วันเวลาปัจจุบัน 24 ส.ค. 2025, 01:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2014, 06:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




พระพุทธเจ้าบวชให้พระเทวฑัต.png
พระพุทธเจ้าบวชให้พระเทวฑัต.png [ 116.8 KiB | เปิดดู 2948 ครั้ง ]
สาเหตุที่พระพุทธเจ้าบวชแก่พระเทวทัต
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า พระเทวทัตจะทำความชั่วต่อพระพุทธเจ้าและพระศาสนานั้น

ได้มีการกล่าวไว้ในมิทลินทปัญหา ว่าเมื่อครั้งหนึ่ง
พระเจ้ามิลินท์ทรงได้สนทนาธรรมกับพระนาคเสนเถระ

พระเจ้ามิลินท์ได้ทรงปุจฉาว่า การที่พระพุทธเจ้าได้ประทานการบวชเป็นภิกษุแก่พระเทวทัตนั้น
พระพุทธองค์ทรงรู้หรือไม่ว่าถ้าพระเทวทัตบวชเข้ามาแล้วจะสร้างบาปกรรมอันใหญ่หลวง
แก่พระศาสนาและพระพุทธองค์ คือ ทำร้ายพระพุทธเจ้าและทำสังฆเภทคือให้สงฆ์แตกกัน

พระนาคเสนก็วิสัชณาว่า ทรงรู้ หลังจากนั้นพระเจ้ามิลินท์ทรงได้ปุจฉาอีกว่า
เมื่อพระพุทธองค์ทรงรู้แล้ว ทำไมยังทรงประทานการบวชแก่พระเทวทัตอีก

พระนาคเสนก็วิสัชณาว่า เหตุที่พระพุทธองค์ทรงประทานการบวชแก่พระเทวทัตนั้น
เพราะทรงเล็งเห็นว่า ถ้าพระเทวทัตครองเรือนเป็นคฤหัสถ์ก็จะก่อกรรมทำชั่วอย่างไม่จบสิ้น
เมื่อตายไปก็จะไปบังเกิดในอบายภูมิเสวยทุกขเวทนาเป็นเวลาหลายกัปอย่างไม่จบสิ้น

แต่ถ้าพระเทวทัตได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้วก็จักมีอันสิ้นสุดได้
เมื่อบรรพชาแล้ว ก็จักทำกรรมชั่วเพียงให้ตกนรกอยู่แค่ ๑ กัปเท่านั้น ทรงเห็นอย่างนี้
จึงได้โปรดให้พระเทวทัตบรรพชาด้วยอำนาจพระมหากรุณาของพระพุทธองค์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2014, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




20180523_173753.jpg
20180523_173753.jpg [ 130.07 KiB | เปิดดู 2168 ครั้ง ]
สถานที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบในปัจจุบัน
จุดที่ชาวบ้านเชื่อว่าพระเทวทัตถูกธรณีสูบ หน้าวัดพระเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี
ตามคัมภีร์อรรถกถากล่าวว่า สถานที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบอยู่ริมสระน้ำหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร ในปัจจุบันบริเวณหน้าวัดเชตวันยังคงมีพื้นที่ว่างแปลงหนึ่งอยู่กลางนา ไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าไปปรับพื้นที่ทำนา เนื่องจากเล่าสืบต่อกันมาว่าเป็นสถานที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบ

ปัจจุบันผู้นำเที่ยวชมวัดเชตวันมักบอกว่าบริเวณนี้คือจุดที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสระน้ำที่นางจิญจมาณวิกา ถูกธรณีสูบเช่นเดียวกัน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2014, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2813


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโมทนาสาธุค่ะ ลุงหมาน :b8: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2014, 15:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2014, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


สาเหตุที่พระเทวทัตอาฆาตพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงเรื่องราวที่พระเทวทัตเริ่มต้นจองเวรกับพระพุทธเจ้าไว้ใน เสรีววาณิชชาดก ซึ่งปรากฏเนื้อหาโดยละเอียดในคัมภีร์อรรถกถาสรุปความโดยย่อดังนี้

ย้อนหลังไป 5 ภัทรกัป ได้มีพ่อค้าเร่เพื่อนกันสองคนชาวแคว้นเสริวรัฐ มีชื่อเดียวกันว่าเสรีวะ คนหนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้าในปัจจุบัน) อีกคนหนึ่งเป็นพระเทวทัตในปัจจุบัน ทั้งสองได้ทำการค้าขายเร่ รับซื้อและขายของไปตามหัวเมืองต่าง ๆ

จนวันหนึ่งทั้งสองได้ไปค้าขายเครื่องประดับในเมืองอริฏฐปุระ โดยตกลงแบ่งให้เข้าไปคนละทาง เพื่อไม่ไปค้าขายแข่งกัน

พ่อค้าคนแรก (พระเทวทัต) ได้ตะโกนเร่ขายของตามถนนในเมืองไปเรื่อย ๆ จนไปถึงบ้านอดีตเศรษฐีผู้ดีเก่าตกยากหลังหนึ่ง ที่เหลืออยู่แต่เพียงยายกับหลานสาวในบ้านซ่อมซ่อไม่มีฐานะ เมื่อหลานสาวได้ยินเสียงพ่อค้าหาบเร่ จึงได้วิ่งออกมาดู เลยอยากได้เครื่องประดับ จึงไปขอร้องให้ยายซื้อให้ ยายจึงเรียกพ่อค้าเข้ามานั่งในบ้านและนำถาดเก่า ๆ สมบัติของตระกูลใบหนึ่งมาให้พ่อค้าดูเพื่อแลกซื้อเครื่องประดับให้หลาน

ปรากฏว่าพ่อค้าจับดูจึงรู้ว่าเป็นถาดโลหะ เมื่อแอบเอาเข็มกรีดหลังถาด จึงเห็นว่าเป็นถาดทองคำ มีราคาถึงแสนกหาปณะ แต่ด้วยความที่พ่อค้าละโมภ อยากได้ถาดทองคำ โดยจะกดราคาให้ถึงที่สุด จึงทำทีเป็นไม่สนใจโวยวายว่าเป็นถาดไม่มีราคา แล้วก็โยนถาดทิ้งและก็ลุกเดินออกจากบ้านไป โดยหวังว่าสักพักจะเข้ามาใหม่เพื่อให้ยายแก่เปลี่ยนใจยอมแลกถาดกับของขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อคว้าถาดทองกำไรงามถาดนั้น

คล้อยหลังไปไดสักพัก พ่อค้าพระโพธิสัตว์ผ่านมา เห็นพ่อค้าคนแรกออกจากซอยนั้นไปแล้ว จึงแวะเข้ามาขายเครื่องประดับอีก ซึ่งคราวนี้ หลานของยายอดีตตระกูลมหาเศรษฐีเมื่อกี้ก็ร้องอยากได้เครื่องประดับอีก ยายจึงเรียกให้พ่อค้าเข้ามาเพื่อขอแลกถาดเก่า ๆ สนิมเขรอะกับเครื่องประดับที่พ่อค้านำมาขาย

เมื่อพ่อค้าจับถาดเก่าก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นถาดทองคำ มีราคาตั้งแสนกหาปณะ พ่อค้าพระโพธิสัตว์จึงบอกยายแก่ว่า "ถาดนี้เป็นถาดทองมีราคามหาศาล ของที่ฉันนำมาเร่ขายทั้งหมดนี่ก็สู้ราถาถาดของยายไม่ได้หรอกจ๊ะ"

ยายแก่เห็นความซื่อสัตย์ของพ่อค้าจึงบอกว่า "ถาดนี้ เมื่อกี้พ่อค้าอีกคนโยนลงพื้นดูถูกว่าของไม่มีราคา แต่คราวนี้พ่อมาบอกว่ามีราคาตั้งแสน พ่อนี่ช่างตาถึงมีบุญเหลือเกิน เอาอย่างนี้ ฉันให้ถาดนี้แก่ท่าน เอาไปเถิด ส่วนท่านจะให้ของขายอะไรแก่ฉันกะหลานก็ได้ตามใจเถิด"

พ่อค้าพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า "เอาอย่างนี้นะยาย ฉันยกของที่ฉันเอามาขายและเงินที่ติดตัวมาให้ยายหมดเลยก็แล้วกัน ฉันขอแค่ตาชั่งเอาไว้ทำมาหากินและเงินสัก 8 กหาปณะพอค่าเดินทางก็พอจ๊ะ"

เมื่อพ่อค้าได้ถาดทองแล้ว จึงเดินทางไปที่ที่เรือเพื่อเดินทางกลับ ปรากฏว่า หลังจากพ่อค้าคนแรกเดินไปได้สักพักใหญ่ จึงย้อนมาหายายแก่เพื่อขอซื้อถาดใบนั้น แต่เมื่อยายเห็นพ่อค้าเข้ามาก็ตะเพิดไปว่า "ไอ้พ่อค้าจัญไร! ท่านทำให้ถาดทองคำเราเป็นของไร้ค่า ชิชะ! มาตอนนี้จะมาขอซื้อ ไป จะไปไหนก็ไป เมื้อกี้ ฉันยกถาดที่แกอยากได้ให้เป็นบุญแก่พ่อค้าตาถึงไปแล้ว แถมได้ตังค์กับของมาตั้งพันกหาปณะ"

เมื่อพ่อค้าคนแรกได้ฟังดังนั้นถึงกับตกใจแค้นถึงสิ้นสติสลบฟุบไป พอฟื้นขึ้นก็เกิดความเสียดายอย่างเป็นกำลัง ถึงกับโปรยเงินและข้าวของที่นำมาเร่ขายทิ้งไว้หน้าบ้านยายแก่ แล้วก็ถือคันชั่งวิ่งตามรอยเท้าพระโพธิสัตว์ หวังจะแย่งถาดทองคืนไปถึงฝั่งแม่น้ำนั้น เห็นพระโพธิสัตว์กำลังขึ้นเรือไปอยู่ จึงกล่าวว่า "นายเรือโว้ย! เอาเรือกลับเข้าฝั่งเดี๋ยวนี้ ๆ" พระโพธิสัตว์ห้ามนายเรือว่า "อย่ากลับ ๆ" และแล่นเรือลับไป

เมื่อพ่อค้าพาล เห็นพระโพธิสัตว์นั่งเรือหายวับไป จึงเกิดความโศกเศร้าเสียดายมีกำลัง หัวใจเต้นแรง เลือดพุ่งออกจากปาก และตั้งอธิษฐานผูกอาฆาตพระโพธิสัตว์ว่าจะจองเวรไปจนกว่าจะหาไม่ และถึงกับสิ้นชีวิตลง ณ ที่นั้นนั่นเอง.

'อรรถกถาพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ อรรถกถา เสรีววาณิชชาดก'

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระเทวทัตจึงได้คอยตามมาเกิดเพื่อจองเวรกับพระพุทธเจ้าตลอดมาจนแม้กระทั่งชาติสุดท้ายที่พระเทวทัตเกิดเป็นชูชกและเกิดเป็นเจ้าชายเทวทัต ซึ่งเป็นพระญาติกับพระพุทธเจ้าในชาติปัจจุบัน ก่อนที่จะก่ออนันตริยกรรมและสำนึกผิดในภายหลัง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2018, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss Kiss Kiss

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2018, 03:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ในอุทเทสแห่งสมันตมหาปัฎฐาน อนันตนัยแห่งพระอภิธรรม

พระผุ้มีพระภาคเจ้าตรัสแสดงไว้ว่า

อกุศลจิต เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิตได้ ด้วยอำนาจอารัมมณปัจจัยและปกตูปนิสสยปัจจัย



ดังนั้น พระพุทธองค์ จึงได้ทรงตรัสทำนาย พระเทวทัต ว่าจะลุถึงความเป็นปัจเจกพุทธะ

ซึ่งหมายถึง ความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้สภาพธรรมด้วยพระองค์เอง

และพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ ท่านจะทรงบำเพ็ญพระบารมี ตลอดระยะเวลา สองอสงไขย แสนกัปป์ จึงจะตรัสรู้ได้

ซึ่งใช้ระยะเวลาบำเพ็ญน้อยที่สุด

น้อยกว่า พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า ที่บำเพ็ญบารมีมา สี่อสงไขยแสนกัปป์ จึงตรัสรู้ได้
น้อยกว่า พระสัททาธิะพุทธเจ้าที่บำเพ็ญ อย่างสูงแปดอสงไขยแสนกัปป์
น้อยกว่า และพระวิริยาธิกะพุทธเจ้า ที่บำเพ็ญอย่างสูงสิบหกอสงไขยแสนกัปป์ค่ะ

และข้อแตกต่างกันเหล่านี้ พึงทราบด้วยสามารถแห่งบารมีของพระโพธิสัตว์ที่แตกต่างกันค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron