วันเวลาปัจจุบัน 17 ก.ค. 2025, 21:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ต่อให้เขียนวิริศมาหรา แค่ไหน
ตามความรู้ที่ได้เรียน ได้ศึกษามา ของผู้เขียน

ก็เป็นเพียง ใบไม้นอกกำมือ
เพราะไม่สามารถนำไปกระทำ ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

อุปมา น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง

เหตุของ การสร้างความหลงให้แก่ผู้อื่น
เหตุของไม่รู้ชัดในสัญญา หลงกกกอด คิดว่าเป็น ปัญญา

ลาภ ยศ สรรเสริญ กิเลสบดบังสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
จึงเป็นที่มาของ ใบไม้นอกกำมือ เพราะเหตุนี้(มีแต่สัญญา)

ผู้ที่มีเหตุปัจจัยต่อกัน(เคยกระทำมาร่วมกัน)
เป็นเหตุปัจจัยให้ มาเชื่อกัน จึงกอดคอกันหลง
จมแม่น้ำตัณหา ตามกันไปด้วย



ไม่เป็นไรๆพอรับได้ มาเสริมมาแทรกหลังจากจบถ้อยกระทงความแล้ว ดังนั้นจะขอสนทนากับสาวปากน้ำสะหน่อย คิกๆ

แต่ก่อนจะสนทนากันฟังเพลง ลาทีปากน้ำก่อน

http://www.youtube.com/watch?v=xu28ckKdupI&feature=kp

เอาละทีนี้ถามนะ

อ้างคำพูด:
ก็เป็นเพียง ใบไม้นอกกำมือ
เพราะไม่สามารถนำไปกระทำ ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้


ช่วยบอกวิธีกระทำที่สุดทุกข์หน่อยครับ ทำยังไง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฉบมานี่ ถามที่นี่ บินหนีไปโน่น ทำเหมือนนกนางนวล ซึ่งบินถลาหาเหยื่อตามริมฝั่งทะเล บินถลาร่อนไปเห็นปลาแว้บๆ ปักหัวดิ่งลงน้ำกินเหยื่อฉันใด วลัยพรก็ฉันนั้น คิกๆๆ โฉบมานี่ พอเราถามถลาไปโน่น ไม่ตอบ ไหนๆมาตอบใบไม้ในกำมือหน่อยเอ้า ปู้โธ่ :b13:

ธรรมเจริญ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ต่อให้เขียนวิริศมาหรา แค่ไหน
ตามความรู้ที่ได้เรียน ได้ศึกษามา ของผู้เขียน

ก็เป็นเพียง ใบไม้นอกกำมือ
เพราะไม่สามารถนำไปกระทำ ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

อุปมา น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง

เหตุของ การสร้างความหลงให้แก่ผู้อื่น
เหตุของไม่รู้ชัดในสัญญา หลงกกกอด คิดว่าเป็น ปัญญา

ลาภ ยศ สรรเสริญ กิเลสบดบังสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
จึงเป็นที่มาของ ใบไม้นอกกำมือ เพราะเหตุนี้ (มีแต่สัญญา)

ผู้ที่มีเหตุปัจจัยต่อกัน(เคยกระทำมาร่วมกัน)
เป็นเหตุปัจจัยให้ มาเชื่อกัน จึงกอดคอกันหลง
จมแม่น้ำตัณหา ตามกันไปด้วย



ไหนลองแหย่อีกสักดอกสิ จะไปทางไหน เห็นพูดบ้อยบ่อย "สัญญา สัญญา"

หมายถึงอะไรครับ ที่ว่ามีแต่สัญญาน่ะ เอาชัดๆแบบไม่ต้องส่งให้ ตลก.ตีความอีกน่า มีแต่สัญญา ไม่ต้องมี (หนังสือ) สัญญายังงั้นใช่มั้ย ยืมปากเปล่า หรือยังไง อธิบาย :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 09:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ต่อให้เขียนวิริศมาหรา แค่ไหน
ตามความรู้ที่ได้เรียน ได้ศึกษามา ของผู้เขียน

ก็เป็นเพียง ใบไม้นอกกำมือ
เพราะไม่สามารถนำไปกระทำ ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

อุปมา น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง

เหตุของ การสร้างความหลงให้แก่ผู้อื่น
เหตุของไม่รู้ชัดในสัญญา หลงกกกอด คิดว่าเป็น ปัญญา

ลาภ ยศ สรรเสริญ กิเลสบดบังสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
จึงเป็นที่มาของ ใบไม้นอกกำมือ เพราะเหตุนี้(มีแต่สัญญา)

ผู้ที่มีเหตุปัจจัยต่อกัน(เคยกระทำมาร่วมกัน)
เป็นเหตุปัจจัยให้ มาเชื่อกัน จึงกอดคอกันหลง
จมแม่น้ำตัณหา ตามกันไปด้วย

พี่วลัยพรนี่หวังดีต่อผู้อื่นหรือแค่เข้ามาถ่มน้ำลายรดหัวคนอื่นเจ้าค่ะ ถามจากใจ :b10: เพราะเห็นชอบพูดจัง ไม่สามารถดับเหตุให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ พี่ไปเดาจิตเดาใจคนอื่นได้ขนาดนั้นหรือเจ้าค่ะว่าใครดับเหตุได้ดับเหตุไม่ได้ ถ้ากัลยามิตรเค้ามีเมตตาต่อสหายธรรมแล้วเอาธรรมมาเผยแพร่คนอื่นนี้เรียกว่าสร้างเหตุออกไปหรือเปล่าเจ้าค่ะ แล้วรู้ได้ไงว่าเค้าไม่สามารถทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ :b10: แบบนี้มันก็เข้าตัวพี่วลัยพรเองคือ ชอบกระทำเหตุของตนให้เกิดขึ้นเพื่อความอยากดับเหตุให้ผู้อื่น ไม่งั้นคงไม่มีประโยคสีแดงหรอกเจ้าค่ะ แล้วให้เรียกว่าเมตตาผู้อื่นหรือตัณหาดีล่ะเจ้าค่ะ แล้วแบบนี้เรียกว่าสร้างเหตุนอกตัวป่าวเจ้าค่ะ ส่วนใครจะกอดคอกันจะจมน้ำตามกันไม่ต้องห่วงหรอกพี่วลัยพร ทุกคนที่เข้ามาในลานธรรมแห่งนี้ เค้าไม่จมน้ำตายหรอก เค้าว่ายน้ำเป็นกันอยู่แล้วเชื่อดิ ส่วนใครจะว่ายถึงก่อนก็เป็นเหตุของผู้นั้น จริงป่ะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
walaiporn เขียน:
ต่อให้เขียนวิริศมาหรา แค่ไหน
ตามความรู้ที่ได้เรียน ได้ศึกษามา ของผู้เขียน

ก็เป็นเพียง ใบไม้นอกกำมือ
เพราะไม่สามารถนำไปกระทำ ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

อุปมา น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง

เหตุของ การสร้างความหลงให้แก่ผู้อื่น
เหตุของไม่รู้ชัดในสัญญา หลงกกกอด คิดว่าเป็น ปัญญา

ลาภ ยศ สรรเสริญ กิเลสบดบังสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
จึงเป็นที่มาของ ใบไม้นอกกำมือ เพราะเหตุนี้(มีแต่สัญญา)

ผู้ที่มีเหตุปัจจัยต่อกัน(เคยกระทำมาร่วมกัน)
เป็นเหตุปัจจัยให้ มาเชื่อกัน จึงกอดคอกันหลง
จมแม่น้ำตัณหา ตามกันไปด้วย


พี่วลัยพรนี่หวังดีต่อผู้อื่นหรือแค่เข้ามาถ่มน้ำลายรดหัวคนอื่นเจ้าค่ะ ถามจากใจ :b10: เพราะเห็นชอบพูดจัง ไม่สามารถดับเหตุให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ พี่ไปเดาจิตเดาใจคนอื่นได้ขนาดนั้นหรือเจ้าค่ะว่าใครดับเหตุได้ดับเหตุไม่ได้ ถ้ากัลยามิตรเค้ามีเมตตาต่อสหายธรรมแล้วเอาธรรมมาเผยแพร่คนอื่นนี้เรียกว่าสร้างเหตุออกไปหรือเปล่าเจ้าค่ะ แล้วรู้ได้ไงว่าเค้าไม่สามารถทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ :b10: แบบนี้มันก็เข้าตัวพี่วลัยพรเองคือ ชอบกระทำเหตุของตนให้เกิดขึ้นเพื่อความอยากดับเหตุให้ผู้อื่น ไม่งั้นคงไม่มีประโยคสีแดงหรอกเจ้าค่ะ แล้วให้เรียกว่าเมตตาผู้อื่นหรือตัณหาดีล่ะเจ้าค่ะ แล้วแบบนี้เรียกว่าสร้างเหตุนอกตัวป่าวเจ้าค่ะ ส่วนใครจะกอดคอกันจะจมน้ำตามกันไม่ต้องห่วงหรอกพี่วลัยพร ทุกคนที่เข้ามาในลานธรรมแห่งนี้ เค้าไม่จมน้ำตายหรอก เค้าว่ายน้ำเป็นกันอยู่แล้วเชื่อดิ ส่วนใครจะว่ายถึงก่อนก็เป็นเหตุของผู้นั้น จริงป่ะ :b32:



คุณ nong อย่าจริงเอาจังนักเลย คิกๆๆ

เจริญธรรม :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:

Quote Tipitaka:
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลอันสมบูรณ์ มีปาติโมกข์อันสมบูรณ์ อยู่เถิด จงเป็น
ผู้สำรวมด้วยความสำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรอยู่เถิด จงเป็นผู้มีปกติเห็น
ภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด."



ภาวิตกาย


อย่าเวิ่นเว้อต่อไปเลย

อย่าแสดงสิ่งที่ยังกรัชกายไม่รู้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อ้างคำพูด:

Quote Tipitaka:
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลอันสมบูรณ์ มีปาติโมกข์อันสมบูรณ์ อยู่เถิด จงเป็น
ผู้สำรวมด้วยความสำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรอยู่เถิด จงเป็นผู้มีปกติเห็น
ภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด."



ภาวิตกาย


อย่าเวิ่นเว้อต่อไปเลย

อย่าแสดงสิ่งที่ยังกรัชกายไม่รู้


ก็ลอกมาทั้งดุ้น

ถามความรู้เช่นนั้นนะ ตอบตามที่ตนรู้เข้าใจ

อ้างคำพูด:
ศีลอันสมบูรณ์

ปาติโมกข์อันสมบูรณ์

อาจาระและโคจร

สิกขาบท


บอกรายละเอียดหน่อยครับ มีศีลสมบูรณ์ เป็นต้น ยังไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 11:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
walaiporn เขียน:
ต่อให้เขียนวิริศมาหรา แค่ไหน
ตามความรู้ที่ได้เรียน ได้ศึกษามา ของผู้เขียน

ก็เป็นเพียง ใบไม้นอกกำมือ
เพราะไม่สามารถนำไปกระทำ ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

อุปมา น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง

เหตุของ การสร้างความหลงให้แก่ผู้อื่น
เหตุของไม่รู้ชัดในสัญญา หลงกกกอด คิดว่าเป็น ปัญญา

ลาภ ยศ สรรเสริญ กิเลสบดบังสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
จึงเป็นที่มาของ ใบไม้นอกกำมือ เพราะเหตุนี้(มีแต่สัญญา)

ผู้ที่มีเหตุปัจจัยต่อกัน(เคยกระทำมาร่วมกัน)
เป็นเหตุปัจจัยให้ มาเชื่อกัน จึงกอดคอกันหลง
จมแม่น้ำตัณหา ตามกันไปด้วย


พี่วลัยพรนี่หวังดีต่อผู้อื่นหรือแค่เข้ามาถ่มน้ำลายรดหัวคนอื่นเจ้าค่ะ ถามจากใจ :b10: เพราะเห็นชอบพูดจัง ไม่สามารถดับเหตุให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ พี่ไปเดาจิตเดาใจคนอื่นได้ขนาดนั้นหรือเจ้าค่ะว่าใครดับเหตุได้ดับเหตุไม่ได้ ถ้ากัลยามิตรเค้ามีเมตตาต่อสหายธรรมแล้วเอาธรรมมาเผยแพร่คนอื่นนี้เรียกว่าสร้างเหตุออกไปหรือเปล่าเจ้าค่ะ แล้วรู้ได้ไงว่าเค้าไม่สามารถทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ :b10: แบบนี้มันก็เข้าตัวพี่วลัยพรเองคือ ชอบกระทำเหตุของตนให้เกิดขึ้นเพื่อความอยากดับเหตุให้ผู้อื่น ไม่งั้นคงไม่มีประโยคสีแดงหรอกเจ้าค่ะ แล้วให้เรียกว่าเมตตาผู้อื่นหรือตัณหาดีล่ะเจ้าค่ะ แล้วแบบนี้เรียกว่าสร้างเหตุนอกตัวป่าวเจ้าค่ะ ส่วนใครจะกอดคอกันจะจมน้ำตามกันไม่ต้องห่วงหรอกพี่วลัยพร ทุกคนที่เข้ามาในลานธรรมแห่งนี้ เค้าไม่จมน้ำตายหรอก เค้าว่ายน้ำเป็นกันอยู่แล้วเชื่อดิ ส่วนใครจะว่ายถึงก่อนก็เป็นเหตุของผู้นั้น จริงป่ะ :b32:



คุณ nong อย่าจริงเอาจังนักเลย คิกๆๆ

เจริญธรรม :b32:

:b32: คุนน้องสงสัยมานานแล้วเรื่อง อย่าสร้างเหตุนอกตัว :b32: แล้วอย่าสร้างเหตุนอกตัวนั่นน่ะคือยังไงแบบไหน :b10: คุนน้องก็ยังเห็นพี่วลัยพรสร้างเหตุนอกตัวแล้วทำไมไม่ทำตามอย่างที่พูดที่บอกคนอื่นว่า แค่รู้ว่ามีอยู่ ความรู้สึกนึกคิดแต่ไม่สร้างเหตุออกไป :b6: คุนน้องก็สงสัยดิเจ้าค่ะ เพราะคุนน้องก็มีความรู้สึกนึกคิดและปากกะตรงกะใจและชอบสร้างเหตุนอกตัวบ่อยๆ :b32: เนียะลูกนกปีกหักคุนน้องเกิดรู้สึกนึกคิดสงสารนก ยังสร้างเหตุนอกตัวช่วยเจ้าลูกนกนั่นเลย แล้วเหตุก็ดับแล้วด้วย :b32:
เจริญธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 12:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มิน่า..ละ....พอถามว่า..ทำอย่างไร...ภาวิตกาย..นี้นะ...พระพุทธเจ้าทำอย่างไรจึงเรียกว่า..ภาวิตกายแล้ว...

ก็รอ...อยู่...เห้นแต่..อารัมพบท

ว่าตรงๆ..ก็คือ...อย่างที่คุณน้ำว่า..นั้นแหละ..

walaiporn เขียน:
ต่อให้เขียนวิริศมาหรา แค่ไหน
ตามความรู้ที่ได้เรียน ได้ศึกษามา ของผู้เขียน
......
อุปมา น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง



:b32: :b32:
ก็ยังสนใจภาวิตกาย..อยู่นะ....จะรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
มิน่า..ละ....พอถามว่า..ทำอย่างไร...ภาวิตกาย..นี้นะ...พระพุทธเจ้าทำอย่างไรจึงเรียกว่า..ภาวิตกายแล้ว...

ก็รอ...อยู่...เห้นแต่..อารัมพบท

ว่าตรงๆ..ก็คือ...อย่างที่คุณน้ำว่า..นั้นแหละ..

walaiporn เขียน:
ต่อให้เขียนวิริศมาหรา แค่ไหน
ตามความรู้ที่ได้เรียน ได้ศึกษามา ของผู้เขียน
......
อุปมา น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง



:b32: :b32:
ก็ยังสนใจภาวิตกาย..อยู่นะ....จะรอ


กบ พอรู้จักปัญจทวาริกกายมั้ย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 19:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


5...ทวาร....กาย

ตา..หู...จมูก...ลิ้น...กาย...ใช่มั้ย

นั้นแหละ...พัฒนามันยังงัย?

ตอนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว...ท่านว่า...ภาวิตกาย...แล้ว

ก็แสดงว่า..ก่อนการตรัสรู้...พระองค์ต้องมีการทำ....กายภาวนา..อยู่

จึงอยากรู้...ว่า...ช่วงไหนที่แสดงว่าพระองคกำลังอยู่ในกระบวนการ...กายภาวนา...พัฒนากายให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม...ทางกายภาพ..ที่กรัชกาย..เกร่นใว้...ช่วงอยู่กับเาบททั้งสอง...หรือ...ช่วงทำทุกขกิริยา....
หรือว่า...ช่วงที่ท่านรับข้าวมธุปายาท...หรือว่า...ช่วงที่ท่านอธิฐานว่าจะไม่ลุกจนกว่าจะสำเร็จโพธิญาณ...เป็นต้น..นะกรัชกาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
5...ทวาร....กาย

ตา..หู...จมูก...ลิ้น...กาย...ใช่มั้ย

นั้นแหละ...พัฒนามันยังงัย?

ตอนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว...ท่านว่า...ภาวิตกาย...แล้ว

ก็แสดงว่า..ก่อนการตรัสรู้...พระองค์ต้องมีการทำ....กายภาวนา..อยู่

จึงอยากรู้...ว่า...ช่วงไหนที่แสดงว่าพระองคกำลังอยู่ในกระบวนการ...กายภาวนา...พัฒนากายให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม...ทางกายภาพ..ที่กรัชกาย..เกร่นใว้...ช่วงอยู่กับเาบททั้งสอง...หรือ...ช่วงทำทุกขกิริยา....
หรือว่า...ช่วงที่ท่านรับข้าวมธุปายาท...หรือว่า...ช่วงที่ท่านอธิฐานว่าจะไม่ลุกจนกว่าจะสำเร็จโพธิญาณ...เป็นต้น..นะกรัชกาย



ก็ต้องฝึกเรื่อยมาตั้งแต่ออกบวชนั่นแหละ จนมาสำเร็จรู้เข้าใจเอาเมื่อวันตรัสรู้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วางให้ดูอีกที

“กถํ ภควา ภาวิตตฺโต ฯ ภควา ภาวิตกาโย ภาวิตสีโล ภาวิตจิตฺโต ภาวิตปญฺโญ

ภาวิตสติปฏฺฐาโน ภาวิตสมฺมปฺปธาโน ภาวิตอิทฺธิปาโท ภาวิตินฺทฺริโย ภาวิตพโล ภาวิตโพชฺฌงฺโค ภาวิตมคฺโค ปหีนกิเลโส ปฏิวิทฺธากุปฺโป สจฺฉิกตนิโรโธ ฯ

ดูคำแปลที่รักษาศัพท์ ดังนี้

“พระผู้มีพระภาค ทรงเป็น "ภาวิตัตต์" อย่างไร ? คือพระผู้มีพระภาคทรงเป็น ภาวิตกาย ภาวิตศีล ภาวิตจิตต์ ภาวิตปัญญา
มีสติปัฏฐาน มีสัมมัปปธาน มีอิทธิบาท มีอินทรีย์ มีพละ มีโพชฌงค์ มีมรรค ที่ได้เจริญ/พัฒนาแล้ว ทรงละกิเลสแล้ว ทรงแทงตลอดอกุปปธรรมแล้ว มีนิโรธ อันทรงทำให้แจ้งแล้ว”


ชีวิต 3 ด้าน ของคนเรานี้ ที่พัฒนาไปด้วยกัน มีอะไรบ้าง? ก็แยกเป็น


1. ด้านสื่อกับโลก ได้แก่ การรับรู้ติดต่อสื่อสารสัมพันธ์ พฤติกรรม ความประพฤติ และการ แสดงออกต่อหรือกับเพื่อนมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆผ่านทวาร (ช่องทาง ประตู) 2 ชุด คือ

ก. ผัสสทวาร (ทางรับรู้) คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย (รวมทั้งชุมทาง คือ ใจ เป็น 6)

ข. กรรมทวาร (ทางทำกรรม) คือ กาย วาจา (รวมชุมทาง คือ ใจ ด้วย เป็น 3)

ด้านนี้ พูดง่ายๆว่า แดนหรือด้านที่สื่อกับโลก เรียกสั้นๆคำเดียวว่า ศีล


2. ด้านจิตใจ ได้แก่ การทำงานของจิตใจ ซึ่งมีองค์ประกอบและคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องมากมาย เริ่มแต่ต้องมีเจตนา หรือ เจต จำนง ความจงใจ ตั้งใจ มีแรงจูงใจอย่างใดอย่างหนึ่ง มีความดี-ความชั่ว ความสามารถหรือความอ่อนด้อย พร้อมทั้งความรู้สึก สุข-ทุกข์ สบาย-ไม่สบาย หรือเฉยๆ เพลินๆและปฏิกิริยาต่อจากสุข-ทุกข์นั้น เช่น ชอบใจ หรือไม่ชอบใจ อยากจะได้ อยากจะเอา หรืออยากจะหนี หรืออยาก จะทำลาย ที่ควบคุมชักนำการรับรู้และพฤติกรรมทั้งหลาย เช่น ว่า จะให้ดูอะไร หรือไม่ดูอะไร จะพูดอะไร จะพูดกับใครว่าอย่างไร ด้านนี้ เรียกสั้นๆว่า จิต หรือแดนของ สมาธิ


3. ด้านปัญญา ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ ตั้งแต่สุตะ คือ ความรู้ที่ได้เรียนสดับ หรือ ข่าวสารข้อมูล จนถึงการพัฒนาทุกอยาง ในจินตาวิสัย และญาณ วิสัย เช่น แนวคิด ทิฏฐิ ความเชื่อถือ ทัศนคติ ค่านิยม ความยึดถือตามความรู้ ความ คิด ความเข้าใจ แง่มุมในการมอง ในการพิจารณา อย่างใดอย่างหนึ่ง ด้านนี้ เรียกสั้นๆตรงๆว่า ปัญญา


องค์ประกอบ ของชีวิต 3 ด้านนี้ ทำงานไปด้วยกัน ประสานกันไป และเป็นเหตุ ปัจจัยแก่กัน ไม่แยกต่างหากจากกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 20:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนและสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากวัฏฏะนี้

สิ่งที่วิเศษกว่าสิ่งอื่น สิ่งที่สำนักอื่นไม่มี นั่นคือ

การรู้อย่างวิเศษ "วิปัสสนา" นั่นเอง

"ตัวรู้" "รู้" เป็นกุญแจ เป็นหัวใจสำคัญ นำไปเพื่อการเกิดปัญญา สู่การพ้นไปจากวัฏฏะนี้

"รู้" รู้อะไร รู้อย่างไรถึงเรียกว่ารู้อย่างวิเศษ :

ูรู้ กาย รู้ใจ ตัวเองนี้ ลงเป็นปัจจุบัน รู้ทัน ตามรู้ ใจ ที่ปรับเปลี่ยน หมุนเวียนตลอดเวลา โดยไม่แทรกแซง

ไม่แทรกแซงเป็นอย่างไร : ตามรู้ไปเฉยๆนั่นหล่ะ การแซงแทรงคือ เมื่อรู้ทันตามทัน จิต หรือเจตสิก ก็เกิดอาการ ชอบ เกลียด (ยินดีพอใจ หรือ ชัง) แล้วเข้าไปแก้ไขดัดแปลง เช่น นั่งฟังเพลงอยู่ดีๆ เจ้านายเรียกให้ไปทำงาน (เกิดอาการอะไรกับจิตใจ ตอนนี้รู้แล้ว เช่น โกรธ โกรธที่เจ้านายเรียก ทีนี้ พอโกรธเสร็จ อยากให้หายโกรธ ก็ไปทำให้มันหายโกรธ เช่น บริกรรม โกรธหนอๆ ๆๆ ๆๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ เพื่อให้ความโกรธหายไป แบบนี้เรียกว่า แทรกแซง ) การเห็นอย่างวิเศษ คือ เห็นแล้วไม่แทรกแซง ให้รู้ไปเลย ว่า อืม โกรธอยู่ โกรธเป็นแบบนี้ สังเกตุ กายกับใจตัวเองนั้นแหละ
แล้วก็ดูไปว่า ความโกรธ หายไปได้อย่างไร หายไปเมื่อไหร่ นี่คือ การรู้ รู้ความเป็นจริง ในที่สุด ความโกรธ โดยไม่แทรกแซง ก็จบลง สลายตัว ตามกฏพระไตรลักษณ์ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้อยู่ดี นี่ วิธีการดู การรู้อย่างวิเศษ

รู้เฉยๆแล้วได้อะไร : ได้ความจริง ความจริงของกายใจ ที่ต้องเป็นไปตามกฏของพระไตรลักษณ์

รู้เห็นพระไตรลักษณ์ กระทั่ง ใจ หมดความยึดถือ กาย ใจ ว่า เป็นเรา เป็นของเรา ที่เที่ยงแท้ถาวร (ที่ท่านว่า สัมมาทิฐิ ) รู้ถูก เข้าใจถูก เห็นตรง ตามความเป็นจริง

หมดความยึดถือ ที่เขาเรียกว่า คลายกำหนัด ยินดี พอใจ ในกายและใจนี้

หรือ เห็นอย่างวิเศษ ในการแยกธาตุ แยกขันธ์ ก็ได้
ขันธ์ 5 : ขันธ์ แปลตามตำรา เขาว่า "กอง" กองอะไร ???
ร่างกาย จิตใจนี้ เมื่อแยกออกมาเป็นกองๆ ได้ 5 กอง

กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ (ใครสนใจบัพนี้ รบกวนไปศึกษาเพิ่มเติมเอานะ แล้วแต่จริตนิสัย)

แยกออกมาขนาดนี้แล้ว อันไหนเป็นตัวเรา ก็เมื่อ ทั้งห้ากองมารวมกัน ก็เกิดเป็นเรา เกิดความยึดถือเมื่อขันธ์ทั้งห้ามารวมแล้วเป็นร่างกายจิตใจ (อันที่จริง ทั้งห้ากอง เขาแยกกันทำงาน คนละส่่วน คนละหน้าที่ แต่มันสัมพันธ์กัน ผู้ที่ไม่ได้เจริญสติจะมองไม่เห็นหลอก เขาจะเห็นแค่มันเป็นเรา ทั้งหมดเรียกว่าเรา


นี่ คือ สิ่งที่จะทำให้ สรรพสัตว์ ออกไปจากวัฏฏะสงสารนี้ได้
เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ ตรัสสอน เพื่อความพ้นทุกข์
เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการออกไปจากวัฏฏะนี้

พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ อื่นๆมากมาย มากเสียจนใครๆ จะหยั่ง จะรู้ ได้
แต่ท่าน มีพระมหากรุณา ที่จะหยิบเอา คัดสรร เลือกเฟ้น สิ่งที่จะทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย
สามารถทำแล้วออกไปพ้นไปจากวัฏฏะนี้ได้ ก็นำมาสั่งสอน

สิ่งอื่นที่ท่านตรัสรู้ แล้ว แต่ ไม่เป็นประโยชน์ในการนำสัตว์ออกจากวัฏฏะนี้
ท่านก็มิได้สอนให้เป็นสาระสำคัญเลย....ท่านทั้งหลาย


แก้ไขล่าสุดโดย สองใจ เมื่อ 27 พ.ค. 2014, 20:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สองใจ เขียน:
สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนและสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากวัฏฏะนี้

สิ่งที่วิเศษกว่าสิ่งอื่น สิ่งที่สำนักอื่นไม่มี นั่นคือ

การรู้อย่างวิเศษ "วิปัสสนา" นั่นเอง

"ตัวรู้" "รู้" เป็นกุญแจ เป็นหัวใจสำคัญ นำไปเพื่อการเกิดปัญญา สู่การพ้นไปจากวัฏฏะนี้

"รู้" รู้อะไร รู้อย่างไรถึงเรียกว่ารู้อย่างวิเศษ :

ูรู้ กาย รู้ใจ ตัวเองนี้ ลงเป็นปัจจุบัน รู้ทัน ตามรู้ ใจ ที่ปรับเปลี่ยน หมุนเวียนตลอดเวลา โดยไม่แทรกแซง

ไม่แทรกแซงเป็นอย่างไร : ตามรู้ไปเฉยๆนั่นหล่ะ การแซงแทรงคือ เมื่อรู้ทันตามทัน จิต หรือเจตสิก ก็เกิดอาการ ชอบ เกลียด (ยินดีพอใจ หรือ ชัง) แล้วเข้าไปแก้ไขดัดแปลง เช่น นั่งฟังเพลงอยู่ดีๆ เจ้านายเรียกให้ไปทำงาน (เกิดอาการอะไรกับจิตใจ ตอนนี้รู้แล้ว เช่น โกรธ โกรธที่เจ้านายเรียก ทีนี้ พอโกรธเสร็จ อยากให้หายโกรธ ก็ไปทำให้มันหายโกรธ เช่น บริกรรม โกรธหนอๆ ๆๆ ๆๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ เพื่อให้ความโกรธหายไป แบบนี้เรียกว่า แทรกแซง ) การเห็นอย่างวิเศษ คือ เห็นแล้วไม่แทรกแซง ให้รู้ไปเลย ว่า อืม โกรธอยู่ โกรธเป็นแบบนี้ สังเกตุ กายกับใจตัวเองนั้นแหละ
แล้วก็ดูไปว่า ความโกรธ หายไปได้อย่างไร หายไปเมื่อไหร่ นี่คือ การรู้ รู้ความเป็นจริง ในที่สุด ความโกรธ โดยไม่แทรกแซง ก็จบลง สลายตัว ตามกฏพระไตรลักษณ์ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้อยู่ดี นี่ วิธีการดู การรู้อย่างวิเศษ

รู้เฉยๆแล้วได้อะไร : ได้ความจริง ความจริงของกายใจ ที่ต้องเป็นไปตามกฏของพระไตรลักษณ์

รู้เห็นพระไตรลักษณ์ กระทั่ง ใจ หมดความยึดถือ กาย ใจ ว่า เป็นเรา เป็นของเรา ที่เที่ยงแท้ถาวร (ที่ท่านว่า สัมมาทิฐิ ) รู้ถูก เข้าใจถูก เห็นตรง ตามความเป็นจริง

หมดความยึดถือ ที่เขาเรียกว่า คลายกำหนัด ยินดี พอใจ ในกายและใจนี้

หรือ เห็นอย่างวิเศษ ในการแยกธาตุ แยกขันธ์ ก็ได้
ขันธ์ 5 : ขันธ์ แปลตามตำรา เขาว่า "กอง" กองอะไร ???
ร่างกาย จิตใจนี้ เมื่อแยกออกมาเป็นกองๆ ได้ 5 กอง

กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ (ใครสนใจบัพนี้ รบกวนไปศึกษาเพิ่มเติมเอานะ แล้วแต่จริตนิสัย)

แยกออกมาขนาดนี้แล้ว อันไหนเป็นตัวเรา ก็เมื่อ ทั้งห้ากองมารวมกัน ก็เกิดเป็นเรา เกิดความยึดถือเมื่อขันธ์ทั้งห้ามารวมแล้วเป็นร่างกายจิตใจ (อันที่จริง ทั้งห้ากอง เขาแยกกันทำงาน คนละส่่วน คนละหน้าที่ แต่มันสัมพันธ์กัน ผู้ที่ไม่ได้เจริญสติจะมองไม่เห็นหลอก เขาจะเห็นแค่มันเป็นเรา ทั้งหมดเรียกว่าเรา


นี่ คือ สิ่งที่จะทำให้ สรรพสัตว์ ออกไปจากวัฏฏะสงสารนี้ได้
เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ ตรัสสอน เพื่อความพ้นทุกข์
เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการออกไปจากวัฏฏะนี้



ยังมองไม่เห็นวิธีทำหรือวิธีปฏิบัติของคุณสองใจเลย เอาชัดๆสิครับทำยังไง จึงจะออกจากวัฏฏสงสารได้

แล้ว วัฏฏสงสาร หมายถึงอะไรครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร