วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 23:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 91 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 15:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:




ที่ว่างเว้นไปบ้างวันสองวันก็เพราะภาระกิจ ไม่ได้หายเพราะกลัวคำถามของกรัชกาย..แล้วก็เคยเห็นแต่กรัชกายเลี่ยงบาลีไม่ตอบคำถามอโศกะบ่อยๆ เลยไม่ค่อยอยากจะตอบคำถาม ที่เป็นลักษณะลองภูมิ ่คำถามวิชาการที่ต้องค้นตำรามาตอบ



ให้อโศกถามบ้าง ถามช้าๆชัดๆดังๆ ถามได้เลยครับ


อ้อ ... ถามเรืองเกลือไม่ตอบนะครับ มันเค็ม :b32: เด็กยังรู้เลยว่า เกลือเค็ม บอระเพ็ดเปรี้ยว หรือขมหว่า :b9: ่มึนเริ่มไม่แน่ใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อโศกหายไปไหนอีกแล้ว ถามเป็นงานเป็นการทีไรหายทุกที คิกๆๆ

เสริมจากคำถามเดิมอีก เพิ่งนึกได้ กายที่ กายคตาสติ

กายที่เรียกกันว่า กาย ที่เห็นโด่ๆ อยู่นี่อยู่นั้น อยู่ในโลกนี้ เหมือนกับกายที่กล่าวมาทั้งหมดนั่นไหม


เอาตัวอย่างมาให้ดูว่า กรัชกายถามด้วยความไม่รู้ ด้วยความเข้าใจผิดในหลักของ...
ภาษาที่ใช้กันในสังคมปัจจุบันกับความหมายที่เป็นพุทธพจน์แท้ๆ

อย่างแรกที่จะบอกให้กรัชกายได้สำเหนียกก็คือ ......
การเอาพุทธพจน์มาผสมปนเปกับภาษาที่ใช้กันตามปกติ แล้วพยายามจะให้ความหมายใหม่

"กาย"เป็นพุทธพจน์ ดังนั้นจะต้องให้ความหมายตามพุทธพจน์
และความหมายตามพุทธพจน์ก็ไม่ใช่คำแปลภาษา


จากคำพูดที่บอกว่า...."กายที่เห็นโด่ๆ" มันเป็นความเข้าใจผิด นั้นก็คือการเอาพุทธพจน์
มาใช้ในลักษณะของภาษาที่ใช้ในสังคม

ซึ่งภาษาที่ใช้ในสังคมจะต้องใช้ว่า......ร่างกาย ไม่ใช่กาย
คำว่ากายในความเป็นพุทธพจน์ จะต้องกล่าวโดยลักษณะของความเป็นกรรมฐาน
นั้นก็คือ กายนั้นจะต้องประกอบด้วยอินทรีย์ห้าเป็นหลัก :b32:


อ้างคำพูด:
ซึ่งภาษาที่ใช้ในสังคมจะต้องใช้ว่า......ร่างกาย ไม่ใช่กาย


จะเรียกร่างกาย หรือกาย ก็อันเดียวกัน

พูดถึงโฮฮับ ก็ขยันค้นขยันอ่านพระสูตรดีอยู่หรอกนะ :b9: แต่อ่านแล้วคิดเตลิด คิดว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดเรื่องคน พูดเกี่ยวกับคน คิกๆ คือตัวแกคิดว่าธรรมะอยู่นอกจักรวาล ไม่เกี่ยวกับคนหรือมนุษย์ในสังคม เป็นเรืื่่องของภูิตผีปีศาจ :b1:


อย่าเอาความไม่รู้ มาพูดจาเลอะเทอะ การจะพูดธรรมเราต้องยึด เอาพุทธพจน์เป็นหลัก
เพราะมันจะได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน

กรัชกายนิสสัยชอบมั่ว ชอบอ้างคำที่ เขาเอาไว้สอนเด็กในวิชาพุทธศาสตร์ ซึ่งมันเป็นตำราเรียน
มันไม่ได้มีความหมายตามธรรมของพระพุทธองค์

......พระสูตรมันก็เกี่ยวกับคนนี่แหล่ะ แต่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งคนไว้เป็นระดับ ตามสติปัญญา
กรัชกายไม่รู้เรื่องชอบดึงธรรมลงต่ำ

และกายกับร่างกาย เป็นคนล่ะอย่างกัน...... ร่างกายเป็นภาษาที่ใช้กันในสังคมปัจุบัน
ซึ่งมันไม่ได้มีความหมายตามธรรม

แต่ถ้าให้ไปเปรียบกับสิ่งที่พระพุทธองค์ ร่างกายก็คือรูปธรรม
รูปธรรมเป็นบัญญัติกลางๆ พระพุทธองค์แบ่งรูปธรรมออกไปตามระดับของปัญญา

เช่นถ้าเราเรียกรูปธรรมว่ากาย ก็ให้หมายความว่า
กายที่เรียกหมายถึงรูปธรรมของพระอริยบุคคลผู้ละสักกายทิฐิแล้ว

แต่ถ้าเรียกรูปธรรมว่า รูปขันธ์ ก็ให้หมายความว่า
รูปขันธ์ที่เรียกหมายถึงรูปธรรมของปุถุชน ที่ยังยึดติดในสักกายทิฐิ


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

อ้างคำพูด:
กายนั้นจะต้องประกอบด้วยอินทรีย์ห้าเป็นหลัก


ไหนลองจัดอินทรีย์ห้าเข้าในกายหน่อยดีเอ้า :b1:

เอาอีกน่ะ จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน กายที่ไหนเอ้า


เริ่มถามมันก็มั่วแล้ว อินทรีย์หมายถึง ศรัทธา สติ ปัญญา วิริยะ สมาธิ
นี้แบบนี้ จึงจะเรียกว่า กายอันประกอบด้วยอินทรีย์ห้า


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:

อ้างคำพูด:
กายนั้นจะต้องประกอบด้วยอินทรีย์ห้าเป็นหลัก


ไหนลองจัดอินทรีย์ห้าเข้าในกายหน่อยดีเอ้า :b1:

เอาอีกน่ะ จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน กายที่ไหนเอ้า


เริ่มถามมันก็มั่วแล้ว อินทรีย์หมายถึง ศรัทธา สติ ปัญญา วิริยะ สมาธิ
นี้แบบนี้ จึงจะเรียกว่า กายอันประกอบด้วยอินทรีย์ห้า



แล้วกาย หรือ ร่างกาย ที่เห็นๆเดินๆส่ายไปส่ายมา แกว่งไปแกว่งมา เนี่ยๆไม่เรียกว่า กาย หรือ ร่างกาย หรา :b1: ถ้ายังงั้นเรียกว่าอะไร เอ้าๆเอาชัดๆ

อินทรีย์ห้า เป็นนามธรรมนะคะ :b1: กายเป็นรูปธรรม

แล้วกายที่ใน กายานุปัสสนา ไม่เรียกว่าร่างกายหรือกายหรา เอ้าไม่เรียกร่างกาย ไม่เรียกกาย พี่โฮจะเรียกว่าอะไร เอ้าๆ :b1:

จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน เขาเรียกว่ากาย แต่โฮฮับว่าไม่ใช่ เอ้าจะเรียกอะไรเอ้าๆๆ

แล้วที่ที่ถามว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก่อนหน้าเป็นคำถามลวง คิกๆ มันเป็นคำแปลบาลีนี่

จักขุ (ตา) โสต (หู) ฆาน (จมูก) ชิวหา (ลิ้น) กาย (กาย) มโน (ใจ) มันก็กายอันเดียวกันนั่นแหละ

เหนื่อยขอรับ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 18:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ที่เห็นผิด เช่น โฮฮัย อโศก เป็นต้น ไม่่มีทางจะปฏิบัติธรรม เช่น สติปัฏฐาน เป็นต้นได้ ไม่มีทาง เลยจริงๆ เพราะตนเองเข้าใจธรรมเบื้องต้น (แค่กาย) ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปหมดแล้ว อ้อ...ถ้านั่งคิดเตลิดเปิดเปิงอันเนี่ยได้ :b1:

ถ้าลงมือภาวนาเมื่อไรเพี้ยนหรือบ้าทันที :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:

อ้างคำพูด:
กายนั้นจะต้องประกอบด้วยอินทรีย์ห้าเป็นหลัก


ไหนลองจัดอินทรีย์ห้าเข้าในกายหน่อยดีเอ้า :b1:

เอาอีกน่ะ จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน กายที่ไหนเอ้า


เริ่มถามมันก็มั่วแล้ว อินทรีย์หมายถึง ศรัทธา สติ ปัญญา วิริยะ สมาธิ
นี้แบบนี้ จึงจะเรียกว่า กายอันประกอบด้วยอินทรีย์ห้า


นี่ก็เรียงมั่ว

อ้างคำพูด:
ศรัทธา สติ ปัญญา วิริยะ สมาธิ


สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เรียกว่า พละ ๕ ก็ได้ เรียกว่า อินทรีย์ก็ได้ เรียกว่า พละ ก็เอาพละ ใส่่เข้าไปซี่ เช่น สัทธาพละ วิริยพละ สติพละ สมาธิพละ และปัญญาพละ เป็นพละ ๕ แล้ว

ถ้าเป็นอินทรีย์ ก็เติมศัพท์อินทรีย์เข้าไป เช่น สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ และปัญญินทรีย์ เป็นอินทรีย์ ๕ แล้ว เป็นนามธรรม กายหรือร่างกายเป็นรูปธรรม แค่นี้เอง


พวกเราหลงภาษาของเขา อย่าลืมว่า ศัพท์ทางธรรม เป็นภาษาบาลี (เขามีความหมายของเขา) ถ้าต้องการเข้าใจภาษาทางธรรม (บาลี) จงทิ้งภาษาไทยไปเลย จึงจะเข้าใจภาษาทางธรรม ไม่ใช่เล่นมั่วๆอย่างโฮฮับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 21:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:




ที่ว่างเว้นไปบ้างวันสองวันก็เพราะภาระกิจ ไม่ได้หายเพราะกลัวคำถามของกรัชกาย..แล้วก็เคยเห็นแต่กรัชกายเลี่ยงบาลีไม่ตอบคำถามอโศกะบ่อยๆ เลยไม่ค่อยอยากจะตอบคำถาม ที่เป็นลักษณะลองภูมิ ่คำถามวิชาการที่ต้องค้นตำรามาตอบ



ให้อโศกถามบ้าง ถามช้าๆชัดๆดังๆ ถามได้เลยครับ


อ้อ ... ถามเรืองเกลือไม่ตอบนะครับ มันเค็ม :b32: เด็กยังรู้เลยว่า เกลือเค็ม บอระเพ็ดเปรี้ยว หรือขมหว่า :b9: ่มึนเริ่มไม่แน่ใจ

:b7:
ถามให้อธิบายความเค็มให้ฟัง จะได้รู้ว่าอธิบายได้หรือไม่อันจะส่งผลให้รู้ว่า นิพพานเป็นอย่างไร จะอธิบายเป็นคำพูดได้หรือไม่
กรัชกายนักวิชาการใหญ่ยังมองไม่ออก

แล้วไอ้เรื่องที่ว่าคนยังไม่รู้เรื่องกายละเอียดเท่ากรัชกาย จะยังปฏิบัติธรรมไม่ได้นั้น เป็นมิจฉาทิฏฐิและขวางธรรมอย่างยิ่ง เพราะการบรรลุธรรมขิองผู้คนในครั้งพุทธกาลแตกต่างกันไปมากมายเกือบเท่าจำนวนพระสูตร 21,000 สูตรนั่นเลยทีเดียวจึงอย่าได้สำคัญผิดประกาศไปเรื่อยจนอาจทำให้ผู้ใหม่เข้าใจผิดตาม
Onion_L
ส่วนที่ว่าจะให้ถามดังๆก็จะถามว่า

กรัชกายเคยไปปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องที่ไหนมาบ้าง มีประสบการณ์ธรรมอย่างไร? เอาคุยให้กันฟังหน่อยพอเป็นสังเขป

และพูดเรื่องธรรมนอกตำรากันดูบ้างทำได้ไหม?
:b35:


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 05 ก.พ. 2014, 21:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 21:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ผู้ที่เห็นผิด เช่น โฮฮัย อโศก เป็นต้น ไม่่มีทางจะปฏิบัติธรรม เช่น สติปัฏฐาน เป็นต้นได้ ไม่มีทาง เลยจริงๆ เพราะตนเองเข้าใจธรรมเบื้องต้น (แค่กาย) ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปหมดแล้ว อ้อ...ถ้านั่งคิดเตลิดเปิดเปิงอันเนี่ยได้ :b1:

ถ้าลงมือภาวนาเมื่อไรเพี้ยนหรือบ้าทันที :b13:

:b12:
เกรงจะเป็นกรัชกายนักวิชาการใหญ่เสียละกระมังที่ถ้าลงมือภาวนาจริงจังวันใดจะเพี้ยนหรือเป็นบ้า เพราะวิชาที่เรียนรู้มามากมายมันตีกัน

ดูอย่างทุกวันนี้กรัชกายก็ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติภาวนาอย่างเต็มที่และต่อเนื่องเลย มีแต่ไปคอยเฝ้าดูอารมณ์ของผู้อื่นและค้นตำรามาพูด

อันที่เป็นเรื่องสภาวธรรม ประสบการการปฏิบัติของตนเองยังไม่กล้าเอามาเล่าให้ใครฟังเลย

นี่สังเกตดูจากเรื่องทั้งหมดที่กรัชกายแสดงออกในกระทู้ทุกวันๆนะ ลองหาเวลาย้อนกลับไปวิเคราะห์ข้อเขียนและกระทู้ของตนเองดูบ้างสิว่ามีที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์การปฏิบัติจริงของตนบ้างหรือไม่
:b13:


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

ที่ว่างเว้นไปบ้างวันสองวันก็เพราะภาระกิจ ไม่ได้หายเพราะกลัวคำถามของกรัชกาย..แล้วก็เคยเห็นแต่กรัชกายเลี่ยงบาลีไม่ตอบคำถามอโศกะบ่อยๆ เลยไม่ค่อยอยากจะตอบคำถาม ที่เป็นลักษณะลองภูมิ ่คำถามวิชาการที่ต้องค้นตำรามาตอบ



ให้อโศกถามบ้าง ถามช้าๆชัดๆดังๆ ถามได้เลยครับ


อ้อ ... ถามเรืองเกลือไม่ตอบนะครับ มันเค็ม :b32: เด็กยังรู้เลยว่า เกลือเค็ม บอระเพ็ดเปรี้ยว หรือขมหว่า :b9: ่มึนเริ่มไม่แน่ใจ

:b7:

ถามให้อธิบายความเค็มให้ฟัง จะได้รู้ว่าอธิบายได้หรือไม่อันจะส่งผลให้รู้ว่า นิพพานเป็นอย่างไร จะอธิบายเป็นคำพูดได้หรือไม่

กรัชกายนักวิชาการใหญ่ยังมองไม่ออก

แล้วไอ้เรื่องที่ว่าคนยังไม่รู้เรื่องกายละเอียดเท่ากรัชกาย จะยังปฏิบัติธรรมไม่ได้นั้น เป็นมิจฉาทิฏฐิและขวางธรรมอย่างยิ่ง เพราะการบรรลุธรรมขิองผู้คนในครั้งพุทธกาลแตกต่างกันไปมากมายเกือบเท่าจำนวนพระสูตร 21,000 สูตรนั่นเลยทีเดียวจึงอย่าได้สำคัญผิดประกาศไปเรื่อยจนอาจทำให้ผู้ใหม่เข้าใจผิดตาม


ส่วนที่ว่าจะให้ถามดังๆก็จะถามว่า

กรัชกายเคยไปปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องที่ไหนมาบ้าง มีประสบการณ์ธรรมอย่างไร? เอาคุยให้กันฟังหน่อยพอเป็นสังเขป

และพูดเรื่องธรรมนอกตำรากันดูบ้างทำได้ไหม?



อ้าวๆๆ กรัชกายยังไม่เคยพูด "กายละเอียด" ซักคำนะ คิกๆ เคยเห็นแต่เขาพูดกัน่บ่อยๆที่บอร์ดหนึ่ง ถอดกาย ถอดจิต ถอดกายละเอียดอะไรเนี่ยนะ

แต่กรัชกายพูดถึง กาย ร่างกายที่เห็นๆโท่นโท่อยู่นี่ เช่นที่ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯลฯ กายเห็นๆอยู่เนี่ย


อ้างคำพูด:
ส่วนที่ว่าจะให้ถามดังๆก็จะถามว่า

กรัชกายเคยไปปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องที่ไหนมาบ้าง มีประสบการณ์ธรรมอย่างไร? เอาคุยให้กันฟังหน่อยพอเป็นสังเขป

และพูดเรื่องธรรมนอกตำรากันดูบ้างทำได้ไหม?



ก่อนที่กรัชกายจะพูดธรรมนอกตำรา คุณอโศกต้องดูนอกตำรานั่นเข้าใจก่อน ดูครับ


อ้างคำพูด:
ตอนแรกดิฉันมีอาการผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน
แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลยจึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน
คราวนี้พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก

ต่อมาทั้งตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ

ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีกเพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย
เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล และก็รักษาจนรู้ตัวและเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง
แต่ยังมีอาการอย่างนึงที่ยังไม่หายคือใจแว่ว (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะเพราะมันคลายหูแว่วแต่เสียงเหมือนมีคนอื่นพูดมาจากใจเรา)

กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร
เสียงที่ได้ยินบอกว่าไม่หายหรอก ต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ

ฟังไปก็งงไปเรื่อยค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก
แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน
แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้

(ดูเหมือนกับว่า อาการทางจิตเกิดได้จากการทำสมาธิ)
แล้วอาการทางกายล่ะคะ คุณเคยได้ยินว่ามีคนผิดปกติทางกายจากการฝึกสมาธิแล้วไม่หายไหมคะ
เพราะมันเป็นเหตุหนึ่งที่ดิฉันกลัว จึงไม่กล้าทำอีก เพราะตอนที่เป็นนั้น

เหมือนมีคนมาจับหน้าเราบิดแรงๆไปมาตลอดเวลา ตอนออกจากสมาธิก็ยังเป็น
ตอนนั้นค่อนข้างหวั่นใจ แต่ก็อดทนนั่งจนหายไป ใช้เวลาช่วงนั้นราวสองวันค่ะ
กลัวว่าคราวนี้ทำอีกแล้วเกิดมันเป็นอีก แล้วไม่หายจะแย่ .




พอดูเข้าใจไหมครับ เป็นอะไร :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

กายละเอียด



ไหนๆก็เปิดประเด็นใหม่แล้ว ถามเลย "กายละเอียด" หมายถึงกายอะไรครับคุณอโศก :b10: :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 22:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

ที่ว่างเว้นไปบ้างวันสองวันก็เพราะภาระกิจ ไม่ได้หายเพราะกลัวคำถามของกรัชกาย..แล้วก็เคยเห็นแต่กรัชกายเลี่ยงบาลีไม่ตอบคำถามอโศกะบ่อยๆ เลยไม่ค่อยอยากจะตอบคำถาม ที่เป็นลักษณะลองภูมิ ่คำถามวิชาการที่ต้องค้นตำรามาตอบ



ให้อโศกถามบ้าง ถามช้าๆชัดๆดังๆ ถามได้เลยครับ


อ้อ ... ถามเรืองเกลือไม่ตอบนะครับ มันเค็ม :b32: เด็กยังรู้เลยว่า เกลือเค็ม บอระเพ็ดเปรี้ยว หรือขมหว่า :b9: ่มึนเริ่มไม่แน่ใจ

:b7:

ถามให้อธิบายความเค็มให้ฟัง จะได้รู้ว่าอธิบายได้หรือไม่อันจะส่งผลให้รู้ว่า นิพพานเป็นอย่างไร จะอธิบายเป็นคำพูดได้หรือไม่

กรัชกายนักวิชาการใหญ่ยังมองไม่ออก

แล้วไอ้เรื่องที่ว่าคนยังไม่รู้เรื่องกายละเอียดเท่ากรัชกาย จะยังปฏิบัติธรรมไม่ได้นั้น เป็นมิจฉาทิฏฐิและขวางธรรมอย่างยิ่ง เพราะการบรรลุธรรมขิองผู้คนในครั้งพุทธกาลแตกต่างกันไปมากมายเกือบเท่าจำนวนพระสูตร 21,000 สูตรนั่นเลยทีเดียวจึงอย่าได้สำคัญผิดประกาศไปเรื่อยจนอาจทำให้ผู้ใหม่เข้าใจผิดตาม


ส่วนที่ว่าจะให้ถามดังๆก็จะถามว่า

กรัชกายเคยไปปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องที่ไหนมาบ้าง มีประสบการณ์ธรรมอย่างไร? เอาคุยให้กันฟังหน่อยพอเป็นสังเขป

และพูดเรื่องธรรมนอกตำรากันดูบ้างทำได้ไหม?



อ้าวๆๆ กรัชกายยังไม่เคยพูด "กายละเอียด" ซักคำนะ คิกๆ เคยเห็นแต่เขาพูดกัน่บ่อยๆที่บอร์ดหนึ่ง ถอดกาย ถอดจิต ถอดกายละเอียดอะไรเนี่ยนะ

แต่กรัชกายพูดถึง กาย ร่างกายที่เห็นๆโท่นโท่อยู่นี่ เช่นที่ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯลฯ กายเห็นๆอยู่เนี่ย


อ้างคำพูด:
ส่วนที่ว่าจะให้ถามดังๆก็จะถามว่า

กรัชกายเคยไปปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องที่ไหนมาบ้าง มีประสบการณ์ธรรมอย่างไร? เอาคุยให้กันฟังหน่อยพอเป็นสังเขป

และพูดเรื่องธรรมนอกตำรากันดูบ้างทำได้ไหม?



ก่อนที่กรัชกายจะพูดธรรมนอกตำรา คุณอโศกต้องดูนอกตำรานั่นเข้าใจก่อน ดูครับ


อ้างคำพูด:
ตอนแรกดิฉันมีอาการผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน
แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลยจึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน
คราวนี้พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก

ต่อมาทั้งตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ

ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีกเพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย
เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล และก็รักษาจนรู้ตัวและเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง
แต่ยังมีอาการอย่างนึงที่ยังไม่หายคือใจแว่ว (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะเพราะมันคลายหูแว่วแต่เสียงเหมือนมีคนอื่นพูดมาจากใจเรา)

กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร
เสียงที่ได้ยินบอกว่าไม่หายหรอก ต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ

ฟังไปก็งงไปเรื่อยค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก
แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน
แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้

(ดูเหมือนกับว่า อาการทางจิตเกิดได้จากการทำสมาธิ)
แล้วอาการทางกายล่ะคะ คุณเคยได้ยินว่ามีคนผิดปกติทางกายจากการฝึกสมาธิแล้วไม่หายไหมคะ
เพราะมันเป็นเหตุหนึ่งที่ดิฉันกลัว จึงไม่กล้าทำอีก เพราะตอนที่เป็นนั้น

เหมือนมีคนมาจับหน้าเราบิดแรงๆไปมาตลอดเวลา ตอนออกจากสมาธิก็ยังเป็น
ตอนนั้นค่อนข้างหวั่นใจ แต่ก็อดทนนั่งจนหายไป ใช้เวลาช่วงนั้นราวสองวันค่ะ
กลัวว่าคราวนี้ทำอีกแล้วเกิดมันเป็นอีก แล้วไม่หายจะแย่ .




พอดูเข้าใจไหมครับ เป็นอะไร :b1:



มีคนถามเป็นข้อๆ (5 ข้อ) แล้วเขาก็บอกเล่าวิธีที่เขาใช้เป็นข้อๆ คุณอโศกดูครับ


อ้างคำพูด:
1. ที่คุณบอกว่า ฝึกสมาธินั้น คุณฝึกอย่างไร ฝึกด้วยวิธีไหน อาจารย์สอนคุณอย่างไร แล้วคุณทำไปอย่างไร ครับ

ฝึกแบบอาณาปานสติ ตามลมหายใจ สูดลมหายใจยาวรู้ว่ายาว สั้นรู้ว่าสั้น ปกติรู้ว่าปกติ จนลมหายใจละเอียด แล้วหยุดจับที่ปลายจมูกเหมือนเป็นด่านเฝ้าดูลมหายใจเข้า และออก เขาสอนอีกเยอะแต่จำได้แค่นี้ ก็ทำตามนี้แหล่ะค่ะ
แต่พอเจออะไรมากกว่านี้เลยไปไม่เป็น ....ขอไม่บอกชื่อผู้สอนค่ะ

2. เล่าอาการที่คุณพบ ให้ละเอียดขึ้นหน่อย

ประมาณวันที่สี่ เริ่มลูกตาหมุนติ้ว อดทนนั่งจนหายไป วันต่อมาเหมือนมีคนจับหน้าตาเราบิดเบี้ยว เป็นแม้แต่ตอนออกจากสมาธิแล้ว ก็อดทนนั่งจนหายไป
มีเห็นแสงสี ต่อมาเริ่มหูแว่ว เหมือนคุยกับคนอื่นทางจิตได้
กลับบ้านก็ตาฝาด เห็นธงวัด ธงชาติปักสลับบอกว่าต่อไป เราจะไปสร้างวัดตรงนี้

3. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยมีอาการทางจิตมาก่อนหรือเปล่า

ไม่เคย

4. ก่อน การฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยมีความทุกข์ใจมาก กลัดกลุ้มมากๆ จนอยากหาทางออก มีปัญหาในชีวิตมากๆ อะไรอย่างนี้บ้างหรือเปล่าครับ ถึงได้หาหนทางออกด้วยการมาฝึกสมาธิ เพื่อให้พ้นจากความกลัดกลุ้มมากๆเหล่า นั้น

มีใครบ้างไม่เคยมีปัญหาชีวิต จำได้ว่ากลุ้มมากสุดเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว หายแล้ว อภัยไปหมดแล้ว
ดิฉันไม่ได้หาทางออกให้ชีวิตโดยการไปนั่งสมาธิ แต่ชอบตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่งที่มหาลัย

เคยบวชธรรมทายาทที่วัดธรรมกายตอนเป็นนักศึกษา แต่เดินออกมาเพราะไม่เชื่อคำสอนหลายอย่าง
แต่ก็ชอบนั่งสมาธิ แต่งานยุ่งก็ไม่ได้นั่งอีก จนมาเริ่มอีกทีไม่นานนัก ตอนไปคราวนั้นเป็นครั้งที่สาม ไม่ได้กลุ้มอะไรแล้วไป แค่เคยชอบ อยากทำอีก เพราะมันสงบ เย็น เบาสบาย

5. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยไปเข้าตามสำนักทรงเจ้าเข้าทรง อะไรพวกนี้มาก่อนหรือเปล่า

ดิฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เอาเลย จริงๆค่ะ




ลองเสนอทางออกสิครับ :b1: สังเกตข้อ 2 หน่อย เขาเป็นอะไร


อ้อ มีคำว่า กาย ด้วย อโศกว่ากายอะไร คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.พ. 2014, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

แล้วกาย หรือ ร่างกาย ที่เห็นๆเดินๆส่ายไปส่ายมา แกว่งไปแกว่งมา เนี่ยๆไม่เรียกว่า กาย หรือ ร่างกาย หรา :b1: ถ้ายังงั้นเรียกว่าอะไร เอ้าๆเอาชัดๆ

มันคนล่ะเรื่อง ก็เพราะความเขลาเบาปัญญาของกรัชกาย ไม่รูัจักว่าอะไรเป็นหลักการ

คำว่าร่างกาย มันไม่ได้ เป็นภาษาที่ใช้ในการปฏิบัติ มันไม่มีการแยกแยะ สมมติและสภาวะ
ในพุทธพจน์ จะบ่งชี้ชัดในแต่ล่ะบัญญัติ จะให้ผิดไปจากพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไม่ได้
ถ้าเราใช้ภาษาอื่นในการศึกษาหรือปฏิบัติ เราต้องเอาภาษาที่เราใช้
ไปเทียบกับพุทธพจน์ จะได้รู้ว่า ภาษาหรือคำที่เราใช้ มีความหมายตรงกับพุทธพจน์ใด
เช่น ร่างกาย เราก็ต้องเอาคำว่าร่างกายไปเทียบพุทธว่าตรงกับพุทธพจน์ใด
ซึ่ง.....ร่างกายมันตรงกับพุทธพจน์ว่า.....รูปธรรม


จำไว้เสมอว่า.....บัญญัติที่เป็นบาลี เป็นภาษากลาง
ชาวพุทธเถรวาททั่วโลก จะต้องเอาภาษาที่ตนใช้มาเทียบบาลีเสมอ


กรัชกาย เขียน:
อินทรีย์ห้า เป็นนามธรรมนะคะ :b1: กายเป็นรูปธรรม


การที่ธาตุสี่ดิน น้ำ ลม ไฟ จะประกอบกันเป็นกายได้ จะต้องอาศัยวิญญานธาตุ
ตัววิญญานธาตุ เป็นนามธรรม ธาตุสี่เป็นรูปธรรม

ถ้าธาตุสี่ไม่มีวิญญานธาตุ มันก็เป็นเพียงซากที่รอวันสลายผุผัง...มันจึงไม่เป็นทั้งนามธรรมและรูปธรรม
ส่วนอินทรีย์ห้านั้นก็อยู่ในส่วนของวิญญานธาตุนั้นเอง

กรัชกาย เขียน:
แล้วกายที่ใน กายานุปัสสนา ไม่เรียกว่าร่างกายหรือกายหรา เอ้าไม่เรียกร่างกาย ไม่เรียกกาย พี่โฮจะเรียกว่าอะไร เอ้าๆ :b1:


เอาเบื้องต้นก่อน ยังไม่ลงรายละเอียดธรรม กรัชกายไม่เข้าใจแม้แค่หลักการใช้ภาษาธรรมดา
ตัวอย่าง ถ้ากรัชกายไปพูดกับฝรั่ง ถ้ากรัชกายพูดไทยหรือพูดไทยคำฝรั่งคำ แบบนี้ฝรั่งมันจะรู้เรื่องมั้ย
แบบนี้มันทำให้ผลของการสื่อสารผิดเพี้ยน เข้าใจมั้ย

หรือถ้ากรัชกายเป็นคนภาคกลาง แต่ต้องไปสอนเด็กภาคอีสาน
กรัชกายถือไม้เรียวอยู่ เด็กมันเห็นแล้วบอกว่า..."อย่าทำข้อย" กรัชกายจะทำอย่างไร

ดังนั้นเราต้อง เอาสิ่งที่เราสื่อสารกัน ไปเทียบกับภาษากลาง
หรือภาษาที่ทั้งคู่เข้าใจตรงกัเสมอ เราเรียนคำสอนที่มาจากบาลี
เราจึงต้องเอาบาลีเป็นภาษากลาง เข้าใจมั้ย


กรัชกาย เขียน:
จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน เขาเรียกว่ากาย แต่โฮฮับว่าไม่ใช่ เอ้าจะเรียกอะไรเอ้าๆๆ

ที่กรัชกายพูดมาทั้งหมด มันเป็นคำพูดของคนที่ ยังไม่ได้วิปัสนา ขาดซึ่งการแยกแยะ

ไอ้ที่กรัชกายยกมาน่ะ ท่านเรียกว่า รูปขันธ์
และในส่วนที่ยกมา"กาย" ไม่ได้หมายถึง มหาภูติรูปสี่
แต่ที่ท่านเรียกว่ากายก็เพราะ มันเป็นปสาทรับรู้ความรู้สึก
และอารมณ์ที่เกิดจากปสาทส่วนนี้ มีลักษณะเหมือนกับธาตุสี่ของรูปธรรม จึงบัญญัติว่ากาย

จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กายมโน เหล่านี้ล้วนเป็น อุปทายรูป มันเกิดจากการปรุงแต่งของจิต

กรัชกาย เขียน:
แล้วที่ที่ถามว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก่อนหน้าเป็นคำถามลวง คิกๆ มันเป็นคำแปลบาลีนี่


มันพูดอะไรของมันหว่า เง็ง :b10:

กรัชกาย เขียน:
จักขุ (ตา) โสต (หู) ฆาน (จมูก) ชิวหา (ลิ้น) กาย (กาย) มโน (ใจ) มันก็กายอันเดียวกันนั่นแหละ
เหนื่อยขอรับ :b32:


นี่แหล่ะเขาเรียก "อัตตา" พอเกิดการกระทบก็ยึดติดหนึบเป็นกาวดักหนูเลย :b32:


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.พ. 2014, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




images.jpg
images.jpg [ 9.48 KiB | เปิดดู 2835 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:

แล้วกาย หรือ ร่างกาย ที่เห็นๆเดินๆส่ายไปส่ายมา แกว่งไปแกว่งมา เนี่ยๆไม่เรียกว่า กาย หรือ ร่างกาย หรา :b1: ถ้ายังงั้นเรียกว่าอะไร เอ้าๆเอาชัดๆ

มันคนล่ะเรื่อง ก็เพราะความเขลาเบาปัญญาของกรัชกาย ไม่รูัจักว่าอะไรเป็นหลักการ

คำว่าร่างกาย มันไม่ได้ เป็นภาษาที่ใช้ในการปฏิบัติ มันไม่มีการแยกแยะ สมมติและสภาวะ
ในพุทธพจน์ จะบ่งชี้ชัดในแต่ล่ะบัญญัติ จะให้ผิดไปจากพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไม่ได้
ถ้าเราใช้ภาษาอื่นในการศึกษาหรือปฏิบัติ เราต้องเอาภาษาที่เราใช้
ไปเทียบกับพุทธพจน์ จะได้รู้ว่า ภาษาหรือคำที่เราใช้ มีความหมายตรงกับพุทธพจน์ใด
เช่น ร่างกาย เราก็ต้องเอาคำว่าร่างกายไปเทียบพุทธว่าตรงกับพุทธพจน์ใด
ซึ่ง.....ร่างกายมันตรงกับพุทธพจน์ว่า.....รูปธรรม


จำไว้เสมอว่า.....บัญญัติที่เป็นบาลี เป็นภาษากลาง
ชาวพุทธเถรวาททั่วโลก จะต้องเอาภาษาที่ตนใช้มาเทียบบาลีเสมอ


กรัชกาย เขียน:
อินทรีย์ห้า เป็นนามธรรมนะคะ :b1: กายเป็นรูปธรรม


การที่ธาตุสี่ดิน น้ำ ลม ไฟ จะประกอบกันเป็นกายได้ จะต้องอาศัยวิญญานธาตุ
ตัววิญญานธาตุ เป็นนามธรรม ธาตุสี่เป็นรูปธรรม

ถ้าธาตุสี่ไม่มีวิญญานธาตุ มันก็เป็นเพียงซากที่รอวันสลายผุผัง...มันจึงไม่เป็นทั้งนามธรรมและรูปธรรม
ส่วนอินทรีย์ห้านั้นก็อยู่ในส่วนของวิญญานธาตุนั้นเอง

กรัชกาย เขียน:
แล้วกายที่ใน กายานุปัสสนา ไม่เรียกว่าร่างกายหรือกายหรา เอ้าไม่เรียกร่างกาย ไม่เรียกกาย พี่โฮจะเรียกว่าอะไร เอ้าๆ :b1:


เอาเบื้องต้นก่อน ยังไม่ลงรายละเอียดธรรม กรัชกายไม่เข้าใจแม้แค่หลักการใช้ภาษาธรรมดา
ตัวอย่าง ถ้ากรัชกายไปพูดกับฝรั่ง ถ้ากรัชกายพูดไทยหรือพูดไทยคำฝรั่งคำ แบบนี้ฝรั่งมันจะรู้เรื่องมั้ย
แบบนี้มันทำให้ผลของการสื่อสารผิดเพี้ยน เข้าใจมั้ย

หรือถ้ากรัชกายเป็นคนภาคกลาง แต่ต้องไปสอนเด็กภาคอีสาน
กรัชกายถือไม้เรียวอยู่ เด็กมันเห็นแล้วบอกว่า..."อย่าทำข้อย" กรัชกายจะทำอย่างไร

ดังนั้นเราต้อง เอาสิ่งที่เราสื่อสารกัน ไปเทียบกับภาษากลาง
หรือภาษาที่ทั้งคู่เข้าใจตรงกัเสมอ เราเรียนคำสอนที่มาจากบาลี
เราจึงต้องเอาบาลีเป็นภาษากลาง เข้าใจมั้ย


กรัชกาย เขียน:
จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน เขาเรียกว่ากาย แต่โฮฮับว่าไม่ใช่ เอ้าจะเรียกอะไรเอ้าๆๆ

ที่กรัชกายพูดมาทั้งหมด มันเป็นคำพูดของคนที่ ยังไม่ได้วิปัสนา ขาดซึ่งการแยกแยะ

ไอ้ที่กรัชกายยกมาน่ะ ท่านเรียกว่า รูปขันธ์
และในส่วนที่ยกมา"กาย" ไม่ได้หมายถึง มหาภูติรูปสี่
แต่ที่ท่านเรียกว่ากายก็เพราะ มันเป็นปสาทรับรู้ความรู้สึก
และอารมณ์ที่เกิดจากปสาทส่วนนี้ มีลักษณะเหมือนกับธาตุสี่ของรูปธรรม จึงบัญญัติว่ากาย

จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กายมโน เหล่านี้ล้วนเป็น อุปทายรูป มันเกิดจากการปรุงแต่งของจิต

กรัชกาย เขียน:
แล้วที่ที่ถามว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก่อนหน้าเป็นคำถามลวง คิกๆ มันเป็นคำแปลบาลีนี่


มันพูดอะไรของมันหว่า เง็ง :b10:

กรัชกาย เขียน:
จักขุ (ตา) โสต (หู) ฆาน (จมูก) ชิวหา (ลิ้น) กาย (กาย) มโน (ใจ) มันก็กายอันเดียวกันนั่นแหละ
เหนื่อยขอรับ :b32:


นี่แหล่ะเขาเรียก "อัตตา" พอเกิดการกระทบก็ยึดติดหนึบเป็นกาวดักหนูเลย :b32:



การไม่ยึดติด ตามความเข้าใจของโฮฮับ คิดแบบเดียวกันกับนักบวชนิครนถ์ คือนิครนถ์คิดว่าเสื้อผ้าเป็นกิเลส เป็นอุปาทาน ดังนั้น เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสจากการยึดติด ก็คือไม่นุ่งผ้า แก้ผ้าเดินแกว่งไปแกว่งมาอย่างที่เห็นๆ (นึกแล้วขำ) :b9: ความคิดของโฮฮับออกแนวนั้น ชัดเจนนี่

อ้างคำพูด:
นี่แหล่ะเขาเรียก "อัตตา" พอเกิดการกระทบก็ยึดติดหนึบเป็นกาวดักหนูเลย


ไม่ต้องรู้จักไม่รู้จำอะไรแล้ว ปล่อยสมองโล่งๆ อีกหน่อยนะขอรับ กินแล้วก็บอกไม่ได้กิน ขี้รดกางเกงตนเองก็เที่่ยวโทษอินทร์พรมยมยักษ์ คิกๆ

ได้คุยได้สนทนากับคนประเภทนี้แล้ว กรัชกายอายุยืน ได้หัวเราะได้ขำทุกวันๆ วันละ 4 ครั้งเช้า-กลางวัน-เย็น-ก่อนนอน :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสต์ เมื่อ: 06 ก.พ. 2014, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับอโศกเห็นข้อความข้างบนเข้าไป น่าจะติดงานหลายวัน อย่างน้อยๆก็ 3-4 วัน ทีนี้แทบจะรื้อกระท่อมทิ้งทีเดียวเชียว :b13: จริงไม่จริง ถ้าไม่จริงมาแว้ววว :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.พ. 2014, 23:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

ที่ว่างเว้นไปบ้างวันสองวันก็เพราะภาระกิจ ไม่ได้หายเพราะกลัวคำถามของกรัชกาย..แล้วก็เคยเห็นแต่กรัชกายเลี่ยงบาลีไม่ตอบคำถามอโศกะบ่อยๆ เลยไม่ค่อยอยากจะตอบคำถาม ที่เป็นลักษณะลองภูมิ ่คำถามวิชาการที่ต้องค้นตำรามาตอบ



ให้อโศกถามบ้าง ถามช้าๆชัดๆดังๆ ถามได้เลยครับ


อ้อ ... ถามเรืองเกลือไม่ตอบนะครับ มันเค็ม :b32: เด็กยังรู้เลยว่า เกลือเค็ม บอระเพ็ดเปรี้ยว หรือขมหว่า :b9: ่มึนเริ่มไม่แน่ใจ

:b7:

ถามให้อธิบายความเค็มให้ฟัง จะได้รู้ว่าอธิบายได้หรือไม่อันจะส่งผลให้รู้ว่า นิพพานเป็นอย่างไร จะอธิบายเป็นคำพูดได้หรือไม่

กรัชกายนักวิชาการใหญ่ยังมองไม่ออก

แล้วไอ้เรื่องที่ว่าคนยังไม่รู้เรื่องกายละเอียดเท่ากรัชกาย จะยังปฏิบัติธรรมไม่ได้นั้น เป็นมิจฉาทิฏฐิและขวางธรรมอย่างยิ่ง เพราะการบรรลุธรรมขิองผู้คนในครั้งพุทธกาลแตกต่างกันไปมากมายเกือบเท่าจำนวนพระสูตร 21,000 สูตรนั่นเลยทีเดียวจึงอย่าได้สำคัญผิดประกาศไปเรื่อยจนอาจทำให้ผู้ใหม่เข้าใจผิดตาม


ส่วนที่ว่าจะให้ถามดังๆก็จะถามว่า

กรัชกายเคยไปปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องที่ไหนมาบ้าง มีประสบการณ์ธรรมอย่างไร? เอาคุยให้กันฟังหน่อยพอเป็นสังเขป

และพูดเรื่องธรรมนอกตำรากันดูบ้างทำได้ไหม?



อ้าวๆๆ กรัชกายยังไม่เคยพูด "กายละเอียด" ซักคำนะ คิกๆ เคยเห็นแต่เขาพูดกัน่บ่อยๆที่บอร์ดหนึ่ง ถอดกาย ถอดจิต ถอดกายละเอียดอะไรเนี่ยนะ

แต่กรัชกายพูดถึง กาย ร่างกายที่เห็นๆโท่นโท่อยู่นี่ เช่นที่ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯลฯ กายเห็นๆอยู่เนี่ย


อ้างคำพูด:
ส่วนที่ว่าจะให้ถามดังๆก็จะถามว่า

กรัชกายเคยไปปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องที่ไหนมาบ้าง มีประสบการณ์ธรรมอย่างไร? เอาคุยให้กันฟังหน่อยพอเป็นสังเขป

และพูดเรื่องธรรมนอกตำรากันดูบ้างทำได้ไหม?



ก่อนที่กรัชกายจะพูดธรรมนอกตำรา คุณอโศกต้องดูนอกตำรานั่นเข้าใจก่อน ดูครับ


อ้างคำพูด:
ตอนแรกดิฉันมีอาการผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน
แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลยจึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน
คราวนี้พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก

ต่อมาทั้งตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ

ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีกเพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย
เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล และก็รักษาจนรู้ตัวและเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง
แต่ยังมีอาการอย่างนึงที่ยังไม่หายคือใจแว่ว (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะเพราะมันคลายหูแว่วแต่เสียงเหมือนมีคนอื่นพูดมาจากใจเรา)

กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร
เสียงที่ได้ยินบอกว่าไม่หายหรอก ต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ

ฟังไปก็งงไปเรื่อยค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก
แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน
แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้

(ดูเหมือนกับว่า อาการทางจิตเกิดได้จากการทำสมาธิ)
แล้วอาการทางกายล่ะคะ คุณเคยได้ยินว่ามีคนผิดปกติทางกายจากการฝึกสมาธิแล้วไม่หายไหมคะ
เพราะมันเป็นเหตุหนึ่งที่ดิฉันกลัว จึงไม่กล้าทำอีก เพราะตอนที่เป็นนั้น

เหมือนมีคนมาจับหน้าเราบิดแรงๆไปมาตลอดเวลา ตอนออกจากสมาธิก็ยังเป็น
ตอนนั้นค่อนข้างหวั่นใจ แต่ก็อดทนนั่งจนหายไป ใช้เวลาช่วงนั้นราวสองวันค่ะ
กลัวว่าคราวนี้ทำอีกแล้วเกิดมันเป็นอีก แล้วไม่หายจะแย่ .


:b12:


พอดูเข้าใจไหมครับ เป็นอะไร :b1:

s004
แล้วกรัชกายแนะนำเขาไปย่างไรล่ะ แนะถูกหรือเปล่า?
:b10:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 91 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร