตามที่ต้องการตามที่หวัง แต่ความที่ได้มาตามที่
ต้องการตามที่หวังนั้นเรียกว่าเป็นความประจวบ
เมื่อประจวบกับสิ่งที่เป็นที่รักก็ย่อมจะมีความสุข แต่ว่าอัน
ความสุขที่ได้จากความประจวบกับสิ่งที่เป็นที่รักนั้นก็
เป็นการเริ่มต้นของความพลัดพรากเหมือนอย่างเมื่อ
ได้ชาติคือความเกิดมา ตนเองเกิดมาก็ดี
ลูกหลานเกิดมาก็ดี ก็เรียกว่าเป็นความตั้งต้นการได้
แต่ว่าความตั้งต้นการได้นี้ ก็เป็นความตั้งต้นของ
ความเสื่อมความดับเพราะเมื่อเกิดมาก็
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปในทางขึ้นและ
ในทางเสื่อมจนถึงดับในที่สุด แต่ว่าเมื่อยังมีตัณหา มี
ความยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา ก็ย่อมจะไม่ต้องการ
ให้สิ่งที่ยึดถือนี้ต้องเปลี่ยนแปลงไปต้องดับไป ซึ่ง
เป็นการฝืนสภาพธรรมชาติอันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นดั่งนี้
การได้นั้นเองและยึดถือจึงเป็นตัวต้นเหตุที่
ให้เกิดทุกข์ต่าง ๆ ความได้ที่ทุกคนพอใจดีใจร่าเริงนั้น
ทุกอย่างเป็นความตั้งต้นแห่งความทุกข์ เพราะจะ
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงต้องพลัดพรากไป การ
ได้ลาภได้ยศที่ทุกคนพอใจดีใจร่าเริงนั้น คือ
ความเริ่มต้นของความพลัดพรากซึ่งเป็นตัวทุกข์เป็นเหตุ
ให้เกิดทุกข์ เพราะในที่สุดก็จะต้องพลัดพราก ถ้าลาภยศ
นั้นไม่พลัดพรากไปก่อน ชีวิตนี้ก็ต้องพลัดพราก
เพราะชีวิตนี้ก็ต้องเกิดต้องดับ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งจึง
เป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ หัดกำหนดพิจารณาให้รู้จักสัจ
จะคือความจริงดั่งนี้ คือให้รู้จักว่าทุกข์เป็นทุกข์ อันนี้
เป็นข้อฝึกทางปัญญาที่จะให้รู้จัก
รู้จักว่าทุกข์เป็นทุกข์นั้น นอก
จากที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ตามที่ได้แสดงแล้ว
ก็กำหนดให้รู้จักว่า
ทุก ๆ สิ่งที่ได้จะเป็นลาภเป็นยศเป็นอะไรก็ตาม ที่ได้
นั้นชื่อว่าเป็นการได้ที่เป็นความตั้งต้นของ
ความพลัดพราก เพราะฉะนั้น เมื่อได้ก็ดีใจ รู้สึกเป็นสุข
แต่ความดีใจความสุขนั้นตั้งอยู่ประเดี๋ยวประด๋าว
และเมื่อสิ่งที่ได้นั้นต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปดับไป
เมื่อมีความยึดถืออยู่ว่าเป็นตัวเราของเรา ยึดถือไว้
เท่าไรก็ต้องเป็นทุกข์มากเท่านั้น ยึดถือมากก็ทุกข์มาก
ยึดถือน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่ยึดถือเลยจึงจะไม่เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น ก็ต้องศึกษาให้รู้จักว่าทุกข์ก็เป็นทุกข์
รู้จักว่าสิ่งที่ได้จะเป็นลาภเป็นยศก็ตาม เป็นความสุขเป็น
ความรื่นเริงเป็นความหัวเราะความบันเทิงต่าง ๆ นั่น
เป็นตัวทุกข์เป็นตัวทุกข์ทุก ๆ อย่าง เพราะเป็นสิ่งที่
ต้องเกิดต้องดับต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้น
ไม่มีอะไรที่จะดำรงอยู่ หัดรู้จักทุกข์ รู้จักตัวทุกข์ว่า
เป็นตัวทุกข์ดังนี้ และความที่กำหนดให้รู้จักทุกข์ว่า
เป็นตัวทุกข์ดั่งนี้ ก็พึงหัดกำหนดให้รู้จักทุก ๆ
อย่างที่ประสบทางอายตนะทั้งสิ้น แม้ตัวความสุข
ความร่าเริงความเพลิดเพลินต่าง ๆ เอง ก็กำหนด
ให้รู้จักว่านั่นแหละก็เป็นตัวทุกข์ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิด
ต้องดับ สิ่งทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งของความสุข
ความเพลิดเพลินเหล่านั้นก็เป็นตัวทุกข์ เพราะเป็นสิ่งที่
ต้องเกิดต้องดับ ทำความรู้เท่าไว้ตั้งแต่ในเบื้องต้น เมื่อ
จะมีความสุขก็มีความสุขไป มีความเพลิดเพลินมี
ความร่าเริงมี
ความหัวเราะก็หัวเราะไปร่าเริงไปเพลิดเพลินไป แต่
ในขณะเดียวกันก็ทำความรู้เท่าทันไว้
ด้วยว่านั่นคือตัวทุกข์ทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิด
ต้องดับ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป
รู้ว่าทุกข์คือสังขารสิ่งผสมปรุงแต่ง
ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าทุก ๆ สิ่งทุก ๆ
อย่างเหล่านี้ล้วนเป็นสังขาร คือ สิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น
เป็นสิ่งผสม ปรุงแต่งทุก ๆ อย่าง ตากับรูป หูกับเสียง
เป็นต้น ก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง และเมื่อตากับรูปประจวบ
กัน เห็นรูปที่เรียกว่าวิญญาณก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง
เวทนา สัญญา สังขารต่าง ๆ ที่บังเกิดขึ้นก็
เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง ทุก ๆ อย่างเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งทั้ง
นั้น ซึ่งมีความรวมกันเข้ามาประจวบกันเข้ามา
ที่เรียกว่าชาติ คือความเกิดก็ได้เป็นเบื้องต้น แล้วก็ต้องมี
ความแตกมีความดับในที่สุด เรียกว่าเกิดดับ เกิด
เป็นเบื้องต้น ดับเป็นที่สุด ทุกอย่างต้องเป็นไปดังนี้
และสิ่งที่มาผสมปรุงแต่งอันมีลักษณะดั่งนี้นี่แหละเรียกว่า
สังขาร สิ่งผสมปรุงแต่ง ทำความรู้จักว่านี่คือสังขาร คือ
เป็นสิ่งผสมปรุงแต่งอันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ
รู้จักลักษณะของสังขาร
และเมื่อเป็นสังขารอันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับดั่งนี้
พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอน
ให้รู้จักลักษณะของสิ่งผสมปรุงแต่งอันเรียกว่า
สังขตลักษณะ ลักษณะของสิ่งผสมปรุงแต่ง
หรือลักษณะของสิ่งที่เรียกว่าเป็นสังขารว่า
อุปฺปาโท ปญฺญายติ ความเกิดขึ้นปรากฏ
วโย ปญฺญายติ ความเสื่อมไปปรากฏ
ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ เมื่อตั้งอยู่ ความที่
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปปรากฏ
รู้จักทุกข์คือวิปริณามะ ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง
ความเปลี่ยนแปลงไปนี้ของชีวิตของทุก ๆ สิ่งมีอยู่ตลอด
เหมือนอย่างกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ทุกขณะ
ไม่มีหยุด กาลเวลาไม่มีหยุดที่จะล่วงไป ๆ
ต้องเปลี่ยนแปลงไปสังขารชีวิตร่างกายทุก ๆ สิ่ง
ในโลกนี้ก็ไม่มีหยุด ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป
เพราะฉะนั้น เมื่อกำหนดให้รู้จักสังขาร จึงต้องกำหนด
ให้รู้จัก วิปริณามะ อันเป็นลักษณะของสังขาร อันได้แก่
ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง นี่เป็นวิธีพิจารณา เพราะฉะ
นั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงสอนวิธีกำหนดให้รู้จักทุกข์ไว้
๓ อย่าง
ข้อหนึ่ง ก็คือ ทุกขทุกขะ ให้รู้จักทุกข์ว่าเป็นตัวทุกข์
ข้อสอง สังขารทุกขะ ให้รู้จักว่าทุกข์ก็คือสังขาร
สิ่งที่ผสมปรุงแต่งทั้งหมด
ข้อสาม วิปริณามทุกขะ ให้รู้จักวิปริณามทุกข ทุกข์คือ
ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เกิดจนถึงดับ
มีเกิดเบื้องต้น มีดับเป็นที่สุดดั่งนี้
ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม
เพราะฉะนั้น ท่านที่ได้ดวงตาเห็นธรรม
เมื่อฟังเทศนาของพระพุทธเจ้า
ดังท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ
เมื่อฟังปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้าที่ตรัสแสดงอริยสัจ
ท่านฟังแล้วท่านเข้าใจจับประเด็นอันสำคัญได้
คือท่านเห็นทุกข์ เห็นทุกขทุกขะตัวทุกข์ว่าเป็นตัวทุกข์
เห็นสังขารทุกขะ ทุกข์คือสังขาร สิ่งผสมปรุงแต่ง
เห็นวิปริณามทุกขะ ทุกข์คือความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง
ต้องเกิดต้องดับ ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม ของท่าน
จึงมีแสดงไว้ว่า ท่านเห็นว่า
ยงฺกิญจิ สมุทยธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น
เป็นธรรมดา
สพฺพนฺตํ นิโรธธฺมํ สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไป
เป็นธรรมดา ดั่งนี้
คือ ท่านเห็นทุกขทุกขะ เห็นสังขารทุกขะ
เห็นวิปริณามทุกขะ ทุก ๆ สิ่งที่เป็นสังขารสิ่งผสมปรุงแต่ง
เป็นตัวทุกข์ เป็นตัวสังขาร และเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ
ทั้งสิ้น อันนี้แหละเป็นธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม
ฟังเทศน์อริยสัจ ท่านเกิดธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรมดั่งนี้
และท่านที่ได้ดวงตาเห็นธรรมดั่งนี้ ท่านแสดงว่าท่าน
ได้โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นโสดาบันบุคคล อัน
เป็นอริยบุคคลขั้นที่ ๑ ในพระพุทธศาสนา
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบไป
๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ ตึก สว วัดบวรนิเวศ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน) ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖
รอบ ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 11:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๕ ความรู้จักชรามรณะ
สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๕ ความรู้จักชรามรณะ
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจ
ถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์
เป็นสรณะตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีลทำสมาธิ
ในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงสัมมาทิฏฐิถามเถราธิบายแห่งท่านพระสารีบุตร
และโดยที่ท่านได้อธิบายไว้
โดยปริยายคือทางแสดงติดต่อ
กันหลายข้อหลายประการ แต่อันที่จริงก็
เป็นทางธรรมะที่ดำเนินไปทางเดียวกัน เป็นแต่ท่าน
ได้จำแนกแจกแสดง เพื่อเป็นทางพิจาณาทางปัญญาของ
ผู้ที่มุ่งทราบและมุ่งปฏิบัติอบรมทั้งหลาย
พระเถราธิบายเรื่องชรามรณะ
ภิกษุทั้งหลายได้ถามท่านต่อไปอีกว่า
จะมีทางอธิบายสัมมาทิฏฐิอีกหรือไม่ ท่านก็ตอบว่ามี
และก็ได้แสดงอธิบายต่อไปอีกว่า สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ ก็คือรู้จักชรามรณะ รู้จักสมุทัย
เหตุเกิดแห่งชราและมรณะ รู้จักความดับชรามรณะ
และรู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับชรามรณะ ท่านก็
ได้แสดงชี้แจงต่อไปอีกว่า
ชรา ก็ได้แก่ความแก่ ความทรุดโทรม ฟันหัก ผมหงอก
หนังเหี่ยวย่น ความเสื่อมแห่งอายุ
ความหง่อมแก่แห่งอินทรีย์ทั้งหลาย มีตาเป็นต้น มรณะ ก็
ได้แก่จุติความเคลื่อน ความแตกทำลาย ความหายไป
มฤตยูความตาย การกระทำกาละ ความแตกแห่งขันธ์
ทั้งหลาย ความทอดทิ้งซากศพไว้
ความตัดขาดแห่งอินทรีย์คือชีวิต รู้จักชราความแก่ มรณะ
ความตาย ดังนี้
เหตุเกิดแห่งชรามรณะ ความแก่ความตายก็คือชาติ
ความเกิด รู้จักเหตุเกิดแห่งความแก่ความตาย
ก็คือรู้จักว่าชาติความเกิดเป็นสมุทัย เหตุเกิดแห่งความแก่
ความตาย
ดับชาติคือความเกิดเสียได้ ก็เป็นความดับชรามรณะ
รู้จักความดับชรามรณะก็คือรู้จักว่าดับชาติคือ
ความเกิดเสียได้ เป็นความดับชรามรณะดังกล่าว
ทางปฏิบัติให้ถึงความดับชาติคือความเกิด ทางปฏิบัติให้
ถึงความดับชรามรณะ ความแก่ ความตาย
ก็คือมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ สัมมาวาจา เจรจาชอบ
สัมมากัมมันตะ การงานชอบ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ
สัมมาวายามะ เพียรชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ
สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับชรามรณะ ก็คือรู้จักว่ามรรคมีองค์ ๘ ดังกล่าว
เป็นทางดับชรามรณะ
เมื่อรู้จักดังนี้ ก็ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
ความเห็นตรง เป็นเหตุละอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่
ในจิตสันดานคือราคะความติดใจยินดี บรรเทาปฏิฆานุสัย
อนุสัยคือปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งขัดเคือง
ถอนอนุสัยคือทิฏฐิมานะ ว่าเรามีเราเป็น ละอวิชชาความ
ไม่รู้ทำวิชชาความรู้ให้บังเกิดขึ้น นำให้ได้ความเลื่อมใส
ไม่หวั่นไหวในพระธรรม
นำมาสู่พระสัทธรรมคือพระธรรมวินัยในศาสนานี้ ดังนี้
พิจารณาให้รู้จักชรามรณะ ในสายโซ่ของสังสารวัฏ
ตามเถราธิบายนี้ก็เป็นการแสดงอธิบายอริยสัจทั้ง ๔
นั้นแหละให้พิสดารกว้างขวางออกไป โดยที่อริยสัจทั้ง ๔
นี้เป็นหลักใหญ่ เป็นผลเป็นเหตุในด้านทุกข์
หรือด้านวัฏฏะความวนเวียน เป็นเหตุเป็นผล
ในด้านดับทุกข์ หรือดับวัฏฏะ ความวนเวียน และแม้
ในอธิบายอริยสัจทั้ง ๔ ที่อธิบายโดยทั่วไป
ดังที่พระสารีบุตรได้แสดงอธิบายไว้ในเบื้องต้น
แล้วว่าสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ ก็คือรู้จักทุกข์
รู้จักทุกขสมุทัยเหตุเกิดทุกข์ รู้จักทุกข์นิโรธความดับทุกข์
รู้จักมรรคทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ และก็
ได้แสดงอธิบายแต่ละข้อขยายความออกไป ดัง
ในข้อทุกข์ข้อแรกก็แสดงด้วยเริ่มว่า ชาติความเกิด
เป็นทุกข์ ชราความแก่เป็นทุกข์ มรณะความตายเป็นทุกข์
เป็นต้น รวมอยู่ในข้อทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ แต่
ในที่นี้ท่านได้จำแนกแจกแจงออกไปอีก คือในข้อทุกข์สัจ
จะสภาพที่จริงคือทุกข์ที่ได้ยกเอาชาติทุกข์ ชราทุกข์
มรณทุกข์ ขึ้นมาแสดง ก็อธิบายขยายความว่า แม้ใน ๓
ข้อนี้เองก็ยังเป็นอริยสัจทั้ง ๔ ได้ คือ
ชรามรณะ ความแก่ความตาย
ชรามรณสมุทัย เหตุเกิดแห่งความแก่ความตาย ก็คือชาติ
ความเกิด ดังที่แสดงไว้ว่า ชาติปิ ทุกฺขา ชาติคือความเกิด
เป็นทุกข์นั้นนั่นแหละ
ชรามรณนิโรธ ดับความแก่ความตายก็คือดับชาติ
ความเกิดเสีย
ชรามรณนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึง
ความดับชรามรณะ ก็คือมรรคมีองค์ ๘
สำหรับในข้อ ๔ นี้อธิบายเป็นข้อยืน เพราะฉะนั้น แม้
ในข้อทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ที่อธิบายกันทั่วไป
นั้น ๓ ข้อข้างต้นก็มาจำแนกเป็นอริยสัจ ๔ อีกได้ สำหรับ
เป็นทางพิจารณา อันเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งแปลว่า
อธิบายจับเหตุจับผลที่สืบเนื่องกันไปเหมือนอย่างลูกโซ่
สืบเนื่องกันไปเป็นลูก ๆ รวมกันก็เป็นสายโซ่ทั้งเส้น
แปลตามศัพท์ก็แปลว่า ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น คือ
เป็นเหตุเป็นปัจจัยอาศัยกันและกันบังเกิดขึ้นเป็นไป
เหมือนอย่างลูกโซ่ลูกที่ ๑ ก็เป็นปัจจัยของลูกที่ ๒ ลูกที่ ๒
ก็เป็นปัจจัยของลูกที่ ๓ ลูกที่ ๓ ก็เป็นปัจจัยของลูกที่ ๔
เชื่อมโยงกันไปดั่งนี้เป็นสายโซ่
สายโซ่ปฏิจจสมุปบาท ประกอบ
ด้วยลูกโซ่แต่ละลูกที่พัวพันกันกับลูกอื่น
และมีมากสายต่อเนื่องพัวพันกันยุ่งเหยิง ฉะนั้น
เมื่อพระอานนท์กราบทูลว่า
ปฏิจจสมุปบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ
แต่ก็บังเกิดแก่ท่านเหมือนเป็นของตื้น พระพุทธเจ้า
ได้ตรัสห้ามว่าอย่าพูดอย่างนั้น และตรัสว่า
เพราะหมู่สัตว์นี้ไม่รู้จริงจึงเกิด
เป็นยุ่งประดุจด้ายของช่างหูกเกิด
เป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย
เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายหญ้าปล้อง
และในการพิจารณาจับเหตุจับผล
หรือจับปัจจัยจับผลที่โยงกันไปเป็นสายโซ่ของสังสารวัฏ
คือความท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายของสัตว์ทั้งหลาย
ในโลกนี้ ก็พิจารณาจับได้ตามนัยปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่ดังกล่าว
ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และ
ได้ตรัสจำแนกชี้แจงแสดงเปิดเผยเหมือนอย่างทรงแก้ปมกระจุกด้ายที่ยุ่งออก
ให้เป็นเส้นด้ายที่ต่อกันยาวยืด และในการที่
จะจับขึ้นมาพิจารณาให้เห็นได้สะดวก ก็จับพิจารณา
โดยทางแห่งเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรนี้
ตั้งต้นแต่จับชรามรณะความแก่ความตาย ว่า
ความแก่คืออะไร ความตายคืออะไร ให้รู้จักความแก่
ให้รู้จักความตาย และก็พิจารณาให้รู้จักสมุทัยของ
ความแก่ความตาย ให้รู้จักดับความแก่ความตาย
นั่นก็คือดับชาติความเกิดเสียได้ ก็เป็นความดับความแก่
ความตาย ให้รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับความแก่
ความตาย คือดับชาติดังกล่าวก็คือมรรคมีองค์ ๘
ซึ่งมรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นข้อธรรมปฏิบัติที่ยืน
เพราะฉะนั้น ผู้มุ่งอบรมสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ
ดังพระเถราธิบายที่ท่านได้แสดงมาโดยลำดับ จับตั้งแต่
ให้รู้จักอกุศล อกุศลมูล ให้รู้จักกุศล กุศลมูล
ให้รู้จักอาหารทั้ง ๔ ให้รู้จักอริยสัจทั้ง ๔ โดยอธิบาย
ทั่วไปอันเป็นหลักใหญ่ แล้วท่านจึงมาซอย
ให้เห็นเงื่อนที่ต่อเนื่องกันไปเป็นสาย
เหมือนอย่างสายโซ่ดังกล่าวนั้น โดยให้จับพิจารณา
ให้รู้จักก็ตามหลักผลและเหตุด้านเกิด
และด้านดับแห่งอริยสัจทั้ง ๔ ที่เป็นหลักใหญ่
นั้นนั่นเองดังกล่าว เพราะฉะนั้น
ผู้ศึกษาปฏิบัติพุทธศาสนาทางปัญญา
จึงควรศึกษาตามแนวเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรนี้
อันเป็นทางอธิบายทางปัญญาที่ดีเยี่ยม อันทำให้
ได้ปัญญารู้จักพุทธศาสนา แม้โดยปริยัติก็ตาม
โดยปฏิบัติก็ตาม ย่อมใช้ได้ทั้ง ๒ ทาง จับพิจารณา
ให้รู้จักชราความแก่ มรณะคือความตาย ว่าความแก่
เป็นอย่างนี้ ความตายเป็นอย่างนี้
รู้จักความแก่ที่ปกปิดและความแก่ที่ไม่ปกปิด
ท่านพระอาจารย์ได้อธิบายความแก่ความตาย
ให้ละเอียดขึ้นไปอีก โดยที่แสดงว่าชราคือความแก่นั้นมี
๒ อย่าง คือ
ปฏิจฉันนชรา ความแก่ที่ปกปิด
อัปปฏิจฉันนชรา ความแก่ที่ไม่ปกปิด
ความแก่ที่ปกปิดนั้น ก็คือความแก่ที่มีเริ่มตั้งแต่ชาติคือ
ความเกิด ตั้งต้นแต่เป็นกลละในครรภ์ของมารดามาจน
เป็นตัวเป็นตน คลอดออกมาก็เจริญขึ้นเป็นเด็กเล็ก
เป็นเด็กใหญ่ เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นความเจริญเต็มที่ ดั่งนี้
เรียกว่า ปฏิจฉันนชรา ความแก่ที่ปกปิด
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความแก่ขึ้น
อันความแก่ขึ้นนี้ก็เป็นชราเหมือนกัน คือความแก่ เรา
ทั้งหลายก็ยังเรียกความแก่ขึ้นของผลไม้ว่าผลไม้แก่
ผลไม้นั้นก็เริ่มมาตั้งแต่ต้นจนปรากฏเป็นผลเล็ก ๆ
แล้วก็โตขึ้น ๆ จากผลไม้อ่อน ก็แก่ขึ้น ๆ จนแก่เต็มที่
ก็เรียกกันว่าผลไม้แก่ แต่ว่าบุคคลเราร่างกายที่เจริญขึ้น
ๆ จนเจริญเต็มที่ ไม่เรียกกันว่าแก่ แต่อันที่จริงก็
เป็นอย่างเดียวกันกับผลไม้นั้น แต่เพราะคนเราไม่เห็นว่า
เป็นความแก่ แต่ว่าไปเห็นผลไม้ว่าแก่ในเมื่อผลไม้
นั้นเจริญเต็มที่ ส่วนคนเราเจริญเต็มที่นั้นเราไม่เห็นว่าแก่
เห็นว่าเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นความเจริญเต็มที่
แต่อันที่จริงก็เป็นอย่างเดียวกันเรียกว่าเป็นความแก่ขึ้น
และเมื่อร่างกายเจริญเต็มที่แล้วก็เริ่มเสื่อมลง เรียกว่า
เป็นความแก่ลง ก็แก่ลงไปเรื่อย ๆ ความแก่ลงนี้ก็เป็น
ความแก่ที่ปรากฏ ซึ่งทุก ๆ คนก็รับรองกันว่าแก่
จึงเรียกว่า อัปปฏิจฉันนชรา ความแก่ที่ไม่ปกปิด
เมื่อเทียบกับพระพุทธาธิบาย
หรือพระเถราธิบายที่แสดงมาข้างต้นนั้นที่อธิบายว่าชรา
ความแก่ก็คือความแก่ ซึ่งคำนี้ซึ่งเป็นคำเริ่มต้นก็อาจเป็น
ความแก่ที่ปกปิดก็ได้ และต่อมาจึงอธิบายต่อไปว่า
ความชำรุดทรุดโทรม ซึ่งเป็นอธิบายของความแก่ลง
และอธิบายให้ชัดต่อไปอีกว่าได้แก่อาการที่ฟันหัก
ผมหงอก หนังเหี่ยวย่น ความเสื่อมแห่งอายุ
ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ทั้งหลายมีตาเป็นต้น อัน
ความเสื่อมแห่งอายุนั้นก็กล่าว
ได้ว่าเริ่มเสื่อมตั้งแต่เวลาแรกของชาติคือความเกิด
เมื่อมีชาติคือความเกิดก็เริ่มเสื่อมเรื่อยไป
เช่นว่าเกิดขึ้นมาได้ ๑ ปีก็เสื่อมไป ๑ ปี เกิดมาได้ ๒
ปีก็เสื่อมไป ๒ ปี ก็แปลว่าลดเวลาที่มีอยู่
ทั้งหมดของชีวิตลงไปทุกขณะ ๆ ที่เวลาของอายุล่วงไป ๆ
เพราะฉะนั้น อายุที่ล่วงไป ๆ นับตั้งแต่ชาติคือ
ความเกิดก็เรียกว่าเริ่มเสื่อมไปโดยลำดับคือคืบ
เข้าไปสู่ที่สุดอันได้แก่ความตาย
โดยลำดับทุกขณะทุกเวลาที่ล่วงไป ๆ ฉะนั้น
ความเสื่อมของอายุจึงมีมาโดยลำดับตั้งแต่ชาติคือ
ความเกิด และเมื่อแก่ลง ความทรุดโทรมของอินทรีย์
ทั้งหลายมีตาเป็นต้น ก็ปรากฏ แต่อันที่จริง
นั้นตามศัพท์ที่ท่านใช้ว่า อินฺทฺริยานํ ปริปาโก ที่แปลว่า
ความสุกรอบของอินทรีย์ทั้งหลาย ย่อมหมายความ
ได้ตั้งแต่แก่ขึ้นตลอดจนถึงแก่ลง แต่ก็มักจะแปลกันว่า
ความหง่อมเสื่อม แต่อันที่จริงนั้นไม่ตรง หาคำแปลยาก
จึงขอยืมคำว่าความหง่อมความเสื่อม หรือแก่หง่อมมาใช้
เท่านั้น แต่อันที่จริงตามศัพท์นั้นได้ทั้งแก่ขึ้นแก่ลง
อินทรีย์คือตาหูจมูกลิ้นกาย ก็เริ่มที่จะสมบูรณ์ขึ้น
โดยลำดับตั้งแต่ชาติคือความเกิด ดังนี้เรียกว่า ปริปากะ
คือ ความที่สุกโดยรอบ คือ
ในทางสมบูรณ์เหมือนอย่างผลไม้ที่แก่เต็มที่ แปลว่า
สมบูรณ์ที่สุด แล้วจึงแก่งอม แปลว่าแก่ลง ตาเสื่อม
หูเสื่อม เป็นต้น
เพราะฉะนั้น แม้ในพุทธาธิบายและเถราธิบาย
และเถราธิบายนั้นก็อธิบายได้ทั้งแก่ขึ้น
และแก่ลงดังกล่าวนั้น แต่พระอาจารย์ได้มาชี้ให้ชัดขึ้นอีก
เป็นปฏิจฉันนชรา แก่ที่ปกปิดกับอัปปฏิจฉันนชรา แก่ที่
ไม่ปกปิด ซึ่งอันที่จริงนั้นก็ไม่ได้ปกปิดด้วยกันทั้งสอง
ปรากฏทั้งสอง เป็นแต่เพียงว่าบุคคลไม่รู้จักเท่านั้น
คือชี้แจงอย่างละเอียด ไม่รู้จักก็ต้องชี้กันไปตรง ๆ
ว่าแก่ขึ้น แก่ลง จี้ลงไปให้ชัดขึ้นเท่านั้นเอง
แต่พระพุทธาธิบาย และพระเถราธิบายนั้นก็ครอบไปได้
ทั้ง ๒ อย่างแล้ว ท่านจึงใช้คำอธิบายถึงเรื่องความแก่นี้
ไว้หลายคำดังที่กล่าวมานั้น ก็กำหนดพิจารณา
ให้รู้จักชราคือความแก่ดังกล่าว ว่าทุกคนก็มีชราคือ
ความแก่ดังกล่าว เด็กก็พิจารณาได้ ผู้ใหญ่ก็ได้
เพราะก็แก่ด้วยกันทั้งนั้นตั้งแต่ชาติคือความเกิด
ดังกล่าวมานั้น ว่านี่คือชราคือความแก่
รู้จักความตายที่ปกปิดและความตายที่ไม่ปกปิด
มาถึงมรณะคือความตาย พระอาจารย์ก็ให้คำอธิบายไว้
๒ อย่างเช่นเดียวกัน คือ
ปฏิจฉันนมรณะ ความตายที่ปกปิด กับ
อัปปฏิจฉันนมรณะ ความตายที่ไม่ปกปิด
โดยอธิบายว่า อันความดับของธาตุทั้งหลายอันประกอบ
เข้าเป็นรูปขันธ์และของนามขันธ์ทั้งหลาย ย่อมมี
ความดับอยู่ทุกขณะในปัจจุบัน แต่ว่าอาศัยมีสันตติคือ
ความสืบต่อด้วยอาหารทั้งหลายเข้าไปบำรุงเลี้ยงชดเชย
ส่วนที่ดับไปนั้น จึงมีความเกิดของรูปนามต่อเนื่องกันไป
คือว่าเกิดดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดต่อเนื่องกันไป
อันความดับที่มีอยู่ในระหว่าง ๆ นี้คือมรณะ ความตายที่มี
อยู่ในระหว่าง ๆ จะพึงเห็นได้แต่โดยมีอาหารเข้าช่วยทำ
ให้เกิดต่อเนื่องกัน ดังที่ได้มีเถราธิบายไว้แล้วในอาหาร ๔
ที่กล่าวมาแล้ว
แม้ผู้ศึกษาทางสรีรวิทยาในปัจจุบันก็ยังได้กล่าวไว้เช่น
นั้น ว่าร่างกายของทุก ๆ คนในปัจจุบันนี้แม้จนชั้นกระดูกที่
เป็นโครงร่างของแต่ละบุคคล ก็หาใช่ร่างกายหา
ใช่กระดูกที่เป็นโครงร่างตั้งแต่เมื่อเป็นเด็ก ๆ ไม่ กระดูก
และโครงร่างตั้งแต่เมื่อเป็นเด็ก ๆ นั้นดับหมดไปแล้ว
แต่อาศัยที่มีร่างกายตลอดจนถึงกระดูกที่เป็นโครงร่าง
ใหม่บังเกิดขึ้นทดแทนโดยอาหาร เพราะฉะนั้น ชีวิตจึง
ยังดำรงอยู่สืบเนื่อง ความต้องการอาหารสำหรับที่
จะชดเชยสืบเนื่องนี้ อย่างละเอียดก็เห็นได้
เช่นลมหายใจเข้าลมหายใจออก ต้องหายใจเข้า
ต้องหายใจออกกันอยู่ทุกขณะหยุดไม่ได้ อันแสดงว่า
ต้องการใช้ลมเข้าไปชดเชยส่วนที่ดับไปหมดไป
หยุดหายใจสักครู่หนึ่ง ชีวิตก็จะต้องดับต่อไม่ติด
อันนี้แสดงว่าเกิดดับเกิดดับมีอยู่ในปัจจุบันและดับ
นั้นก็คือมรณะความตาย แต่อาศัยมีสันตติคือ
ความสืบต่อดังกล่าวหายใจเข้าก็มีหายใจออก ออกแล้วก็
เข้า เมื่อใดสันตติคือความสืบต่อนี้หยุด เช่นหายใจเข้า
แล้วไม่ออก หรือออกแล้วไม่เข้า ดับอัสสาสะปัสสาสะ
ความตายที่เรียกว่ามรณะในที่สุดก็ปรากฏ ความตาย
ในระหว่าง ๆ ที่ยังมีสันตติสืบต่อเป็นความตายที่
ไม่ปรากฏ แต่ความตายที่ปรากฏก็คือความตาย
ในที่สุดที่สิ้นความสืบต่อดังที่กล่าวนั้น
แต่ตามพระเถราธิบายก็เริ่มตั้งแต่ว่า จุติ ความเคลื่อน
ความแตกสลาย ความอันตรธานหายไป ก็
เป็นถ้อยคำที่คลุมได้ทั้ง ๒ อย่าง ตั้งต้นด้วยคำว่าจุติคือ
ความเคลื่อนชีวิตนี้ก็เคลื่อนไปสู่ความดับเรื่อย ๆ
ไปทุกขณะแล้ว ตั้งแต่ดับที่ยังมีสันตติความสืบต่อจนไป
ถึงความดับที่สิ้นสันตติอันเป็นความตายที่สุด
แต่ว่าสำหรับผู้ที่อ่อนสติปัญญาก็ยังมองไม่เห็นชัด จึง
ต้องจี้ลงไปว่าตายที่ปกปิดและตายที่
ไม่ปกปิดคือสะกิดใจให้พิจารณาให้เห็นชัด
เป็นอันว่า ชราและมรณะนี้มีอยู่ตั้งแต่ในปัจจุบัน
ตั้งแต่ชาติคือความเกิด หัดพิจารณาให้รู้จักชรา
ให้รู้จักมรณะที่มีอยู่ในตนเอง ทุก ๆ คนมีอยู่ด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อหัดให้รู้จักสมุทัยของชรามรณะก็คือชาติความเกิด
เพราะมีชาติคือความเกิดเป็นเบื้องต้น จึงมีชรามรณะ ถ้า
ไม่มีชาติคือความเกิด ชรามรณะก็ไม่มี เพราะฉะ
นั้นดับชาติเสียได้จึงเป็นอันว่าดับชรามรณะ
แต่ทางปฏิบัตินั้นก็คือมรรคมีองค์ ๘ เพื่อให้ถึง
ความดับชรามรณะคือดับชาติความเกิด
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ ตึก สว วัดบวรนิเวศ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน) ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖
รอบ ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 11:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๖ ความรู้จักชาติความเกิด
สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๖ ความรู้จักชาติความเกิด
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจ
ถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ท่านพระสารีบุตรได้แสดงอธิบายสัมมาทิฏฐิต่อไปอีกว่า
สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบก็คือรู้จักชาติความเกิด
รู้จักชาติสมุทัยเหตุเกิดแห่งชาติ รู้จักชาตินิโรธ
ความดับแห่งชาติ รู้จักชาตินิโรธคามินีปฏิปทาข้อปฏิบัติ
ให้ถึงความดับชาติ รู้จักดังนี้เป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ
อุชุกทิฏฐิความเห็นตรง นำให้ได้ความเลื่อมใส
ไม่หวั่นไหวในพระธรรม
นำมาสู่สัทธรรมคือพระธรรมวินัยในศาสนานี้ ดั่งนี้
ก็เป็นอันว่า ท่านพระสารีบุตรได้อธิบายสัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบคืบขึ้นไปอีกช่วงหนึ่ง หรืออีกลูกโซ่หนึ่ง
หรืออีกเปลาะหนึ่ง และท่านได้แสดงอธิบายถึง
ชาติ คือความเกิด ว่าก็ได้แก่ ชาติ สัญชาติ ความก้าวลง
ความบังเกิด ความบังเกิดยิ่ง ความปรากฏแห่งขันธ์
ทั้งหลาย ความได้เฉพาะอายตนะทั้งหลาย
รู้จักชาติก็คือรู้จักดั่งนี้
รู้จักชาติสมุทัย เหตุเกิดแห่งชาติ
ก็คือรู้จักว่าเหตุเกิดแห่งชาติหรือความเกิดแห่งชาติก็มี
เพราะความเกิดแห่งภพ คือเพราะภพเกิด ชาติก็เกิด
รู้จักดั่งนี้เป็นความรู้จักเหตุเกิดแห่งชาติ
รู้จักชาตินิโรธ ความดับชาติ ก็คือรู้จักว่า
ความดับแห่งชาติย่อมมีเพราะความดับแห่งภพ ก็คือว่า
เพราะภพดับ ชาติก็ดับ รู้ดั่งนี้เป็นความรู้จักชาตินิโรธ
ความดับแห่งชาติ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับชาติ
ก็คือรู้จักว่ามรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น
เป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับชาติ
ความหมายของชาติความเกิด
ต่อไปนี้จะได้แสดงอธิบายไปตามสมควร อันชาติคือ
ความเกิดนี้ ที่ได้มีพระพุทธาธิบาย
และมีพระเถราธิบายตาม ว่าได้แก่ชาติ สัญชาติ
ความก้าวลง และใช้คำอื่น ๆ ก็มี ความหมายถึงชาติคือ
ความเกิดตามที่ได้เข้าใจกันและได้พูดถึงกัน อันชาติคือ
ความเกิดนี้สำหรับมนุษยชาติ
หรือว่าสัตว์ที่เกิดอาศัยครรภ์มารดาทั้งปวงย่อมเรียกว่า
ชาติคือความเกิดตั้งแต่ก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์ของมารดา
อันความก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์ของมารดานี้
ได้มีพระพุทธภาษิตแสดงอธิบายไว้ว่า อาศัยองค์ประกอบ
๓ ประการ คือ
หนึ่ง มารดาบิดาอยู่ด้วยกัน
สอง มารดามีระดู
สาม คันธัพพะหรือที่เรียกว่าคนธรรพ์ หมายถึงสัตว์ที่
จะมาถือกำเนิด หรือหมาย
ถึงปฏิสนธิวิญญาณมาปรากฏขึ้น
เมื่อประกอบด้วยองค์ ๓ ประการนี้ ครรภ์ก็ตั้งขึ้น
หรือเรียกตามคำแปลตามศัพท์ภาษาบาลี ว่า
ความก้าวลงแห่งครรภ์ก็ย่อมมี อันคำว่าครรภ์นี้ ก็หมาย
ถึงสัตว์ผู้มาบังเกิดในท้องของแม่ ที่เรียกว่าตั้งครรภ์ ก็คือ
ความก้าวลงของครรภ์ ก้าวลงของสัตว์ที่จะมาบังเกิด
ในครรภ์ก็ย่อมมีขึ้น และก็เรียกว่าเป็น ปฐมจิต
ปฐมวิญญาณ ตั้งแต่นั้น และอาศัยความเติบโตขึ้นมา
โดยลำดับ จนถึงครบถ้วน ๙ เดือน ๑๐ เดือน
ก็คลอดออกจากครรภ์ของมารดา ชาติคือความเกิด
นั้นก็นับตั้งแต่คันธัพพะ หรือคนธรรพ์
หรือปฏิสนธิวิญญาณมาปรากฏก่อขึ้น
เป็นปฐมจิตปฐมวิญญาณ แต่ตามที่นับกันคือนับอายุ ก็มัก
จะนับตั้งแต่เมื่อได้คลอดออกมาจากครรภ์ของมารดาแล้ว
จึงจะเรียกว่าเกิด และก็นับอายกันมาตั้งแต่นั้น
ในพระบาลีอีกแห่งหนึ่งได้มีแสดงไว้ว่า เมื่อธาตุทั้ง ๖
มาประชุมกัน ครรภ์จึงตั้งขึ้นหรือก้าวลง
ที่เรียกว่าตั้งครรภ์ ธาตุทั้ง ๖ นั้นก็ได้แก่ปฐวีธาตุ ธาตุดิน
อาโปธาตุ ธาตุน้ำ เตโชธาตุ ธาตุไฟ วาโยธาตุ ธาตุลม
อากาศธาตุ ธาตุอากาศ คือช่องว่าง วิญญาณธาตุ ธาตุรู้
หรือธาตุวิญญาณ เมื่อธาตุทั้ง ๖ นี้มาประชุมกัน
ครรภ์ก็ตั้งขึ้นหรือความก้าวลงของครรภ์ก็มีขึ้น
และเมื่อครรภ์ตั้งขึ้น นามรูปก็มีขึ้น
ตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ในที่นี้ ว่าเมื่อธาตุทั้ง ๖
ประชุมกัน ครรภ์ก็ตั้งขึ้น ธาตุทั้ง ๖ นั้น ธาตุทั้ง ๕ ข้างต้น
คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ เป็นธาตุที่
ไม่มีความรู้ เป็นธาตุที่เป็นฝ่ายวัตถุ เป็นฝ่ายรูป
ส่วนธาตุที่ ๖ คือวิญญาณธาตุนั้น เป็นธาตุรู้ และธาตุที่ ๖
นี้คือวิญญาณธาตุ ก็ตรงกับที่เรียกว่าปฏิสนธิวิญญาณ
รวมความก็คือเมื่อส่วนที่เป็นรูปคือธาตุ ๕ ข้างต้น
กับปฏิสนธิวิญญาณ มาประชุมกันครรภ์ก็ตั้งขึ้นมานับ
เป็นปฐมจิตปฐมวิญญาณดั่งที่กล่าว
ชาติคือความเกิดนี้ ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะบังเกิดขึ้น
หรือหลังจากที่พระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมมี
ความเชื่อถือกันว่ามีอยู่ ๒ อย่าง
อย่างหนึ่ง ก็คือเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย
อีกอย่างหนึ่ง เกิดมาแล้วดำรงอยู่เป็นนิรันดรไม่ตาย
และคนเป็นอันมากหรือเรียกว่าทั้งโลก เมื่อเกิดมาก็
ไม่ปรารถนาที่จะแก่จะเจ็บจะตายต้องการที่จะดำรงอยู่
แม้ว่ารู้ว่าดำรงอยู่ไม่ได้ ก็ต้องการให้อายุยืนนาน จึงพา
กันแสวงหาวิธีหรือหยูกยาที่จะทำให้อายุยืนนาน
ที่เรียกว่าอายุวัฒนะ และแม้ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์รู้อยู่ว่าจะ
ต้องตาย ก็ปรารถนาที่จะไปเกิดในภพชาติที่ไม่ตาย
เช่นไปเกิดเป็นเทพที่เชื่อว่าไม่ตาย เพราะฉะนั้น จึง
ได้เรียกเทพว่าอมร ที่แปลว่าผู้ไม่ตาย แม้ศาสดา
ทั้งหลายผู้สอนศาสนานั้น ๆ ก็สอนกันว่ามีสรวงสวรรค์
อันเป็นที่สถิตของเทพที่เป็นอมรคือไม่ตายนี้ และก็สอน
ให้นับถือปฏิบัติเพื่อที่จะไปเกิดในภูมิชั้นของเทพที่ไม่ตาย
ไปเป็นอมรคือเป็นผู้ไม่ตายคือไปเกิดแล้วก็ไม่ตาย
และแม้เป็นมนุษย์นี้เองก็ยังมีลัทธิที่เชื่อถือว่า
เมื่อไปปฏิบัติในวิธีพิเศษตามลัทธิที่สั่งสอนนั้น ก็จะสำเร็จ
ทั้งที่กายเป็นมนุษย์นี้ เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ตลอดไป
ไม่ตาย เช่น ไปสำเร็จเป็นเซียนต่าง ๆ
มีชรามรณะเพราะมีชาติ
พระพุทธเจ้าเองเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ยังมิได้ตรัสรู้ ทรง
เป็นสิทธัตถะราชกุมาร เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูต
คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ก็ได้ทรงพิจารณา
เข้ามาเห็นว่า แม้พระองค์เองจะทรงดำรงอยู่ในโลกนี้
ในฐานะใด ๆ ก็ตาม แม้ในฐานะ
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระราชาเอกในโลก ก็ต้องแก่
ต้องเจ็บต้องตาย จึงได้ทรงปรารถนาโมกขธรรม ธรรมะ
เป็นเครื่องหลุดพ้น พ้นจากความแก่ความเจ็บความตาย
ด้วยทรงพิจารณาเทียบเคียงว่า เมื่อมีแก่มีเจ็บมีตาย ก็จะ
ต้องมีไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย
เหมือนอย่างเมื่อมีกลางวันก็มีกลางคืน
มีกลางคืนก็มีกลางวันเป็นคู่กัน จึง
ได้เสด็จออกผนวชเพื่อทรงแสวงหาโมกขธรรม
ในพุทธประวัติตอนนี้ก็ยังมิได้กล่าวถึงชาติคือความเกิด
ต่อเมื่อพระองค์ได้ทรงพบทางที่
เป็นมัชฌิมาปฏิปทาข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางกลาง
ด้วยพระองค์เอง ได้ทรงพิจารณาด้วยพระปัญญาที่
เป็นสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ จึงได้ทรงพบว่า
ความแก่ความเจ็บความตายนั้นย่อมมีเพราะชาติคือ
ความเกิด เมื่อมีชาติคือความเกิด จะเกิดเป็นอะไร ๆ ก็
ต้องมีดับคือตายหรือแตกสลายในที่สุด ไม่มีใคร
หรือะไรที่จะเป็นอมรคือไม่ตาย ใครหรืออะไรเมื่อมีเกิด
ก็ต้องมีดับดังกล่าว
จึงได้ทรงพบสัจจะคือความจริง ว่าสมุทัยคือความเกิด
หรือเหตุเกิดของชรามรณะนั้นก็เพราะชาติ
เมื่อมีชาติก็มีชรามีมรณะ อันนับว่าเป็นสัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบ ตามที่ท่านพระสารีบุตรได้อธิบาย
มีชาติเพราะมีภพ
และพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์
ก็ทรงพิจารณาสืบค้นขึ้นไปว่า ความเกิดขึ้นแห่งชาติ
หรือเหตุเกิดแห่งชาตินั้นคืออะไร ก็ได้ทรงพบว่าก็คือภพ
เพราะภพเกิดขึ้น ชาติจึงเกิดขึ้น เพราะภพมีขึ้น ชาติ
จึงมีขึ้น ดังที่ท่านพระสารีบุตรได้นำมาอธิบายในขั้นนี้
และพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้ทรง
ค้นคว้าสืบ ๆ ขึ้นไป แต่ในขั้นนี้นั้นเอาเพียงแค่ว่า
เพราะมีภพหรือเพราะภพเกิดขึ้นจึงมีชาติ ชาติจึงเกิดขึ้น
เพราะความเกิดขึ้นแห่งภาพจึงมีความเกิดขึ้นแห่งชาติ ก็
เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นในโลกนี้ซึ่ง
เป็นพระผู้ตรัสรู้ ได้ตรัสรู้พบสัจจะคือความจริงตั้งแต่
ในขั้นนี้ ว่าชรามรณะนั้นมีเพราะชาติความเกิด
และชาติคือความเกิดมีขึ้นก็เพราะมีภพ
ทรงหาทางปฏิบัติเพื่อดับชาติ
นี้เป็นสัจจะคือเป็นความจริง ที่เป็น
ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าคือพระ
ผู้ตรัสรู้ที่ได้ชื่อว่าพุทธะนี้เท่านั้นจึงตรัสรู้ดังนี้
ศาสดาก่อนแต่พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น
หรือแม้ภายหลังที่พระพุทธเจ้าทรงบังเกิดขึ้น ก็มิได้มีผู้
ใดแสดงดั่งนี้ได้ตรัสรู้ดั่งนี้ เพราะฉะ
นั้นพระพุทธเจ้าเมื่อทรงเป็นพระโพธิสัตว์
เป็นสิทธัตถะราชกุมาร เมื่อเสด็จออกทรงผนวชแล้ว
ได้ทรงเข้าศึกษาในสำนักท่านอาจารย์อาฬารดาบส
และอุททกดาบส ได้ทรงศึกษาจบสมาบัติ ๗ สมาบัติ ๘
ซึ่งเป็นสมาธิอย่างสูงตามลัทธิของท่านดาบสทั้ง ๒ นั้น
ซึ่งยังปฏิบัติสมาธิดังกล่าวเพื่อภพชาติ ซึ่งเข้าใจว่าเพื่อ
เป็นอมรคือไม่ตาย ดังเช่นที่บัญญัติว่าเป็นพรหมหรือ
เป็นเทพชั้นสูงสุดชั้นใดชั้นหนึ่ง เมื่อเป็นดังนี้ จึง
เป็นอันว่าปฏิบัติลัทธิสมาบัติทั้งปวงนั้นเพื่อชาติคือ
ความเกิด ซึ่งความเกิดในภพชาติที่ไม่ตายนั้นไม่มี
เมื่อมีชาติคือความเกิดแล้ว จะในภพชาติใดก็ตาม ก็จะ
ต้องมีดับ ต่างแต่เร็วหรือช้าเท่านั้น แต่ก็มิ
ได้ทรงปฏิเสธว่าไม่มีเทพดา ไม่มีพรหม เทพดา พรหม มี
ซึ่งเมื่อปฏิบัติตามลัทธิสมาบัตินั้นก็ไปได้ แต่ว่าแม้ไปเกิด
เป็นพรหมเป็นเทพนั้น ๆ ก็ชื่อว่ามีชาติคือความเกิด ก็จะ
ต้องมีแก่มีตายมีดับ จึงเป็นอันว่าไมพ้นทุกข์ เพราะยัง
ต้องมีเกิดมีดับ และยังมีตัณหาคือความอยาก อัน
เป็นโปโนพฺภวิกา เป็นไปเพื่อเกิดในภพชาติใหม่ ก็
เป็นอันว่ายังไม่สิ้นกิเลส ยังไม่สิ้นชาติ สิ้นภพ ยัง
ไม่สิ้นทุกข์ จึง
ได้เสด็จหลีกออกไปทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา แต่ก็
ไม่ทรงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์เพราะไม่เป็นทาง
ให้เกิดปัญญาที่จะรู้ถึงสัจจะคือความจริงที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้
แต่ก็เป็นอันว่าแม้ในขั้นที่ทรงละสละสำนักของท่านดาบส
ทั้ง ๒ นั้น ก็ได้ทรงเริ่มที่จะเข้าพระทัยที่จะรู้ว่า เมื่อ
ยังมีชาติคือความเกิดอยู่ ก็จะต้องมีชรามีมรณะ
ยังมีทุกข์ เพราะฉะนั้น ก็จะ
ต้องหาทางปฏิบัติเพื่อดับชาติคือความเกิด
ซึ่งทางปฏิบัติเพื่อดับชาติคือความเกิดนี้ยังไม่มีศาสดา
ใดสั่งสอนได้ มีแต่สั่งสอนที่จะให้ไปเกิดในภพชาติ ที่
เข้าใจว่าเป็นอมรคือไม่ตายดังที่กล่าวนั้นซึ่งหามีไม่ตาม
ความเป็นจริงดังที่กล่าว เพราะฉะนั้นก็เป็นอันว่าแม้ในขั้น
นั้น พระโพธิสัตว์ก็ได้มีพระปัญญาที่ได้ทรงพิจารณาเห็น
จับเหตุจับผล จับลูกโซ่ของสังสารวัฏ จับตั้งแต่ความแก่
ความตาย ว่ามีเพราะชาติคือความเกิด แต่ว่าเมื่อยัง
ไม่มีศาสดาใดจะสั่งสอนว่าจะดับชาติได้อย่างไร จึง
ต้องทรงหาเอาเองด้วย ทรงปฏิบัติค้นคว้าต่อไป จน
ได้ทรงพบทางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาดังกล่าว
เพราะฉะนั้น เงื่อนของธรรมะตอนนี้จึงเป็นเงื่อนสำคัญ ที่
ผู้ศึกษาปฏิบัติธรรมะทางปัญญาหรือทางวิปัสสนาจะ
ต้องทำความเข้าใจ และเมื่อเป็นดั่งนี้แล้วจึงจะ
เป็นสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ ที่จะนำให้
เข้ามาสู่สัทธรรมคือพระธรรมวินัยในศาสนานี้ถูกตรง
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ ตึก สว วัดบวรนิเวศ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน) ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖
รอบ ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 11:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๗ ความรู้จักภพ
สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๗ ความรู้จักภพ
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจ
ถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงเรื่องสัมมาทิฏฐิตามเถราธิบายแห่งพระสารีบุตรเถระมา
โดยลำดับ จนถึงท่านพระสารีบุตร
ได้กล่าวอธิบายจับชรามรณะว่ามีเพราะชาติคือ
ความเกิดชาติคือความเกิดมีเพราะภพ และภิกษุ
ทั้งหลายก็ได้กราบเรียนถามท่านอีกว่าสัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบจะมีอธิบายอย่างไรอีก ท่านก็ตอบว่า มี
และท่านก็จับอธิบายต่อไปซึ่งมีความว่า
ความเห็นชอบคือสัมมาทิฏฐินั้น ก็คือรู้จัก
ความเกิดขึ้นแห่งภพว่ามีเพราะ
ความเกิดขึ้นแห่งอุปาทานโดยที่ท่านได้ให้คำอธิบาย
เป็นหัวข้อไว้ก่อนว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ที่
จะพึงอธิบายได้ต่อไปนั้น ก็คือความรู้จักภพ
ความรู้จักเหตุเกิดขึ้นแห่งภพ รู้จักความดับภพ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับภพ เมื่อมี
ความรู้จักดังนี้ก็ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ อุชุกทิฏฐิ
เห็นตรง ทำให้ได้ความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระธรรม
และนำมาสู่สัทธรรมคือพระธรรมวินัยในศาสนานี้ ดังนี้
รู้จักภพ ๓
และท่านก็ได้อธิบายขยายความในข้อแรกว่า รู้จักภพ
ก็คือรู้จักว่าภพนั้นมี ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ
อันคำว่า ภพ นั้นมักจะพูดกันคู่กับ ชาติ ว่า ภพชาติ
ซึ่งดูเหมือนจะคล้าย ๆ กันหรือเป็นอันเดียวกัน และก็
ได้มีอธิบายภพทั้ง ๓ นี้ไว้ด้วย ว่าได้แก่โลกอัน
เป็นที่บังเกิดขึ้นของสัตว์ทั้งหลาย
และโลกที่บังเกิดขึ้นของผู้ที่ยังท่องเที่ยวไปในกาม
ก็เรียกว่า กามภพ
ส่วนโลกที่บังเกิดขึ้นของผู้ที่ยังท่องเที่ยวไปในรูป
อันหมายถึงได้รูปฌาน ได้รูปสมาบัติอันเป็นชั้นพรหม
คือชั้นรูปพรหม ก็เรียกว่า รูปภพ
ส่วนโลกอันเป็นที่บังเกิดขึ้นของผู้ที่ท่องเที่ยวไปในอรูป
คือได้อรูปฌาน อรูปสมาบัติ คือเกิดเป็นอรูปพรหม
ก็เรียกว่า อรูปภพ
นี้เป็นอธิบายทั่วไป และก็อธิบายทั่วไปนี้เองที่ได้เป็นที่
เข้าใจกันทั่วไปดังนี้ และก็พูดควบคู่กันไปกับชาติว่า
ชาติภพ ดังกล่าว
ภพ ๒ ในปฏิจจสมุปบาท
แต่ว่าในธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นเป็นลูกโซ่โยงกันไป
อันเรียกตามศัพท์ว่า ปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้น
ที่ท่านพระสารีบุตรมาจับอธิบายแสดงสัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบ ก็คือความที่รู้จักธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้น อันโยงกันไปเป็นลูกโซ่นี้
ท่านจับแต่ชรามรณะว่ามีเพราะชาติคือความเกิด ชาติคือ
ความเกิดก็มีเพราะภพ และในตอนนี้ท่านก็แสดงว่าภพก็มี
เพราะอุปาทาน แต่ในข้อแรกที่ท่านตั้งขึ้นเป็นหัวข้อ
ท่านก็จับเอาภพขึ้นเป็นที่ตั้ง ว่าสัมมาทิฏฐินั้นคือ
ความรู้จักภพ รู้จักภพสมุทัย เหตุเกิดภพ รู้จักภพนิโรธ
ความดับภพ รู้จักภพนิโรธคามินีปฏิปทา
หรือภวนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับภพ
ดังที่กล่าว เมื่อเป็นดั่งนี้ ภพกับชาติจึงต่างกัน และชาติมี
เพราะภพ ความเกิดขึ้นแห่งชาติก็มีเพราะ
ความเกิดขึ้นแห่งภพ
เมื่อเป็นดังนี้ คำว่าภพในที่นี้จึงมีอธิบายต่างออกไป
จากที่กล่าวมาข้างต้น เป็นอธิบายจำเพาะ
ในหมวดธรรมที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นโยง
กันไปเหมือนดังลูกโซ่ดังกล่าวนั้น และท่านก็ได้อธิบาย
ไว้ว่า ภพหรือภวะในที่นี้มี ๒ คือ กรรมภพ ภพคือกรรม
และอุปปัตติภพ ภพคืออุปบัติคือความเข้าถึง
กรรมหรือการที่กระทำเกิดจากใจ
คำว่า กรรม นั้นก็ได้แก่ การงานที่กระทำ
ทำทางกายที่เรียกว่ากายกรรม
ทำทางวาจาที่เรียกว่าวจีกรรม
กรรมทำทางใจก็เรียกว่ามโนกรรม หมาย
ถึงการงานที่กระทำด้วยความจงใจอันเรียกว่าเจตนา
เมื่อเจตนาคือจงใจทำ การที่กระทำนั้นจึงเป็นกรรมอัน
ให้บังเกิดผล กรรมดีก็ให้ผลดี กรรมชั่วก็ให้ผลชั่ว นี้
เป็นอธิบายกรรมทั่วไป ดังได้มีพระพุทธภาษิตที่ตรัสเอา
ไว้แปลความว่า
เราตถาคตกล่าวเจตนาคือความจงใจว่าเป็นกรรม
เพราะบุคคลจงใจแล้วจึงทำทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง
ทางใจบ้าง ดั่งนี้
แต่แม้เช่นนั้น ในการแสดงกรรมโดยพิสดาร ท่านก็
ยังจัดกรรมที่ทำโดยมิได้มีเจตนาคือไม่ได้จงใจไว้ ว่า
เป็นกรรมประเภทหนึ่งเหมือนกัน เรียกว่า กตัตตากรรม
กรรมที่สักแต่ว่าทำ พิจารณาดูแล้วก็จะเห็นได้ว่า
การกระทำบางอย่างที่กระทำไปแม้มิได้เจตนา แต่อาศัย
ความประมาทเลินเล่อเผลอเพลินพลาดพลั้ง ก็มีโทษ
ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นท่านจึงจัดเอาไว้ว่า
เป็นกรรมประเภทหนึ่งด้วย ก็มีเหตุผลอยู่ แต่ว่ากล่าวโดย
ทั่วไปแล้ว เมื่อมีเจตนาคือจงใจทำ ท่านจึงเรียกว่า
เป็นกรรมดังพระพุทธภาษิตดั่งที่ได้ยกมาแปลไว้ข้างต้น
นั้น
กรรมภพ
เพราะฉะนั้น กรรมจึงเกิดจากใจ ใจที่จงใจอย่าง
ใดอย่างหนึ่ง ก็เป็นกรรมขึ้นมาทางใจก่อน
อันเรียกว่ามโนกรรม และเมื่อได้พูดออกไปด้วยใจที่มี
ความจงใจนั้นก็เป็นวจีกรรม เมื่อทำทางกายออกไปก็
เป็นกายกรรม เมื่อบังเกิดขึ้นอยู่ในใจ จงใจอยู่ในใจอย่าง
ใดอย่างหนึ่ง ด้วยคิดไป ก็เป็นมโนกรรม เพราะฉะนั้น
กรรมจึงเกิดจากใจ และลำพังคิดไปในใจก็เป็นมโนกรรม
ได้ ฉะนั้น การที่ท่านจัดว่ากรรมก็ชื่อว่าเป็นภพอย่างหนึ่ง
คือ กรรมภพ ภพคือกรรม ก็มีเหตุผลอยู่ เพราะคำว่า ภพ
นั้นมาจากคำว่า ภว ที่แปลว่า เป็น หรือความเป็นความมี
มีอีกคำหนึ่งคือคำว่า ภาวะ ก็แปลว่า ความเป็นความมี
เป็นคำเดียวกันกับคำว่าภวหรือภพ ความเป็นความมี
เพราะฉะนั้น ที่ชื่อว่าภพก็คือความเป็นความมีที่เกิดตั้งขึ้น
ในจิตใจนี้ก่อน
ความเป็นความมีอะไรที่บังเกิดขึ้นตั้งขึ้นในจิตใจนี้ก่อน
ก็คือ ความเป็นเรา ความมีเรา อันเรียกชื่ออีกคำหนึ่งว่า
อัสมิ อัสมิมานะ ความสำคัญว่าเรามีเราเป็น ฉะนั้น
ความมีเราความเป็นเราขึ้นอันเป็นตัวอัสมิคืออัสมิมานะนี้
จึงบังเกิดขึ้นในจิตใจนี้ มีอยู่เป็นไปอยู่ และเมื่อมีเรา
เป็นเราหรือเรามีขึ้นเราเป็นขึ้น จึงมีอย่างอื่นต่อ ๆ ไป
เช่นว่า มีของเราคือจะต้องมีเราขึ้นมาก่อนจึงจะมีของเรา
ถ้าไม่มีเราของเราก็ไม่มี ฉะนั้น ความมีเราเป็นเราขึ้น
ตั้งขึ้นในจิตใจนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นมโนกรรมอันละเอียด
ซึ่งมีอยู่ในบุคคลสามัญทุก ๆ คนตรงกับคำว่า ภวาสวะ
อาสวะคือภพ นอนจมดองจิตสันดานของทุก ๆ คนอยู่
ก็คือความที่มีเราเป็นเรา เป็นต้นภวาสวะ อันนี้แหละกล่าว
ได้ว่าเป็นตัวมโนกรรมอันละเอียดที่ทุก ๆ คนมีอยู่
มีกรรมภพจึงมีชาติความเกิด
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า จะต้องมีเราเป็นเราขึ้นก่อน จึง
จะมีของเรา และไม่ใช่ว่าจะมีเพียงของเราเท่านั้น
แต่ก็หมายความว่า ย่อมมีสิ่งอื่นทุก ๆ อย่างที่เกี่ยว
กับตัวเรานี้ และข้อที่เกี่ยวเนื่องเป็นประการแรกก็คือว่า
ชาติ ความเกิด ต้องมีตัวเราและตัวเรานี้เกิด ถ้าหากว่า
ไม่มีตัวเราก็ไม่มีอะไรเกิด แต่เพราะมีตัวเราจึงมีชาติคือ
ความเกิด คือตัวเราเกิด เช่นเดียวกับว่าของเราดังที่กล่าว
แล้ว ต้องมีตัวเราจึงมีของเรา ถ้าไม่มีตัวเรา ของเราก็
ไม่มีฉันใดก็ดี เมื่อมีตัวเรา ตัวเรานี้เองที่มีอยู่จึงเกิด
เพราะฉะนั้น ชาติคือความเกิดจึงมีเพราะภพ ก็คือ
ความที่มีเราเป็นเราคือตัวเรา และตัวเราที่มีที่เป็นอยู่อัน
เป็นมโนกรรมอย่างละเอียดนี้เองเกิด เพราะฉะนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า ภพในที่นี้หมายถึงกรรมภพ ภพคือกรรม
ก็ดังที่ได้อธิบายแล้วว่าหมายถึงมโนกรรมอย่างละเอียด
ที่เรามีเราเป็น เป็นเรามีเรา
เป็นตัวเราขึ้นมานี่แหละคือตัวภพ และตัวภพนี้เองก็
เป็นตัวกรรม
คือจิตใจนี้เองปรุงแต่งขึ้นทำขึ้นมาสร้างตัวเราขึ้นมา
ทำขึ้นมา เป็นมโนกรรมอย่างละเอียด
และเมื่อสร้างตัวเราขึ้นมาก็ตัวเรานี้เองจึงเกิด
เพราะฉะนั้น เพราะมีกรรมภพดั่งนี้จึงมีชาติคือความเกิด
ถ้าไม่มีกรรภพดังนี้ก็ไม่มีอะไรเกิด เพราะไม่มีตัวเรา เมื่อ
ไม่มีตัวเราก็ไม่มีอะไรเกิด เมื่อมีตัวเราขึ้นจึงมีชาติคือ
ความเกิด คือตัวเราเกิด และตัวเรานี้เองก็คือ กรรมภพ
อุปปัตติภพความเข้าถึงชาติความเกิด
และอธิบายของภพประการที่ ๒ ว่าได้แก่ อุปปัตติภพ
ภพคือความเข้าถึงก็สืบเนื่องมาจากกรรมภพนั่นเอง
คือเมื่อเรามีเราเป็น มีเราเป็นเรา ตัวเรานี้เองจึงเข้า
ถึงชาติคือความเกิด คือตัวเรานี้เองมีอาการไปมีอาการมา
และประการแรกก็คือไปสู่ชาติคือความเกิดเข้าถึงชาติคือ
ความเกิด ตัวเรานี้เองเข้าถึงชาติคือความเกิด ดังที่เรียก
ในที่อื่นว่า ปฏิสนธิวิญญาณ หรือปฏิสนธิจิต หรือปฏิสนธิ
และอันนี้เองที่เป็นอุปปัตติภพ ถ้าหากว่ามีตัวเรา แต่ว่า
ถ้าตัวเราไม่มีอาการไปไม่มีอาการมา ก็ไม่มีอาการเข้า
ถึงชาติคือความเกิด แต่ข้อนี้เป็นไปไม่ได้ เมื่อมีตัวเรา
ตัวเราก็ต้องมีอาการไปอาการมา จึงต้องมีอาการเข้า
ถึงชาติคือความเกิด อาการของตัวเราที่เข้าถึง
คือที่ไปที่มานี่แหละเป็น อุปปัตติภพ
ความรู้จักภพที่เป็นความเห็นชอบ
เพราะฉะนั้น ท่านพระสารีบุตรท่านจึงได้แสดงว่า
สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ
นั้นก็คือรู้จักภพว่าภพคืออะไร เป็นประการแรก
และเมื่อรู้จักภพ ว่าภพคือกรรมภพและอุปปัตติภพ อัน
ได้แก่ภาวะที่เป็นเรา ที่มีเรา เป็นตัวเรา
ซึ่งมีอาการเคลื่อนไหวไปมาได้ เข้าถึงโน่นเข้าถึงนี่ได้
นี่แหละคือตัวภพ ซึ่งเมื่อมีภพดังนี้ก็มีชาติคือความเกิด
ให้รู้จักภพดังนี้ ก็ชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ
ความเห็นตรง ต่อไปท่านก็แสดงว่า
รู้จักภวสมุทัยหรือภพสมุทัย เหตุเกิดแห่งภพก็
ได้แก่อุปาทานคือความยึดถือ
รู้จักภวนิโรธหรือภพนิโรธ ความดับภพ ก็คือ
ความดับอุปาทานความยึดถือ
รู้จักภวนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับภพ
ก็คือดับอุปาทานเสีย
ความที่รู้จักดังนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ เป็น
ความเห็นตรง เป็นไปเพื่อละราคานุสัย อนุสัยคือราคะ
ความติดใจยินดี เพื่อบรรเทาปฏิฆานุสัย อนุสัยคือปฏิฆะ
ความกระทบกระทั่งโกรธแค้นขัดเคือง
เป็นไปเพื่อถอนอนุสัยคือทิฏฐิมานะว่าเรามีเราเป็น
เป็นไปเพื่อละอวิชชา เพื่อทำวิชชาคือความรู้แจ้งเห็นจริง
ให้บังเกิดขึ้น นำให้ได้ความเลื่อมใสไม่หวั่นไหว
ในพระธรรม นำมาสู่สัทธรรมคือพระธรรมวินัย
ในศาสนานี้ ดั่งนี้
เพราะฉะนั้น ความที่มาพิจารณาให้รู้จักธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้น โยงกันไปเป็นลูกโซ่ ตามพระเถราธิบายนี้
จึงเป็นข้อที่ควรกระทำ และเมื่อพิจารณาให้มีความเข้าใจ
แล้วก็ได้รู้จักสัจจะคือความจริงในพุทธศาสนา จน
ถึงขั้นที่เป็นอริยสัจ และจะรู้จักอริยสัจทั้ง ๔
ที่จำแนกออกไปได้อย่างกว้างขวาง และครอบคลุมสัจ
จะคือความจริงทุกอย่าง เพราะฉะนั้นจึง
เป็นข้อที่ควรตั้งใจฟัง ตั้งใจพิจารณาให้มีความเข้าใจ
และเมื่อมีความเข้าใจแล้วก็จะได้ประโยชน์ดังกล่าว
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ ตึก สว วัดบวรนิเวศ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน) ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖
รอบ ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 12:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๘ ความรู้จักภพ ๓
สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๘ ความรู้จักภพ ๓
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจ
ถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ทบทวนกรรมภพและอุปปัตติภพ
ได้แสดงพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตร
ตามที่ท่านพระธรรมสังคาหกาจารย์ได้ร้อยกรองไว้
ในสัมมาทิฏฐิสูตรโดยลำดับ มา
ถึงข้อที่ท่านอธิบายว่าสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ ก็
ได้แก่ รู้จักภพ รู้จักสมุทัย เหตุให้เกิดภพ รู้จักนิโรธ
ความดับภพ และรู้จักนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึง
ความดับภพ ก็ได้แสดงอธิบายไปแล้ว แต่วันนี้จะ
ได้เพิ่มเติมในข้อรู้จักภพ ซึ่งได้อธิบายความหมายของภพ
ในหมวดธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น โยง
กันไปเหมือนดั่งลูกโซ่
อันเรียกว่าปฏิจจสมุปบาทแปลว่าธรรมที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้น และได้แสดงภพ ว่าในที่นี้หมายถึงกรรมภพ
ภพคือกรรม อุปปัตติภพ ภพคืออุปบัติ และได้แสดง
ถึงกรรม ว่าคือการที่กระทำอันเกิดที่ใจเกิดที่จิต
จิตจงใจทำ แม้ทำทางใจ ก็เรียกว่ามโนกรรม กรรมทางใจ
กรรมภพในที่นี้เป็นตัวต้น ก็ได้อธิยายแล้วว่า ได้แก
อัสมิคือความเป็นเรา หรือความที่เราเป็นเรามี
เป็นการสร้างความเป็นเราขึ้น ซึ่งท่านได้อธิบาย
ในข้อต่อไป
ว่าสมุทัยคือเหตุเกิดแห่งภพดังกล่าวก็คืออุปาทาน
ความยึดถือ แต่ยังไม่อธิบายอุปาทาน
จะอธิบายภพเสียก่อน ซึ่งสร้างตัวอัสมิ ความที่เรามี
ความที่เราเป็นขึ้น เพราะภพหรือภวแปลว่าความมีความ
เป็น เช่นเดียวกับภาวะที่แปลว่าความมีความเป็น มีเรา
เป็นเราขึ้นก่อน จึงเป็นตัวมโนกรรมอันละเอียดซึ่งมีขึ้น
เป็นประการแรก ดองสันดานเป็นภวานุสัย
อนุสัยคือภพตลอดมาช้านาน และเมื่อมีกรรมภพ
ภพคือกรรม ดั่งนี้ จึงมีอุปปัตติภพ ภพคืออุปบัติ ความเข้า
ถึง ก็คือความที่เข้าถึงชาติความเกิด เพราะเมื่อ
เป็นภพคือความมีความเป็น เป็นเราขึ้นมา เราก็มิได้
อยู่เฉย ๆ มีความไปความมา มีความเข้าถึง เข้าถึงนั่นเข้า
ถึงนี่ ก็คือเข้าถึงชาติความเกิดต่อไป นี้ได้อธิบายมาแล้ว
แต่ได้ซ้ำความเพื่อทบทวน
ภพ ๓
โดยที่วันนี้จะได้อธิบายถึงภพ ๓ ที่ได้กล่าวไว้
แล้วตามพระเถราธิบาย คือ
พระเถราธิบายท่านว่ารู้จักภพ ก็คือ รู้จักภพ ๓ อันได้แก่
กามภพ รูปภพ อรูปภพ
กามภพ
ข้อแรก กามภพ ภพที่เป็นกามหรือที่ประกอบด้วยกาม
ก็คือความที่มีเราเป็นเราอันประกอบด้วยกาม
จะกล่าวว่าคือจิตใจนี้เองที่
เป็นที่ตั้งของตัวเราดังกล่าวท่องเที่ยวไปในกาม ประกอบ
ด้วยกาม หยั่งลงไปในกามเป็นภาวะจิตใจ หรือเป็นภว
เป็นภพแห่งจิตใจของสามัญชนทั้งปวง ที่เป็นกามาพจร
ประกอบด้วยกาม อัน กาม นั้นแปลว่า ใคร่ แปลว่า
ปรารถนา มี ๒ อย่าง คือ
กิเลสกาม กามที่เป็นกิเลส อันได้แก่ตัวความใคร่ตัว
ความปรารถนา
อีกอย่างหนึ่ง วัตถุกาม กามคือพัสดุ โดยมาแสดงไว้ ๕
คือ รูปที่ตาเห็น เสียงที่หูได้ยิน กลิ่นที่จมูกได้ทราบ
รสที่ลิ้นได้ทราบ และโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องที่กายได้ทราบ
รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ
ทั้งหลาย ดั่งนี้เรียกว่าวัตถุกาม
อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า กามคุณ คำนี้แม้คนไทยก็พูดรู้จัก
กันมาก
กามคุณก็คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่พอใจ
ทั้งหลาย ทำไมจึงเรียกว่ากามคุณ ก็
เพราะวัตถุกามที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ
ทั้งปวงเหล่านี้ก็มีคุณอยู่ คือทำให้เกิดความสุขโสมนัสได้
อยู่ เพราะว่าส่วนที่น่ารักใคร่น่าปรารถนาน่าพอใจมีอยู่
เป็นที่ตั้งของสุขของโสมนัส ทำให้เกิดสุขทำ
ให้เกิดโสมนัสมีอยู่ คือแปลว่ามีคุณอยู่ เพราะมีคุณ
อยู่ดังนี้ จึงทำให้รักทำให้ใคร่ทำให้ปรารถนาทำให้
ต้องการ ถ้าไม่มีคุณก็จะไม่ทำให้รักใคร่ปรารถนา
ต้องการ เพราะฉะนั้นจึงเรียก
ส่วนที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจเหล่านี้ว่ากามคุณ
ก็คือวัตถุกามทั้ง ๕ นั้นเอง อันเป็น
ส่วนที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ เป็นกามคุณ และ
เพราะกามมีคุณเป็นที่ตั้งของสุขโสมนัสดังกล่าว
สามัญชนทั้งปวงจึงได้หลงติดอยู่ ยากที่จะหลุดพ้น
ยากที่จะปล่อยได้ และจึงท่องเที่ยวไปในกามคุณ
แสวงหากามคุณเหล่านี้กันอยู่เป็นประจำ
รู้อหังการ มมังการ
และโดยเฉพาะกามคุณนี้ อันเป็นที่ตั้งของกามที่เป็นกิเลส
กามที่เป็นกิเลสนั้นเล่าก็ตั้งอยู่ในตัวเราที่
เป็นตัวภพดังกล่าวแล้ว และตัวเราที่เป็นตัวภพดังกล่าว
นั้นก็ได้กล่าวแล้วว่าก็เป็นกรรมชนิดที่ละเอียด
เป็นตัวมโนกรรม คือที่จิตนี้เองสร้างขึ้นมา กระทำขึ้นมา
ด้วยอำนาจของอุปาทานคือความยึดถือ เพราะฉะนั้น
จึงเรียกว่าอหังการ ก็คือว่ากรรมนี้เองกระทำให้
เป็นเราขึ้นมา
การกระทำให้เป็นเราขึ้นมานี้เรียกว่า อหังการ
คำนี้บางทีเราพูดถึงกันว่าคนนั้นมีอหังการมาก
คนนี้มีอหังการมาก ที่มีความหมายถึง
ความที่ทะนงตัวยกตัวถือตัวเป็นต้น แต่ตามศัพท์
นั้นแปลว่า การทำให้เป็นเรา การสร้างให้เป็นเรา
ซึ่งการทำให้เป็นเรา การสร้างให้เป็นเรานี้คือตัวกรรม
นั้นเอง และตัวกรรมนี้เองก็เป็นกรรมภพดังกล่าวมาแล้ว มี
อยู่ในจิตใจที่เป็นปัจจุบันนี้แหละ สร้างให้
เป็นอหังการขึ้นมา ทำให้เป็นเราขึ้นมา และเมื่อสร้างให้
เป็นอหังการให้เป็นเราขึ้นมาแล้วดั่งนี้ก็มีมมังการตามมา
คำว่า มมังการ นั้นแปลว่า ทำให้เป็นของเรา สืบเนื่องมา
จากอหังการ เมื่อมีการทำให้เป็นเราขึ้นมา ก็มีการทำให้
เป็นของเราขึ้นมา เพราะเมื่อมีเราก็ต้องมีของเรา ดั่งนี้ก็
เป็นกรรมภพซึ่งมีอยู่ในปัจจุบัน
การทำให้เป็นเรา สร้างเรา สร้างของเราขึ้นมา เรียกควบ
กันว่า อหังการมมังการ
อะไรเป็นของเรา ของเราที่เป็นของเรา
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า
กมฺมสฺสโกมฺหิ เรามีกรรมเป็นของ ๆ เรา
กมฺมทายาโท เรามีกรรมเป็นทายาท คือ
ต้องรับผลของกรรม เป็นต้น
ก็คือกรรมนี้เองเป็นของเรา การสร้างให้เป็นเราขึ้นมา
เป็นมโนกรรมอันละเอียดและเมื่อเป็นมโนกรรมคือ
เป็นกรรมขึ้นมา กรรมอันนี้เองก็เป็นของเรา ซึ่ง
จะต่ออุปบัติคือเข้าถึงชาติต่อไป และนอกจากนี้เมื่อสร้าง
ให้เป็นเราขึ้นมา เราก็ไปประกอบกรรมต่าง ๆ
ทางกายทางวาจาทางใจ ดีบ้างชั่วบ้าง
กรรมที่ประกอบต่าง ๆ เหล่านี้ก็เป็นของ ๆ
เราอีกนั่นแหละ ซึ่งจะต้องไปเสวยผลต่อไป จึง
ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ว่า
ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา เราจักทำกรรมอัน
ใดไว้ ดีหรือชั่ว
ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามิ เราจักต้อง
เป็นทายาทรับผลของกรรมนั้น ดั่งนี้
และเมื่อสร้างเราขึ้นมา
และเราที่สร้างขึ้นมานี้ก็ท่องเที่ยวไปในกามดังกล่าวติด
อยู่ในกามดังกล่าว ก็ชื่อว่าเป็นกามภพ
รู้โทษของกาม
แต่ว่าพึงเข้าใจว่า ที่กล่าวว่ากามคุณ กามก็มีคุณ
เป็นที่ตั้งของปีติโสมนัสดังกล่าวนั้น หา
ใช่มีคุณอย่างเดียวไม่ ยังมีโทษอันเรียกว่า กามาทีนพ
โทษของกาม ซึ่งพระพุทธเจ้า
ได้ตรัสแสดงชี้แจงอาทีนพคือโทษของกามไว้เป็นอันมาก
และตรัสไว้ด้วยว่า
กามนี้ทำให้เกิดสุขโสมนัสอันเป็นส่วนคุณนั้นน้อย
แต่ว่ามีอาทีนพคือโทษนั้นมาก
พิจารณาดูก็จะเห็นได้ว่า ทุก ๆ คนนั้นต้องมีทั้งราคะมี
ทั้งโทสะมีทั้งโมหะ ถ้าว่ากามมีคุณโดยส่วนเดียวแล้ว
ก็มีแต่ที่จะยินดีเพลิดเพลินสนุกสนานกันไปโดยส่วนเดียว
แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ บางทีก็สมปรารถนาได้ตามต้องการ
บางทีก็ไม่สมปรารถนาและมีเหตุขัดข้องต่าง ๆ จึง
ต้องมีโทสะคือความโกรธแค้นขัดเคือง ในเมื่อไม่
ได้ตามที่ต้องการตามที่รักใคร่ปรารถนา แต่ไปได้ในสิ่งที่
ไม่ต้องการไม่รักใคร่ไม่ปรารถนา และยังมีความหลงติด
อยู่
ทั้งข้อที่ว่ามีสุขโสมนัสน้อยแต่ว่ามีทุกข์โทษมากนั้น
พิจารณาดูแล้วก็จะพึงเห็นได้ว่าความสุขโสมนัสที่ได้
จากกามนั้น เป็นการได้อย่างผิวเผิน ยกตัวอย่างที่เห็นง่าย
เช่นว่ารสที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ เช่นรสอาหารอันทำ
ให้บุคคลติดในรสอาหาร ต้องการอาหารที่มีรสที่ต้องการ
แต่ว่าความอร่อยที่ได้จากรสอาหารนั้นก็อร่อยอยู่แค่ลิ้น
เมื่อนำเข้าปากลิ้นก็ได้ทราบรส รสที่อร่อย
รสที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ แต่ครั้นล่วงลำคอลงไป
แล้ว รสที่อร่อยนั้นก็หมดไปทันที เรียกว่าอร่อยอยู่แค่ลิ้น
รสที่ว่าอร่อยนักหนาอยู่แค่ลิ้นเท่านั้นหา
ได้อร่อยลงไปลึกซึ้งไม่
ไม่หลงติดในรสของกาม
พิจารณาดูให้ดีแล้วก็จะเห็นว่า
แม้รูปที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจที่เห็นทางตาก็แค่ตา
เสียงที่ว่าไพเราะเพราะพริ้งก็แค่หู กลิ่นก็เช่นเดียวกัน
สิ่งที่ถูกต้องทางกายก็เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น
ความสุขโสมนัสทั้งปวงที่ได้จากกามคุณนั้น จึงได้
ในขั้นผิวเผิน เช่นได้รสอร่อยแค่ลิ้น แล้วก็หายไปหมดไป
ก็ได้เท่านั้น แต่ว่าทุกข์โทษที่ตามมานั้นมีมาก ยิ่งมี
ความหลงติดอยู่ในส่วนที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจก็
ต้องมีทุกข์มีโทษมาก
บุคคลที่ต้องประกอบอกุศลกรรมทั้งหลาย
ต้องละเมิดศีลทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่หลงติดอยู่
ในรสของกาม หรือในสุขโสมนัสของกาม
ในขั้นผิวเผินดังกล่าวมานี้ทั้งนั้น ทำให้ต้องแสวงหาต่าง ๆ
แสวงหารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่าง ๆ อันปรากฏ
เป็นทรัพย์สินเงินทองอะไรต่าง ๆ เป็นสิ่งต่าง ๆ
เป็นบุคคลต่าง ๆ เพราะหลงอยู่ใน
ส่วนสุขของโสมนัสเพียงชั่วแล่นแค่ผิวเผิน และ
เพราะเหตุที่สุขโสมนัสนั้นตั้งอยู่เพียงแค่ผิวเผินชั่วแล่น
จึงต้องบริโภคสิ่งที่เรียกกันว่ากามกันบ่อย ๆ
เพราะเมื่อบริโภคแล้ว สุขโสมนัสนั้นชั่วแล่นก็หายไปก็
ต้องบริโภคกันใหม่ แล้วก็หายไปต้องบริโภคกันใหม่ ดังนี้
ไม่สิ้นสุด ทั้งยังหาอาจที่จะ
ได้สมประสงค์ไปทุกสิ่งทุกประการไม่ ทั้งจะต้องมี
ความพลัดพรากสิ่งที่เป็นผู้บริโภค
คือตาหูจมูกลิ้นกายของตนเองก็ต้องเสื่อม
ต้องชำรุดทรุดโทรม เพราะอันที่จริงนั้นสิ่งที่เป็นผู้บริโภค
นั้นก็คือตานี้เอง หูนี้เอง จมูกนี้เอง ลิ้นนี้เอง กายนี้เอง
เช่นว่าอร่อยก็แค่ลิ้น ลิ้นนั้นเองอร่อย แต่เพราะใจไปหลง
หลงรับเอาความทราบ
ในรสของรูปของเสียงของกลิ่นของรสของโผฏฐัพพะมา
เป็นของจิตใจ จิตใจหลงติดรับเอาไปอร่อยอยู่ในใจ
ที่จริงอร่อยอยู่แค่ลิ้น ไม่ใช่อร่อยที่จิตใจ
แต่ว่าจิตใจไปหลงยึดเอาความอร่อยของลิ้นมาเป็น
ความอร่อยที่จิตใจ จึงทำให้จิตใจนี้เพิ่มตัวกามที่เป็นกิเลส
ความใคร่ความปรารถนาต้องการมากขึ้น
ต้องการพัสดุกาม ต้องการกามคุณต่าง ๆ มากขึ้น ท่าน
จึงว่า
ความอิ่มด้วยตัณหานั้นไม่มี หรือ ความอิ่มด้วยกามนั้น
ไม่มี
เพราะว่าจิตใจนี้เองไม่มีอิ่มไม่มีพอ ใน
ส่วนของตาหูจมูกลิ้นกายนั้นมีอิ่มมีพอเช่นว่าตาต้องการ
ให้ดูรูปที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ตาก็ดูอยู่ได้เท่าที่
สามารถจะดูได้ นานเกินไปตาก็ไม่สามารถจะดูได้
แต่ใจก็ยังไม่อิ่มไม่พอขืนให้ดูอยู่นั่นแหละจน
ถึงตาเองก็บอบช้ำลำบาก หูก็เหมือนกัน
ฟังเสยงที่น่าไพเราะน่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย
หูเองฟังนาน ๆ ไปก็ไม่ไหวเหมือนกัน จมูก
ต้องการกลิ่นที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ใช้อยู่บ่อย ๆ ก็
ไม่ไหวเหมือนกัน ลิ้นก็เหมือนกันอร่อยลิ้น แล้วก็ให้อร่อย
อยู่เรื่อย ๆ ไป ลิ้นก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ท้องก็ทนไม่ไหว
กายก็เหมือนกัน ถูก
ต้องสิ่งที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจเกินไปก็ไม่ไหวเหมือน
กัน
แปลว่าตัวของตาหูจมูกลิ้นกายนี้เองมีพอ
อย่างอาหารที่บริโภคแล้วอิ่ม มีอิ่มเรียกว่า ตาก็มีอิ่ม
หูก็มีอิ่ม จมูกก็มีอิ่ม ลิ้นก็มีอิ่ม กายก็มีอิ่มคือมีพอ
แต่ใจนี่เองที่เป็นตัวไม่พอไม่มีอิ่มไม่มีเต็ม คนจึง
ต้องประพฤติทุจริตต่าง ๆ เพราะกามนี่แหละ ผิดศีลกัน
ได้ต่าง ๆ เพราะกามนี่แหละ
ต้องสร้างบาปสร้างอกุศลกรรมกันต่าง ๆ ฆ่าฟันกันอะไร
เป็นต้นเบียดเบียนกันต่าง ๆ ก็เพราะกามนี่แหละ วุ่นวาย
กันก็เพราะกามนี่แหละ ก็เพราะใจนี่แหละที่
เป็นตัวกามภพสร้างตัวเราขึ้นมา
แล้วตัวเราเองก็ท่องเที่ยวไปในกาม แล้วก็ใจนี้เองไม่อิ่ม
ไม่พอในกาม เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
มีคุณน้อย มีสุขโสมนัสน้อย แต่มีโทษมาก จึง
ได้ทรงแสดงกามาทีนพ โทษของกาม แต่ก็ยากที่บุคคล
จะเข้าใจจะมองเห็นได้เพราะว่ามีความติดอยู่มาก
มีโมหะคือความหลงอยู่มาก
สุคติและทุคติ
นี่แหละเป็นกามภพ ซึ่งเมื่อเป็นกามภพแล้วก็
เป็นอุปปัตติภพ คือให้เข้าถึงให้เข้าถึงชาติที่
เป็นกามาพจรทั้งหลายตามกรรมที่กระทำไว้ เมื่อ
เป็นบาปกรรมก็เข้าถึงชาติของสัตว์เดรัจฉาน
ชาติของสัตว์นรก ของเปรต ของอสุรกาย ถ้า
เป็นกรรมดีก็เข้าถึงชาติของมนุษย์ของเทพที่
เป็นขั้นกามาพจร ยังท่องเที่ยวอยู่ในกามด้วยกัน แต่ว่า
เป็นฝ่ายกุศล ถ้าฝ่ายอกุศลก็ไปในทางทุคติ ถ้า
เป็นฝ่ายดีก็ไปสุคติ เพราะตัวกามภพ
ในปัจจุบันคือใจของเรานี่แหละที่เป็นตัวกาม
ใจของเราที่สร้างตัวเราขึ้นมา แล้วตัวเราก็ท่องเที่ยวอยู่
ในกาม ซึ่งเป็นตัวมโนกรรม ซึ่งเป็นของเรา แล้ว
ยังไปสร้างกรรมต่าง ๆ ทางกายทางวาจาทางใจ
ถ้าดีก็ดีไป ถ้าชั่วก็ชั่วไป จะดีหรือจะชั่ว ไปสุคติไปทุคติ
คือ เข้าถึงชาติที่เป็นสุคติ หรือเข้าถึงชาติที่เป็นทุคติ
ตามกรรมที่ดีหรือชั่วที่ได้กระทำเอาไว้อัน
เป็นขั้นกามาพจรด้วยกัน นี้แหละคือกามภพ อุปปัตติภพที่
เป็นชั้นกาม
รูปภพ
คราวนี้ผู้ที่ได้เห็นโทษของกามดังกล่าวนี้ จึง
ได้บำเพ็ญเนกขัมมะ คือออกจากกามตั้งต้นแต่การปฏิบัติ
ในศีล ปฏิบัติในสมาธิ จิตสงบจากกามและอกุศลธรรม
ทั้งหลาย ด้วยการที่ตั้งจิตไว้ในรูปกรรมฐาน
กรรมฐานที่มีรูปเป็นอารมณ์ ก็
เป็นจิตที่ละเอียดขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง และเป็นภพคือ
เป็นตัวเราที่ท่องเที่ยวไปในรูปสมาธิ ในรูปกรรมฐาน
เป็นรูปาพจรก็เป็นกรรมภพขึ้นในจิตใจ ก็เป็นอุปปัตติภพ
ให้เข้าถึงชาติที่เป็นรูปพรหม
อรูปภพ
และเมื่อได้ปฏิบัติในศีล
ในสมาธิที่สูงขึ้นไปกว่ารูปกรรมฐาน ปฏิบัติ
ในอรูปกรรมฐาน ไม่มีรูปภพของจิตก็เลื่อนขึ้นอีกชั้นหนึ่ง
เป็นอรูปภพ ก็เป็นกรรมภพเป็นอุปปัตติภพที่
เป็นอรูปที่ท่องเที่ยวไปในอรูป ก็ให้เข้าถึงชาติที่
เป็นอรูปพรหม แต่ว่าก็ยังเป็นภพอยู่นั่นเอง คือยังมีตัวเรา
มีของเรา มีอหังการมมังการ
ที่เป็น กามภพ นั้น ก็มีอหังการมมังการที่ท่องเที่ยวไป
ในกาม ทั้งที่เป็นฝ่ายสุคติ ทั้งที่เป็นฝ่ายทุคติ
ที่เป็น รูปภพ นั้นก็มีอหังการมมังการที่ท่องเที่ยวไป
ในรูปสมาธิ รูปสมาบัติ
ที่เป็น อรูปภพ ก็มีอหังการมมังการที่ท่องเที่ยวไป
ในอรูปกรรมฐาน อรูปสมาบัติ
ก็แปลว่ายังมีตัวเราของเรา เพราะแม้ทั้งหมดนี้ก็ยัง
เป็นกรรม บาปหรือบุญที่กระทำในขั้นกามาพจรก็
เป็นกรรม รูปสมาธิรูปสมาบัติก็เป็นกรรม อรูปสมาธิ
อรูปสมาบัติก็ยังเป็นกรรม จึงยังเป็นกรรมภพ
เป็นอุปปัตติภพ เข้าถึงชาติคือความเกิด ยังไม่พ้นชาติคือ
ความเกิดเพราะยังมีภพดังกล่าว
มีภพมีชาติในปัจจุบันทุกขณะ
ภพและชาติดังกล่าวมานี้อาจพิจาณาเห็นได้ในปัจจุบัน
ว่ามีภพมีชาติในปัจจุบันทันทีต่อเนื่องกันไป
เมื่อสร้างตัวเราของเราขึ้นอันเป็นมโนกรรม เป็นกรรมภพ
ตัวเรานี้ก็เข้าถึงชาติคือความเกิด เกิดเป็นนั่น
เป็นนี่ขึ้นมาทันทีตามที่สร้าง เป็นต้นว่า เป็นมนุษย์
เป็นหญิงเป็นชาย เป็นคนดีเป็นคนชั่ว
เมื่อตัวเราที่เราสร้างขึ้น เมื่อตัวเราที่สร้างขึ้น
เป็นอหังการนี้เป็นกรรมภพ ก็เป็นอุปปัตติภพ เข้าถึง
คือเกิดเป็นตัวเราขึ้นทันที คือสร้างตัวเราก็เกิด
เป็นตัวเราขึ้นทันที
เปรียบเหมือนอย่างว่าเอาทัพสัมภาระต่าง ๆ มาสร้างบ้าน
นี่เป็นการที่เรียกว่าสร้างบ้าน เปรียบเหมือนอย่างว่า
เป็นกรรมภพ ก็เป็นอุปปัตติภพ คือเกิด
เป็นบ้านขึ้นเมื่อสร้างเสร็จ เกิดนั้นคือชาติ
เมื่อสร้างบ้านก็เกิดเป็นบ้านขึ้น เมื่อสร้างโต๊ะเก้าอี้ก็เกิด
เป็นโต๊ะเก้าอี้ขึ้น ทีแรกเมื่อสร้างเราก็เกิดเป็นเราขึ้น สร้าง
นั้นเป็นตัวภพ เกิดก็เป็นชาติ
และเมื่อตัวเรานี้สร้างกุศลกรรมก็เกิดเป็นคนดีขึ้นทันที
สร้างอกุศลกรรมก็เกิดเป็นคนชั่วขึ้นทันที เพราะฉะนั้น
ในปัจจุบันนี้ภพกับชาติก็คู่กันอยู่ดังนี้ตลอดเวลา ความ
เป็นคนดีความเป็นคนชั่วนั้นมีทันที
ในเมื่อสร้างกรรมดีกรรมชั่วขึ้น
คือเมื่อตัวเรานี้สร้างกรรมดีกรรมชั่วขึ้น
คราวนี้ ถ้าไม่มีการสร้างกรรมดีกรรมชั่วขึ้น ที่จะเกิด
เป็นคนดีคนชั่วก็ไม่มี และหากว่าถ้าไม่มีตัวเราก็ไม่มีใคร
จะเป็นผู้สร้างกรรมดีกรรมชั่ว จึงต้องมีตัวเรา ตัวเรา
จะมีขึ้นได้ก็ต้องมีการสร้างขึ้นมาด้วยอุปาทาน
เป็นอหังการขึ้นมาก็เป็นมมังการดังที่กล่าวมาแล้ว ก็เกิด
เป็นตัวเราขึ้นมา แล้วเมื่อเกิดเป็นตัวเราขึ้นมา
ตัวเราทำดีก็มีความดีเป็นของเราก็เกิด
เป็นคนดีขึ้นมาทันที ทำชั่วก็มีความชั่วเป็นของเราก็เกิด
เป็นคนชั่วขึ้นมาทันที ความจริงเป็นดังนี้ เพราะฉะนั้น
เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้วจะเห็นว่าชาติภพนั้นหรือภพชาติ
นั้นมีอยู่ในปัจจุบันนี้ทุกขณะ เป็นสัจจะคือความจริง
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ ตึก สว วัดบวรนิเวศ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน) ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖
รอบ ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 19:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๙ ความรู้จักอุปาทาน
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๙ ความรู้จักอุปาทาน
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้
เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
จะแสดงพระเถราธิบายเรื่องสัมมาทิฏฐิ
ที่ท่านพระสารีบุตรเถระได้แสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย
ผู้ถามปัญหาเรื่องสัมมาทิฏฐิซึ่งท่านก็ได้แสดงมา
โดยลำดับตามที่ภิกษุ
ทั้งหลายถามคือเมื่อท่านตอบจบไปคราวหนึ่ง ภิกษุ
ทั้งหลายก็ถามท่านอีกว่ายังมีอธิบายอย่างอื่นอีกหรือ
ไม่ ท่านก็ตอบว่ามี แล้วท่านก็อธิบายไป จบแล้วภิกษุ
ทั้งหลายก็ถามท่านอีกว่ายังมีอธิบายเป็นอย่าง
อื่นต่อไปอีกหรือไม่ ท่านก็ตอบว่ามี ท่านก็อธิบายไปจน
ถึงเข้าหมวดแห่งธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น อันโยง
กันไปเป็นลูกโซ่ ซึ่งเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ก็
ได้นำเอาพระเถราธิบายนี้มาแสดงโดยลำดับจน
ถึงท่านตอบปัญหาที่ภิกษุทั้งหลายถามดังกล่าว
ในข้ออุปาทาน ซึ่งสืบเนื่องมากจากภพซึ่งได้แสดงไป
แล้ว โดยที่ภพมีขึ้นก็เพราะมีอุปาทาน ท่านจึง
ได้จับอธิบายสัมมาทิฏฐิในข้ออุปาทานนี้ คือท่าน
ได้มีเถราธิบายโดยใจความว่าสัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบ ก็คือรู้จักอุปาทาน
รู้จักเหตุเกิดขึ้นแห่งอุปาทาน รู้จักความดับอุปาทาน
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอุปาทาน และท่านก็
ได้แสดงอธิบายในข้อแรก คือข้อที่ว่า
รู้จักอุปาทาน จำแนกอุปาทานออกเป็น ๔ คือ
กามุปาทาน ความยึดถือกาม ทิฏฐุปาทาน
ความยึดถือทิฏฐิ สีลัพพตุปาทาน ความยึดถือศีล
และพรต อัตตวาทุปาทาน ความยึดถือวาทะว่าตน
รู้จักอุปาทาน ก็คือรู้จักอุปาทานทั้ง ๔ นี้
รู้จักเหตุเกิดแห่งอุปาทาน
ก็คือรู้จักว่าอุปาทานเกิดขึ้นก็เพราะตัณหาเกิดขึ้น
ตัณหาจึงเป็นเหตุเกิดแห่งอุปาทาน
รู้จักความดับอุปาทาน
ก็คือรู้จักว่าตัณหาดับอุปาทานก็ดับ
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอุปาทาน
ก็คือรู้จักว่ามรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น
เป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับอุปาทาน
อุปาทาน ๔
จะได้แสดงอธิบายอุปาทานทั้ง ๔ ก่อน อุปาทาน
นั้นแปลกันว่า ความยึดถือ ได้มีพระพุทธาธิบาย
ซึ่งท่านพระสารีบุตรนำมาอธิบายว่า อุปาทานมี ๔
ก็คือ
ความยึดถือกาม
ข้อหนึ่ง กามุปาทาน ความยึดถือกาม กามนั้นก็
ได้แก่วัตถุกาม กับกิเลสกาม ดังที่ได้เคยอธิบายแล้ว
ยึดถือกาม ก็คือยึดถือกามที่เป็นวัตถุกาม อัน
ได้แก่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ
ทั้งหลาย ว่า
เป็นของเราน่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ
ด้วยกิเลสกาม อันอาการที่ยึดถือนี้ เมื่อแสดง
เป็นกลาง ๆ ท่านก็ได้แสดงอาการที่ยึดถือดังนี้ว่า
เอตํ มม นี่เป็นของเรา
เอโสหมสฺมิ เราเป็นนี่
เอโส เม อตฺตา นี่เป็นอัตตาตัวตนของเรา
แต่ในข้อกามุปาทานนี้ อธิบายแต่เพียงว่า ยึดถือว่า
เป็นของเรา จะเข้าใจได้ง่าย คือยึดถือว่ารูปเสียง
เป็นต้น ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจเป็นของเรา
แต่ก็ชื่อว่าได้ยึดถือเอาตัวกิเลสกาม คือตัวความรัก
ความใคร่ความปรารถนาความพอใจนั้นไว้ด้วย
ไม่ปล่อยความรักความใคร่ความปรารถนา
ความพอใจในวัตถุนั้น ๆ เมื่อเป็นดั่งนี้จึงได้ยึดถือวัตถุนั้น
ๆ ที่รักที่ใคร่ที่ปรารถนาที่พอใจ ถ้าไม่มีความรัก
ความใคร่ความปรารถนา ความพอใจอัน
เป็นกิเลสกาม วัตถุนั้น ๆ ก็ไม่เป็นวัตถุกาม
เป็นแต่เพียงวัตถุเฉย ๆ ดังเช่นท่านที่สิ้นอาสวกิเลส
แล้วเป็นพระอรหันต์ ไม่มีกิเลสกาม คือความรัก
ความใคร่ความปรารถนาความพอใจอัน
เป็นตัวกิเลสอยู่ในจิตใจ เพราะท่านละได้หมดสิ้น
เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเห็นรูปอะไรทางตา รูปนั้นก็ไม่
เป็นวัตถุกามของท่าน เพราะท่านเห็นรูปนั้นแล้ว ท่าน
ไม่รักไม่ใคร่ไม่ปรารถนาไม่พอใจ
ท่านพรากจิตออกจากรูปนั้นได้ ท่าน
ได้ยินอะไรทางหู
ได้ทราบกลิ่นทราบรสทราบโผฏฐัพพะทางจมูกทางลิ้นทางกายก็เช่นเดียว
กัน ท่านคิดนึกอะไรทางใจก็เช่นเดียวกัน ทุก ๆ อย่างไม่
เป็นวัตถุกามของท่าน ท่านพรากจิตออก
จากวัตถุคือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะทั้งหลาย
ทั้งปวงได้ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะทั้งปวงนั้นไม่
เป็นที่รักใคร่ปรารถนาพอใจของท่าน จึงไม่
เป็นวัตถุกามของท่านเป็นวัตถุเฉย ๆ
พระอรหันต์ที่ยังดำรงชีวิต
อยู่นับแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็
ได้ทรงเห็นรูปอะไรทางตา ได้ยินเสียงอะไรทางหู
ทราบกลิ่นทราบรสทราบโผฏฐัพพะทางจมูกทางลิ้นทางกาย
รู้คิดเรื่องอะไรทางใจเช่นเดียวกันกับคนทั้งหลาย
แต่ว่าท่านไม่มีกิเลสกามอยู่ในใจที่
จะออกไปรักใคร่ปรารถนาพอใจในทุก ๆ สิ่งที่ท่าน
ได้เห็นได้ยินเป็นต้นเหล่านั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่
เป็นวัตถุกามของท่าน เป็นวัตถุเฉย ๆ ทั้งนี้ก็
เพราะท่านละอุปาทานคือความยึดถือได้หมดสิ้น
โดยตรงก็ไม่ยึดถือกิเลสกามนั่นแหละ ไม่ยึดถือเอา
ความรักความใคร่ความปรารถนาความพอใจเอาไว้
ในใจ ละได้หมด เพราะฉะนั้น จึงไม่ยึดถือวัตถุ
ทั้งหลายอันเรียกว่าวัตถุกามนั้น
แต่ว่าสามัญชนทั้งหลายนั้นยังมีกิเลสกามอยู่ในใจ
ยังมีความรักความใคร่ความปรารถนาความพอใจ
ยังไม่ปล่อยยังไม่วางความรักความใคร่
ความปรารถนา ความพอใจในวัตถุทั้งหลายที่เห็นที่
ได้ยินเป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าได้มีความยึดถืออยู่
ในตัวกิเลสนี้ด้วย และเป็นข้อสำคัญ เมื่อมีความยึดถือ
อยู่ในตัวกิเลสนี้ จึงทำให้มีความยึดถืออยู่
ในตัววัตถุที่เห็นที่ได้ยินเป็นต้น ทำให้วัตถุนั้น ๆ
เป็นวัตถุกามขึ้นมา และเมื่อกล่าวกันอย่างสามัญ
เข้าใจง่ายก็กล่าวว่ายึดถือวัตถุกาม แต่อันที่จริง
นั้นยึดถือกิเลสกามนั่นแหละ ยึดถือความรัก
ความใคร่ความปรารถนาความพอใจไว้ ไม่ปล่อย
ไม่วาง อันนี้แหละเป็นสิ่งสำคัญและอันนี้แหละที่
เป็นตัวกามุปาทาน ความยึดถือกาม
อาการทั้ง ๓ ของความยึดถือกาม
และเมื่ออธิบายดังนี้ ก็เอาเข้าในอาการทั้ง ๓
ของอุปาทานนั้นได้ คือ ยึดถือว่าเป็นของเรา เราเป็นนี่
นี่เป็นอัตตาตัวตนของเรา คือยึดถือเอาเป็นของเรา
ด้วย และเราเป็นนี่ด้วย นี่เป็นอัตตาตัวตนของเรา
ด้วย
ยึดถือว่านี่เป็นของเรา
ก็คือยึดถือว่ารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะเหล่านี้
เป็นของเราตลอดจนถึงยึดถือว่านี่เป็น
ความรักของเรา ความใคร่ของเรา
ความปรารถนาของเรา ความพอใจของเรา
ยึดถือว่าเราเป็นนี่ ก็คือตัวเราก็เป็นรูปเป็นเสียง
เป็นกลิ่นเป็นรสเป็นโผฏฐัพพะ ตัวเราก็คือเป็น
ความรักเป็นความใคร่ความปรารถนาความพอใจ
ทั้งหมดนี้ประกอบขึ้นเป็นอัตตาตัวตนของเรา
เป็นอันว่าตัวตนของเรานั้นจะต้องประกอบด้วย
ความรักความใคร่ความปรารถนาความพอใจ จะ
ต้องประกอบด้วยรูปด้วยเสียงด้วยกลิ่นด้วยรส
ด้วยโผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่ ปรารถนาพอใจ
ทั้งหลายรวมอยู่ในตัวเรา และเราก็
เป็นสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นของเรา เช่นเดียว
กับอวัยวะในร่างกายเช่นแขนขาเป็นต้น อวัยวะ
ในร่างกายทุกส่วนนี้จะกล่าวว่าเป็นของเราก็ได้
เช่นว่าศีรษะของเรา แขนของเรา ขาของเรา
จะกล่าวว่าเราเป็นอวัยวะเหล่านี้ก็ได้ เช่นว่า
ในการถ่ายรูป ก็ต้องถ่ายเอาอวัยวะเหล่านี้
นั้นแหละที่รวมกันเข้า มีศีรษะมีมือมีขามีลำตัว
และเมื่อเราเห็นรูปของอวัยวะต่าง ๆ เหล่านี้ เราก็
เข้าใจว่านี่แหละเป็นตัวเรา และเราก็
เป็นอวัยวะเหล่านี้ อวัยวะเหล่านี้นี่แหละก็เป็นตัวเรา
เพราะฉะนั้น ตามตัวอย่างนี้จะพึงเห็นได้ว่า อุปาทานคือ
ความยึดถือนั้น เมื่อจะกล่าวให้ครบถ้วน ก็
ต้องกล่าวดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ว่า
เอตํ มม นี่เป็นของเรา เช่นนี่เป็นขาของเรา
เป็นแขนของเรา เป็นศีรษะของเรา
เอโสหมสฺมิ เราเป็นนี่ ก็คือ เราก็เป็นศีรษะ เป็นแขน
เป็นขา เป็นต้นนี่แหละ
ดังตัวอย่างที่ว่า เมื่อเห็นรูปถ่าย รูปถ่าย
นั้นก็ถ่ายเอาอวัยวะต่าง ๆ นี้แหละรวมกันเข้า เราก็
เป็นศีรษะเป็นแขนเป็นขาเป็นต้นนี่แหละ
และนี่แหละก็เป็นอัตตาตัวตนของเรา คือทั้งหมด
เป็นอัตตาตัวตนของเรา เพราะฉะนั้น แม้
ในข้อกามุปาทาน ยึดถือกาม ก็คือยึดถือ
ด้วยอาการดังกล่าวมานี้ และก็ลึกซึ้ง ไม่
ใช่เพียงวัตถุกามเท่านั้น ยึดถือตัวความรักความใคร่
ความปรารถนาความพอใจอันเป็นตัวกิเลสกามไว้
ด้วย ไม่ปล่อย ไม่วาง ถ้าหากว่าปล่อยวางตัวกิเลสนี้
ได้ ตัววัตถุก็ปล่อยได้ทันที ไม่เป็นที่ติดไม่เป็นที่ยึด
ความสำคัญจึงอยู่ที่ความยึด อยู่ที่ตัวกิเลส ยึดถือ
อยู่ที่ตัวความรักความใคร่ความปรารถนา
ความพอใจดังที่กล่าวมาแล้ว นี้คือกามุปาทาน
ความยึดถือกามอันสามัญชนมีอยู่ ยังละไม่ได้
ความยึดถือทิฏฐิคือความเห็น
ข้อที่สอง ทิฏฐุปาทาน ยึดถือทิฏฐิคือความเห็น อัน
ความเห็นนี้หมายถึงความเห็นผิด ยึดถือความเห็นผิด
แต่ว่าที่ยึดถืออยู่ก็เพราะว่ายังไม่รู้ว่าเห็นผิด
เมื่อรู้ว่าเห็นผิดเมื่อใดก็ย่อมจะละความเห็นผิดนั้น
ได้เมื่อนั้น ที่กล่าวว่า
ความเห็นผิดนี้พระพุทธเจ้าตรัสเรียก คำว่า ทิฏฐิ
นี้มีคำประกอบเพื่อให้ชัด
ถ้าเห็นผิดก็เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด
ตรงกันข้ามคือเห็นถูกเห็นชอบ ก็เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ
แต่ว่ามักจะกล่าวกลาง ๆ คือไม่มีมิจฉา ไม่มีสัมมานำ
กล่าวว่าทิฏฐิเฉย ๆ และเมื่อกล่าวว่าทิฏฐิเฉย ๆ ก็มัก
จะหมายถึงความเห็นผิด และยืนยันอยู่ใน
ความเห็นผิดนี้อาการที่ยืนยันอยู่ในความเห็นผิดนี้
เป็นตัวอุปาทานคือความยึดถือ อันทำให้ดื้อดึงถือรั้นอยู่
ในความเห็นของตนนั้นที่ผิด ๆ
มิจฉาทิฏฐิ ๓
ความเห็นผิดนี้มีหลายระดับ
ตั้งแต่ระดับชั้นหยาบขึ้นไปจนถึงชั้นละเอียด
สำหรับที่เป็นระดับชั้นหยาบ คือมิจฉาทิฏฐิ
ในอกุศลกรรมบถฝ่ายมโนกรรม
อันมโนกรรมอันเป็นฝ่ายอกุศลนี้ได้แก่ อภิชฌา
ความโลภเพ่งเล็งสิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตน
พยาบาทความมุ่งร้ายหมายล้างผลาญ และ
มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐินี้ท่านแสดงไว้อีก ๓
คือ
อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่เป็นอันทำ
อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มีเหตุ
นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มี
อกิริยทิฏฐิ
ข้อแรก อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่เป็นอันทำนั้น
ก็คือปฏิเสธบุญปฏิเสธบาป ว่าการกระทำไม่มีเป็นบุญ
ไม่มีเป็นบาป ส่วนที่ว่าดีหรือชั่ว
นั้นเกี่ยวแก่ปัจจัยภายนอกคือบุคคลอื่น เมื่อบุคคล
อื่นรู้เห็น ก็ว่าดีบ้างไม่ดีบ้าง ยกย่องบ้างลงโทษบ้าง
แต่ถ้าไม่มีผู้อื่นรู้เห็นก็ไม่มีบุญไม่มีบาปไม่มีดีไม่มีชั่ว
เป็นเพียงการกระทำเท่านั้น
อกิริยทิฏฐิดังกล่าวมานี้ผิดหลักพระพุทธศาสนา
เพราะหลักพุทธศาสนา
นั้นแสดงว่า การทำของบุคคล เมื่อเจตนาจงใจทำ
การที่เป็นบาปก็เป็นบาป การที่เป็นบุญก็เป็นบุญคนอื่น
จะรู้จะเห็นจะยกย่องชื่นชมจะลงโทษ หรือไม่รู้
ไม่เห็นก็ตาม เมื่อจงใจทำการที่เป็นบาปแล้ว ก็
เป็นบาปอยู่นั่นเอง จงใจทำการที่เป็นบุญแล้ว ก็
เป็นบุญอยู่นั่นเอง จึงมีบุญมีบาปมีดีมีชั่ว
หรือเรียกว่ามีกรรมดีกรรมชั่ว
อเหตุกทิฏฐิ
ข้อสอง อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มีเหตุ คือเมื่อ
ได้รับผลดีผลร้ายต่าง ๆ ก็เห็นว่าเป็นไปตามคราว
คือคราวที่มีโชคดีก็ได้รับผลดีต่าง ๆ
คราวที่มีโชคร้ายก็ได้รับผลไม่ดีต่าง ๆ
ไม่มีเหตุอะไรที่จะมาทำให้ได้ผลดีผลร้าย
เป็นไปตามคราวตามเวลา
ตามโชคดีโชคร้ายเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายเท่านั้น
ความเห็นดังนี้ผิดหลักพุทธศาสนา
เพราะตามหลักพุทธศาสนานั้นแสดงว่า
ผลย่อมเกิดแต่เหตุ ผลดีก็เกิดจากเหตุที่ดี ผล
ไม่ดีก็เกิดจากเหตุที่ไม่ดี แม้ว่าตนเองจะยังไม่
สามารถรู้ถึงเหตุของผลนั้น ๆ ได้ ผลนั้น ๆ ก็
ต้องมีเหตุอยู่นั่นเอง หาได้
เป็นไปตามคราวแห่งโชคเคราะห์ดีหรือ
ไม่ดีดังกล่าวนั้นไม่ ดังที่ตรัสแสดงไว้ว่าผลดีก็เกิด
จากกรรมดี ผลชั่วก็เกิดจากกรรมชั่ว
นัตถิกทิฏฐิ
ข้อที่สาม นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มี คือ
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสมมติสัจจะ
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคติธรรมดา
หรือคลองธรรมดาตามเหตุและผล
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสมมติสัจจะนั้นก็เป็นต้นว่า
ไม่มีมารดาบิดา สัตว์บุคคลเกิดสืบเชื้อสาย
กันมาตามเรื่องตามราวเท่านั้น จึงไม่มีใครที่จะ
ต้องนับถือว่าเป็นบิดาเป็นมารดา
แม้ที่นับถือว่าสมณพราหมณ์ก็ไม่มี ไม่มีภิกษุ
ไม่มีสามเณรเป็นต้น แม้ที่นับถือกันอย่างอื่นเป็นนั่น
เป็นนี่ก็ไม่มี และไม่มีเหตุผลที่เป็นคติธรรมดา
หรือที่เป็นไปตามคลองธรรม คือ คติธรรมดา
หรือที่เป็นไปตามคลองธรรมะเช่นทำดีได้ดี ทำชั่ว
ได้ชั่ว ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า จักทำกรรมอันใด
ไว้ ดีหรือชั่วก็จักต้องเป็นผู้รับ ต้อง
เป็นทายาทรับผลของกรรมนั้น ไม่มีเหตุ ไม่มีผล
คือไม่มีกรรมดีไม่มีผลดีไม่มีกรรมชั่วไม่มีผลชั่ว
ดังนั้น เป็นอันว่า นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มีนี้
ปฏิเสธสมมติสัจจะทั้งหมดปฏิเสธคลองธรรม
ทั้งหมด
ความเห็นดังนี้ผิดคติทางพุทธศาสนา
เพราะทางพุทธศาสนานั้น สอนให้นับถือสมมติสัจจะ
ความจริงโดยสมมติ
และสอนคลองธรรมคติธรรมดา คือสอน
ให้บุตรธิดาเคารพนับถือมารดาบิดา
เป็นกตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดา สอน
ให้มารดาบิดาปฏิบัติตนให้เป็นบุพการี
เป็นพรหมของบุตรธิดา สอนว่ามีสมณพราหมณ์
ผู้ปฏิบัติชอบที่พึงนับถือ เช่นมีภิกษุมีสามเณร
และมีบุคคลที่ได้รับสมมติบัญญัติแต่งตั้งในฐานะต่าง
ๆ พระพุทธศาสนาสอนให้ปฏิบัติตามคลองธรรม
ให้รับรู้ในคลองธรรม
หรือคติธรรมดาดังที่ยกมากล่าวข้างต้นนั้น
ว่าจักทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว ก็จักต้อง
เป็นทายาทรับผลของกรรมนั้น ทำดีไว้ก็รับผลดี
เป็นทายาทรับผลดี ทำชั่วก็เป็นทายาทรับผลที่ชั่ว
เป็นเหตุเป็นผลตามคติธรรมดา
โทษของมิจฉาทิฏฐิ
ฉะนั้น มิจฉาทิฏฐิทั้ง ๓ นี้ คือ อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่
เป็นอันทำ อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มีเหตุ นัตถิกทิฏฐิ
ความเห็นว่าไม่มี จึงเป็นความเห็นผิดอย่างร้ายแรง
ซึ่งเมื่อมีความยึดถืออยู่
ในมิจฉาทิฏฐินี้มากจนดิ่งลงอันเรียกว่า นิยตมิจฉาทิฏฐิ
มีความเห็นผิดที่ดิ่งลงแล้ว ก็ให้เกิดโทษมหันต์ ทำให้
ไม่รับรองกรรมที่เป็นบุญเป็นบาป
ไม่รับรองผลต่าง ๆ ที่ท่านผู้รู้
ได้แสดงรับรองว่าเกิดจากเหตุ ไม่รับรองสมมติสัจ
จะ ไม่รับรองคลองธรรมหรือคติธรรมดา
ทั้งสิ้น ซึ่งทางพุทธศาสนาถือว่าผู้ที่มีความเห็นดังนี้แล้ว
จมดิ่งลงไปสู่อบายคือภูมิภพที่เสื่อม กล่าว
ได้ว่าตั้งแต่ชาตินี้ ถ้าใครมีความเห็นดั่งนี้ ยิ่งดิ่งลงไป
แล้วหรือแนบแน่นแล้ว เพราะมีอุปาทาน
ความยึดถืออยู่อย่างแรงแล้ว
ก็ยิ่งดิ่งลงเหวลงนรกไปทีเดียว เป็นความเห็นผิดที่
ต้องละจึงจะ
สามารถยกตนขึ้นสู่ภูมิชั้นของมนุษย์ของบุคคลที่
เป็นระดับสามัญชนคนดีได้
เพราะฉะนั้น ความยึดถือความเห็นผิดในข้อนี้จึง
ให้โทษอย่างมหันต์ ผู้ที่นับถือพุทธศาสนานั้นกล่าวได้ว่า
ย่อมละความเห็นผิดอันมีโทษมหันต์อันร้ายแรงนี้ได้
ด้วยกัน จึงได้เป็นพุทธศาสนิกผู้นับถือพุทธศาสนาได้ ถ้า
ยังละไม่ได้ก็ย่อมจะไม่นับถือพุทธศาสนาหรือย่อม
จะทำลายพุทธศาสนา หรือแม้ย่อม
จะทำลายศาสนาทุกอย่างทุกศาสนาที่สอน
ให้ละชั่วทำดีแม้ในขั้นสามัญ
สัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ
มาถึงมิจฉาทิฏฐิที่เป็นระดับมีโทษน้อยเข้า ก็
เป็นมิจฉาทิฏฐิที่เรียกว่า สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง
กับ อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ
สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยงนั้นก็คือเห็นว่า
ในปัจจุบันนี้ก็มีอัตตาคือตัวตน เมื่อกายนี้แตกสลาย
อัตตาคือตัวตนก็ไม่แตกสลายไปถือชาติภพใหม่
และก็เป็นไปดังนี้ตลอดไป มีอัตตาคือตัวตนที่ไม่ตาย
อยู่ดังนี้ตลอดไป ที่ตายนั้น
เป็นแต่เพียงร่างกายสังขารเท่านั้น
อีกข้อหนึ่ง อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ
คือเห็นว่ามีอัตตาตัวตนอยู่ในชาตินี้เท่านั้น
เมื่อร่างกายอันนี้แตกสลาย
อัตตาตัวตนก็แตกสลายไปพร้อมกันไม่มีอัตตาตัวตนที่
จะไปถือชาติภพใหม่
ความเห็นแรก สัสสตทิฏฐิ คือเห็นว่าตายเกิด
คือเห็นว่าตายเกิด เกิดกันเรื่อยไปไม่มีสิ้นสุด
ความเห็นหลัง อุจเฉททิฏฐิ คือเห็นว่าตายสูญไม่เกิด คน
โดยมากนั้นก็มักจะเห็นกันว่าตายเกิด
แต่ก็มีบางคนที่เห็นว่า ตายสูญไม่เกิดเพราะว่า
ไม่เห็นว่ามีอะไรไปเกิด เมื่อตายแล้วก็หมดลมหายใจ
ก็เป็นซากศพ ไม่ปรากฏว่ามีอัตตาอะไร ไม่รู้
ไม่เห็นอัตตาอะไรว่าไปเกิด คนบางคนจึงลง
ความเห็นว่าตายสูญ อันที่จริงก็เป็นอย่างนั้น
คือว่าคนสามัญทั่วไปนั้นไม่รู้ไม่เห็นว่ามีอะไรไปเกิด
เมื่อใครตายหมดลมหายใจ ก็นำไปเผาไปฝังกัน
แต่แม้เช่นนั้นคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ก็ปรากฏว่า เชื่อ
กันว่าตายเกิด
เพราะเชื่อต่อคำสอนของศาสดาที่สอนว่าตายเกิด
หรือว่าปรากฏเหตุการณ์บางอย่างเช่นฝันเห็นคนที่ตายไป
แล้วหรือปรากฏภาพของคนที่ตายไปแล้ว เป็นต้น
แต่แม้เช่นนั้น ความเห็นดังนี้ก็ผิดหลักพุทธศาสนา
เพราะพุทธศาสนานั้น ไม่สอนว่า ตายเกิดกันเรื่อยไป
และไม่สอนว่าตายสูญ ซึ่ง
เป็นคำสอนที่แสดงตายตัวไปฝ่ายเดียว
แต่ว่าสอนจำแนกตามเหตุและผล อันเรียกว่า
วิภัชวาทะ กล่าวจำแนกตามเหตุและผล คือเมื่อมีเหตุ
ให้เกิดก็เกิด เมื่อสิ้นเหตุให้เกิดก็ไม่เกิด
ดังเช่นในเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรที่
ได้กล่าวมาแล้วว่า ชรามรณะ มีขึ้นก็
เพราะมีชาติคือความเกิด ชาติคือความเกิดมีขึ้นก็
เพราะมีภพ ดั่งนี้ ก็แปลว่าเมื่อยังมีเหตุปัจจัยให้เกิดก็
ต้องเกิด เมื่อสิ้นเหตุปัจจัยให้เกิดก็ไม่เกิด
คือเมื่อตัดตัณหาได้สิ้นเชิงสิ้นกิเลสหมดก็ไม่เกิด แต่แม้
ไม่เกิดก็ไม่แสดงว่าสูญ
ถ้าเห็นว่าพระอรหันต์สูญก็เรียกว่าเป็น
ความเห็นผิดอีกเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น แม้ความเห็นทั้ง ๒ นี้ก็เรียกว่า
เป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด แต่เป็นความเห็นผิดที่ยัง
ไม่ถือว่ามีโทษร้ายแรงเหมือนอย่างดัง ๓ ข้อข้างต้น
แต่คนทั่วไปก็ยังมีความเห็นดังนี้อยู่เป็นอันมาก
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำ
ความสงบสืบไป
๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 22:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๐ ความรู้จักอุปาทาน (๒)
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๑๐ ความรู้จักอุปาทาน (ต่อ)
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้
เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ทบทวนมิจฉาทิฏฐิ
ได้แสดงเรื่องสัมมาทิฏฐิตามเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระมา
ถึงข้ออุปาทาน
และข้ออุปาทานนี้ก็กำลังอธิบายทิฏฐุปาทาน
ความยึดถือทิฏฐิคือความเห็น และก็ได้แสดงคือ
ถึงทิฏฐิคือความเห็นผิดต่าง ๆ ที่เป็นอย่างรุนแรง
เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดที่ดิ่งลง
อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่เป็นอันกระทำ คือไม่มีบุญ
ไม่มีบาป
อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มีเหตุ คือผลที่ได้ต่าง ๆ
บังเกิดขึ้นตามคราวแห่งโชคเคราะห์
นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มี เป็นการปฏิเสธสมมติสัจจะ
ความจริงโดยสมมติ ปฏิเสธคติธรรมดา
เช่นคติกรรมและผลของกรรม เป็น
ความเห็นที่ผิดหลักพุทธศาสนาสิ้นเชิง
เพราะฉะนั้น พระอาจารย์จึงแสดงว่า ความเห็นผิดทั้ง
๓ นี้ ห้ามทั้งสุคติ คือ คติที่ดี ห้ามทั้งมรรคผลนิพพาน
และได้แสดงต่อไปถึงทิฏฐิคือความเห็น ๒ อย่าง คือ
สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง
อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ
กล่าวสั้นง่าย ๆ คือเห็นว่าตายเกิดกับเห็นว่าตายสูญ แต่
ต้องเข้าใจว่าเห็นว่าตายเกิดที่เป็นสัสสตทิฏฐินั้น คือ
ต้องเกิดกันร่ำไปไม่มีสิ้นสุด แต่กล่าวสั้นว่า
เห็นว่าตายเกิดกับเห็นว่าตายสูญ
สัมมาทิฏฐิในอริยสัจ
อันความเห็นดังนี้เป็นความเห็นที่ผิดจากสัมมาทิฏฐิ
ในอริยสัจ คือสัมมาทิฏฐิในองค์มรรค สัมมาทิฏฐิคือ
ความเห็นชอบในองค์มรรคในอริยสัจนี้ แสดงเป็น
วิภัชวาทะ คือกล่าวจำแนกตามเหตุและผล ทุกข์ เป็น
ผล สมุทัย เป็น เหตุ นิโรธ เป็น ผล มรรค เป็น
เหตุ
ทุกข์กับสมุทัยเป็นผลและเหตุ ในด้านก่อทุกข์
นิโรธกับมรรคเป็นผลและเหตุ ในด้านดับทุกข์
สำหรับในด้านก่อทุกข์นั้น คือทุกข์กับสมุทัย ทุกข์
นั้นก็ดังที่ได้สวดได้ทราบกันอยู่แล้วเนือง ๆ เริ่มต้น
ด้วย ชาติปิ ทุกฺขา แม้ความเกิดเป็นทุกข์ คือ ชาติ
เป็นทุกข์และสมุทัยนั้นก็ได้แก่ ตัณหา
ความดิ้นรนทะยานอยาก ฉะนั้น เมื่อยังมีตัณหา
เป็นสมุทัยอยู่ ก็จะต้องมีทุกข์มีชาติความเกิด เป็นต้น
กล่าวสั้นเมื่อยังมีตัณหาอยู่ก็ต้องเกิด
ส่วนนิโรธและมรรคนั้นเป็นผลและเหตุ
ในด้านดับทุกข์ นิโรธคือดับตัณหาได้ก็ดับทุกข์ได้
กล่าวโดยตรงก็คือ เมื่อดับตัณหาได้
ก็ดับทุกข์ตั้งต้นแต่ชาติคือความเกิดได้ ฉะนั้น
เมื่อดับตัณหาได้ ก็ไม่เกิดอีก แต่ทั้งนี้จะต้องปฏิบัติ
ในเหตุคือมรรคมีองค์ ๘
ฉะนั้น ตามหลักพุทธศาสนาจึง
ไม่ยืนยันตายตัวว่าตายเกิด และไม่แสดงว่าตายสูญ
แต่แสดงไปตามเหตุผล เมื่อยังมีตัณหาอยู่ก็ยังต้องเกิด
เมื่อดับตัณหาได้ สิ้นตัณหาเสียได้ก็สิ้นชาติคือความเกิด
คือไม่เกิดอีก ฉะนั้น ตามหลักพุทธศาสนาจึงตายเกิด
กันตลอดเวลาที่ยังมีตัณหา แต่เมื่อดับตัณหาได้จึงจะ
ไม่เกิดอีก แต่แม้ไม่เกิดอีกก็ไม่แสดงว่าตายสูญ
ดังได้มีเรื่องเล่าว่า มีพระรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล
ได้เที่ยวกล่าวว่าพระอรหันต์ตายสูญ
ท่านพระสารีบุตรได้เรียกเอาพระรูปนั้นมา
และก็ได้ถามว่า เธอเที่ยวพูดดั่งนั้นจริงหรือ
พระรูปนั้นก็ตอบรับว่าจริง เที่ยวพูดไปอย่าง
นั้นจริงว่าพระอรหันต์ตายสูญ
ท่านพระสารีบุตรก็ถามว่า อะไรเป็นพระอรหันต์
รูปเป็นพระอรหันต์หรือ พระรูปนั้นก็ตอบว่าไม่
ใช่ ท่านก็ถามไปโดยลำดับ และพระรูป
นั้นก็ตอบไปโดยลำดับ ดั่งนี้ เวทนาเป็นพระอรหันต์
หรือ ไม่ใช่ สัญญาเป็นพระอรหันต์หรือ ไม่ใช่
สังขารเป็นพระอรหันต์หรือ ไม่ใช่ วิญญาณ
เป็นพระอรหันต์หรือ ไม่ใช่ ท่านพระสารีบุตรจึง
ได้กล่าวว่า ก็เมื่อเธอได้ตอบว่า
รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณมิใช่
เป็นพระอรหันต์ ทำไม
จึงกล่าวว่าพระอรหันต์ตายสูญ พระรูปนั้นจึง
ได้ยอมรับว่า ที่กล่าวไปนั้นเป็นการกล่าวไปด้วย
ความรู้ และมิ
ได้เฉลียวคิดตามที่ท่านพระสารีบุตรได้ถาม
และตนก็ได้ตอบไปนั้น
สิ้นตัณหา สิ้นเชื้อที่ทำให้เกิด
พิจารณาดูตามคำถามและคำตอบนี้จับความได้ว่า
ที่เรียกว่าตายนั้นก็คือขันธ์ ๕ แตกทำลาย แต่เมื่อขันธ์
๕ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ครั้นขันธ์ ๕
แตกทำลายทำไมจึงกล่าวว่าพระอรหันต์ตายสูญ
แต่ท่านก็ไม่ได้เฉลยว่าเมื่อไม่ตายสูญแล้ว
เป็นอย่างไร แต่ว่าได้มีพระพุทธภาษิตแสดงไว้
โดยอุปมา ว่าเหมือนอย่างไฟที่ต้องลมพัดดับไป
หรือว่าไฟที่สิ้นเชื้อดับไป ดับไฟ
นั้นเมื่อมีเชื้อก็ติดขึ้นมาอีก และเมื่อสิ้นเชื้อก็ดับ
และเมื่อไม่มีเชื้อที่จะก่อให้เกิดไฟขึ้นอีก ไฟก็ไม่เกิด
แต่ว่าไฟนั้นก็ไม่ควรจะกล่าวว่าสูญ
เพราะเมื่อมีเชื้อไฟก็เกิดขึ้นอีก หากไม่มีเชื้อไฟจึงจะ
ไม่เกิดขึ้นมาอีก พระอรหันต์นั้นสิ้นกิเลสซึ่งเป็นเชื้อ
ให้เกิดแล้ว ยกตัณหาขึ้นมาเป็นข้อแสดง ก็คือสิ้นตัณหา
แล้วสิ้นเชื้อที่ให้เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจึง
ไม่เกิดอีก แต่ก็ไม่สูญ พิจารณาดูเทียบ
กับไฟดังที่กล่าวมานั้น ตัวธาตุไฟนั้นไม่สูญ คือหมาย
ถึงตัวธาตุที่เป็นธาตุแท้ เมื่อไม่มีเชื้อก็ไม่ติดเป็นไฟขึ้นอีก
แต่ว่าธาตุที่เป็นธาตุแท้นั้นก็ไม่ปรากฏ เมื่อเป็นดังนี้
พระอรหันต์จึงไม่มีวิญญาณ
เมื่อท่านดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ไม่มีวิญญาณที่
จะท่องเที่ยวอยู่ เมื่อมีวิญญาณที่ยังท่องเที่ยว
อยู่ก็แสดงว่ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ยัง
ต้องถือภพถือชาติ คือเกิดในภพชาติอย่างใดอย่างหนึ่ง
อยู่
ดังได้มีเรื่องที่เล่าว่า
เมื่อพระอรหันต์บางรูปท่านดับขันธปรินิพพาน
มารได้ค้นหาวิญญาณของท่านว่าวิญญาณของท่านไป
ในที่ไหน แต่ก็ไม่สามารถ
จะพบวิญญาณของพระอรหันต์ได้ พระพุทธเจ้าจึง
ได้ตรัสว่า มารไม่สามารถ
จะพบวิญญาณของพระอรหันต์ได้ก็เช่นเดียวกับไม่
สามารถที่จะพบรอยต่าง ๆ เช่นรอยมือรอยเท้า
ในอากาศได้ เพราะท่านไม่เกิดเป็นอะไรอีก
และก็มีแสดงว่าเมื่อดับขันธปรินิพพาน
แล้วก็พ้นสมมติบัญญัติ พ้นทางของถ้อยคำที่จะพูด
ถึงอีกต่อไปว่าเป็นอะไร เพราะเมื่อพูดถึงได้ว่าเป็นนั่น
เป็นนี่ ก็ต้องแสดงว่าต้องมีภพมีชาติ จึงยังเป็นนั่นเป็นนี่
อยู่ เมื่อไม่มีภพมีชาติ ไม่เป็นโน่นเป็นนี่อะไรทั้งหมด
แล้ว ก็ไม่มีที่ตั้งของถ้อยคำอะไรที่จะยกขึ้นมาพูดได้
จะว่าวิญญาณก็ไม่ได้ จิตก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น บรรดาผู้ที่ยังมีความคิดเห็นว่า ยัง
สามารถจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ได้ไปเฝ้าพระอรหันต์ได้ในที่นั่นที่นี่ จึงไม่ตรง
กับหลักแห่งพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้า
ได้ทรงแสดงไว้ดั่งที่ได้กล่าวมานี่ ท่านไม่มีภพมีชาติ
เป็นนั่นเป็นนี่ที่จะไปเฝ้าได้ มีทางเดียวก็คือเห็นธรรมะ
ดังที่มีพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้
นั้นเห็นธรรม
ก็คือเห็นธรรมะด้วยปัญญา เห็นสัจจะคือความจริง
ด้วยปัญญา ดังที่ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม
ได้บังเกิดแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น
ทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา
เห็นเกิดเห็นดับของสิ่งที่เกิดดับทั้งหลาย เห็นสัจจะคือ
ความจริงดั่งนี้ชื่อว่าเห็นธรรม
และเมื่อเห็นธรรมดั่งนี้ก็เห็นพระพุทธเจ้า
คือย่อมรู้ย่อมเห็น ว่าพระพุทธเจ้า
ผู้ตรัสแสดงธรรมะข้อนี้ไว้เป็นพุทโธ คือเป็น
ผู้ตรัสรู้จริง ดั่งนี้คือเห็นพระพุทธเจ้า
เห็นพระพุทธเจ้าก็คือเห็นธรรม
เห็นธรรมก็คือเห็นพระพุทธเจ้า เห็นดั่งนี้ก็คือ
เป็นการเห็นสัจจธรรม สัจจธรรม
นั้นเองที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้
แล้วที่สาวกของพระพุทธเจ้าได้รู้ตาม รู้ตาม
ได้จริงเมื่อใดก็รับรองว่าผู้ตรัสรู้ข้อนี้ไว้
เป็นพุทธะจริง เป็นพุทโธจริง ๆ
ละความยึดถือในความเห็นที่ผิด
ฉะนั้น ความเห็นทั้ง ๒ ดังกล่าว คือความเห็นว่าเที่ยง
และความเห็นว่าขาดสูญจึงผิดต่อสัมมาทิฏฐิ
ในอริยสัจที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้
ใครก็ตามที่ยึดถือความเห็นผิดดั่งนี้จึงไม่อาจที่
จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้
เพราะว่าขัดต่อสัมมาทิฏฐิในอริยสัจ ต่อเมื่อละ
ความเห็นนี้ได้ แต่ว่าเห็นในเหตุผลตามสัจจะทั้ง ๔ ที่
เป็นอริยสัจนั่นแหละ จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ
ในอริยสัจตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน ฉะนั้น ก็
จะต้องละอุปาทานคือความยึดถือความเห็นดังกล่าว
นั้นหากมี และฝึกอบรมให้มี
ความเห็นชอบตามหลักสัมมาทิฏฐิ
ในอริยสัจดังที่กล่าว
ละความยึดถือในความเห็นที่ไม่เป็นประโยชน์
อนึ่ง ยังมีความเห็นที่ไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อ
ความทุ่มเถียงกันอยู่อีกเป็นอันมาก เป็นต้นว่า
ความเห็นที่ว่าโลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด
โลกไม่มีที่สุด เป็นต้น เมื่อมี
ผู้มากราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า
ไม่ตรัสพยากรณ์ ตรัสว่าไม่เป็นประโยชน์ แต่เมื่อมี
ผู้กราบทูลถามปัญหาในอริยสัจทั้ง ๔ พระพุทธเจ้า
จึงตรัสพยากรณ์คือตรัสแก้ตรัสอธิบายเพราะ
เป็นปัญหาที่เป็นประโยชน์ ฉะนั้น แม้ความเห็นที่ไม่
เป็นประโยชน์ต่าง ๆ เมื่อไปยึดถือความเห็นนั้น ๆ ก็
เป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ และไม่
เข้าทางแห่งสัมมาทิฏฐิในอริยสัจดังที่กล่าวมา
เมื่อไปยึดถือเข้าแล้ว ก็เป็นเครื่องป้องกันมิ
ให้ขวนขวายเพื่อได้ความเห็นที่ชอบถูกต้อง อัน
เป็นประโยชน์เป็นไปเพื่อความสิ้นกิเลสและกองทุกข์
ทางปฏิบัติเกี่ยวกับความเห็น
แม้ความเห็นต่าง ๆ ในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งทุก ๆ คนมีอยู่
ในเรื่องนั้นบ้าง ในเรื่องนี้บ้าง ถ้าหากว่าไปยึดถือใน
ความเห็นของตนนั้น ๆ ก็เป็นทิฏฐุปาทานเหมือนกัน ทำ
ให้ดื้อรั้นยืนยันไม่ยอมที่จะเปลี่ยนความเห็นของตน
และเป็นเหตุให้โต้เถียงวิวาทกับผู้ที่มีความเห็นต่างกัน
ฉะนั้น ทางปฏิบัติเกี่ยวกับความเห็นนี้ จึงควรที่จะยุติ
ด้วยเหตุผล คือแม้ใครจะมี
ความเห็นของตนอย่างไรก็มีไป แต่ก็ฟังเหตุผลของผู้
อื่นด้วย และมาไตร่ตรองพิจารณาว่าความเห็นของ
ผู้ใดถูกต้องก็รับเอาซึ่งความเห็นอันถูกต้องนั้น
ไม่ยืนยันในความเห็นของตัวแม้ว่าผิดก็ไม่ยอมผิด
บางทีก็รู้ว่าผิดแต่ก็ไม่ยอมที่จะแก้ไข ดั่งนี้ก็แสดงว่ามี
ความยึดถืออยู่ในความเห็นของตนอย่างรุนแรง
และก็ถือรั้นอยู่ในความเห็นของตนนั้น
ได้มีคำว่า นานา จิตฺตํ อันแสดงถึงว่า ทุกคน
นั้นต่างจิตต่างใจกัน จึงย่อมมีความคิดเห็นที่ต่าง ๆ กัน
เพราะฉะนั้น จึงได้มีทางที่จะยุติความเห็น
ให้เหลืออย่างหนึ่ง สำหรับที่จะถือเอาเป็นทางปฏิบัติ
เช่นในที่ประชุมของคนเป็นอันมาก
ก็ถือเอามติของเสียงข้างมาก
เมื่อเสียงข้างมากลงว่าอย่างไร ก็ถือเอามตินั้น
เป็นทางปฏิบัติ แต่ว่าคติในทางพุทธศาสนานั้น
ในพระวินัยบัญญัติ ก็มีอยู่ข้อหนึ่งสำหรับที่
จะระงับอธิกรณ์ ใช้วิธี เยภุยฺยสิกา คือว่าเสียงข้างมาก
เป็นประมาณ เป็นข้อหนึ่งใน ๗ ข้อ
อันแสดงว่าทางพุทธศาสนานั้นมิ
ได้ถือหลักของเสียงข้างมากเพียงประการเดียว
แต่มีหลักอื่น ๆ อีกถึง ๖ ข้อ ๗
ทั้งข้อที่ถือเอาเสียงข้างมาก
ยึดหลักธรรมาธิปไตย
แต่เมื่อกล่าวตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน อัน
เป็นหลักธรรมะที่พึงถือปฏิบัติเพื่อความถูกต้องจริง
ๆ แล้วต้องการให้ถือเอาธรรมะคือความถูก
ต้องนั่นแหละเป็นหลักดังที่ได้มีแสดงอธิปไตย ๓ คือ
โลกาธิปไตย โลกเป็นใหญ่ อัตตาธิปไตย ตนเป็นใหญ่
ธรรมาธิปไตย ธรรมะเป็นใหญ่
โลกาธิปไตย โลกเป็นใหญ่นั้น ก็คือชาวโลกก็หมาย
ถึงคนส่วนมาก เมื่อคนส่วนมากว่าอย่าง
ใดก็ถือเอาตามคนส่วนมากนั้น ดั่งนี้เรียกว่า โลกเป็น
ใหญ่
ตนเป็นใหญ่นั้น ก็คือว่าถือเอาความเห็นของตนเท่านั้น
เป็นประมาณ ไม่ฟังเสียงใครดั่งนี้ตนเป็นใหญ่
ธรรมะเป็นใหญ่นั้น ก็คือถือเอาความถูก
ต้องนั่นแหละเป็นสำคัญ ไม่ถือเอาโลกเป็นใหญ่
ไม่ถือเอาตนเป็นใหญ่ เพราะว่าแม้โลกคือคน
เป็นอันมากจะมีความเห็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็มิใช่หมาย
ความว่าถูกต้องไปทั้งหมด คนส่วนใหญ่มีความเห็นผิดก็มี
อยู่เป็นอันมาก แม้ตนเองก็เหมือนกันมีส่วนผิดอยู่
เป็นอันมาก มิใช่ว่าตนเองเห็นอะไรแล้วจะถูก
ต้องไปหมด เพราะฉะนั้น หลักอันถูกต้องจริง ๆ
แล้วต้องเป็นหลักธรรมาธิปไตย คือธรรมะเป็น
ใหญ่
ละตัณหาธิปไตย
ทั้ง ๓ นี้ได้ตรัสย่อเข้าอีกเป็น ๒ คือ เป็น ตัณหาธิปไตย
กับเป็น ธรรมาธิปไตย ตัณหาธิปไตยนั้นก็คือตัณหา
เป็นใหญ่ ตัณหาเป็นความดิ้นรนทะยานอยาก
เมื่อตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากเป็นใหญ่ ก็ย่อม
จะยุ่งยากเดือดร้อน แต่เมื่อมีธรรมะคือความถูกต้อง
เป็นใหญ่ จึงจะมีความสงบสุข เพราะเป็นความถูกต้อง
เป็นไปเพื่อเกื้อกูลจริง ๆ ฉะนั้น แม้จะเป็นโลกก็ตาม
เป็นตนก็ตาม เมื่อยังประกอบด้วยตัณหาคือ
ความดิ้นรนทะยานอยากอยู่ และใช้ตัณหานั้น
ในการลงความเห็นในการปฏิบัติอะไรต่าง ๆ อยู่
แล้ว ก็เรียกว่า ตัณหาธิปไตย เมื่อเป็นตัณหาธิปไตย
แล้วก็จะไม่พบกับความสงบความเรียบร้อย
และผลดีต่าง ๆ ที่แท้จริง ต่อเมื่อธรรมะเป็น
ใหญ่คือถูกต้อง เมื่อคนส่วนมากถือธรรมะคือความถูก
ต้องเป็นใหญ่ คนส่วนมากนั้นก็ใช้ได้ มติของคนส่วนมาก
นั้นก็ใช้ได้ หรือเมื่อตนเองถือเอาธรรมะคือความถูก
ต้องเป็นใหญ่ ความคิดเห็นของตนเองนั้นก็ใช้ได้เช่นเดียว
กัน
เพราะฉะนั้น
หากว่ามาปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
ไม่ยึดถือในความเห็นที่มีตัณหาเป็นใหญ่ จะเป็น
ความเห็นของคนส่วนมากก็ตาม ของตัวเองก็ตาม
แต่ว่ายึดถือเอาความเห็นที่มีธรรมะเป็นใหญ่ที่ถูกต้อง
จะเป็นความเห็นของคนส่วนมากก็ได้ ของใครก็ได้
ของตัวเองก็ได้ ดั่งนี้แล้วจึงจะเป็นไปเพื่อ
ความเรียบร้อยถูกต้อง
มีสติและปัญญาประกอบ
และในการที่จะบรรลุถึงความที่จะมีธรรมะเป็น
ใหญ่นี้ได้ พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสสอนไว้อีกว่า ให้มี
สตาธิปไตย คือมีสติเป็นใหญ่ จะเป็นคนอื่นก็ตาม
เป็นตัวเองก็ตาม ให้ใช้สติเป็นใหญ่ คือความระลึกได้
ความระลึกรู้อันถูกต้อง ประกอบด้วยปัญญาอันถูก
ต้อง ดังนี้เรียกว่า สตาธิปไตย มีสติเป็นใหญ่ เมื่อ
ได้สตาธิปไตยคือมีสติเป็นใหญ่ด้วยกันดั่งนี้แล้ว ก็ย่อม
จะพบธรรมาธิปไตย คือธรรมะเป็นใหญ่ ไม่ว่าจะ
เป็นผู้อื่นก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นตนเองก็ตาม พระพุทธเจ้า
ได้ตรัสถึงพระองค์เองว่าได้ทรง
เป็นธรรมาธิปไตย คือทรงมีธรรมะเป็นใหญ่
ในการที่ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน
ในการที่ปกครองหมู่สงฆ์ ทรงมีธรรมะเป็น
ใหญ่ดั่งนี้ เพราะฉะนั้นทิฏฐุปาทานคือ
ความยึดถือทิฏฐิคือความเห็นนั้นจึงต้องพิจารณาดู
หากไปยึดถือทิฏฐิคือความเห็นที่มีตัณหาเป็นใหญ่แล้ว
ก็เป็นอันว่าเป็นไปในทางผิดมากกว่าเป็นไปในทางถูก
ต่อเมื่อได้มีทิฏฐิคือความเห็นที่มีธรรมะเป็น
ใหญ่นั่นแหละจึงจะเป็นไปในทางที่ถูกต้อง
ความพร้อมเพรียงเกิดจากความประพฤติและ
ความเห็นที่เสมอกัน
ทางพุทธศาสนาได้แสดงให้ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่
จะมีสังฆสามัคคี คือมีความพร้อมเพรียงกันของสงฆ์
ไม่แตกแยก ด้วยอาศัยหลักสำคัญ ๒ ข้อ คือ
หนึ่ง สีลาสามัญญตา ความเป็นผู้ที่มีศีลเสมอกัน
สอง ทิฏฐิสามัญญตา ความเป็นผู้ที่มีทิฏฐิคือ
ความเห็นเสมอกัน
สีลสามัญญตา ความมีศีลเสมอกันนั้น ก็มี
ความประพฤติปฏิบัติทางกายทางวาจาตลอดจน
ถึงทางใจ
ตามหลักแห่งพระพุทธบัญญัติของพระพุทธเจ้า
ร่วมกันเสมอกัน
ทิฏฐิสามัญญตา ความมีทิฏฐิเสมอกันนั้น ก็คือมี
ความเห็นชอบถูก
ต้องตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้า
ได้ทรงแสดงไว้ได้ทรงบัญญัติไว้
สรุปเข้ามาความเห็นที่เป็นความเห็นอันถูกต้องนั้น ก็
ได้แก่ความเห็นที่เป็นอริยะคือความเห็นที่พระพุทธเจ้า
ผู้เป็นอริยะได้ตรัสแสดงเอาไว้ ความเห็นที่
เป็นตัวอริยะเอง คือ เป็นความเห็นที่ประเสริฐที่ถูก
ต้อง อันเป็นความเห็นที่เป็นไปเพื่อออกจากทุกข์ เป็น
ความเห็นที่นำผู้ที่ประกอบด้วยความเห็น
นั้นที่ปฏิบัติกระทำความเห็นนั้นให้ถึงความสิ้นทุกข์
โดยชอบได้ ดั่งนี้แหละคือเป็นความเห็นที่ผู้อยู่ร่วม
เป็นสังฆสามัคคีจะพึงมีความเห็นร่วมกัน
เมื่อหมู่แห่งภิกษุมีสีลสามัญญตา มีทิฏฐิสามัญญตา ดั่งนี้
ก็ย่อมมีความสามัคคีพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียว
กัน แต่ถ้าหากว่ามีศีลไม่เสมอกัน มีความเห็นไม่เสมอ
กันคือแตกต่างกัน ก็ย่อมเป็นเหตุแตกแยก ฉะนั้น
การที่พระสงฆ์ในพุทธศาสนาแตกแยกออก
เป็นยานต่าง ๆ เป็นนิกายต่าง ๆ ตั้งแต่ครั้งเก่าก่อนมาจน
ถึงในสมัยหลัง ๆ นี้ ก็เพราะเหตุที่มีศีลไม่เสมอกัน มี
ความเห็นไม่เสมอกันดังที่กล่าวมานี้ เมื่อมีศีลเสมอ
กันมีความเห็นเสมอกันอยู่แล้ว ก็ย่อมจะมี
ความสามัคคีพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
และไม่มีความแตกแยกกัน
ในข้อนี้เมื่อพิจารณาดูแล้ว แม้
ในทางฝ่ายคฤหัสถชนก็เช่นเดียวกัน ที่รวมกันอยู่เป็นหมู่
เป็นคณะ ตั้งแต่ครอบครัวหนึ่งขึ้นไปจน
ถึงประเทศชาติ เมื่อมีความประพฤติเสมอกันอยู่
และมีความเห็นเสมอกันอยู่ในสิ่งต่าง ๆ ก็ย่อมจะมี
ความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน แต่ถ้าหากว่าแตกแยก
ความประพฤติกัน และแตกแยกความเห็นกันก็ย่อม
เป็นเหตุแตกแยกเป็นไปเพื่อหายนะคือความเสื่อม
เพราะฉะนั้น เรื่องทิฏฐิคือความเห็นจึง
เป็นสิ่งสำคัญมาก นำความประพฤติ ความประพฤติต่าง ๆ
นั้นย่อมสืบเนื่องมาจากความเห็น เมื่อเป็นความเห็นที่ถูก
ต้อง ก็ประพฤติถูกต้อง เมื่อเป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง
ความประพฤติก็ไม่ถูกต้อง ฉะนั้น เรื่องทิฏฐิคือ
ความเห็นจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และทิฏฐุปาทาน
ความยึดถือ ความเห็นคือทิฏฐินี้ก็มุ่งหมายถึงยึดถือ
ความเห็นที่ผิดต่าง ๆ นั่นแหละ เพราะฉะนั้น หาก
ไม่ทราบในข้อนี้ดีแล้ว
และปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอันเกี่ยว
กับเรื่องความเห็นคือระมัดระวังที่จะไม่ยึดถือ
ความเห็น จะเป็นของโลก ของใครก็ตาม
หรือของตนเองก็ตาม แต่ว่ามุ่งพิจารณาจับเหตุจับผล
ถือเอาธรรมะคือความถูกต้องเป็นประมาณ จะเป็น
ความเห็นของตนก็ตามของผู้อื่นก็ตาม เมื่อไม่ถูกต้องคือ
ไม่เป็นไปตามคลองธรรมดั่งนี้แล้ว ก็
ไม่ยึดมั่นถือรั้นอยู่ในความเห็นนั้น
แต่ว่าละเสียแก้ไขเสีย แต่ถ้าหากว่าเป็นความเห็นอัน
เป็นธรรมะคือถูกต้อง จึงจะปฏิบัติรับเอาความเห็น
นั้น และในการที่จะพิจารณาดั่งนี้ ก็พิจารณา
ได้ตามเหตุผล ตามความเป็นจริง ประการหนึ่งก็
ต้องอาศัยดูว่าเป็นตัณหาธิปไตยหรือเปล่า ถ้า
เป็นตัณหาธิปไตยก็เป็นอันว่าไม่ถูกแน่ แต่ถ้าหากว่าถ้าไม่
เป็นตัณหาธิปไตย ก็เป็นอันว่าเป็นข้อที่รับไว้พิจารณา
และก็ต้องอาศัยให้มีสตาธิปไตย มีสติเป็นใหญ่อยู่ด้วย
กันพร้อมทั้งปัญญา ดั่งนี้แล้วก็จะนำให้สามารถพบ
ความเห็นอันถูกต้อง นำการปฏิบัติอันถูกต้องให้บังเกิด
ได้ เป็นความสวัสดีในที่ทั้งปวง
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด ตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 23:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๑ ความรู้จักอุปาทาน (๓)
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๑๑ ความรู้จักอุปาทาน (ต่อ)
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้
เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ความยึดถือศีลและวัตร
จะแสดงพระเถราธิบายแห่งพระสารีบุตรเรื่องสัมมาทิฏฐิ
ซึ่งถึงข้อที่ท่านพระสารีบุตรเถระ
ได้แสดงอธิบายสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
ว่าคือรู้จักอุปาทานรู้จักเหตุเกิดขึ้นแห่งอุปาทาน รู้จัก
ความดับอุปาทาน รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับอุปาทาน และข้อแรกรู้จักอุปาทานนั้น ท่าน
ได้แสดงยกเอาอุปาทาน ๔ ขึ้นมา ได้แสดงไปแล้ว ๒ ข้อ
จะแสดงข้อที่ ๓ คือ สีลัพพตุปาทาน ความยึดถือศีล
และวัตรหรือศีลและพรต
อธิบายศีลและวัตร
คำว่า ศีลวัตร ประกอบด้วยคำ ๒ คำ คือ ศีล
คำหนึ่ง และ วัตร อีกคำหนึ่ง ศีลนั้นก็ได้แก่
ความประพฤติหรือข้อที่ประพฤติ วัตรนั้นก็
ได้แก่ข้อที่ปฏิบัติ บางทีเรียกว่าพรต ดังคำว่า
บำเพ็ญพรต พรตก็มาจากวัตร ข้อที่ปฏิบัตินี้เอง ทั้ง
๒ คำนี้เป็นคำที่ใช้คู่กัน
ศีล ความประพฤติหรือข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าเป็นศีล
ในทางพุทธศาสนา ก็แสดงเป็นข้อที่พึงเว้น ดังศีล ๕ ก็
ได้แก่เว้นจากภัยเวร ๕ ข้อ ดังนี้ เป็นต้น และเมื่อมา
ถึงปาติโมกขสังวรศีล ศีล
ในพระปาติโมกข์สำหรับภิกษุ ก็มีทั้งข้อห้าม
และข้อที่อนุญาต ข้อห้ามก็คือข้อที่บัญญัติห้ามมิ
ให้กระทำ ห้ามการกระทำ
เมื่อไปล่วงละเมิดกระทำเข้าก็ต้องอาบัติหนัก
ปานกลาง หรือเบาตามพระบัญญัตินั้น ๆ
และก็มีข้อที่ทรงอนุญาต
ให้ทำเรียกว่าข้ออนุญาตคือที่ทรงสั่งให้กระทำ หาก
ไม่ทำตามที่ทรงสั่งให้ทำก็ต้องอาบัติอีกเหมือนกัน
แต่ว่าศีลทั่วไป ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ก็แสดงในทาง
เป็นข้อห้ามคือให้งดเว้น
วัตร นั้นได้แก่การปฏิบัติ ความปฏิบัติ
หรือข้อที่ปฏิบัติ ดังเช่นข้อที่เกี่ยวแก่ข้อที่พึงปฏิบัติต่าง
ๆ ยกตัวอย่างสำหรับภิกษุบริษัท ก็เช่น อุปัชฌายวัตร
อาจาริยวัตร
ข้อที่สัทธิวิหาริกอันเตวาสิกพึงปฏิบัติต่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์
และข้อที่พึงปฏิบัติต่าง ๆ เหล่านี้เรียกว่าวัตร
ศีลและวัตรภายนอกพุทธศาสนา
ศีลและวัตรนี้ได้มีมาแก่บุคคลผู้ยึดถืออยู่ในศีล
และวัตรทั้งหลายตั้งแต่เก่าก่อนพุทธกาล
ดังเช่นศีลและวัตรของผู้บวชเป็นฤษีดาบส
เมื่อถือลัทธิบูชาไฟก็ทำการบูชาไฟ คือก่อกองไฟขึ้น
ฤษีดาบสทั้งปวงก็มีศีล คือข้อที่ประพฤติหรือ
ความประพฤติที่งดเว้นจากการกระทำบางอย่าง
และมีวัตรคือข้อที่พึงปฏิบัติ ดังเช่นบูชาไฟดังกล่าว
นั้น ดังนี้ก็เป็นศีลและวัตรของฤาดาบสทั้งหลาย นอก
จากนี้ยังมีศีลและวัตรของศาสดา
ทั้งหลายภายนอกพุทธศาสนา ดั่งเช่นที่แสดงไว้
ในคัมภีร์พุทธศาสนาถึงศาสดาภายนอกพุทธศาสนา
ที่เรียกว่าศาสดา ๖ จำพวกซึ่งต่างก็ได้สั่งสอนศีล
และวัตรแก่สาวกทั้งหลายของตนในทางต่าง ๆ กัน
แม้ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงทางสุดโต่ง ๒ ทาง
ที่บรรพชิตผู้มุ่งจะตรัสรู้ไม่ควรที่
จะส้องเสพปฏิบัติ คือ
กามสุขัลลิกานุโยค ความประกอบตนด้วย
ความสุขสดชื่นในทางกาม และ
อัตตกิลมถานุโยค ความปฏิบัติทรมานตนให้ลำบาก
คือ ทำทุกกรกิริยาต่าง ๆ
เหล่านี้ก็ชื่อว่าเป็นศีลและวัตร ซึ่งศาสดา
ในภายนอกพุทธศาสนาสั่งสอนกัน และนอกจากนี้ก็ยังมี
ผู้ที่ยึดถือปฏิบัติในศีลวัตรที่แปลก ๆ ไปจากนี้
ดังที่มีแสดงเล่าไว้ในคัมภีร์พุทธศาสนาอันเรียกว่า
โควัตร สุนัขวัตร โควัตรก็คือว่าถือปฏิบัติอย่างโค
สุนัขวัตรก็คือว่าถือปฏิบัติอย่างสุนัข เป็นต้นว่า
ผู้ที่ยึดถือปฏิบัติในโควัตร สุนัขวัตร ก็ใช้เดิน ๔
ขาแบบสุนัขแบบโค ทำกิริยาอาการทำเสียง
และบริโภคแบบสุนัขแบบโคเหล่านี้เรียกว่าโควัตร
สุนัขวัตร ในครั้งพุทธกาลถือศีลและวัตร
กันแบบนี้ก็ยังมี และก็มีแสดงเล่าว่า
บางคนที่ถือโควัตรสุนัขวัตร
ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่าเมื่อปฏิบัติในศีล
และวัตรแบบสุนัขแบบโค สิ้นชีวิตไปจะไปเกิด
เป็นอะไร พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบว่า ก็ไปเกิด
เป็นสุนัขไปเกิดเป็นโคนั่นแหละ ดั่งนี้ เหล่านี้เป็นศีล
และวัตรในภายนอกพุทธศาสนาซึ่งมีอยู่มากมาย
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงเว้นมาโดยลำดับ
ทรงละความยึดถือในศีลและวัตร
สำหรับศีลและวัตรที่เป็นชั้นหยาบ พระพุทธเจ้าก็
ได้ทรงเว้นเสียทีเดียว ไม่ทรงทดลอง แต่
ในบางอย่างได้ทรงทดลองปฏิบัติ ดังเช่นที่ทรง
เข้าศึกษาในสำนักของพระดาบสทั้ง ๒ คือ
อาฬารดาบสและอุททกดาบส ซึ่งสั่งสอนศีล
และวัตรเพื่อสมาบัติ ๗ เพื่อสมาบัติ ๘ ซึ่งก็นับว่า
เป็นศีลและวัตรทางสมาธิอันละเอียดประณีต
แต่ว่าก็ยังประกอบด้วยอุปาทานคือความยึดถือในศีล
และวัตรที่ปฏิบัติ คือในสมาบัติ ๗ ในสมาบัติ ๘
เพื่อไปเกิดเป็นพรหม ก็คือว่าเพื่อภพเพื่อชาติ ยังไม่พ้น
จากภพจากชาติ จึงยังไม่พ้นจากทุกข์ เพราะฉะนั้น จึง
ได้ทรงลาออกจากสำนักของท่านอาจารย์ทั้ง ๒
ก็ไปทรงทดลองประพฤติปฏิบัติศีลและวัตรที่
เป็นทุกกรกิริยา ทรมานพระกายให้ลำบาก
ด้วยวิธีต่าง ๆ จนถึงอย่างยิ่งยวด และ
ในที่สุดทรงเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ ไม่ให้เกิดปัญญาที่
จะตรัสรู้ธรรมะได้ จึงได้ทรงเลิก
สมาธิจิตที่บริสุทธิ์
และได้ทรงหวนระลึกถึงสมาธิจิตที่ทรงได้เมื่อ
เป็นพระกุมารเล็ก ๆ ตามเสด็จพระพุทธบิดาไป
ในพระราชพิธีแรกนาขวัญ พระกุมารน้อย
ได้ประทับพักอยู่ที่ใต้ร่มไม้
ในขณะที่พระราชบิดาทรงประกอบพระราชพิธี
จิตของพระองค์ก็รวมเข้า
ที่ท่านแสดงว่ากำหนดลมหายใจเข้าออก ทรง
ได้ปฐมฌาน แต่ว่าฌานที่ทรงได้ครั้งนั้นก็เสื่อมไป
ทรงระลึกได้จึงทรงเห็นว่า สมาธิที่ทรง
ได้อย่างบริสุทธิ์เมื่อครั้งเป็นพระกุมารนั้น จะพึง
เป็นทางแห่งความตรัสรู้ได้
ซึ่งทรงจับทำสมาธิที่ท่านแสดงว่ากำหนดลมหายใจ
เข้าออกเป็นอานาปานสติ ซึ่งเป็นสมาธิอย่างบริสุทธิ์
ไม่ยึดถือเพื่ออะไร ครั้นทรงได้สมาธิจนถึงขั้นฌาน
แล้วก็ทรงน้อมจิตที่เป็นสมาธินี้ไปเพื่อรู้ จึงทรงได้
พระญาณทั้ง ๓ อันได้แก่
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความหยั่งรู้ระลึกชาติ
ในปางก่อนได้
จุตูปปาตญาณ ความหยั่งรู้จุติคือความเคลื่อน
และอุปบัติ ความเข้าถึงชาตินั้น ๆ ว่า
เป็นไปตามกรรม และ
อาสวักขยญาณ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ จึง
ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ตามพุทธประวัติที่แสดงนี้ ก็จะพึงเห็นได้ว่า
ในที่สุดพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้านั้น
ก็ไปทรงได้พระองค์เองเป็นอาจารย์
คือพระองค์เองเมื่อเป็นพระกุมารเล็ก ๆ ซึ่ง
ได้สมาธิจนถึงปฐมฌาน
ในพระราชพิธีแรกนาขวัญที่เล่ามานั้น
ก็พระกุมารเล็ก ๆ คือพระองค์นั่นแหละ
เป็นพระอาจารย์ ของพระองค์เอง
เมื่อทรงแสวงหาทางแห่งความตรัสรู้ ก็
โดยที่จิตของพระกุมารเล็ก ๆ นี้เป็นจิตที่บริสุทธิ์
ยังไม่มีตัณหาคือความอยากในอะไรทั้งที่เป็น
ส่วนกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
และเมื่อประทับนั่งอยู่เฉย ๆ
ในขณะที่พระราชบิดาทรงแรกนาขวัญนั้น
อาศัยพระบารมที่ทรงบำเพ็ญมา จึงทำ
ให้จิตของพระองค์รวมเข้ากำหนดลมหายใจเข้าออก
เพราะว่าลมหายใจเข้าออกนี้ทุกคนก็ต้องหายใจกัน
อยู่ตลอดเวลา ปรากฏอยู่ตลอดเวลา เป็นแต่ว่าไม่
ได้กำหนดเท่านั้น ครั้นองค์พระกามารเล็ก ๆ
นั่งประทับรออยู่เฉย ๆ และก็ไม่ได้มีตัณหาคือ
ความอยากในอะไร ลมหายใจเข้าออกของพระองค์
จึงปรากฏแก่จิต จิตก็จับกำหนด ก็
ได้ปฐมฌานอย่างบริสุทธิ์ ปราศจากตัณหาคือ
ความอยากว่าจะไปเป็นพรหมเป็นเทพหรือไป
เป็นอะไร ตามวิสัยของจิตของเด็ก ๆ เล็ก ๆ ซึ่งเมื่อเป็น
ผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว จิตที่จะบริสุทธิ์เหมือนอย่างเด็กเล็ก ๆ
ดั่งนี้หายากเข้า เพราะเมื่อรู้เดียงสามากขึ้น ตัณหาคือ
ความอยากต่าง ๆ ก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นแม้ว่า
จะมาปฏิบัติธรรมะเช่นว่าออกบวชเป็นฤษีชีไพร
หรือออกบวชในลัทธิใดลัทธิหนึ่ง ก็ล้วนแต่ออกบวช
ด้วยตัณหา คือต้องการเกิดเป็นนั่นเกิดเป็นนี่ ต้องการ
ได้นั่นได้นี่ แต่ว่ายังมิ
ได้หวนรู้จักว่าเพื่อดับกิเลสเพื่อดับตัณหา ไม่รู้จักที่
จะทำจิตให้เป็นอุเบกขาคือวางเฉย ล้วนแต่
เป็นไปเพื่อผลที่ต้องการตามคำสอนของอาจารย์นั้น
ๆ หรือตามลัทธิของอาจารย์นั้น ๆ ฉะนั้น จิตจึง
ไม่บริสุทธิ์เหมือนอย่างเด็กที่ยังไม่เดียงสาอะไรนัก
เพราะฉะนั้น ภาวะของจิตที่บริสุทธิ์อย่างจิตเด็กที่
ไม่เดียงสาอะไรนักนี้เป็นข้อที่แม้ผู้ใหญ่เองที่
ต้องการปฏิบัติธรรมะก็พึงนึกถึงและพึงใช้ปฏิบัติว่า
จะต้องทำจิตให้เหมือนอย่างนั้น
อาศัยตัณหาละตัณหา
พระพุทธเจ้าเองก็ทรงได้องค์เองเมื่อทรง
เป็นพระกุมารน้อย ๆ นี้เป็นอาจารย์จริง ๆ
และก็ทรงนำเอาวิธีของอาจารย์น้อย ๆ
คือพระองค์เองเมื่อยังเป็นเด็กนั้นมาทรงปฏิบัติต่อ
โดยทรงทำจิตให้บริสุทธิ์ คือปฏิบัติทำสมาธิไป
ให้จิตรวมเข้าโดยไม่ต้องการอะไร ไม่
ต้องการเพื่ออยากเกิดเป็นโน่นเป็นนี่อะไร แม้ว่าจะมี
ความต้องการอยู่ก็ต้องการเพื่อที่จะได้ตรัสรู้
ต้องการที่จะพ้นทุกข์ ซึ่งก็
เป็นตัณหาอย่างละเอียดอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่แม้เช่น
นั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยเพื่อละเสีย
ดังที่ท่านพระอานนท์ได้แสดงอธิบาย คือตามหลักที่ว่า
อาศัยตัณหาละตัณหาเสีย ซึ่งท่านพระอานนท์
ได้แสดงอธิบายไว้ว่า ก็คือคิดว่าไหนจึงจะได้ทำทุกข์นี้
ให้สิ้นไปและปฏิบัติทำทุกข์ให้สิ้นไป
ดั่งนี้เรียกว่าอาศัยตัณหาละตัณหา พูดตรง ๆ
ก็คือว่าอยากที่จะสิ้นทุกข์ จึงปฏิบัติเพื่อสิ้นทุกข์ แต่ว่า
ในที่สุดเวลาที่จะสิ้นทุกข์ก็
ต้องละตัณหาอย่างละเอียดนี้เสียเหมือนกัน ถ้าไม่เช่น
นั้นก็ถึงความสิ้นทุกข์ไม่ได้
ดั่งเช่นที่ได้เคยแสดงแล้ว
ก็คือองค์ของท่านพระอานนท์เองที่ท่านยัง
เป็นเสขบุคคลคือยังเป็นพระโสดาบัน ยังไม่สำเร็จ
เป็นพระอรหันต์ จนถึงวันที่จะทำปฐมสังคายนา
บรรดาพระเถระที่จะเข้าประชุมทำปฐมสังคายนา
นั้น ท่านพระมหากัสสปเถระผู้เป็นประธาน
ได้เลือกพระเถระที่เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด
เว้นแต่ท่านพระอานนท์องค์เดียวที่ยัง
เป็นเสขบุคคลแต่ว่าท่านพระมหากัสสปเถระก็เลือกพระอานนท์
เข้า เพราะเป็นผู้ที่ได้ทรงธรรม
ทรงวินัยคือจำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้
เป็นอย่างดีเลิศ อันจะขาดท่านเสียมิได้ เมื่อถึงวันที่
จะทำปฐมสังคายนา
ท่านพระมหากัสสปะก็เตือนท่านพระอานนท์ว่า
ให้บำเพ็ญสมณธรรมด้วยความไม่ประมาท
ท่านพระอานนท์ก็ได้บำเพ็ญสมณธรรมอย่างยิ่งยวด
เมื่อท่านทำไปในราตรีที่รุ่งขึ้นจะ
เป็นวันเริ่มทำปฐมสังคายนานั้น ท่านก็ยังไม่บรรลุ
ถึงธรรมะสูงสุด ท่านจึงคิดว่าจะพัก จึง
ได้เอนองค์ลงเพื่อจะพัก ในขณะที่เอนองค์ลงยังไม่
ถึงอิริยาบถที่เรียกว่านอนอย่างเต็มที่ และก็มิ
ใช่อิริยาบถที่นั่งอย่างเต็มที่ คือในขณะที่เอนองค์ลง
นั้น จิตของท่านก็พ้นจากอาสวะทั้งสิ้น คือสำเร็จ
เป็นพระอรหันต์
ซึ่งเรื่องนี้ท่านได้แสดงอธิบายกันมาว่า
ท่านพระอานนท์นั้นท่านได้ปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘
หรือที่เรียกว่าสมณธรรมนั้นมาอย่างสมบูรณ์ แต่
เพราะยังมีตัณหาคือความอยากที่จะสำเร็จ
อันตัณหานี้เองเป็นเครื่องกั้นมิให้จิตหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลายเป็นพระอรหันต์ได้ จนท่านคิดว่า
จะพัก จึงเอนองค์ลงเพื่อพัก ซึ่งความคิดที่จะพักนั้นเป็น
ความวางตัณหา พอท่านวางตัณหาเสียได้ คือตัณหาที่
ต้องการสำเร็จจิตของท่านก็พ้นจากอาสวะทันที ดั่งนี้
เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะอาศัยตัณหาเพื่อละตัณหาแต่ก็
ต้องวางตัณหาจึงจะละตัณหาได้ ถ้ายังไม่วางตัณหาก็
ยังละตัณหาไม่ได้ จิตก็พ้นจากอาสวะไม่ได้ สำเร็จไม่
ได้ ต้องวางตัณหาจึงจะละตัณหา จิตจึงจะพ้น
จากอาสวกิเลสได้
ศีลและวัตรในพุทธศาสนา
เพราะฉะนั้น ตามที่กล่าวมานี้ก็ได้แสดงถึงศีล
และวัตรในภายนอกพุทธศาสนา และแม้
ในพุทธศาสนาก็มีศีลและวัตร
คือศีลที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ประพฤติ
และวัตรคือข้อปฏิบัติต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
ให้ปฏิบัติ ซึ่งแม้ศีลและวัตรในพุทธศาสนานี้เอง
ถ้าหากว่ายังประพฤติปฏิบัติด้วยตัณหา ก็ชื่อว่ายังเป็น
สีลัพพตุปาทาน คือความยึดถือศีลและวัตร และ
ได้มีคำเรียกอีกคำหนึ่งว่า สีลัพพตปรามาส
ความยึดถือลูบคลำศีลและวัตรในสังโยชน์ ๑๐
แต่ว่าสีลัพพตปรามาสนี้ซึ่งมีอาการเป็น
ความยึดถือเช่นเดียวกับสีลัพพตุปาทานแต่ว่าหยาบกว่า
และในการอธิบายสีลัพพตปรามาส
ก็อธิบายคล้ายคลึงกันกับสีลัพพตุปาทานคือศีล
และวัตรในคำว่าสีลัพพตปรามาสในสังโยชน์ ๑๐
นั้น ก็หมายถึงศีลและวัตรในภายนอกพุทธศาสนา
ตลอดถึงศีลและวัตรในพุทธศาสนาเอง
คือเมื่อละศีลและวัตรในภายนอกพุทธศาสนา
แล้วมาปฏิบัติศีลและวัตรในพุทธศาสนา เมื่อปฏิบัติ
ด้วยตัณหา ก็ชื่อว่ายังเป็นสีลัพพตปรามาส แต่ว่า
ใช้คำว่าปรามาสนี้แรงกว่าคำว่าอุปาทาน คือหมาย
ความว่าต้องลูบคลำ คือต้องจับเอาไว้ ถ้าไม่จับเอาไว้
ศีลและวัตรก็จะขาดเป็นท่อนเป็นช่องด่างพร้อย
ดังเช่นศีล ๕ สมาทานศีล ๕ รักษาศีล ๕ ก็จะ
ต้องจับยึดรักษาไว้ ถ้าไม่เช่นนั้นศีล ๕ ก็จะขาด
เป็นท่อนเป็นช่องด่างพร้อย คือจะต้องรักษา
กันอย่างกวดขัน ต้องจับต้องยึดกัน
ไว้เหมือนอย่างการรักษาศีล ๕ ของสามัญชน
ทั้งหลาย เพราะยังมีสักกายทิฏฐิ
ความเห็นยึดถือว่าตัวเราของเราเป็นอย่างแรง
เพราะฉะนั้น ความประพฤติจึง
เป็นไปตามอำนาจของตัวเราของเรา
ก็คือตามอำนาจกิเลสตัณหาทั้งหลาย ฉะนั้น
จึงปรากฏว่าคนสามัญทั่วไปนั้นไม่อาจที่จะรักษาศีล
๕ ไว้โดยไม่ให้ขาดเป็นท่อน ไม่ให้ทะลุเป็นช่องไม่
ให้ด่างไม่ให้พร้อยกันตลอดไปได้ ต้องมีขาดต้องมีต่อ
กันอยู่เรื่อย ๆ ดังจะพึงเห็นได้ว่า ต้องมีการสมาทาน
กันอยู่เสมอ ทั้งนี้ก็เพราะว่าจิตสามัญยัง
เป็นไปตามอำนาจของกิเลสตัณหาอยู่เป็นอันมาก
จนกว่าจะละสักกายทิฏฐิด้วยการเห็นธรรมะอัน
เป็นธรรมจักษุได้ จึงจะไม่ต้องคอยยึดศีล
และวัตรไว้
เพราะฉะนั้น จึงมีแสดงว่าพระโสดาบันบุคคล
นั้นมีศีล ๕ บังเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเอง
และพระโสดาบันนั้นไม่มีที่จะละเมิดที่จะล่วงศีล
๕ โดยที่พระโสดาบันไม่ต้องรักษา ไม่
ต้องคอยจับคอยยึด แปลว่าปล่อยจับปล่อยยึดได้
ก็มีศีล ๕ ขึ้นมาเอง โดยที่จะไม่ละเมิดเลย
เป็นธรรมชาติธรรมดาของพระโสดาบัน
เพราะฉะนั้น พระโสดาบันจึงละ สังโยชน์ได้ ๓ คือ
สักกายทิฏฐิ ความเห็นยึดถือว่ากายของเรา
คือเห็นยึดถือว่าตัวเราของเราซึ่งเป็นอย่างแรง
สีลัพพตปรามาส ความลูบคลำคือจับยึดศีล
และวัตรเอาไว้ และ
วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัยในพระรัตนตรัย
เพราะเห็นธรรมะที่เป็นตัวสัมมาทิฏฐิแล้ว
เพราะฉะนั้น พระโสดาบันจึงละสังโยชน์ทั้ง ๓
ได้ดังกล่าว ก็เป็นอันว่าสำหรับสีลัพพตปรามาส
นั้นละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค แต่แม้เช่นนั้นก็
ยังมีสีลัพพตุปาทาน คือความยึดถือในศีลและวัตร
อยู่เป็นอย่างละเอียด
เหมือนอย่างท่านพระอานนท์ท่านเป็นพระโสดาบัน
ท่านละสีลัพพตปรามาสได้ แต่ว่ายังมีตัณหาที่
จะตรัสรู้ ก็ชื่อว่ายังมีสีลัพพตุปาทานอยู่ จนท่านวาง
และเมื่อท่านวาง จิตของท่านก็วิมุตติหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งสิ้นทันทีดั่งนี้
ยึดและปล่อยศีลและวัตรเป็นขั้น ๆ
สีลัพพตุปาทานนี้จึงมีใจความที่คลุมอุปาทานคือ
ความยึดถือทั้งหมด แม้ว่าเป็นพระโสดาบัน
พระสกทาคามี พระอนาคามี ซึ่งท่านละมาได้
โดยลำดับ แต่ว่าก็ยังละอุปาทานที่เป็นอย่างละเอียด
ไม่ได้ จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์จึงละได้หมด
เพราะฉะนั้นสีลัพพตุปาทานนี้จึงมีความที่คลุมไปได้
ทั้งหมด คลุมสีลัพพตปรามาสด้วย
แต่ว่าสีลัพพตปรามาสนั้นเป็นอย่างหยาบดังที่
ได้กล่าวมาแล้ว ส่วนสีลัพพตุปาทานนี้คลุมได้หมด
อันสีลัพพตุปาทานดังกล่าวมานี้ ก็มิใช่ว่าจะ
เป็นสิ่งที่ทุกคนจะพากันละพากันทิ้งได้ หรือเป็นสิ่งที่
เป็นของไม่ดี จำเป็นที่จะต้องแบ่งตามภูมิตามชั้น
กล่าวคือถ้าเป็นศีลและวัตรในภายนอกพุทธศาสนา
อันเป็นศีลและวัตรที่ผิดต่าง ๆ นั่นก็เป็นอันว่า
ผู้นับถือพุทธศาสนาก็ต้องละเว้นไปโดยลำดับ
และมาถึงศีลและวัตรในพุทธศาสนาเองก็จะ
ต้องละต้องเว้นเหมือนกัน แต่ว่าก่อนที่จะละจะเว้นก็
ต้องสมาทาน คือต้องรับถือปฏิบัติก่อน และจะ
ต้องอาศัยตัณหาเพื่อละตัณหาดังกล่าวมานั้น คือยัง
จะต้องมีสีลัพพตปรามาส สีลัพพตุปาทานอยู่
ในการปฏิบัติมาโดยลำดับ แต่ว่าก็ยึดและปล่อยไป
เป็นขั้น ๆ เหมือนอย่างคนเดินขึ้นบันไดซึ่งมีหลายขั้น ก็
ต้องขึ้นไปทีละขั้น และขั้นที่กำลังขึ้นอยู่นั้นก็จะ
ต้องเหยียบอยู่บนบันไดทั้ง ๒ เท้าในขั้นนั้น ดั่งนี้เรียกว่า
ยังมีสีลัพพตปรามาส สีลัพพตุปาทานอยู่ในขั้นนั้น
แต่ว่าที่จะก้าวขึ้นขั้นต่อไปนั้น ก็จะ
ต้องละขั้นที่กำลังยืนอยู่นั้นก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
คือว่าปล่อยขั้นที่กำลังยืนอยู่ทีแรกนั้น ถ้าหากว่า
ไม่ปล่อยขั้นที่กำลังยืนอยู่ทีแรกนั้น ยังคงยืนอยู่
ในขั้นเดิมนั่นแหละ ก็แปลว่าก้าวขึ้นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น ก็ต้องปล่อยขั้นที่ ๑ ก้าวขึ้นไปสู่ขั้นที่ ๒ ก็
จะต้องยึดขึ้นที่ ๒ ทรงตัวอยู่ในขั้นที่ ๒ แล้วจึง
ต้องละขั้นที่ ๒ ก้าวขึ้นสู่ขั้นที่ ๓ ก็แปลว่า
ต้องรับปฏิบัติคือต้องยึด แล้วก็ปล่อย เดินขึ้นไป
เป็นขั้น ๆ ดั่งนี้ จึงจะขึ้นสูงขึ้นไปได้โดยลำดับ จน
ถึงขั้นสุดท้ายแล้วก็เป็นอันว่าปล่อยได้หมด ดังนี้
เพราะฉะนั้น
ในทางพุทธศาสนาที่แสดงธรรมะอันละเอียดนี้ จึงไม่
ใช่หมายความว่าข้อที่แสดงนั้นเป็นสิ่งที่มีโทษ
ต้องละเสียหมดตั้งแต่เบื้องต้น
ถ้าละเสียหมดตั้งแต่เบื้องต้นแล้ว ก็
เป็นอันว่าปฏิบัติอะไรไม่ได้ เหมือนอย่างว่ามีบันได ก็
เป็นอันว่าขึ้นบันไดกันไม่ได้ เพราะขึ้นบันไดแล้วก็จะ
ต้องเหยียบขึ้นไปทีละขั้น ถ้าสอนว่าอย่าให้เหยียบ
เหยียบแล้วไปยึดดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าไม่ต้องขึ้นบันไดกัน
และเป็นอันว่าก้าวขึ้นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็จะต้องยึด
จะต้องปล่อยไปโดยลำดับดั่งนี้เป็นขั้น ๆ ไป นี้กล่าว
ในข้อที่เป็นข้อพึงปฏิบัติคือเป็นทางปฏิบัติอันถูกชอบ
แต่ว่าถ้าเป็นทางปฏิบัติอันไม่ถูกไม่ชอบแล้ว ก็
ต้องปล่อยเสียทีเดียว ไม่ต้องไปทดลองก่อน
เช่นว่าเว้นจากการฆ่า มีเมตตากรุณา ก็ไม่
ต้องไปทดลองฆ่าเสียก่อนแล้วจึงเว้น ละเสียทีเดียว
แต่ในข้อที่พึงปฏิบัตินั้น ก็ให้ปฏิบัติไป แล้วก็ต้องก้าวไป
เป็นขั้น ๆ ดังกล่าวมานี้ ดั่งนี้เป็นอธิบาย
ในสีลัพพตุปาทาน ความยึดถือศีลและวัตร
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑ ธันวาคม ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 23:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๒ ความรู้จักอุปาทาน (๔)
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๑๒ ความรู้จักอุปาทาน (ต่อ)
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการบริหารจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้
เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
จะแสดงสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตร ซึ่ง
ได้แสดงอธิบายมาโดยลำดับ มาถึงข้อว่า สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ คือรู้จักอุปาทาน รู้จักเหตุเกิดอุปาทาน
รู้จักความดับอุปาทาน รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับอุปาทาน และได้มีเถราธิบาย
ในข้อรู้จักอุปาทาน ว่า อุปาทานมี ๔ คือ
กามุปาทาน ยึดถือหรือถือมั่นกาม
ทิฏฐุปาทาน ยึดถือหรือถือมั่นทิฏฐิ
สีลัพพตุปาทาน ยึดถือหรือถือมั่นศีลและวัตร
และข้อ ๔
อัตตวาทุปาทาน ถือมั่นหรือยึดถือวาทะว่าตน
ในที่นี้ได้แสดงอธิบายมาแล้ว ๓ ข้อข้างต้น
จะอธิบายข้อที่ ๔ อัตตวาทุปาทาน ยึดถือ
หรือถือมั่นวาทะว่าตน
อัตตาในพุทธศาสนา
อันคำว่า อัตตา ที่แปลกันว่า ตน ทางพุทธศาสนา
ได้มีแสดงไว้เป็น ๒ ระดับ คือ
ระดับแรก พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้รักษาตน
คุ้มครองตน ฝึกตน และตรัสสอนว่าตน
เป็นนาถะคือที่พึ่งของตน ดั่งนี้
อีกระดับหนึ่ง ตรัสสอนว่า มิใช่ตน
ดังเช่นที่ตรัสสอนว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ รวมเรียกว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตามิใช่อัตตา
ตัวตน หรือได้ตรัสสอนยกเอาอายตนะภาย
ในภายนอก ภายในก็คือตาหูจมูกลิ้นกาย
และมนะคือใจ
ภายนอกก็คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ สิ่งที่กายถูก
ต้อง และธรรมคือเรื่องราวเป็นอนัตตา มิ
ใช่อัตตาตัวตน และได้ตรัสสอนไว้ว่า สังขารทั้งปวง
เป็นอนิจจะคือไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกขะคือ
เป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ธรรมทั้งปวง
เป็นอนัตตาคือมิใช่อัตตาตัวตนและในข้อว่าธรรม
ทั้งปวงนี้ แสดงอธิบายว่า ทั้งสังขตธรรม
ธรรมะที่ปัจจัยปรุงแต่งอันเรียกว่าสังขาร
ทั้งอสังขตธรรม ธรรมะที่ปัจจัยไม่
ได้ปรุงแต่งอันเรียกว่าวิสังขาร ทั้งหมดเป็นอนัตตา มิ
ใช่อัตตาตัวตน
รู้สมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ
สำหรับระดับที่ตรัสสอนให้ฝึกตน คุ้มครองตน
ให้มีตนเป็นที่พึ่งของตนเรียกว่าตรัสสอนโดย
สมมติสัจจะ ความจริงโดยสมมติ คือโดยที่มีมติร่วม
กันเรียกขึ้นบัญญัติขึ้นแต่งตั้งขึ้น
และก็รับรองเรียกกัน
สำหรับการบัญญัติขึ้นแต่งตั้งขึ้นก็เรียกว่า บัญญัติ
และข้อที่มีมติคือความรับรู้ร่วมกันเรียกว่า สมมติ
บางทีก็เรียกควบคู่กันว่า สมมติบัญญัติ
สมมติก็คือมีมติรับรู้ร่วมกัน บัญญัติก็คือแต่งตั้งขึ้น
เหมือนดังเช่นสิ่งที่เกิดบนแผ่นดินเจริญเติบโตขึ้นมีต้นมีกิ่งมีใบมีดอกมีผล
คนก็บัญญัติคือแต่งตั้งเรียกกันว่าต้นไม้ เพราะฉะ
นั้นสิ่งนี้ก็เป็นต้นไม้ขึ้นมา และคำว่าต้นไม้นี้เองก็
เป็นสมมติ ก็คือมีมติรับรู้ร่วมกัน เรียกร่วม
กันว่าต้นไม้ เพราะฉะนั้น คำว่าต้นไม้นั้นจึง
เป็นสมมติบัญญัติ แต่งตั้งขึ้นว่าให้สิ่งนี้เป็นต้นไม้
และสิ่งนี้ก็เป็นต้นไม้ขึ้นมา รับรองร่วมกัน
เรียกร่วมกัน สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ที่บังเกิดมีขึ้น
โดยธรรมชาติธรรมดา สิ่งเหล่านั้นเองก็
เป็นธรรมชาติธรรมดา
อย่างต้นไม้ที่บังเกิดขึ้นก็บังเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
โดยธรรมดา แต่บุคคลนี้เองมาแต่งตั้งขึ้นให้สิ่งนั้น
เป็นนั่นให้สิ่งนี้เป็นนี่และก็รับรองร่วมกัน
เรียกร่วมกัน และแม้มนุษย์และเดรัจฉาน
ทั้งหลาย ที่เรียกกันว่ามนุษย์ คน หรือเดรัจฉาน
และแม้มนุษย์เองก็เรียกแยกออกไปเป็นหญิงเป็นชาย
และแต่ละคนก็มีชื่อนั้นมีชื่อนี้ สัตว์เดรัจฉานต่าง ๆ ก็
เป็นช้างเป็นม้า เป็นต้น ก็แต่งตั้งกันขึ้นมาเรียกกัน
แล้วก็รับรองเรียกร่วมกันให้เหมือนกันจึง
เป็นสมมติบัญญัติ ก็ต้องมีสมมติบัญญัติดั่งนี้ จึง
จะเรียกพูดกันได้ เข้าใจกันได้และก็เรียกร่วม
กันเหมือนกัน ด้วยถ้อยคำที่เป็นภาษาเดียวกัน
สิ่งที่เรียกว่าต้นไม้ ภูเขา เมื่อพูดว่าต้นไม้ภูเขาก็เข้าใจ
กัน เพราะก็รับรองกันว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นต้นไม้เป็นภู
เขา ถ้าใครจะไปเรียกให้ผิดแผกออกไปเป็นอย่างอื่น
เรียกภูเขาว่าต้นไม้ เรียกต้นไม้ว่าภูเขา ดังนี้แล้ว
ก็เรียกว่าผิดสมมติบัญญัติ แล้วก็ฟังไม่เข้าใจกัน
ไขว้เขวกัน แล้วก็ทำให้คนที่เรียกไขว้เขวไปนั้นเป็นที่
เข้าใจว่าเป็นคนที่จะต้องมีสติวิปลาสเป็นต้น
เพราะฉะนั้น
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะสั่งสอนก็ต้อง
ใช้ภาษาที่พูดเรียกสิ่งนั้นเรียกสิ่งนี้ ก็
เป็นไปตามสมมติบัญญัติโลก
และเมื่อโลกมีสมมติบัญญัติว่าอย่างนี้ เรียกอย่างนี้
ทรงแสดงธรรมะก็เรียกอย่างนั้นเรียกอย่างนี้
และก็นับว่าเป็นสัจจะคือความจริงอย่างหนึ่ง
อันเรียกว่า สมมติสัจจะ ความจริงโดยสมมติ หรือ
จะเรียกว่า บัญญัติสัจจะ ความจริงโดยบัญญัติก็ได้
และก็ตรัสสั่งสอนให้ทุก ๆ
คนปฏิบัติชอบตามควรแก่สมมติบัญญัติโลก
ทรงแสดงธรรมะสั่งสอนข้อที่พึงปฏิบัติให้เหมาะ
ให้ควรแก่สมมติบัญญัติที่เป็นสมมติสัจจะต่าง ๆ นี้
วินัยที่ทรงบัญญัติไว้และธรรมะในขั้นศีลต่าง ๆ ก็
เป็นไปตามควรแก่สมมติบัญญัติ แต่แม้เช่น
นั้นก็ตรัสสอนให้รู้จักสัจจะอีกระดับหนึ่ง คือ
ปรมัตถสัจจะ อันได้แก่ความจริงที่มีเนื้อ
ความอันสุขุมละเอียดเป็นอย่างยิ่ง คือเป็นสัจจะคือ
ความจริงที่เป็นอย่างยิ่งคือจริงแท้ มิใช่
เป็นไปตามสมมติบัญญัติ ก็ดังที่ตรัสสอน
ให้พิจารณาว่า
สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนิจจะไม่เที่ยง สังขาร
ทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป และ
ทั้งสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง ทั้งวิสังขารคือสิ่งที่
ไม่ผสมปรุงแต่งอันได้แก่นิพพาน และแม้ธรรมะอัน
เป็นส่วนไม่ผสมปรุงแต่งอื่น ๆ คือทั้งสังขาร
ทั้งวิสังขารเป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน
ให้กำหนดรู้ดั่งนี้
ความยึดถือวาทะว่าตนมาจากสมมติบัญญัติ
เพราะฉะนั้น วาทะคือถ้อยคำที่พูดกัน
เป็นภาษาดังที่กล่าวมาข้างต้น ก็ล้วน
เป็นสมมติบัญญัติสำหรับจะเรียกกัน
ถ้าหากว่าไปยึดมั่นโดยส่วนเดียว โดยที่ไม่ทำ
ความรู้จักว่านั่นเป็นสมมติเป็นบัญญัติ ก็กลาย
เป็นอุปาทานคือความยึดมั่นหรือความยึดถือ
และบรรดาสิ่งที่เป็นสมมติบัญญัติ
เป็นวาทะที่เรียกร้องกัน ที่เป็นข้อสำคัญในส่วนที่
เป็นธรรมปฏิบัติที่ตรัสยกขึ้นมาแสดงก็คืออัตตา ตน
ก็คือตัวเราของเรา ซึ่งเมื่อมีตัวเราของเรา ก็มีตัว
เขาของเขา แม้คำว่าอัตตา ตน หรือตัวเราของเรา
ตัวเขาของเขา เป็นต้นเหล่านี้ ที่เรียกกันกล่าว
กันนี่แหละคือ อัตตวาทะ วาทะว่าตน อันหมายรวม
ถึงว่า วาทะว่าตัวเราของเรา
และเมื่อตัวเราของเรามี ก็ต้องมีตัวเขาของเขา
เพราะฉะนั้น คำว่า อัตตวาทะ วาทะว่าตนหรืออัตตา
จึงหมายถึงสมมติบัญญัติดังที่กล่าวมานั้น
เป็นถ้อยคำที่เรียกกัน และเมื่อเรียกกันก็เข้าใจ
กันรู้จักกัน และเมื่อเรียกกันรู้จักกันเข้าใจกัน เมื่อ
ไม่พิจารณาด้วยปัญญาให้รู้จักก็ย่อมจะมีความถือมั่น
หรือความยึดถือ ความถือมั่นหรือความยึดถือนี้
จึงเรียกว่าอัตตวาทุปาทาน ความถือมั่นหรือ
ความยึดถือวาทะว่าตน ก็คือยึดถือ
หรือถือมั่นสมมติบัญญัติว่าตน เป็นเหตุให้ถือเราถือ
เขาถือพวกถือพ้องเป็นต้นสืบต่อไป
และความยึดถือวาทะว่าตน
ตัวเราของเราดังกล่าวมานี้ ซึ่งสืบมา
จากสมมติบัญญัติดังกล่าว เมื่อไม่พิจารณา
ด้วยปัญญา ก็ทำให้มีความถือมั่นหรือยึดถือในสิ่งอัน
เป็นที่ตั้งแห่งสมมติบัญญัตินั้น ๆ ว่าเป็นจริงมีจริง
ดังเช่นเมื่อมีความยึดถือหรือถือมั่นในวาทะว่าตน
ในสมมติบัญญัติว่าตน ก็ทำให้หลงยึดถือในสิ่งอัน
เป็นที่ตั้งของสมมติบัญญัตินั้น ว่าเป็นตนจริง ๆ
ก็เช่นเดียวกันสมมติบัญญัติว่าต้นไม้ ก็เรียกว่าเป็น
รุกขวาทะ วาทะว่าต้นไม้ซึ่งเป็นสมมติบัญญัติ เมื่อ
ไม่พิจารณาก็ทำให้ถือมั่นหรือยึดถือ
ในที่ตั้งของสมมติบัญญัติว่าต้นไม้นั้นว่า
เป็นต้นไม้ขึ้นจริง ๆ อันที่ตั้งแห่งสมมติบัญญัติว่าต้นไม้
นั้นก็ได้แก่สิ่งที่เกิดขึ้นจากแผ่นดิน
มีรากมีต้นมีกิ่งมีใบมีดอกมีผล สิ่งที่บังเกิดขึ้น
จากแผ่นดินที่มีรูปร่างลักษณะดังนี้แหละ
เป็นที่ตั้งแห่งสมมติบัญญัติว่าต้นไม้ แห่งวาทะที่กล่าว
กันว่าต้นไม้ และเมื่อเรียกเพลิน ๆ
ไปก็ไปหลงยึดถือเอาที่ตั้งแห่งสมมติบัญญัติว่าต้นไม้นั้น
ว่าเป็นตัวต้นไม้ขึ้นจริง ๆ
จะยกตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่ง สมมติบัญญัติ
หรือวาทะว่าบ้านเรือน ก็เป็น ฆรวาทะ ฆร
ก็แปลว่า เรือน วาทะ ก็ ถ้อยคำ
ถ้อยคำที่เรียกว่าเรือน ก็เอาทัพสัมภาระต่าง ๆ เช่น
ไม้ เป็นต้น มาประกอบเข้า มีเสา มีพื้น มีฝา มีหลังคา
และมีสิ่งประกอบต่าง ๆ เป็นเรือน
ก็สมมติบัญญัติขึ้นว่าสิ่งนี้เป็นเรือน และเมื่อเรียก
กันเพลิน ๆ ไป
ก็ไปหลงยึดถือเอาที่ตั้งของสมมติบัญญัติว่าเรือนนั้น ก็
เป็นตัวบ้านตัวเรือนขึ้นจริง ๆ
ฉันใดก็ดี อัตภาพอันนี้อันประกอบด้วยกายและใจ
ซึ่งสมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสเรียกว่านามรูป
และเมื่อแยกออกไปอีก ก็ตรัสแยกออกไปเป็นขันธ์ ๕
คือ แยกออกไปเป็น ๕ กอง อันเรียกว่าขันธ์ ๕
ย่อลงมาก็เป็นนามรูป รวมกันเข้าก็
เป็นที่ตั้งของสมมติบัญญัติว่า อัตตา หรือ อัตภาพ
และก็มีสมมติบัญญัติเรียกกันต่าง ๆ ออกไป ว่า
เป็นสัตว์ บุคคล เป็นชาย เป็นหญิง และก็
ยังมีสมมติบัญญัติละเอียดออกไปอีก เป็นชื่อต่าง ๆ
สำหรับที่จะได้กำหนดหมายเรียกร้องกัน
ความยึดถือที่ตั้งแห่งสมมติบัญญัติ
นามรูปหรือขันธ์ ๕ ก็
เป็นที่ตั้งของสมมติบัญญัติว่าอัตภาพหรืออัตตา
และเมื่อเรียกกันเพลิน ๆ ไป ก็หลงยึดถือว่า
เป็นอัตตาขึ้นจริง ๆ เป็นตัวเราเป็นของเราขึ้นจริง ๆ
ก็เป็นตัวเราขึ้นก่อน และเมื่อมีตัวเราก็ต้องมีของเรา
และเมื่อมีตัวเราของเราก็ต้องมีตัวเขาของเขา ก็
ต้องแยกออกไปดั่งนี้ เพราะฉะนั้น
ความยึดถืออันเรียกว่าอุปาทาน หรือ
ความถือมั่นอันเรียกว่าอุปาทานนี้ จึงยึดถือ
ในที่ตั้งของสมมติบัญญัตินี้แหละ และ
โดยเฉพาะก็ที่ตั้งแห่งสมมติบัญญัติว่าอัตตา
หรืออัตภาพ กายใจ นามรูป หรือขันธ์ ๕ อันนี้ว่า
เป็นตัวเราของเราขึ้นจริง ๆ
อุปาทานข้อนี้สำคัญมาก ย่อมเป็นมูลของความยึดถือ
อื่นต่าง ๆ อีกเป็นอันมาก และในทางพระพุทธศาสนาก็
ได้มีคำเรียกความยึดถือดังกล่าวนี้ในข้อนี้
ไว้หลายชื่อ เช่น
เรียกว่า อัตตานุทิฏฐิ ความตามเห็นว่าอัตตาตัวตน
ความตามเห็นว่าตัวเราของเรา
เรียกว่า สักกายทิฏฐิ ความตามเห็นว่ากายของตน
เรียกว่า อัสมิมานทิฏฐิ มานะคือความสำคัญหมาย
ทิฏฐิคือความเห็นว่าอัสมิเรามีเราเป็น
หรือเรียกว่า อัสมิมานะ
ความสำคัญหมายว่าเรามีเราเป็น
หรือเรียกว่ามานะเฉย ๆ
ซึ่งมานะที่เป็นต้นเดิม ก็คืออัสมิมานะ
ความสำคัญหมายว่าเรามีเราเป็น
เมื่อมีอัสมิมานะขึ้นมาเป็นต้นเดิมดั่งนี้ ก็มีมานะอื่น ๆ
ตามมาอีกเป็นอันมาก
ทรงสอนให้พิจารณาที่ตั้งของสมมติบัญญัติว่า
เป็นสังขาร
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้พยายามที่จะ
ได้ทรงชี้แจง ให้มากำหนดพิจารณา
ถึงที่ตั้งของสมมติบัญญัติต่าง ๆ หรือว่าของวาทะต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นจากสมมติบัญญัติ
ให้มาพิจารณาบรรดาที่ตั้งเหล่านั้น ว่า
เป็นสังขารคือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น
เมื่อผสมปรุงแต่งขึ้นแล้ว จึงมีสมมติบัญญัติขึ้นมา
เหมือนดังที่ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ แปลความว่า
เหมือนอย่างเพราะอังคสัมภาระ คือ
ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่มาประกอบเข้าเสียงเรียก
กันว่ารถจึงได้มีขึ้น เมื่อขันธ์ทั้งหลายมาประกอบกัน
เข้าสมมติว่าสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขาจึงได้มีขึ้น
เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมะที่จะให้รู้
ถึงปรมัตถสัจจะคือความจริงโดยปรมัตถ์ คือ
ความจริงที่เป็นความจริงอย่างยิ่ง จึง
ต้องมาหัดปฏิบัติพิจารณาดูบรรดาที่ตั้งของสมมติบัญญัติ
ทั้งหลาย ดังพระพุทธภาษิตที่ตรัสสอนไว้นี้
ที่ทรงยกเอารถขึ้นมา เมื่อเอาส่วนประกอบต่าง ๆ
เช่นว่าล้อและทุก ๆ ส่วนมาประกอบกันเข้า
เสียงเรียกกันว่ารถจึงได้มีขึ้น แต่อันที่จริงรถจริง
ๆ นั้นไม่มี คำว่ารถนั้นเป็นสมมติบัญญัติเรียกขึ้นเท่านั้น
ในเมื่อถอดแยกส่วนประกอบต่าง ๆ นั้นออกไป
แยกเอาล้อออกไปแยกเอาตัวรถต่าง ๆ ออกไป
เสียงเรียกว่ารถก็หายไป รถจริง ๆ จึงไม่มี รถ
เป็นสมมติบัญญัติเท่านั้น
แม้ต้นไม้บ้านเรือนดังที่กล่าวมาข้างต้นก็เช่นเดียวกัน
ในเมื่อเอาทัพสัมภาระต่าง ๆ มาปรุงกันเข้าก็
เป็นเรือน แต่เมื่อรื้อเรือนนั้นออก รื้อหลังคา
รื้อเสา รื้อฝา รื้อพื้น ถอนเสาออก
เสียงเรียกว่าเรือนก็หายไป เรือนจริง ๆ จึงไม่มี
เมื่อทุกอย่างมาประกอบกันเข้า
สมมติบัญญัติเสียงเรียกว่าเรือนจึงได้มีขึ้น
ต้นไม้ก็เหมือนกัน
เมื่อตัดโค่นตัดกิ่งก้านลำต้นถอนรากออกไปหมดแล้ว
เสียงว่าต้นไม้นั้นก็หายไป ต้นไม้จริง ๆ จึงไม่มี
แม้อัตตวาทะ
หรือสมมติบัญญัติถ้อยคำที่เรียกว่าอัตตาตัวตน
คืออัตภาพนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อขันธ์
ทั้งหลายมาประกอบกันเข้า
เสียงเรียกว่าอัตตาตัวตนก็มีขึ้น เมื่อขันธ์แตกสลาย
เสียงเรียกว่าอัตตาตัวตนก็หายไป ตัวตนจริง ๆ จึงไม่มี
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนมา
ให้พิจารณาดูที่ตั้งของสมมติบัญญัติ
ทั้งหลายดังที่กล่าวมานี้ ว่าเมื่อมาประกอบกันเข้า
เป็นสังขาร ก็เป็นที่ตั้งของสมมติบัญญัติเรียกกันต่าง ๆ
และเมื่อสังขารคือส่วนที่มาประกอบกัน
นั้นแตกสลายแยกย้ายกันออกไป สมมติบัญญัติต่าง ๆ
นั้นก็หายไป
ฉะนั้น วาทะที่สมมติบัญญัติที่เรียกกันต่าง ๆ
ซึ่งสังขารทุก ๆ อย่างไม่จำเพาะแต่อัตตาเท่านั้น ต้นไม้ภู
เขาอะไรเป็นต้นดังกล่าวนั้นก็เหมือนกัน จึงไม่มี
ความจริงแท้อยู่ในตัวเป็นสมมติบัญญัติเท่านั้น
ตรัสสอนให้พิจารณาที่ตั้งของสมมติบัญญัติเหล่า
นั้นว่าเป็นตัวสังขารเป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง และ
ได้ทรงชี้มาดู
ให้รู้จักที่แห่งสมมติบัญญัติว่าอัตตาตัวตนคืออัตภาพอันนี้
โดยที่ตรัสสอนชี้แยกออกให้รู้จักว่าไม่มีตัวอัตภาพ
หรืออัตตาที่แท้จริง อยู่ในสังขาร
คือสิ่งผสมปรุงแต่งก้อนนี้กองนี้ โดย
ได้ตรัสชี้แยกออกไปว่าอันที่จริงนั้นประกอบขึ้น
ด้วยขันธ์คือกองทั้ง ๕ นั่นเป็นรูปนั่นเป็นเวทนา นั่น
เป็นสัญญา นั่นเป็นสังขาร นั่นเป็นวิญญาณ
เหมือนดังตรัสชี้ให้ดูเรือนว่า นั่นหลังคา นั่นฝา นั่นพื้น
นั่นเสา และชี้ให้ดูรถว่า นั่นล้อ นั่นตัวรถ
นั่นเครื่องประกอบต่าง ๆ ของรถ ให้ดูต้นไม้ว่า นั่น
เป็นกิ่ง เป็นก้าน เป็นลำต้น เป็นราก เป็นเปลือก
เป็นกระพี้ เป็นแก่น เป็นต้น ซึ่งมาประกอบกันเข้า
เป็นสังขารคือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งอย่างหนึ่ง ๆ
ตรัสสอนให้พิจารณาแยกสังขาร
และในอัตภาพอันนี้ก็ประกอบขึ้นด้วยขันธ์ ๕ ก็ตรัสชี้
ให้รู้จักว่าสิ่งที่มาประกอบนั้นอะไรบ้าง
ส่วนที่แข้นแข็งซึ่งประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้ง ๔ มีอาการ
๓๑ หรือ ๓๒ นี่เป็นกองรูป ดังกองรูปของทุก ๆ
คนที่นั่งกันอยู่นี้ ก็คือว่ากองรูปกองหนึ่งมากองกัน
อยู่ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ ประกอบด้วยอาการ ๓๑,
๓๒ เรียกแยกออกไปเป็นศีรษะเป็นแขเป็นขา
เป็นลำตัว เป็นต้น ก็มากองกันอยู่ นี่เป็นกองรูป
ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์
ไม่สุขก็เป็นกองเวทนา ความจำได้หมายรู้
รู้รูปรู้เสียงรู้กลิ่นรู้รสรู้โผฏฐัพพะรู้เรื่องราวต่าง
ๆ ก็เป็นกองสัญญา ความปรุงคิดหรือ
ความคิดปรุงต่าง ๆ ก็เป็นกองสังขาร ซึ่งเป็น
ความปรุงแต่งภายในจิต และกองความรู้สึกเมื่อตา
กับรูปประจวบกัน ก็เป็นความรู้รูปคือเห็นรูป หู
กับเสียงประจวบกันก็เป็นความรู้หรือได้ยินเสียง
เมื่อจมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายและสิ่งที่กายถูก
ต้องมาประจวบกัน ก็เกิดความรู้หรือทราบในกลิ่น
ในรสในโผฏฐัพพะ เมื่อมโนหรือใจ
กับธรรมะเรื่องราวมาประจวบกัน ก็เกิดความรู้
ในเรื่องที่ใจคิดรู้เหล่านั้น นั่นก็เป็นกองวิญญาณ
เพราะฉะนั้น ก็ขันธ์ ๕ เหล่านี้เองมาประกอบกันเข้า
ซึ่งเมื่อย่อเข้าแล้ว รูปก็เป็นรูป
เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็เป็นนาม ก็เป็นนามรูป
นี้เป็นสังขารคือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง
เป็นที่ตั้งแห่งสมมติบัญญัติว่าอัตตาตัวเราหรืออัตภาพ
และเมื่อขันธ์ ๕ เหล่านี้ยังประกอบกันอยู่
ไม่แตกสลายแยกกันออก สมมติบัญญัติว่าตัวเรา
อัตภาพ อัตตาก็ยังอยู่ ในเมื่อกองทั้ง ๕
เหล่านี้แตกสลายในเมื่อมรณะมาถึงนามก็ดับ
รูปก็แตกสลายไปโดยลำดับ
สมมติบัญญัติว่าอัตตาอัตภาพก็หายไป
กำหนดรู้ตามความเป็นจริงโดยไตรลักษณ์
ได้ตรัสสอนให้รู้จักพิจารณาแยกดั่งนี้ ให้รู้จักตาม
ความเป็นจริง นี้แหละคือวิปัสสนารู้แจ้งเห็นจริง ซึ่ง
จะต้องมีสมาธิ คือจะต้องมีจิตตั้งมั่นกำหนดอยู่
ในที่ตั้งแห่งสมมติบัญญัติว่าอัตตาหรืออัตภาพอันนี้
ให้รู้จักว่านี่รูป นี่เวทนา นี่สัญญา นี่สังขาร นี่วิญญาณ
มีชาติความเกิดเป็นเบื้องต้น มีชรา
ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงพร้อมทั้งพยาธิ
ในท่ามกลาง มีมรณะเป็นที่สุด เพราะฉะนั้นจึงเป็น
อนิจจะ ไม่เที่ยงต้องเกิดต้องดับ เป็น ทุกขะ
เป็นทุกข์คือทนอยู่คงที่ไม่ได้
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป บังคับให้
เป็นไปตามปรารถนามิได้ เพราะปรารถนา
นั้นก็ปรารถนาที่จะไม่ให้แก่ไม่ให้เจ็บไม่ให้ตาย
ก็ปรารถนาไม่ได้ ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย จึงเป็น
อนัตตา ไม่ใช่อัตตาตัวตน
ตรัสสอนให้รู้จักพิจารณา
ในที่ตั้งของสมมติบัญญัติดั่งนี้ และ
โดยเฉพาะข้อสำคัญก็คือสมมติบัญญัติว่าอัตตาตัวเราของเรา
ตัวเราก่อน แล้วก็มีของเรา แล้วก็จะมีตัวเขาของ
เขา และเมื่อพิจารณาให้รู้จักที่ตั้งของสมมติบัญญัติ
โดยเฉพาะที่ตัวเรานี้ตามความเป็นจริง
โดยไตรลักษณ์ดั่งนี้แล้ว ก็จะทำให้หายหลง
หายยึดถือ แต่เมื่อยังไม่ได้เห็นแจ้งจริง ก็ย่อมจะต้องมี
ความยึดถืออยู่ เป็นอัตตาวาทุปาทาน
อนึ่ง เมื่อมีอุปาทานนี้ ยังเป็นเหตุให้ถือเราถือเขา
ด้วยอำนาจมานะ จนเป็นเหตุถือพวกเป็นเหตุให้เกิด
ความแก่งแย่งวิวาทและอกุศลธรรมต่าง ๆ
อีกมากมาย
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๒ ธันวาคม ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 23:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๓ ความรู้จักอุปาทาน (๕)
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๑๓ ความรู้จักอุปาทาน (ต่อ)
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้
เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงอัตตวาทุปาทาน และได้กล่าว
ถึงศัพท์ธรรมะที่หมายถึงอุปาทานบางคำ เช่น
สักกายทิฏฐิ ความเห็นยึดถือกายของตน
แต่ว่าตามศัพท์ว่าสักกายทิฏฐิไม่มีคำว่ายึดถืออยู่
มีแต่คำว่าความเห็นว่ากายของตน แต่เมื่อแปลโดย
ความก็มักจะเติมคำว่ายึดถือเข้าด้วย
กับคำว่าอัตตานุทิฏฐิ ความตามเห็นว่าอัตตาตัวตน
กับอีกคำหนึ่งว่ามานะ
ความสำคัญหมายอย่างละเอียดก็คือ อัสมิมานะ
ความสำคัญหมายว่าเรามีเราเป็น บางแห่งก็เรียก
ด้วยถ้อยคำที่ยาวว่า อัสมิมานทิฏฐิ มานะ
และทิฏฐิว่าเรามีเราเป็น
สักกายทิฏฐิ ๒๐
จะได้แสดงคำว่า สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่ากายของตน
คำนี้แสดงเป็นสังโยชน์ข้อที่ ๑ ในสังโยชน์ ๑๐ และ
ได้มีคำอธิบายที่เป็นพระพุทธาธิบายในที่ทั้งปวงว่า
สักกายทิฏฐิ ๒๐ ก็คือทิฏฐิความเห็นว่ากายของตนในขันธ์

ขันธ์ ๕ นั้นก็ได้แก่ รูปขันธ์ กองรูป เวทนาขันธ์
กองเวทนา สัญญาขันธ์ กองสัญญา สังขารขันธ์
กองสังขาร วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ เป็น ๒๐
อย่างไร ก็คือ
เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตน คือเห็นว่ารูปเป็นตน เวทนาเป็นตน
สัญญาเป็นตน สังขารเป็นตน วิญญาณเป็นตน ก็ได้ ๕
ข้อ
เห็นว่าตนมีขันธ์ ๕ คือเห็นว่าตนมีรูป ตนมีเวทนา
ตนมีสัญญา ตนมีสังขาร ตนมีวิญญาณ ก็ได้อีก ๕
เห็นขันธ์ ๕ ในตน คือเห็นรูปในตน เห็นเวทนาในตน
เห็นสัญญาในตน เห็นสังขารในตน เห็นวิญญาณในตน
ก็เป็นอีก ๕
เห็นตนในขันธ์ ๕ คือเห็นตนในรูป เห็นตนในเวทนา
เห็นตนในสัญญา เห็นตนในสังขาร เห็นตนในวิญญาณ
ก็เป็นอีก ๕
ห้าสี่หนก็เป็น ๒๐ จึงเรียกว่าสักกายทิฏฐิ ๒๐
ความเห็นว่ากายของตน ๒๐
สักกายทิฏฐิเป็นอุปาทานขั้นต่ำ
สักกายทิฏฐินี้ที่แสดงเป็นสังโยชน์ก็แสดงว่า
พระโสดาบันละสังโยชน์ ๓ ข้างต้นได้ ก็คือละ
สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่ากายของตน
วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัยในพระรัตนตรัย
เป็นต้น
สีลัพพตปรามาส ความลูกคลำยึดถือศีล
และวัตร
พระโสดาบันนั้นเป็นอริยบุคคลขั้นที่ ๑ ซึ่งแสดงว่า
เป็นผู้ที่ไม่ตกต่ำ ไม่ไปเกิดในอบายคือไม่ไปเกิด
เป็นสัตว์นรกเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นเปรต
เป็นอสุรกายต่าง ๆ และ
จะท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในมนุษย์ในเทพซึ่ง
เป็นสุคติ ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง ก็จะบรรลุ
ถึงมรรคผลขั้นสูงสุด
เป็นพระอรหันต์ขีณาสพสิ้นชาติสิ้นภพ คือ
จะท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ต่อไปอีก
ก็ท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในสุคติภพทั้งหลาย
และจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพภายใน ๗
ชาติเป็นอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติไป
และโสดาบันบุคคลนี้ ในครั้งพุทธกาลที่แสดงไว้
ก็มีคฤหัสถ์บรรลุเป็นอันมาก และก็ยังเป็น
ผู้ครองเรือน มีภรรยา มีสามีเหมือนอย่างชาวบ้าน
ทั้งหลาย เพราะยังมีกามราคะมีปฏิฆะยังละไม่ได้
เพราะฉะนั้น สักกายทิฏฐิที่ละได้นั้นจึงไม่หมาย
ถึงว่าละอุปาทานได้ทั้งหมดและสักกายทิฏฐินั้น
หากหมายถึงอุปาทาน ก็หมายถึงอุปาทานที่เป็นขั้นแรก
หรือเป็นขั้นต่ำ ซึ่งเมื่อละได้ ก็ทำให้ไม่ละเมิดศีล ๕
ไม่มีอกุศลมูลคือโลภโกรธหลงอย่างแรง อัน
เป็นเหตุให้ละเมิดศีล ๕ อันจะนำให้ไปอบาย แต่ก็
ยังมีอุปาทานที่เป็นขั้นละเอียดซึ่งจะต้องละต่อไป
ละสักกายทิฏฐิได้ ก็ยังมีอัตตาตัวตนอยู่
ฉะนั้น จึงน่าคิดว่าท่านจึงใช้คำว่าสักกายทิฏฐิ
ความเห็นว่ากายของตน และแม้ว่าจะอธิบาย
เป็นสักกายทิฏฐิ ๒๐ คือความเห็นขันธ์ ๕ ว่าเป็นตน
เห็นตนว่ามีขันธ์ ๕ เห็นขันธ์ ๕ ในตน เห็นตนในขันธ์ ๕
และเมื่อละได้ ก็แสดงว่าละความเห็นดังกล่าวนั้นได้
มองเห็นขันธ์ ๕ ว่าเป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็มองเห็นอัตตาตัวตนว่า มิ
ใช่ขันธ์ ๕ ไม่มีขันธ์ ๕ เมื่อเป็นดั่งนี้ จึงส่องความว่า
ยังมีอัตตาตัวตนอยู่ แต่ว่าอัตตาตัวตนนั้นไม่ใช่ขันธ์ ๕
และขันธ์ ๕ ก็ไม่ใช่อัตตาตัวตน แต่ว่าอัตตาตัวตนนั้น
ยังมีอยู่ เมื่อยังมีอัตตาตัวตนอยู่ แม้จะมิใช่ขันธ์ ๕
หรือขันธ์ ๕ มิใช่อัตตาตัวตน เมื่อยังมีอัตตาตัวตน
อยู่ที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปกว่านั้น
คือที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปกว่าขันธ์ ๕ จึง
ยังมีกามราคะปฏิฆะเป็นต้น
ซึ่งอริยมรรคอริยผลขั้นสูงขึ้นไปจึงจะละ
ได้ขึ้นไปเป็นลำดับ แต่แม้เช่นนั้น เมื่อเห็นว่าขันธ์ ๕ มิ
ใช่อัตตาตัวตนหรืออัตตาตัวตน มิใช่ขันธ์ ๕ ดังกล่าว
ก็ทำให้ละวิจิกิจฉา ละสีลัพพตปรามาสได้ และ
ไม่บังเกิดอกุศลมูลคือโลภโกรธหลงอย่างแรงที่
เป็นเหตุแห่งกายทุจริตวจีทุจริตมโนทุจริตต่าง ๆ
ก็คือมีศีล ๕ โดยธรรมดา
เพราะฉะนั้น พิจารณาดูตามถ้อยคำดังกล่าวมานี้
พระโสดาบันท่านละสักกายทิฏฐิก็คือละอุปาทาน
ในขั้นที่ว่าขันธ์ ๕ มิใช่อัตตาตัวตน อัตตาตัวตนมิใช่ขันธ์
๕ แต่ว่าอัตตาตัวตนยังมีอยู่ และอัตตาตัวตนที่ท่านละ
ได้ที่เป็นสักกายทิฏฐิดั่งนี้ก็เป็นข้อที่
ให้บังเกิดผลดังกล่าวแล้ว เมื่อทำความเข้าใจดั่งนี้
ก็ย่อมจะเห็นว่าท่านจึงยังครองเรือนได้ และก็ยัง
ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ได้ถ้ายัง
ไม่บรรลุมรรคผลที่สูงขึ้นไปในภพชาติที่
เป็นโสดาบันบุคคลนั้น แต่ก็ไม่เกิน ๗
ชาติตามที่ท่านแสดงไว้
ละอุปาทานอย่างละเอียด จึงจะละอัตตาตัวตน
ได้หมด
และในสังโยชน์ ๑๐ นั้นเอง ที่เป็นสังโยชน์เบื้องบนที่
จะพึงละด้วยอรหัตตมรรคอรหัตตผล มีคำว่า
มานะ ก็คือสังโยชน์ ๑๐ นั้น
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ละได้
ด้วยโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ละได้ก็เป็น
โสดาบัน ละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง ๓ นั้นได้
ทำ ราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงมากขึ้นไปอีกได้ ก็
ด้วยสกทาคามิมรรค สกทาคามิผล ก็เป็น
สกทาคามีบุคคล
และเมื่อละเพิ่ม กามราคะ ปฏิฆะ ได้อีก ๒ รวมเป็น
๕ ก็ด้วยอนาคามิมรรค อนาคามิผล ก็เป็น
อนาคามีบุคคล
ทั้ง ๕ นี้ก็เป็นสังโยชน์เบื้องต่ำ ยังมีสังโยชน์เบื้องสูงอีก ๕
คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ละ
ได้ด้วยอรหัตตมรรค อรหัตตผล เป็น
พระอรหันต์ขีณาสพ
และมานะนี้เองที่กล่าวแล้วว่า
อย่างละเอียดก็คืออัสมิมานะ ความสำคัญ หมายว่า
เรามีเราเป็น ก็คือยึดถือว่าเรามีเราเป็น
เป็นอุปาทานอย่างละเอียด เมื่อละมานะนี้ได้ซึ่งรวม
อยู่ในสังโยชน์เบื้องสูง ๕ ข้อ ก็เป็นอันว่าละ
ความยึดถือว่าอัตตาตัวตนได้หมดจึงสำเร็จ
เป็นพระอรหันตขีณาสพ
ส่วนคำว่า อัตตานุทิฏฐิ ความตามเห็นว่าอัตตาตัวตน
และคำว่า อัตตวาทุปาทาน ความยึดถือวาทะว่าตัวตน
เป็นคำกลาง ๆ ครอบคลุมได้ถึงอุปาทาน
ความยึดถือทุกชั้นทั้งชั้นหยาบ ชั้นกลาง ชั้นละเอียด
เพราะฉะนั้น ศัพท์ธรรมะดังกล่าวนี้จึง
เป็นข้อที่ควรเพ่งพินิจพิจารณาให้เข้าใจ ถ้าไม่เช่นนั้น
แล้ว ก็ย่อมจะมี
ความสงสัยเช่นสงสัยว่าละสักกายทิฏฐิได้ ก็น่าจะไม่
ต้องครองบ้านครองเรือน ไม่
ต้องแต่งงานแต่งกายอย่างชาวบ้าน แต่ทำไมละได้
แล้วจึงยังครองเรือนเป็นชาวบ้านอยู่ได้ แต่เมื่อมี
ความเข้าใจในความหมาย
ถึงขั้นตอนของอุปาทานดังกล่าว
ว่ามีอย่างหยาบอย่างละเอียด ก็ย่อมจะเข้าใจ
ดับอัตตวาทุปาทาน ดับอุปาทานได้ทั้งหมด
และในอุปาทาน ๔ นี้ ข้อที่ ๔ อัตตวาทุปาทาน
ความถือมั่นหรือยึดถือวาทะว่าตนย่อมเป็นข้อสำคัญ
เมื่อมีข้อนี้อยู่จึงมีกามอันทำให้ยึดถือเป็นกามุปาทาน
จึงมีทิฏฐิคือความเห็นที่ผิดต่าง ๆ อันทำให้ยึดถือ
เป็นทิฏฐุปาทาน จึงมีศีลและวัตรต่าง ๆ
ที่ปฏิบัติอันทำให้ยึดถือเป็นสีลัพพตุปาทาน
เพราะเมื่อมี
ความยึดถือวาทะว่าตนยึดถือสมมติบัญญัติว่าตน
ก็คือยึดถือที่ตั้งของสมมติบัญญัตินั้น ๆ
ว่าตัวเราของเราที่ยึดถือนั้น จึงยังมีทิฏฐิคือ
ความเห็นที่ผิด ตั้งแต่อย่างหยาบจนถึงอย่างละเอียด
เพราะยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัว
ความจริงอันเป็นปรมัตถสัจจะดังที่กล่าวแล้วจึงมี
ความยึดถืออยู่ในความเห็นนั้นก็คือยึดถืออยู่ใน
ความเห็นว่าตัวเราของเรา ยึดอยู่
ในวาทะว่าตัวเราของเรา ยึดถืออยู่
ในที่ตั้งของสมมติบัญญัติของวาทะว่าตัวเราของเรานั้น
คือยังเห็นว่าตัวเราของเรามี เรามีเราเป็น และเมื่อ
เป็นดั่งนี้ ศีลที่ปฏิบัติวัตรที่ปฏิบัติ จะเป็นภาย
ในภายนอกพุทธศาสนาก็ตาม จะ
เป็นอย่างหยาบละเอียดก็ตาม จึงอดไม่ได้ที่จะ
เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่งเสริมสนับสนุนอัตตาตัวตน
คือตัวเราของเราที่ยึดถือไว้
นั้นเพื่อตัวเราของเราที่ยึดถือไว้นั้น
และศีลและวัตรที่ปฏิบัตินั้น
ในเบื้องต้นก็ย่อมอาจยึดถือศีล
และวัตรภายนอกพุทธศาสนาต่าง ๆ แต่เมื่อ
ได้สดับฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาของพระพุทธเจ้าได้
ความรู้มากขึ้น ก็มาปฏิบัติในศีลและวัตร
ในพุทธศาสนา แม้เช่นนั้นก็ยังทิ้งตนไม่ได้ เพราะ
ยังมีอัตตาตัวตนที่ยึดถืออยู่ ยังอาจจะไขว้เขวไปได้น้อย
หรือมาก แต่แม้ว่าไม่ไขว้เขวไปเลย ปฏิบัติในศีล
และวัตรที่เป็นมรรคมีองค์ ๘ เป็นศีล
เป็นสมาธิปัญญาอันถูกต้องจริงๆ และแม้ว่า
ไม่มุ่งมนุษย์สมบัติสวรรคสมบัติ แต่ก็
ยังมุ่งนิพพานสมบัติ ก็คือเพื่อให้ตนที่ยึดถือไว้นี้
บรรลุถึงนิพพาน บรรลุถึงมรรคผล
เพราะฉะนั้น ก็นับว่ายังเป็นสีลัพพตุปาทานอยู่ แต่
เป็นอย่างละเอียด เพราะฉะนั้น ท่านพระอานนท์ท่าน
จึงอธิบายในข้อว่า
ที่ตรัสสอนว่าให้อาศัยตัณหาละตัณหา ก็คือ
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมะด้วยปรารถนาว่า
ไฉนหนอเราจักบรรลุมรรคผลนิพพาน ดั่งนี้
จนกว่าที่จะได้ละอัตตวาทุปาทานนี้ได้ ถอนอัตตานุทิฏฐิ
ความเห็นว่าอัตตาตัวตนได้ ละมานะที่
เป็นอย่างละเอียดคืออัสมิมานะ หรือว่าอัสมิมานทิฏฐิ
ความสำคัญหมายความเห็นว่าเรามีเราเป็น ละ
ได้หมด ละอุปาทานได้หมด ดั่งนี้ จึงจะละกามได้หมด
ละทิฏฐิที่เป็นมิจฉาทิฏฐิได้หมดเพราะละอวิชชาได้
และละสีลัพพตุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในศีล
และวัตรได้ทุกอย่าง เพราะว่าเสร็จกิจที่จะ
ต้องปฏิบัติแล้ว เพราะฉะนั้น อุปาทานทั้ง ๔ นี้
จึงควรพิจารณาให้มีความเข้าใจ แม้จะยังละไม่ได้ ก็
ให้มีความเข้าใจ
และตั้งใจปฏิบัติตามที่ท่านพระสารีบุตรท่านแสดง
ไว้ต่อไปว่า
เหตุเกิดของอุปาทานก็คือตัณหา
ดับอุปาทานก็คือดับตัณหา
ทางปฏิบัติให้ถึงความดับอุปาทานก็คือมรรคมีองค์ ๘
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 09:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๔ ความรู้จักตัณหา
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๑๔ ความรู้จักตัณหา
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
ตามเถราธิบายแห่งท่านพระสารีบุตรมา
โดยลำดับ ท่านพระสารีบุตร
ได้แสดงอธิบายจบปัญหาหนึ่งแล้ว ภิกษุทั้งหลายก็
ได้กราบเรียนถามท่านยิ่งขึ้นไปอีก และท่านก็
ได้กล่าวว่า ยังมีปริยายอื่นยิ่งขึ้นไปอีก
และก็แสดงต่อไปอีกเป็นข้อ ๆ ขึ้นไป และท่านก็
ได้แสดงอธิบายตามหลักอริยสัจทั้ง ๔
และตามหลักปฏิจจสมุปบาทธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้น แสดงต่อจากที่ได้แสดงอธิบายแล้ว จึง
ถึงตอนที่ท่านพระสารีบุตรได้แสดงอธิบายว่า
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ก็คือรู้จักตัณหา
รู้จักเหตุเกิดแห่งตัณหา รู้จักความดับตัณหา
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับตัณหา
รู้จักตัณหานั้น ก็คือรู้จักรูปตัณหา ตัณหาในรูป
สัททตัณหา ตัณหาในเสียง คันธตัณหา ตัณหาในกลิ่น
รสตัณหา ตัณหาในรส โผฏฐัพพตัณหา ตัณหา
ในสิ่งที่ถูกต้อง ธรรมตัณหา คือตัณหา
ในธรรมารมณ์ อันได้แก่เรื่อง และท่าน
ได้แสดงอธิบายต่อไปว่า
รู้จักเหตุเกิดตัณหานั้น ก็คือรู้จักว่า
ความเกิดขึ้นแห่งตัณหา มีขึ้นก็เพราะ
ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา
และ ได้แสดงถึงความดับตัณหา ว่า
ความดับตัณหามีขึ้นก็เพราะดับเวทนา
แสดงทางปฏิบัติให้ถึงความดับตัณหา ว่ามีมรรคมีองค์
๘ คือมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบเป็นต้น
รู้จักตัณหา
จะได้แสดงอธิบายถึงข้อที่ว่า รู้จักตัณหา
คือรู้จักตัณหาในอายตนะภายนอกทั้ง ๖ หรือ
ในอารมณ์ทั้ง ๖ ตัณหานั้นพระพุทธเจ้า
ได้ตรัสอธิบายไว้ เช่นในปฐมเทศนามีใจความว่า ตัณหา
เป็นเหตุให้มีภพใหม่ ไปกับนันทิความเพลิน ราคะ
ความติดใจยินดี มีความอภินันท์คือเพลิดเพลินยินดียิ่ง
ๆ ในอารมณ์นั้น ๆ ได้แก่
กามตัณหา ตัณหาในกาม คือรูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย
หรือว่ารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
และธรรมารมณ์ คือ
เรื่องราวที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย
ภวตัณหา ตัณหาในภพ คือความเป็นนั่นเป็นนี่
วิภวตัณหา ตัณหาในวิภพ คือความไม่เป็นนั่นเป็นนี่
และ ตัณหา นั้นท่านมักแปลกันว่า ความทะยานอยาก
ความดิ้นรนของจิตใจ หรือแปล
กันอย่างธรรมดาว่า ความอยาก อธิบายตัณหาโดย
ทั่วไปก็มักอธิบายตามพระพุทธาธิบายดังกล่าว แต่
ในที่บางแห่ง ก็ได้มีพระพุทธาธิบายว่า ตัณหาคือตัณหา
ในอายตนะภายนอกทั้ง ๖
คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะคือสิ่งถูกต้อง
และธรรมะคือเรื่องราว หรือว่าในอารมณ์ ๖
ก็คืออายตนะภายนอก ๖ นั้นนั่นแหละ
อายตนะภายในภายนอก
ศัพท์ธรรมะนั้นเรียกว่าอายตนะ ก็โดยที่เรียกคู่
กับอายตนะ คือ อายตนะ นั้นแปลว่าที่ต่อ หรือว่า ต่อ
กัน แบ่งออกเป็นภายในก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
และมนะคือใจ ที่เป็นภายนอกก็ได้แก่รูป เสียง กลิ่น
รส โผฏฐัพพะสิ่งถูกต้อง และธรรมะคือเรื่องราว
เมื่อจัดเป็นคู่กัน
ตาก็คู่กับรูป คือตากับรูปนั้นต่อกัน
หูก็คู่กับเสียง เพราะว่าหูกับเสียงนั้นก็ต่อกัน
จมูกก็คู่กับกลิ่น เพราะจมูกกับกลิ่นนั้นก็ต่อกัน
ลิ้นก็คู่กับรส เพราะลิ้นกับรสนั้นก็ต่อกัน
กายก็คู่กับโผฏฐัพพะสิ่งที่ถูกต้อง เพราะกาย
กับโผฏฐัพพะนั้นก็ต่อกัน
มนะคือใจก็คู่กับธรรมะคือเรื่องราว เพราะมโน
หรือมนะคือใจกับธรรมะคือเรื่องราวนั้นต่อกัน
ฉะนั้นเมื่อต่อกันดั่งนี้ จึงเรียกว่าอายตนะ
อารมณ์ ๖
อีกอย่างหนึ่งเรียกว่าอารมณ์ คำว่า อารมณ์ นั้นได้แก่
เรื่องที่จิตคิด เรื่องที่จิตดำริ เรื่องที่จิตใจหมกมุ่นถึง
ครุ่นคิดถึง อันเป็นที่ตั้งของวิญญาณ ภาษาอภิธรรม
นั้นเรียกว่า อลัมพนะ ที่แปลว่า
เป็นเครื่องหน่วงของจิต และคำว่า อารมณ์ทั้ง ๖ นี้
ก็เรียกคู่กับ ทวาร ที่แปลว่า ประตู
ก็คือว่าอายตนะภายในอันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
และมนะคือใจนั้น นอกจากเรียกว่าอายตนะภายใน
แล้ว ยังเรียกว่าทวารทั้ง ๖ คือประตูทั้ง ๖ เช่นว่า
ตาก็เรียกว่าจักขุทวาร คือประตูตา เป็นต้น
และเมื่อเรียกจาว่าเป็นต้นว่าทวาร
ก็เรียกอายตนะภายนอกทั้ง ๖ ที่ต่อกันว่าอารมณ์
คือเรียกว่ารูปารมณ์ อารมณ์คือรูป เป็นต้น ฉะนั้น
คำว่าทวารกับอารมณ์จึงเป็นข้อที่เรียกคู่กัน
แต่ก็หมายถึงสิ่งอันเดียวกันหรือหมวดเดียวกัน
กับอายตนะภายในกับอายตนะภายนอกนั่นแหละ
ที่เรียกว่าทวารกับอารมณ์นั้นก็อาจมีปัญหาว่า
เป็นประตูของอะไร สำหรับอะไรที่จะเข้าไป
ก็ตอบว่าเป็นประตูสำหรับที่อารมณ์ทั้ง ๖ นั้นจะ
เข้าไปนั้นเอง เข้าไปสู่อะไร คือเข้าไปสู่จิต
หรือที่เรียกว่าวิญญาณ
ดังที่ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสแสดงไว้ว่า มีนครหนึ่ง
เจ้านครเรียกว่า นครสามี เจ้านครซึ่งได้ประทับ
อยู่กลางนครและได้มีฑูต
เข้าไปสู่นครทางทวารคือทางประตูแห่งนคร และ
ได้มีพระพุทธาธิบายว่า นครสามีเจ้านครนั้นก็คือจิต
และก็มีอธิบายสืบเนื่องกันว่าประตูแห่งนคร
นั้นก็คือทวารทั้ง ๖ ได้แก่
จักขุทวาร ประตูตา สำหรับอารมณ์คือรูปเข้าไป
โสตทวาร ประตูหู สำหรับอารมณ์คือเสียงเข้าไป
ฆานทวาร ประตูจมูก สำหรับอารมณ์คือกลิ่น
เข้าไป
ชิวหาทวาร ประตูลิ้น สำหรับอารมณ์คือรส
เข้าไป
กายทวาร ประตูกาย
สำหรับอารมณ์คือโผฏฐัพพะสิ่งที่ถูกต้องเข้าไป และ
มโนทวาร ประตูใจ
สำหรับที่อารมณ์คือธรรมะอันได้แก่เรื่องราว
เข้าไป
ก็เข้าไปสู่นครสามี เจ้านครก็คือจิต
หรือวิญญาณนี้เอง จิตหรือวิญญาณก็รับอารมณ์ที่
เข้าไปทางทวารทั้ง ๖ นี้
ตัณหาเกิดจากกระแสอารมณ์ผ่านทวารเข้าสู่จิต
แต่ว่าสำหรับจิตหรือวิญญาณสามัญนั้น
ยังมีอาสวกิเลส เพราะฉะนั้น เมื่ออารมณ์ทั้ง ๖
ผ่านทวารทั้ง ๖ เข้าสู่จิตใจหรือวิญญาณ
จึงเกิดตัณหาคือความดิ้นรนความทะยานอยาก หรือ
ความอยากในอารมณ์ที่เข้าไปนั้น เมื่ออารมณ์คือรูป
เข้าไปก็เกิดตัณหาในรูป เมื่ออารมณ์คือเสียงเข้าไป
ก็เกิดตัณหาในเสียง อารมณ์คือ กลิ่น คือรส
คือโผฏฐัพพะ คือธรรมะเรื่องราวเข้าไป
ก็เกิดตัณหาในกลิ่นในรสในโผฏฐัพพะและ
ในธรรมคือเรื่องราวนั้น ๆ ตัณหาจึงบังเกิดขึ้นดั่งนี้
และตัณหาที่บังเกิดขึ้นในอารมณ์ทั้ง ๖ ดังที่กล่าวมา
นั้น เมื่อเป็นอารมณ์ที่รักใคร่ปรารถนาพอใจก็เกิด
เป็นกามตัณหา และก็ย่อมเกิดภวตัณหา ต้องการจะ
เป็นเจ้า
เข้าเจ้าของอารมณ์ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจนั้น
คือต้องการเป็นนั่นเป็นนี่ในอันที่
จะครอบครองกามคือสิ่งที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ
ทั้งหลาย แต่ถ้าหากว่าอารมณ์เหล่านั้นไม่
เป็นที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ก็เกิดวิภวตัณหา
ความอยากที่จะให้อารมณ์เหล่านั้นสิ้นไปหมดไป ไม่
ต้องการที่จะเป็นนั่นเป็นนี่ ซึ่งจะต้องมีอารมณ์ที่
ไม่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจนั้น ๆ
ลักษณะของตัณหา
เมื่อรวมความเข้ามาแล้ว ก็เป็นความอยากที่จะดึง
เข้ามาที่จะนำเข้ามาเป็นตัวเราเป็นของเรา
นั้นอย่างหนึ่ง เป็นความอยากที่จะผลักออกไปให้พ้น
ในสิ่งที่ไม่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจที่เกลียดชัง
ไม่ต้องการนั้นอีกอย่างหนึ่ง จิตใจของสามัญชน
จึงมีอาการที่เรียกว่าเป็นความอยาก
ในอารมณ์ดังกล่าวมานี้ ที่จะดึงเข้ามาที่จะ
เป็นตัวเราของเรา และที่จะผลักออกไป ที่
จะทำลายให้หมดสิ้นไป อาการของ
ความอยากดังกล่าวนี้
จึงมีลักษณะที่ดิ้นรนกระสับกระส่ายกระวนกระวาย
จิตใจเคลื่อนไหวขยับเขยื้อนไปในอารมณ์ทั้งหลาย
ด้วยอาการต่าง ๆ ดังกล่าวนั้นอยู่เสมอ และเมื่อเป็น
ความอยากอย่างแรงที่มีอาการดังกล่าวที่จะดึง
เข้ามาที่จะได้มาที่จะครอบครองเป็นตัวเรา
เป็นของเรา ที่มีอาการดังกล่าวมานี้
เมื่อแรงก็เรียกว่าเป็นความทะยานอยาก
ความดิ้นรนก็มีมาก
ความทุรนทุรายกระสับกระส่ายก็มีมาก แต่เมื่อ
ไม่แรงก็มีน้อย คือดิ้นรนน้อยกระสับกระส่ายน้อย
กระวนกระวายน้อย แต่รวมความว่า จิตใจนั้นก็ย่อม
ไม่อยู่สงบไม่อยู่กับที่
แต่ว่าเคลื่อนไหวกระสับกระส่ายดิ้นรนไป
ด้วยอาการดังกล่าวมานี้ก็ไม่มีหยุด เช่นว่าเมื่อ
ได้สิ่งที่รักใคร่ปรารถนาพอใจได้เป็นเจ้า
เข้าเจ้าของได้ครอบครองสิ่งนี้ก็ไม่หยุดอยู่เพียงเท่า
นั้น สิ่งนี้ที่ได้นั้นครั้นได้มาแล้ว ความอยากในสิ่ง
นั้นก็สงบเพราะว่าได้แล้ว แต่ว่าก็ไม่สงบเพียงเท่านั้น
ยังอยากได้ในสิ่งอื่นเป็นสิ่งที่ ๒ เป็นสิ่งที่ ๓ เป็นสิ่งที่ ๔
เป็นสิ่งที่ ๕ ต่อ ๆ ไปอีก ต้องการที่จะได้ ต้องการที่จะ
เป็นเราของเราต้องการที่จะให้สิ่งที่ไม่ชอบหมดไป
อยู่เรื่อยไป
ผลของตัณหา
เพราะฉะนั้น
เมื่อพิจารณาดูกระแสของจิตอย่างละเอียดของตน
แล้ว ก็จะเห็นว่า อันกามก็ดี อันตัวเราของเราก็ดี
ย่อมบังเกิดขึ้นแลดับไปอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ ติดต่อ
กันตลอดไป กามและตัวเราของเราบังเกิดขึ้น
ในสิ่งที่ ๑ แล้วก็ดับไป กาม
และตัวเราของเราก็บังเกิดขึ้นในสิ่งที่ ๒
แล้วก็ดับไป บังเกิดขึ้นในสิ่งที่ ๓ แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น จึงตรัสแสดงว่า เป็นไปเพื่อภพใหม่
ภพก็คือความเป็น ความเป็นเราของเรา หรือ
เป็นตัวเรานั่นแหละ ใหม่อยู่เสมอ
คือตัวเราของเราบังเกิดขึ้นใหม่ในสิ่งนั้น ๆ
อยู่ตลอดเวลาไม่มีหยุด ตัวเราของเราบังเกิดขึ้น
ในสิ่งนี้ ทั้งมีความติดใจมีความเพลิดเพลิน ทั้งมี
ความอภินันท์บันเทิงยินดียิ่ง ๆ ขึ้นไปในอารมณ์นั้น ๆ
อยู่เรื่อยไป อาการดั่งนี้เป็นอาการที่เรียกว่าตัณหา
มีอยู่ในจิตใจของสามัญชนทั่วไป
และตัณหานี้ก็บังเกิดขึ้นเพราะเวทนา ดับเวทนา
ได้ก็ดับตัณหาได้ แต่ว่าจะดับได้ก็เพราะปฏิบัติ
ในมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 09:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๕ ความรู้จักตัณหา (๒)
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๑๕ ความรู้จักตัณหา (ต่อ)
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ทบทวนเรื่องตัณหา
ได้แสดงพระเถราธิบายของพระสารีบุตร
ในเรื่องสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบถึงตอนที่
ความเห็นชอบก็คือ ความรู้จักตัณหา
รู้จักเหตุเกิดตัณหา รู้จักความดับตัณหา
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับตัณหา
และกำลังอธิบาย
ถึงตัณหาที่มีพระเถราธิบายยกเอาตัณหา ๖ ตัณหา
ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส
ในโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้อง และ
ในธรรมะคือเรื่องราว และก็ได้อธิบายถึงตัณหา
๓ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสอธิบายไว้ ตั้งแต่
ในปฐมเทศนา คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
และแสดงลักษณะของตัณหา อันกล่าว
ถึงผลของตัณหาและสิ่งที่ไปด้วยกันกับตัณหากับ
ความเจริญของตัณหา
ผลของตัณหานั้น ก็คือเพื่อเป็นไปเพื่อภพใหม่
สิ่งที่ไปด้วยกันกับตัณหานั้น ก็ได้แก่ นันทิ ความเพลิน
ราคะ ความติดใจยินดี
ความเจริญของตัณหานั้น ก็คือความที่มีความอภินันท์
ยินดียิ่ง ๆ ขึ้นไปในอารมณ์นั้น ๆ
ตัณหาย่อมให้ผลเป็นไปเพื่อภพใหม่ทั้งในปัจจุบันทั้ง
ในภายหน้า และก็มีนันทิความเพลิน มีราคะ
ความติดใจยินดีไปด้วยกัน เหมือนอย่างเป็นสหายกัน
กับมีความเจริญงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นด้วย
ความยินดีเพลิดเพลินไปในอารมณ์นั้น ๆ กามตัณหา
ภวตัณหา วิภวตัณหา ย่อมมีลักษณะดังกล่าวมานี้
โลกกับตัณหา
และก็พึงทราบต่อไปอีกว่า อันตัณหานั้นเป็นข้อที่คู่
กับโลกและย่อมมีอยู่ในสัตวโลกทั้งหมด เพราะฉะ
นั้น จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลก ต้องเป็นไปอยู่
ในโลก โลกจึงมีตัณหา และสัตวโลกจึงมีตัณหา
สิ้นตัณหาเสียเมื่อใดก็เป็น โลกุตตระ
คือพ้นโลกเหนือโลก สัตวโลกก็ยุติความ
เป็นสัตวโลก มาเป็นโลกุตตระเหนือโลก เพราะฉะ
นั้น โลกกับตัณหาจึงเป็นสิ่งที่ต้องประกอบกันอยู่
ลักษณะการรับอารมณ์ของตัณหา
อันลักษณะที่แท้จริงของตัณหานั้น ก็คือ
ความที่กระเสือกกระสน ไม่หยุดอยู่กับที่เคลื่อนที่ ฉะ
นั้น จึงได้มีแสดงถึงลักษณะดังกล่าว
ของทางร่างกายก็มี ของทางจิตใจก็มี
ของทางร่างกายนั้น ก็มีแสดงถึง สัตว์ ๒ จำพวก คือ
สัตว์ที่เรียกว่า ตสา เคลื่อนที่ได้จำพวกหนึ่ง
สัตว์ที่เรียกว่า ถาวรา อยู่กับที่ คือถาวรเคลื่อนที่ไม่
ได้ อีกจำพวกหนึ่ง
สัตว์ที่เรียกว่า ตสา จำพวกเคลื่อนที่ได้นั้น ก็เช่นมนุษย์
สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายทั้งบนบกและ
ในน้ำที่เคลื่อนที่ได้ เช่นมนุษย์และสัตว์บก
ทั้งหลายก็เคลื่อนที่ได้ เดินวิ่งไปโน่นไปนี่ได้
ส่วนสัตว์จำพวกที่เคลื่อนที่ไม่ได้อันเรียกว่า ถาวรา
หรือถาวรอยู่กับที่นั้น ก็เช่นสัตว์น้ำบางชนิดที่เกิดติด
อยู่กับที่ เช่นหอยบางชนิด เช่นหอยนางรมเกิดติดอยู่
กับที่ เช่นติดอยู่กับก้อนหินในทะเล ในน้ำ
เคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้ เรียกว่า ถาวระหรือถาวรา
ได้มีแสดงไว้ในเมตตสูตร
ตสา วา ถาวรา วา สัตว์ที่เคลื่อนที่ได้
และสัตว์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้
ที่ให้แผ่เมตตาจิตออกไปในสัตว์ทั้งหมดเหล่านี้
สัตว์จำพวกที่เรียกว่า ตสา เคลื่อนที่ได้นั้นก็
เป็นคำเดียวกับคำว่า ตัณหา แต่นั่นหมายถึงทางร่างกาย
ส่วนทางจิตใจนั้น จิตใจของปุถุชนสามัญชน ก็
เป็นจิตใจที่เรียกว่า ตสา คือเคลื่อนที่
เพราะมีตัณหาที่ทำให้เคลื่อนที่ที่มีอาการอันเรียก
กันว่าดิ้นรน กวัดแกว่ง กระสับกระส่าย
แต่ว่าคำเหล่านี้แสดงอาการที่เคลื่อนที่อย่างรุนแรง
แม้ว่าจะเคลื่อนที่อย่างไม่รุนแรง ก็เป็นตัณหาเหมือน
กัน
คือมีอาการที่เคลื่อนออกไปรับอารมณ์จับอารมณ์
นั้น ๆ โดยเฉพาะก็คือออกไปรับอารมณ์จับอารมณ์ ๖
มีรูปารมณ์ อารมณ์ คือรูปเป็นต้น
ที่มาประสบทางตาเป็นต้น แต่ว่าก็จำเป็นที่จะต้อง
ใช้ศัพท์ใดศัพท์หนึ่งเพื่อให้เป็นที่เข้าใจในลักษณะของ
ตัณหา ดังที่กล่าวมานี้ จึงแปลกันว่า ความอยาก
และเมื่อมุ่งถึงลักษณะที่แรง ก็เรียกว่า
ทะยานอยาก หรือแปลว่า ดิ้นรน กวัดแกว่ง
กระสับกระส่าย แต่อันที่จริงนั้นแปลว่าความอยาก
เท่านั้นก็เพียงพอ คือเป็นความประสงค์ความ
ต้องการยื่นออกไปจับหรือรับอารมณ์ดังกล่าว
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
และอารมณ์ที่ออกไปรับไปจับนั้น เมื่อกล่าว
เป็นกลาง ๆ ก็คืออารมณ์ ๖ รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ธรรมะคือเรื่องราว ดังที่กล่าวมานั้น
และเพื่อให้ชัดขึ้นว่าอารมณ์ที่ตัณหาประสงค์
ต้องการหรือที่อยากก็คืออารมณ์ที่เป็นกาม
ที่แปลว่าน่ารักใคร่หรือเป็นที่รักใคร่ เพราะฉะ
นั้น เพื่อให้ชัดจึงได้เรียกว่ากามตัณหาตัณหาในกาม
คืออารมณ์ที่เป็นที่รักใคร่ ที่น่ารักใคร่
และยิ่งขึ้นไปกว่านี้ ก็ยังประสงค์ต้องการเป็นนั่น
เป็นนี่ จึงได้มีแสดงภวตัณหา ตัณหาในภพ เป็นนั่นเป็นนี่
และที่เป็นนั่นเป็นนี่นั้น ก่อนที่จะเป็นนั่นเป็นนี่อะไรก็
ต้องเป็นเราขึ้นก่อน ตัณหาในภพนั้นจึงตั้งต้น
ด้วยตัณหาในความเป็นเรา คือตัณหาในความที่
เป็นตัวเรา และเมื่อมีตัวเราขึ้น ก็ต้องมีความอยากที่
จะให้ตัวเรานี้เป็นนั่นเป็นนี่ต่อไปอีก และก็มิใช่แต่เท่า
นั้น เมื่อไม่ได้ตามต้องการตามอยาก ไม่เป็นตาม
ต้องการตามอยาก ก็ต้องการที่จะให้สิ่งที่ขัดขวาง
ทั้งหลาย ต้องการที่จะให้สิ่งที่ไม่ชอบ
ทั้งหลายสิ้นไปหมดไป ต้องการที่จะไม่เป็นตามที่
ไม่ชอบจะเป็นไม่อยากจะเป็น ก็เป็นวิภวตัณหาขึ้นมา
ความอิ่มด้วยตัณหาไม่มี
พระพุทธเจ้าทรงจำแนกแจกธรรม ก็ทรงจำแนก
ให้เห็นชัดว่าอยากอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในบรรดาอยากเหล่านี้ก็เป็นตัณหาทั้งนั้น
จนกระทั่งอยากดำรงชีวิตอยู่นานก็เป็นตัณหา
อยากตายก็เป็นตัณหา อยากดำรงชีวิตอยู่นานก็
เป็นกามตัณหาเป็นภวตัณหา อยากตายก็เป็นวิภวตัณหา
เมื่อยังเป็นสัตวโลกอยู่ก็จะต้องมีตัณหาดังที่กล่าวมานี้
แม้ว่าต้องการมรรคผลนิพพาน ความต้องการ
นั้นบังเกิดขึ้นว่า เมื่อไรจะได้มรรคได้ผล
ได้นิพพานก็เป็นตัณหาเหมือนกัน และแม้ว่าจะ
ได้อริยมรรคอริยผลเป็นพระโสดาบัน
เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี
ก็ละตัณหาหยาบ ๆ ได้ไปโดยลำดับ แต่ก็ยังมีตัณหา
ในมรรคผลนิพพานที่ยังไม่ได้ เมื่อมี
ความอยากว่าเมื่อไรจะได้ ก็เป็นตัณหาเหมือนกัน
เป็นอย่างละเอียด ก็แปลว่ายังมีตัณหาอยู่เพราะว่า
ยังไม่เสร็จกิจ ท่านจึงแสดงว่า
ให้อาศัยตัณหาละตัณหา เพราะฉะนั้น ตัณหานั้นจึง
เป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กับโลก คู่กับสัตวโลกดั่งนี้ ใคร
จะอยากมีหรือไม่อยากมีก็ต้องมี ในเมื่อยัง
เป็นสัตวโลก หรือว่าเป็นอริยบุคคลแล้วก็ตาม
แต่ว่ายังไม่ถึงมรรคผลนิพพานที่เป็น
ถึงขั้นพระอรหันต์ ก็ยังจะต้องมีกันอยู่ตามชั้น
เพราะฉะนั้นในขั้นปฏิบัตินั้น ท่านจึงสอน
ให้อาศัยตัณหาละตัณหา และก็ได้มีสอนไว้ว่า
สัตวโลกทั่วไปนั้นมีจิตใจที่พร่อง ตัณหาทาสะ
เป็นทาสของตัณหา
มีจิตใจที่พร่องนั้น ก็คือมีความอยากมีความต้องการ
ไม่เต็มไม่อิ่ม ไม่เพียงพอ เมื่อเป็นดั่งนี้ จิตใจจึงมี
ความกระหาย มีความอยากใคร่จะได้ใคร่จะเป็นต่าง
ๆ ใคร่ที่จะทำลายล้างสิ่งที่ขัดขวางต่าง ๆ
เพราะว่าพร่องไม่เต็มไม่อิ่มไม่พอและก็
ยังมีตรัสเอาไว้อีกว่าความอิ่มด้วยตัณหาไม่มีเหมือนไฟ
ไม่อิ่มด้วยเชื้อ เอาเชื้อมาสุมเข้ามากเท่าใด
ไฟก็ลุกโตขึ้นก็กินเชื้อมากขึ้น ไม่มีที่จะอิ่ม ไม่มีที่จะพอ
ยิ่งสุมไฟใส่เชื้อมากขึ้นไฟก็กองโตขึ้น ฉะนั้น เมื่อ
เป็นทาสของตัณหา ตัณหาสั่งให้แสวงหาต่าง ๆ
ตามที่อยากตามที่ต้องการ ได้มาเท่าไรก็ไม่พอ
ต้องการเพิ่มเติมขึ้นอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น โลกทั่วไป
จึงเรียกว่าเป็นโลกที่พร่องและเป็นทาสของตัณหา
ตัณหาในทุกข์
สิ่งทั้งปวงที่ตัณหาต้องการจะได้ต้องการจะเป็น
ก็รวมเรียกอยู่ในคำเดียวว่า ทุกข์ คือ ทุกขอริยสัจ
อริยสัจข้อทุกข์ รวมอยู่ในคำนี้ คือเป็น ตัณหาในทุกข์
แต่ว่าเพราะยังมองไม่เห็นว่าสิ่งที่อยากจะได้อยากจะ
เป็นนั้นเป็นตัวทุกข์ จึงต้องการ เพราะฉะนั้น
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนชี้ให้รู้จักทุกข์ไว้
เป็นข้อสำคัญ ดังที่ตรัสแสดงชี้ให้รู้จักทุกข์ไว้
ในอริยสัจจะข้อที่ ๑ คือทุกขสัจจะ ตั้งต้นแต่สภาวทุกข์
ชาติคือความเกิดเป็นทุกข์ ชราความแก่เป็นทุกข์
มรณะความตายเป็นทุกข์โสกะความแห้งใจ ปริเทวะ
ความรัญจวนคร่ำครวญใจ ทุกขะความ
ไม่สบายกายโทมนัสสะความไม่สบายใจ อุปายาสะ
ความคับแค้นใจเป็นทุกข์ ความประจวบกับสิ่งที่ไม่
เป็นที่รักทั้งหลายเป็นทุกข์ ความพลัดพราก
จากสิ่งที่เป็นที่รักทั้งหลายเป็นทุกข์ ปรารถนาไม่
ได้สมหวังเป็นทุกข์
โดยย่อ ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเป็นทุกข์ ก็
ได้แก่ รูปขันธ์ กองรูป เวทนาขันธ์ กองเวทนา
สัญญาขันธ์ กองสัญญา สังขารขันธ์ กองสังขาร
วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ
และนอกจากนี้ยังได้ตรัสชี้แจงให้รู้จักทุกข์
ยกเอาอายตนะธาตุเป็นต้นขึ้นมาชี้ ตลอดจน
ถึงยกเอาโลกขึ้นมาชี้ว่าเป็นทุกข์
เพราะว่าที่ชื่อว่าโลกนั้นก็เป็นทั้งหมดเหล่านี้
และตัวคำว่า โลก เองนั้นก็แปลว่า สิ่งที่ชำรุด สิ่ง
ใดชำรุดสิ่งนั้นชื่อว่าโลก ลุชฺชตีติ โลโก
ยกเอาโลกคือขันธ์ อันเรียกว่า ขันธโลก คือ อัตภาพ
ร่างกาย นามกาย คือขันธ์ ๕ ของทุก ๆ คนนี้
เป็นตัวอย่าง เป็นขันธโลก ต้องเป็นทุกข์
โดยสภาพเกิดแก่ตาย และจิตใจเอง
นั้นก็มีโสกะปริเทวะ เป็นต้น ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่
เป็นที่รัก ต้องประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก
ปรารถนาไม่ได้สมหวัง เพราะฉะนั้นจึง
ต้องประสบสิ่งที่ไม่พอใจไม่ชอบใจ ที่ไม่สบายใจ
และสิ่งที่ไม่สบายกายอยู่เสมอ
ปัญหาต่าง ๆ อุปสรรคต่าง ๆ ที่บังเกิดขึ้นในทางต่าง ๆ
ของชีวิต ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นตัวทุกข์นี้ทั้งสิ้น
คือเป็นสิ่งที่ไม่สบายกายไม่สบายใจ ที่
ไม่ชอบใจที่เบียดเบียน ทุกคนจึงต้องพบปัญหาต่าง ๆ
ต้องแก้กันอยู่ทั้งภายในทั้งภายนอก ซึ่งปัญหาต่าง ๆ
เหล่านั้นก็คือตัวทุกข์นี้เอง แก้อย่างนี้ตกแล้วก็
ต้องเกิดปัญหาอย่างนั้น แก้อย่างนั้นแล้วก็
ต้องเกิดปัญหาอย่างนี้ แก้อย่างนี้อยู่ตลอดทุกวี่ทุกวัน
ตั้งต้นแต่ตื่นขึ้นมาก็
ต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องของทุก ๆ คน
เมื่อแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องมื้อเช้าเสร็จไปแล้ว ก็
ต้องมาแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องมื้อกลางวันมื้อเย็น
ในวันนี้ต่อไปอีกตลอดวัน แล้วก็จะ
ต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องพรุ่งนี้มะรืนนี้ดังกล่าวมานี้ต่อไปอีก
ไม่ใช่ว่าแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ปากท้องมื้อเช้ามื้อหนึ่งได้แล้ว
ก็เสร็จกันเท่านั้น ก็เกิดปัญหาขึ้นมาอีก
หิวกระหายขึ้นมาอีก ก็ต้องแก้ให้ดื่มให้บริโภคให้อิ่ม
นอกจากนี้ก็ต้องมีพักผ่อนหลับนอน จะ
ต้องมีเครื่องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่หนาวร้อนต่าง ๆ
มีเสื้อผ้า ต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่โรคภัยไข้เจ็บ นอก
จากนี้เมื่อทำการงาน ก็จะ
ต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่การงานต่าง ๆ และ
ต้องแก้ปัญหาเกี่ยวแก่ตัณหาเองที่ก่อขึ้น เช่นตัณหา
นั้นเองต้องการอยากให้ทำนั่นทำนี่เพื่อที่จะได้นั่น
ได้นี่เพื่อที่จะเป็นนั่นเป็นนี่ ครั้นได้นั่นได้นี่มา ได้เป็นนั่น
เป็นนี่มา ก็เกิดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่ได้สิ่งที่เป็นนั้น ซึ่งจะ
ต้องแก้กันไปอีก ก็เรียกว่า ตัณหาก่อปัญหา แก้
แล้วตัณหาก็ก่อปัญหาขึ้นอีก
ทรงชี้ให้รู้จักทุกข์
เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงต้องพบกับตัวทุกข์
อย่างละเอียดบ้างอย่างหยาบบ้าง แล้วก็ต้องแก้ทุกข์
กันไปคราวหนึ่ง ๆ แล้วก็ต้องแก้กันใหม่อีก เพราะฉะ
นั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงชี้ให้รู้จักทุกข์อันนี้แหละ
เป็นข้อสำคัญ ว่าเป็นสิ่งที่มีครอบคลุมกันอยู่ทั่วไป
ทั้งหมด และก็เนื่องมาจากตัณหานี้ เพราะฉะนั้น
ตัณหานี้แม้ว่าจะจำแนกออกไปเป็นตัณหาในอารมณ์ ๖
มีรูปเป็นต้น หรือเป็นตัณหา ๓ อันมีลักษณะที่
ให้เกิดผลเป็นภพใหม่ เป็นใหม่ ที่มีเพื่อนมิตรสหายไป
ด้วยกันอยู่ตลอดเวลาก็คือ นันทิ ความเพลิน ราคะ
ความติดใจยินดี แล้วก็เติบโตยิ่งขึ้น ๆ
ทั้งมีลักษณะที่ทำให้พร่องไม่เต็ม ทำให้บุคคล
หรือจิตใจนี้เป็นทาส คอยรับใช้ตัณหา
อยู่ตลอดเวลา และสิ่งทั้งปวงที่ตัณหาต้องการจะ
ได้ต้องการจะเป็นทั้งปวงนั้น ก็คือทุกข์ทั้งนั้น
ก็เรียกว่าเป็นตัณหาในทุกข์ และที่เกิดใหม่ ที่
เป็นไปเพื่อความเกิดใหม่ คือภพใหม่ เป็นใหม่นั้นก็
เป็นทุกข์ใหม่ เป็นทุกข์ใหม่สืบ ๆ กันขึ้นไปนั้นเอง แต่
เพราะเหตุที่ยังมีตัวสหายที่ไปด้วยกัน คือ นันทิ
ความเพลิน ราคะ ความติดใจยินดี จึง
ยังทิ้งตัวทุกข์ที่อยากที่ต้องการนั้นไม่ได้ ก็เรียกว่า
ยังเพลินยังติดใจยินดีอยู่ในตัวทุกข์ โลกก็เป็นไปกัน
อยู่ดั่งนี้และก็เป็นไปเพื่อภพใหม่ ภพก็คือ ความเป็น เป็น
ใหม่ ก็คือเป็นทุกข์ใหม่เป็นทุกข์ใหม่กันอยู่เรื่อย ๆ ไป
ไม่สิ้นสุด
ปฏิบัติโพชฌงค์เพื่อละตัณหาละทุกข์
เพราะฉะนั้น ความที่มามีสติระลึกได้ เอาว่าระลึก
ได้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนดังที่นำมาแสดงนี้
ส่วนหนึ่ง และก็หัดวิจัยธรรมเลือกเฟ้นธรรม
ก็ย่อมจะได้ปัญญารู้จักทุกข์ รู้จักตัณหายิ่งขึ้น ทำให้
ได้ความเพียรในอันที่
จะปฏิบัติละตัณหาละทุกข์ยิ่งขึ้น จะทำให้ได้ปีติ
ความดูดดื่มในธรรม ความอิ่มกายอิ่มใจ ได้
ความสงบกายสงบใจ ได้สมาธิและได้ตัวอุเบกขา
ความที่มีจิตใจสงบอยู่ในภายในได้มากขึ้นวางได้มากขึ้น
เฉยได้มากขึ้น แปลว่าลดความวุ่นวาย ลด
ความที่ยึดถือต่าง ๆ ลงไปได้ นี่แหละเป็นตัว อุเบกขา
ก็เป็น โพชฌงค์ แล้วก็ส่งให้เป็น สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบยิ่ง ๆ ขึ้น ตั้งต้นแต่ความเห็นชอบ
ในบาปบุญคุณโทษประโยชน์มิใช่ประโยชน์ จนถึง
ในอริยสัจทั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
ตลอดจนถึง
ในพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตร
ได้ชัดเจนขึ้น
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด ตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร