วันเวลาปัจจุบัน 03 ต.ค. 2025, 18:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 21 ม.ค. 2014, 20:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
คิดได้ลึกนะครับเอก้อน

ในการสื่อกันด้วยสมมุติบัญญัติก็คงต้องพูดเหมือนกับว่ามีใครไปทำอะไรอยู่

แต่เรื่องนี้อโศกะได้บอกไปบ้างแล้วว่าเมื่อ หมดความเห็นผิด อย่างพระโสดาบันแล้ว เหตุ ผล และ ธรรมจะเข้ามาทำงานแทนอัตตา แต่ยังคงเหลือมานะทิฏฐิ อันเป็นตัวทำให้เกิดความยึดผิดขึ้นมาได้ เพราะมีกูตัวน้อง หรืออัตตาที่ละเอียดอ่อนเป็นตัวทำงาน

แต่เมื่อกูตัวน้อง หรือความยึดผิด อันได้แก่ความยึดในกาย และความยึดในจิต ถูกทำลายขาดสะบั้นลงด้วยอำนาจของปัญญาวิปัสสนาภาวนา....ทุกสิ่งทุกอย่างจะคืนกลับสู่ธรรมชาติเดิมแท้ตามกำลังแห่งเหตุปัจจัย กลายเป็นตถตา ...มันเป็นเช่นนั้นเอง อย่างแท้จริง ยากจะอธิบายเป็นคำพูด ต้องถึงเอง สัมผัสเอง ที่่จิตดวงนั้นเอง

onion onion onion


ไม่ได้คิดลึกหรอก
ปลาที่อาศัยอยู่บริเวณก้นทะเลน้ำลึก
มันก็ไม่ได้รู้สึกว่าตรงที่มันอาศัยนั้นลึกไปจากที่มันอาศัย
...
มันลึกด้วยการมองจากอีกมุม

ลึกก็เจตสิก ตื้นก็เจตสิก

จิตดวงนั้น ก็คือจิตดวงนั้น
ซึ่งก็แสดง/เป็นไปตาม เจตสิก

... :b1:


โพสต์ เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ความหลง ในความมี ความเป็นอะไรๆ

นั่นแหละ เหตุของการเกิด ที่ยังมีอยู่


ผู้ที่เดินตามรอยที่พระพุทธเจ้า จะมุ่งกระทำ เพื่อดับเหตุของการเกิด มากกว่า การคิดว่า ได้อะไร เป็นอะไร

เพราะสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่อง การได้อะไร เป็นอะไร


ดังคำสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งเป็นแนวทางไว้ให้



นี่แน่ะเธอ! ที่สุดโลกแห่งใด อันสัตว์ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ:

เราไม่กล่าวว่า ใครๆอาจรู้ อาจเห็น อาจถึงที่สุดแห่งโลกนั้น ได้ด้วยการไป

"นี่แน่ะเธอ! ในร่างกายที่ยาวประมาณ วาหนึ่ง

ที่ประกอบด้วยสัญญา และใจ นี้เอง,


เราได้บัญญัติโลก,

เหตุให้เกิดโลก,

ความดับสนิทไม่เหลือของโลก,

และทางดำเนินให้ถึง ความดับสนิทไม่เหลือ ของโลกไว้,

ดังนี้แล."

จตฺกฺก. อํ.๒๑/๖๒/๔๕.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุ ท. ! รูป เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นโดยอย่างอื่นได้;
ภิกษุ ท. ! เวทนา เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นโดยอย่างอื่นได้;
ภิกษุ ท. ! สัญญา เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นโดยอย่างอื่นได้;
ภิกษุ ท. ! สังขารทั้งหลาย เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นโดยอย่างอื่นได้;
ภิกษุ ท. ! วิญญาณ เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นโดยอย่างอื่นได้ แล.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘๑/๔๗๘.


“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! คนกล่าวกันว่า ‘สมุทยธรรม สมุทยธรรม’ (มีความก่อขึ้นเป็นธรรมดา) ดังนี้,
ก็สมุทยธรรมนั้น เป็นอย่างไรเล่า ? พระเจ้าข้า !”

ราธะ ! รูป เป็นสมุทยธรรม, เวทนา เป็นสมุทยธรรม, สัญญาเป็นสมุทยธรรม,
สังขารทั้งหลาย เป็นสมุทยธรรม, และวิญญาณ เป็นสมุทยธรรม แล.

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! คนกล่าวกันว่า ‘วยธรรม วยธรรม (มีความเสื่อมเป็นธรรมดา)’ดังนี้,
ก็วยธรรมนั้น เป็นอย่างไรเล่า ? พระเจ้าข้า !”

ราธะ ! รูป เป็นวยธรรม, เวทนา เป็นวยธรรม, สัญญา เป็นวยธรรม,
สังขารทั้งหลาย เป็นวยธรรม, และวิญญาณ เป็นวยธรรม แล.

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! คนกล่าวกันว่า ‘นิโรธธรรม, นิโรธธรรม (มีความดับเป็นธรรมดา)’ดังนี้,
ก็นิโรธธรรมนั้น เป็นอย่างไรเล่า ? พระเจ้าข้า ! ”

ราธะ ! รูป เป็นนิโรธธรรม, เวทนา เป็นนิโรธธรรม, สัญญาเป็นนิโรธธรรม,
สังขารทั้งหลาย เป็นนิโรธธรรม, และวิญญาณ เป็นนิโรธธรรม แล.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๔๑-๒/๓๘๗,๓๘๖,๓๘๘.


ภิกษุ ท. ! รูป ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา,
สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า

“นั่น ไม่ใช่ของเรา (เนตํ มม),
นั่น ไม่ใช่เรา(เนโสหมสฺมิ),
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (น เมโส อตฺตา) ” ดังนี้;

ภิกษุ ท. ! เวทนา ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา,
สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า

“นั่น ไม่ใช่ของเรา (เนตํ มม),
นั่นไม่ใช่เรา(เนโสหมสฺมิ),
นั่น ไม่ใช่ตัวตนของเรา (น เมโส อตฺตา) ” ดังนี้;


ภิกษุ ท. ! สัญญา ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา,
สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริง อย่างนี้ว่า

“นั่น ไม่ใช่ของเรา, นั่น ไม่ใช่เรา, นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” ดังนี้;


ภิกษุ ท. ! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์,สิ่งใด เป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา,
สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ว่า

“นั่น ไม่ใช่ของเรา, นั่น ไม่ใช่เรา, นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” ดังนี้;


ภิกษุ ท. ! วิญญาณ ไม่เที่ยง, สิ่งใด ไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา,
สิ่งใด เป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ว่า

“นั่น ไม่ใช่ของเรา, นั่น ไม่ใช่เรา, นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” ดังนี้ แล.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๘/๔๒.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 19:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
คิดได้ลึกนะครับเอก้อน

ในการสื่อกันด้วยสมมุติบัญญัติก็คงต้องพูดเหมือนกับว่ามีใครไปทำอะไรอยู่

แต่เรื่องนี้อโศกะได้บอกไปบ้างแล้วว่าเมื่อ หมดความเห็นผิด อย่างพระโสดาบันแล้ว เหตุ ผล และ ธรรมจะเข้ามาทำงานแทนอัตตา แต่ยังคงเหลือมานะทิฏฐิ อันเป็นตัวทำให้เกิดความยึดผิดขึ้นมาได้ เพราะมีกูตัวน้อง หรืออัตตาที่ละเอียดอ่อนเป็นตัวทำงาน

แต่เมื่อกูตัวน้อง หรือความยึดผิด อันได้แก่ความยึดในกาย และความยึดในจิต ถูกทำลายขาดสะบั้นลงด้วยอำนาจของปัญญาวิปัสสนาภาวนา....ทุกสิ่งทุกอย่างจะคืนกลับสู่ธรรมชาติเดิมแท้ตามกำลังแห่งเหตุปัจจัย กลายเป็นตถตา ...มันเป็นเช่นนั้นเอง อย่างแท้จริง ยากจะอธิบายเป็นคำพูด ต้องถึงเอง สัมผัสเอง ที่่จิตดวงนั้นเอง

onion onion onion


ไม่ได้คิดลึกหรอก
ปลาที่อาศัยอยู่บริเวณก้นทะเลน้ำลึก
มันก็ไม่ได้รู้สึกว่าตรงที่มันอาศัยนั้นลึกไปจากที่มันอาศัย
...
มันลึกด้วยการมองจากอีกมุม

ลึกก็เจตสิก ตื้นก็เจตสิก

จิตดวงนั้น ก็คือจิตดวงนั้น
ซึ่งก็แสดง/เป็นไปตาม เจตสิก

... :b1:

:b12: :b12: :b12:
ถ้าเข้าใจได้ถึงขนาดนั้นก็ตามสบายเลยนะครับ เอก้อน เพราะไม่มีอะไรจะต้องคุยกันอีก กับผู้ไม่เหลืออะไร
:b4: :b4: :b4:
:b11: :b11:


โพสต์ เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 22:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


สายตาของ สัตตานัง มันจะจ้องไปที่ นิพพาน
ดังนั้น สัตตานัง จะเห็น นิพพานเป็นหนทางที่ตั้งอยู่
คือ...หมายถึง จะเห็นนิพพานเหมือนยอดเขาที่ตั้งอยู่ แล้วก็จะหาทางปีนขึ้นไป

ส่วนสายตาของ วิชชา จะเห็นที่ตั้งของอุปทาน อุปทาน
และการร้อยรัด

อริยะชั้นต่าง ๆ เป็นผู้รู้แล้ว แต่ยังมีการปรากฎตั้งอยู่
ยังปรากฎเครื่องร้อยรัด แต่ท่านก็จะรู้หนทางสลัด
รู้หนทางพ้นไปมีอยู่ และเป็นผู้ที่เดินทางตรงสู่หนทางนั้นแน่นอน

อรหันต์ คือ ผู้ที่ ... ไม่ปรากฏการตั้งอยู่ตลอดสาย
ไม่ปรากฎเกิด เมื่อเกิดไม่ปรากฎ ก็ไม่มีอะไรต้องดับ
ด้วยเห็นธรรมตลอดสาย เป็นสิ่งเดียวรวด
ที่ดำเนินไปตาม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

อนัตตา เพราะ สิ่งที่ถูกรู้ ก็ไม่ใช่ สิ่งที่รู้
แม้สิ่งที่รู้ ก็ อนัตตา
เพราะ ทั้งสองอาศัยกัน

:b6: :b6: :b6:

พอจะคือมั๊ย

:b9: :b9: :b9:


โพสต์ เมื่อ: 23 ม.ค. 2014, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
สายตาของ สัตตานัง มันจะจ้องไปที่ นิพพาน
ดังนั้น สัตตานัง จะเห็น นิพพานเป็นหนทางที่ตั้งอยู่
คือ...หมายถึง จะเห็นนิพพานเหมือนยอดเขาที่ตั้งอยู่ แล้วก็จะหาทางปีนขึ้นไป

ส่วนสายตาของ วิชชา จะเห็นที่ตั้งของอุปทาน อุปทาน
และการร้อยรัด

อริยะชั้นต่าง ๆ เป็นผู้รู้แล้ว แต่ยังมีการปรากฎตั้งอยู่
ยังปรากฎเครื่องร้อยรัด แต่ท่านก็จะรู้หนทางสลัด
รู้หนทางพ้นไปมีอยู่ และเป็นผู้ที่เดินทางตรงสู่หนทางนั้นแน่นอน

อรหันต์ คือ ผู้ที่ ... ไม่ปรากฏการตั้งอยู่ตลอดสาย
ไม่ปรากฎเกิด เมื่อเกิดไม่ปรากฎ ก็ไม่มีอะไรต้องดับ
ด้วยเห็นธรรมตลอดสาย เป็นสิ่งเดียวรวด
ที่ดำเนินไปตาม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

อนัตตา เพราะ สิ่งที่ถูกรู้ ก็ไม่ใช่ สิ่งที่รู้
แม้สิ่งที่รู้ ก็ อนัตตา
เพราะ ทั้งสองอาศัยกัน

:b6: :b6: :b6:

พอจะคือมั๊ย :b9: :b9: :b9:


นั่นสิ! จะถามใครดี?

:b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสต์ เมื่อ: 03 ก.พ. 2014, 21:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
คิดได้ลึกนะครับเอก้อน

ในการสื่อกันด้วยสมมุติบัญญัติก็คงต้องพูดเหมือนกับว่ามีใครไปทำอะไรอยู่

แต่เรื่องนี้อโศกะได้บอกไปบ้างแล้วว่าเมื่อ หมดความเห็นผิด อย่างพระโสดาบันแล้ว เหตุ ผล และ ธรรมจะเข้ามาทำงานแทนอัตตา แต่ยังคงเหลือมานะทิฏฐิ อันเป็นตัวทำให้เกิดความยึดผิดขึ้นมาได้ เพราะมีกูตัวน้อง หรืออัตตาที่ละเอียดอ่อนเป็นตัวทำงาน

แต่เมื่อกูตัวน้อง หรือความยึดผิด อันได้แก่ความยึดในกาย และความยึดในจิต ถูกทำลายขาดสะบั้นลงด้วยอำนาจของปัญญาวิปัสสนาภาวนา....ทุกสิ่งทุกอย่างจะคืนกลับสู่ธรรมชาติเดิมแท้ตามกำลังแห่งเหตุปัจจัย กลายเป็นตถตา ...มันเป็นเช่นนั้นเอง อย่างแท้จริง ยากจะอธิบายเป็นคำพูด ต้องถึงเอง สัมผัสเอง ที่่จิตดวงนั้นเอง

onion onion onion


ไม่ได้คิดลึกหรอก
ปลาที่อาศัยอยู่บริเวณก้นทะเลน้ำลึก
มันก็ไม่ได้รู้สึกว่าตรงที่มันอาศัยนั้นลึกไปจากที่มันอาศัย
...
มันลึกด้วยการมองจากอีกมุม

ลึกก็เจตสิก ตื้นก็เจตสิก

จิตดวงนั้น ก็คือจิตดวงนั้น
ซึ่งก็แสดง/เป็นไปตาม เจตสิก

... :b1:

:b12:
เพราะเป็นปลา ไม่มีสติปัญญามากพอ มันจึงรู้แค่ตามสัญชาตญาณ แต่ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ดี ชั่ว ถูก ผิด
รู้อยูแค่แต่ว่า

กิน.....ขี้....สี่.......นอน

มาเกิดเป็นมนุษย์ มีสติปัญญาขึ้นมา ถ้าไม่พบกัลยาณมิตรและข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ย่อมไม่รู้จัก ศีล ธรรม บาป บุญ คุณ โทษ ทางหลุดพ้น ทางหมุนเวียน ก็จึงใช้ชีวิตแทบไม่ต่างจากสัตว์อื่นคือ

กิน.....ขี้.....สี่.....นอน

เมื่อกุศลส่งได้พบกัลยาณมิตรผู้
รู้จริง ถึงจริงในคำสอนและทางเดินอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาทำธรรมะที่วิเศษ ละเอียด ลึกล้ำเต็มไปด้วยศัพท์แสงทางบาลี และคำพูดที่เป็นตรรกะ กำกวม เข้าใจยาก ใก้ให้เป็นของง่าย เรื่องง่ายๆใครๆก็ศึกษาได้รู้ได้ด้วยภาษาพื้นๆธรมดา อุปมัยอุปมาที่ใกล้เคียงเห็นอยูในชีวิตปัจจุบัน
เขาเหล่านั้นเลยได้ปฏิบัติธรรมเข้าถึงธรรมตามรอยเท้ารอยบาทของพระศาสดาไป

จึงขอส่งแรงและกำลังใจมาให้ท่านผู้รู้ทั้งหลายช่วย Symplified ทำให้ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นสิ่งที่รู้ง่าย เห็นง่าย ปฏิบัติได้ไม่ยาก เหมาะสมมากที่มนุษย์ทุกคนจะได้รู้และปฏิบัติตาม เพื่อความพ้นจากทุกขข์ถึงสุข คือนิพพานด้วยกันทุกท่านทุกคน
:b37:


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.พ. 2014, 08:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุปัจจัยที่มีอยู่ และ เหตุที่กำลังสร้างให้เกิดขึ้นใหม่

เหตุปัจจัยที่มีอยู่ ได้แก่ อวิชชา(ความไม่รู้) ที่มีอยู่ เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดในผัสสะที่เกิดขึ้น

ทำให้ไม่รู้ว่า ผัสสะที่เกิดขึ้น แต่ละขณะๆนั้น อะไรเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดขึ้น

ทำให้ไม่รู้ว่า ผัสสะที่เกิดขึ้น ขณะนั้นๆ
ทำไมผัสสะบางขณะ ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
ทำไมผัสสะบางขณะ รู้สึกเฉยๆ



เหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่

เมื่อผัสสะที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
เพราะความไม่รู้ที่มีอยู่ จึงหลงสร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น

เมื่อนำความมีตัวตน เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น
คำเรียกเหล่านี้ "บาปบุญคุณโทษ ดี ชั่ว ถูก ผิด กุศล อกุศล" จึงเกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย




ว่าด้วยเหตุเกิดของกรรม ๓ อย่าง

ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุทั้งหลาย ๓ ประการเหล่านี้ มีอยู่ เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย.

๓ ประการเหล่าไหนเล่า ?
๓ ประการ คือ :-

โลภะ (ความโลภ) เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้น แห่งกรรมทั้งหลาย,
โทสะ (ความคิดประทุษร้าย) เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้น แห่งกรรมทั้งหลาย,
โมหะ (ความหลง) เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้น แห่งกรรมทั้งหลาย.

ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนเมล็ดพืชทั้งหลาย ที่ไม่แตกหัก ที่ไม่เน่า ที่ไม่ถูกทำลายด้วยลมและแดด

เลือกเอาแต่เม็ดดี เก็บงำไว้ดี อันบุคคลหว่านไปแล้ว ในพื้นที่ซึ่งมีปริกรรมอันกระทำดีแล้วในเนื้อนาดี.

อนึ่ง สายฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล.

ภิกษุทั้งหลาย ! เมล็ดพืชทั้งหลายเหล่านั้น จะพึงถึงซึ่งความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์โดยแน่นอน, ฉันใด;


ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือ

กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโลภะ เกิดจากโลภะ
มีโลภะเป็นเหตุ มีโลภะเป็นสมุทัย อันใด;
กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพ ของบุคคลนั้น.

กรรมนั้นให้ผลในอัตตภาพใด เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง
ไม่ว่าจะ เป็นไปอย่าง ในทิฏฐธรรม (คือทันควัน) หรือว่า เป็นไปอย่าง ในอุปปัชชะ (คือในเวลาต่อมา)
หรือว่า เป็นไปอย่าง ในอปรปริยายะ (คือ ในเวลาต่อมาอีก) ก็ตาม.

กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโทสะ เกิดจากโทสะ
มีโทสะเป็นเหตุ มีโทสะเป็นสมุทัย อันใด;

กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพ ของบุคคลนั้น.
กรรมนั้นให้ผลในอัตตภาพใด เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง
ไม่ว่าจะ เป็นไปอย่างในทิฏฐธรรม หรือว่า เป็นไปอย่างในอุปปัชชะ หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ ก็ตาม.

กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโมหะ เกิดจากโมหะ
มีโมหะเป็นเหตุ มีโมหะเป็นสมุทัย อันใด;

กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพ ของบุคคลนั้น.
กรรมนั้นให้ผลในอัตตภาพใด เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง

ไม่ว่าจะ เป็นไปอย่างในทิฏฐธรรม หรือว่า เป็นไปอย่างในอุปปัชชะ
หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ ก็ตาม.

ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุทั้งหลาย ๓ ประการ เหล่านี้แล
เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย.
ติก. อํ. ๒๐/๑๗๑/๔๗๓.



ฉะนั้น พึงศึกษาว่าด้วย กรรม ตามคำสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งเป็นแนวทางไว้ให้



กรรม


ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนา ว่าเป็นกรรม.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุเกิดของกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความเกิดของผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความดับแห่งกรรม ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! มรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.
ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๖๔/๓๓๔.

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
นิทานสัมภวะแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
เวมัตตตาแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
วิบากแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
กัมมนิโรธ เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ ….

คำที่เรากล่าวแล้วดังนี้นั้น
เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม เพราะว่าบุคคล เจตนาแล้ว
ย่อมกระทำซึ่งกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ.

ภิกษุทั้งหลาย ! นิทานสัมภวะ (เหตุเป็นแดนเกิดพร้อม) แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! นิทานสัมภวะแห่งกรรมทั้งหลายคือ ผัสสะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เวมัตตตา (ความมีประมาณต่างๆ) แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมที่ทำสัตว์ ให้เสวยเวทนา
ในนรก มีอยู่, กรรมที่ทำสัตว์ ให้เสวยเวทนา ในกำเนิดเดรัจฉาน มีอยู่,
กรรมที่ทำสัตว์ ให้เสวยเวทนา ในเปรตวิสัย มีอยู่,
กรรมที่ทำสัตว์ ให้เสวยเวทนา ในมนุษย์โลก มีอยู่,
กรรมที่ทำสัตว์ ให้เสวยเวทนาในเทวโลก มีอยู่.
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า เวมัตตตาแห่งกรรมทั้งหลาย.

ภิกษุทั้งหลาย ! วิบาก (ผลแห่งการกระทำ) แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าววิบากแห่งกรรมทั้งหลายว่า มีอยู่ ๓ อย่าง คือ
วิบากในทิฏฐธรรม (คือทันควัน)
หรือว่า วิบากในอุปปัชชะ (คือในเวลาต่อมา)
หรือว่า วิบาก ในอปรปริยายะ (คือในเวลาต่อมาอีก).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า วิบากแห่งกรรมทั้งหลาย.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับไม่เหลือแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ความดับแห่งกรรมทั้งหลาย ย่อมมีเพราะความดับ แห่งผัสสะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัม ม นิโ ร ธ ค า มินีป ฏิปทา(ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง คือ กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา;
ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ :-
สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)
สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)
สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ (การทำการงานชอบ)
สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ)
สัมมาสติ (ความระลึกชอบ)
สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ).

ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อใดอริยสาวก ย่อมรู้ชัดซึ่ง กรรม อย่างนี้,
รู้ชัดซึ่ง นิทานสัมภวะแห่งกรรม อย่างนี้,
รู้ชัดซึ่ง เวมัตตตาแห่งกรรม อย่างนี้,
รู้ชัดซึ่ง วิบากแห่งกรรม อย่างนี้,
รู้ชัดซึ่ง กัมมนิโรธ อย่างนี้,
รู้ชัดซึ่ง กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา อย่างนี้;
อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดซึ่งพรหมจรรย์นี้ว่า เป็นเครื่องเจาะแทงกิเลส เป็นที่ดับไม่เหลือแห่งกรรม.

ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่เรากล่าวแล้วว่า
“กรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
นิทานสัมภวะแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
เวมัตตตาแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
วิบากแห่งกรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
กัมมนิโรธ เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ”
ดังนี้นั้น เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว.
ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๕๘,๔๖๓-๔๖๔/๓๓๔.






เหตุเกิดของกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความเกิดของผัสสะ


กรรมเก่าและกรรมใหม่


ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ….

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) …. โสตะ (หู) …. ฆานะ (จมูก) …. ชิวหา (ลิ้น) …. กายะ (กาย) …. มนะ (ใจ)

อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า)
อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)
อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น)
เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กรรมเก่า.

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด,
อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม)เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด,
อันนี้เรียกว่า กัมมนิโรธ.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัม ม นิโ รธค ามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค
(อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่
สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ(การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ) สัมมาสติ(ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า)
กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย กรรมใหม่เราก็แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย,
กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ.

ภิกษุทั้งหลาย ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง.
พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท,
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
นี้แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.





ความดับแห่งกรรม ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ


เมื่อผัสสะเกิด สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
ให้กระทำไว้ในใจ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น



อุบาย ในการดับผัสสะ


สังขาร

ภิกษุ ท. ! สังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งเจตนา หกเหล่านี้ คือ สัญเจตนาในเรื่องรูป,
สัญเจตนาในเรื่องเสียง, สัญเจตนาในเรื่องกลิ่น, สัญเจตนาในเรื่องรส,
สัญเจตนาในเรื่องโผฎฐัพพะ, และสัญเจตนาในเรื่องธรรมารมณ์.

ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า สังขารทั้งหลาย.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๔/๑๑๖.

ความหมายของคำว่า “สังขาร”

ภิกษุ ท. ! คนทั่วไป กล่าวกันว่า “สังขารทั้งหลาย” เพราะอาศัยความหมาย อะไรเล่า?

ภิกษุ ท. ! เพราะกิริยาที่ปรุงแต่งให้สำเร็จรูป มีอยู่ ในสิ่งนั้น
ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า สังขาร.

สิ่งนั้นย่อมปรุงแต่งอะไร ให้เป็นของสำเร็จรูป ?

สิ่งนั้นย่อมปรุงแต่งรูป ให้สำเร็จรูปเพื่อความเป็นรูป,
ย่อมปรุงแต่งเวทนา ให้สำเร็จรูป เพื่อความเป็นเวทนา,
ย่อมปรุงแต่งสัญญา ให้สำเร็จรูป เพื่อความเป็นสัญญา,
ย่อมปรุงแต่งสังขารให้สำเร็จรูป เพื่อความเป็นสังขาร,
และย่อมปรุงแต่งวิญญาณให้สำเร็จรูปเพื่อความเป็นวิญญาณ.

ภิกษุ ท. ! เพราะกิริยาที่ปรุงแต่งให้สำเร็จรูป มีอยู่ในสิ่งนั้น
ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่าสังขารทั้งหลาย.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๐๖/๑๕๙.

ภิกษุ ท. ! สังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุ ท. ! หมู่แห่งเจตนาหกเหล่านี้ คือ สัญเจตนาในเรื่องรูป,
สัญเจตนาในเรื่องเสียง, สัญเจตนาในเรื่องกลิ่น, สัญเจตนาในเรื่องรส,
สัญเจตนาในเรื่องโผฏฐัพพะ, และสัญเจตนาในเรื่องธรรมารมณ์.

ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า สังขารทั้งหลาย.

ความเกิดขึ้นแห่งสังขารทั้งหลาย มีได้เพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ ;
ความดับไม่เหลือแห่งสังขารทั้งหลาย มีได้ เพราะความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ ;

อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็น ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือ แห่งสังขารทั้งหลาย,
ได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ ; การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ;
ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ.
- ขนฺธ.สํ. ๑๗/๗๔/๑๑๖.

[๔๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่
เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะตามเห็น
สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะตาม
เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.


[๔๖๕] พ. เพราะเหตุนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต
อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่
ไกลหรือในที่ใกล้ รูปทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่าง
นี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.

เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีตอยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ วิญญาณทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯลฯ (อีก ๒๔ สูตรเหมือนในวรรคที่ ๒)

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 557&Z=5632




เมื่อไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น จากผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย

สภาวะเหล่านี้ ตามคำสอนที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งเป็นแนวทางไว้ให้ ย่อมเกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย


ภิกษุ ท. ! ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด (นิสฺสารณิยธาตุ) ๕
อย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่างอย่างไรเล่า ?

ห้าอย่างคือ :-

ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งกามทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในกามทั้งหลาย ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งเนกขัมมะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในเนกขัมมะ.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดีปราศจาก กามทั้งหลายด้วยดี ;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายอันทำ ความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะกามเป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งกามทั้งหลาย.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งพ๎ยาบาท,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในพ๎ยาบาท;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอัพ๎ยาบาท,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอัพ๎ยาบาท.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากพ๎ยาบาทด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะพ๎ยาบาทเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งพ๎ยาบาท.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งวิหิงสา,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในวิหิงสา ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอวิหิงสา,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอวิหิงสา,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจาก วิหิงสาด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะวิหิงสาเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งวิหิงสา.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งรูปทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในรูปทั้งหลาย ;

แต่เมื่อ ภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอรูป,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอรูป.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากรูปทั้งหลายด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะรูปทั้งหลายเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งรูปทั้งหลาย.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ
เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งสักกายะ (ความยึดถือว่าตัวตน),
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในสักกายะ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งความดับแห่งสักกายะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในความดับแห่งสักกายะ,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากสักกายะด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะสักกายะ เป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่ง สักกายะ.

นันทิ (ความเพลิน) ในกาม ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในพ๎ยาบาท ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในวิหิงสา ก็ไม่นอนตาม (ในจิต)ของเธอ ;
นันทิในรูป ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ ;
นันทิในสักกายะ ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ.

เธอนั้น เมื่อกามนันทิก็ไม่นอนตาม พ๎ยาปาท นันทิก็ไม่นอนตาม วิหิงสานันทิก็ไม่นอนตาม รูปนันทิก็ไม่นอนตาม สักกายนันทิก็ไม่นอนตาม ดังนี้แล้ว ;

ภิกษุ ท. ! เรากล่าวภิกษุนี้ว่า ปราศจากอาลัยตัดตัณหาขาดแล้ว รื้อถอนสังโยชน์ได้แล้ว กระทำที่สุด แห่งกองทุกข์ได้แล้ว เพราะรู้เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด ๕ อย่าง.
- ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๗๒/๒๐๐.



หมายเหตุ:

เมื่อผัสสะเกิด(สิ่งที่เกิดขึ้น) เช่น ตาเห็น หูได้ยินฯลฯ เป็นเหตุให้ มีความรู้สึกนึกคิดต่างๆ เกิดขึ้น ให้แค่รู้ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น เป็นวิธีการ ดับเหตุของการเกิดภพชาติปัจจุบัน ให้สั้นลงไปเรื่อยๆ

ชั่วขณะ ที่เกิดผัสสะ แล้วไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น เป็นการสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด ตามธรรมบทข้างบน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.พ. 2014, 21:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:

มาเกิดเป็นมนุษย์ ...

... :b37:


จะ
เรียก สัตตานัง
หรือเรียก มนุษย์
ดีล่ะ
ท่านนักปฏิบัติธรรมชั้นเลิศ

:b41:


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 14:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b12:

มาเกิดเป็นมนุษย์ ...

... :b37:


จะ
เรียก สัตตานัง
หรือเรียก มนุษย์
ดีล่ะ
ท่านนักปฏิบัติธรรมชั้นเลิศ

:b41:

:b12: :b12: :b12:
s004
เอ้อ!......น่าจะถึงเวลาที่เอก้อนควรจะได้ปล่อยวางความยึด ศรัทธา ความนิยมในจิตในพระสูตรหนึ่งเรื่อง...."สัตตานัง"...ได้แล้วนะ จิตใจจะได้กลับมาอยู่ตรงกลางๆหรือปกติ...เพราะช่วงเกือบเดือนมานี้เห็นพูดซ้ำย้ำแล้วย้ำอีกเรื่องสัตตานัง
onion onion onion
สัตว์........มาจากคำว่า...."สัตตะ" ...แปลว่า 7

ความหมายที่ลึกซึ้งลงไปของสัตว์โลก อันรวมถึงมนุษย์ เทวดา พรหม และสัตว์ในอบายภูมิทั้ง 4 นั้นมีความหมายว่า

"จิตวิญญาณที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิทั้ง 7 นี้ เรียกว่า สัตว์โลก"

ภพภูมิทั้ง 7 มี

อบายภูมิ 4

มนุษย์ภูมิ 1

สวรรค์ภูมิ 1 แบ่งย่อยเป็น 6

พรหมภูมิ 1 แบ่งย่อยเป็น 20

รวมเป็น 31 ภพภูมิเมื่อแบ่งย่อยโดยละเอียด

onion onion onion
มนุษย์ ....มนะ+อุษยะ..........ผู้มีใจสูง

ใจสูง....คือใจที่มีหิริโอตัปปะ ความละอายเกรงกลัวต่อบาปเป็นสำคัญ ที่เหลือนอกนั้นเป็นการขยายผลออกไปจากเรื่องนี้ทั้งสิ้น แม้กระทั้งเรื่องการประพฤติธรรมเพื่อให้ถึงนิพพาน
Kiss Kiss Kiss
ถอนจิตออกมาจากโลกแห่งความครุ่นคิดคำนึงว่า ยังมีสิ่งที่สูงไปอีกยิ่งกว่า ในบัญญัติที่ว่าสูงสุดแล้ว
มาพิสูจน์ความจริงด้วยปฏิบัติการว่า


"สิ่งที่คาดว่าใช่ที่สุดนั้นมันคืออะไรกันแน่ หรือจะเป็นเพียงแค่ที่คิดสรุปอุปไว้ในใจเจ้าของคนเดียว"
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 15:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

อย่าหมายว่าเอกอนยึดอะไรเรย
ให้คิดซะว่าเอกอนยิงคำถามเพื่อหยั่งสายตาท่าน...ก็แค่นั้น...
ว่าทัศนะท่าน เห็นธรรมถึงระดับไหน

...

:b1:

:b41:

"สัตตานัง"

ถ้าเห็น "สัตตานัง" (ถ้าไม่เจนจัดด้วยการท่องจำมาพูด)
นั่นแสดงว่า ผู้ปฏิบัติได้พิจารณาวงจรปฏิจสมุปบาทอย่างสมบูรณ์แล้ว
ทั้งขาเกิด และขาดับ... :b1:

เมื่อเดินวงจรปฏิจจสมุปบาทขาดับมาจนถึงที่สุด ก็จะเห็น สัตตานัง

:b1: เอกอนลำดับไม่เพี้ยนหรอก ไปดูพระสูตรที่พระพุทธองค์กล่าวถึง "สัตตานัง"
และไปดูวงรอบปฏิจจสมุปบาท ให้ดี
ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด มีอวิชชา เป็นต้นสาย
สัตตานัง มี อิวชชา เป็นเครื่องกั้น .... :b1:

นักปฏิบัติธรรมชั้นเลิศ ท่านเห็น มนุษย์ หรือเห็น สัตตานัง

:b1:

...

:b1:

ถ้าเห็น...จริง
ผู้เห็นย่อมรู้องค์ประกอบ(ธรรม)อันเป็นปัจจัยในการเห็นนั้นทั้งหมด
และพร้อมที่จะหยิบออกมากล่าวได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดพิจารณา
หรือไปเสียเวลาเปิดตำราหาความหมายนะ

:b1: :b1: :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 05 ก.พ. 2014, 19:15, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 15:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านไม่ชอบคุยเรื่อง "สัตตานัง" เพราะท่านรู้สึกว่า
ท่านมีความรู้อ่อนในเรื่องนี้ ... :b1: ใช่ป่าว

ซึ่งถ้าความรู้ในเรื่อง "สัตตานัง" อ่อนเสียแล้ว
ความเข้าใจในเรื่อง "วิมุตติ" จะแข็งแรงได้อย่างไร...

และเมื่อ "วิมุตติ" ยังไม่แข็งแรง "ปฏิจสมุปบาท" จะแข็งแรงได้อย่างไร

...

เอกอนมีหลักในการทดสอบผู้บรรลุธรรมอย่างนี้ล่ะ
ใช้ธรรมอันว่าด้วยปัญญานั่นล่ะมาทดสอบ
ถ้าผู้ปฏิบัติสามารถเชื่อมโยงธรรมอันว่าด้วยปัญญา
จากหลายหมวด รวบลงสู่ยอดเดียวได้
และธรรมจากยอดเดียว กระจายลงสู่ธรรมหมวดต่าง ๆ ได้
ก็จะพอรู้ว่า เขาเดินทางถึงไหนแล้ว...

:b41: :b41: :b41:


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 21:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
อนุโมทนากับเอก้อนที่ใช้หลักความรู้เรื่องสัตตานังไปวิเคราะห์การบรรลุธรรมของผู้คน ขอให้ใช้ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้รู้ว่า ไม่มีวิธีเดียวตามที่เอก้อนสำคัญ ในการชี้วัดผู้เห็นธรรม ถึงธรรม หรือบรรลุธรรม
:b38:


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.พ. 2014, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๓๑ ภพภูมิ เป็นเรื่องของสมมุติ ไว้ใช้สอน บุคคลที่ยังมืดบอดด้วยอวิชชา

เรียกโดยย่อว่า ทุคติ สุคติ

เรียกสั้นๆ "สัตตานัง" หมายถึง ผู้ที่ยังมีเหตุ(การกระทำ) ของการเกิด


เมื่อมีสาวก ไปสร้างเหตุแห่งวิวาทะกับผู้อื่น ว่าด้วยเรื่อง การเกิด การไม่เกิด

สิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสสอน คือ



[๒๐๘] สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้พระนคร
เวสาลี. ก็สมัยนั้น ท่านพระอนุราธะอยู่ที่กระท่อมในป่า ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค.

ครั้งนั้นอัญญเดียรถีย์ปริพาชก พากันเข้าไปหาท่านพระอนุราธะจนถึงที่อยู่
ได้สนทนาปราศรัยกับท่านพระอนุราธะ

ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
จึงได้กล่าวกะท่านอนุราธะว่า

ดูกรท่านอนุราธะ พระตถาคตเป็นอุดมบุรุษ เป็นยอดบุรุษ ทรงถึงความบรรลุชั้นเยี่ยม
เมื่อจะทรงบัญญัติ ย่อมทรงบัญญัติ ในฐานะ ๔ นี้ คือ

สัตว์เบื้องหน้าแต่ ตายแล้ว

ย่อมเกิดอีก ๑

ย่อมไม่เกิดอีก ๑

ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี ๑

ย่อมไม่เกิดอีก อีกก็หามิได้ ๑.

เมื่อพวกปริพาชกกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านพระอนุราธะได้กล่าวกะอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นว่า
ดูกรท่านทั้งหลาย พระตถาคตทรงเป็นอุดมบุรุษ ทรงเป็นยอดบุรุษ ทรงถึงความบรรลุชั้นเยี่ยม
เมื่อจะทรงบัญญัติ ย่อมทรงบัญญัตินอกจากฐานะ ๔ เหล่านี้ คือ
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว
ย่อมเกิดอีก ๑
ย่อมไม่เกิดอีก ๑
ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดก็มี ๑
ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ ๑.

เมื่อท่านพระอนุราธะกล่าวอย่างนั้นแล้ว อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นได้กล่าวกะท่านพระอนุราธะว่า
ภิกษุนี้จักเป็นภิกษุใหม่ บวชแล้วไม่นาน ก็หรือว่าเป็นภิกษุเถระ แต่โง่เขลาไม่ฉลาด.

ครั้งนั้น พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกกล่าวรุกรานท่านพระอนุราธะด้วยวาทะว่า เป็นภิกษุใหม่ และเป็นผู้โง่เขลาแล้ว พากันลุกจากอาสนะหลีกไป.


[๒๐๙] เมื่ออัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น หลีกไปแล้วไม่นาน ท่านพระอนุราธะได้มี
ความคิดว่า ถ้าอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น พึงถามเราต่อไป เมื่อเราพยากรณ์อย่างไร จึงจะ
ชื่อว่าไม่เป็นผู้กล่าวตามที่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นกล่าวแล้ว และชื่อว่าเป็นผู้กล่าว ตามที่
พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว ไม่พึงกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำอันไม่จริง และพึงพยากรณ์ธรรม
สมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ จะไม่พึงถึงฐานะอันวิญญูชนจะติเตียนได้.

ลำดับนั้น ท่านพระอนุราธะ จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคจนถึงที่ประทับ ฯลฯ แล้วกราบทูลพระผู้มี
พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์อยู่ที่กระท่อมในป่า ไม่ไกล
พระผู้มีพระภาค ครั้งนั้น พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเป็นอันมาก พากันเข้าไปหาข้าพระองค์ถึงที่
อยู่ ฯลฯ กล่าวกะข้าพระองค์ว่า ดูกรท่านพระอนุราธะ พระตถาคตทรงเป็นอุดมบุรุษ ทรงเป็น
ยอดบุรุษ ทรงถึงความบรรลุชั้นเยี่ยม เมื่อจะทรงบัญญัติในฐานะ ๔ เหล่านี้ คือ สัตว์เบื้องหน้า
แต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก ๑ ย่อมไม่เกิดอีก ๑ ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี ๑ ย่อมเกิดก็หา
มิได้ ย่อมไม่เกิดก็หามิได้ ๑.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกกล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์จึงได้กล่าวกะพวกเขาว่า ดูกรท่านทั้งหลาย พระตถาคตทรงเป็นอุดมบุรุษ ทรงเป็นยอดบุรุษ ทรงถึงความบรรลุชั้นเยี่ยม เมื่อจะทรงบัญญัติ ย่อมทรงบัญญัติ นอกจากฐานะ ๔ เหล่านี้ คือ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก ๑ ย่อมไม่เกิดอีก ๑ ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี ๑ ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ ๑.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนั้นแล้ว อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น ได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า ภิกษุนี้จักเป็นภิกษุใหม่ บวชไม่นาน ก็หรือว่าเป็นเถระ แต่โง่เขลาไม่ฉลาด.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น รุกรานข้าพระองค์ด้วยวาทะว่า เป็นผู้ใหม่ เป็นผู้เขลาแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไป.

เมื่ออัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น หลีกไปแล้วไม่นาน ข้าพระองค์เกิดความคิดว่า ถ้าอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น พึงถามเราต่อไป เมื่อเราพยากรณ์อย่างไร จึงจะชื่อว่าไม่เป็นผู้กล่าว ตามที่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นกล่าวแล้ว และชื่อว่าเป็นผู้กล่าว ตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว ไม่พึงกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำอันไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ จะไม่พึงถึงฐานะอันวิญญูชนจะติเตียนได้.
[๒๑๐] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
อ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
อ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตาม
เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
อ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
อ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. เพราะเหตุนี้แล ฯลฯ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า
ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
[๒๑๑] พ. ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอย่อมเห็นรูปว่า
เป็นสัตว์บุคคลหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่า เป็นสัตว์บุคคลหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[๒๑๒] พ. ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอย่อมเห็นว่า
สัตว์บุคคลในรูปหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากรูปหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลในเวทนาหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากเวทนาหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลในสัญญาหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากสัญญาหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลในสังขารหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากสังขารหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลในวิญญาณหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอย่อมเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากวิญญาณหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[๒๑๓] พ. ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอย่อมเห็นว่า สัตว์
บุคคลมีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ อย่างนั้นหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[๒๑๔] พ. ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอย่อมเห็นว่า สัตว์
บุคคลนี้ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ อย่างนั้นหรือ?
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูกรอนุราธะ ก็โดยที่จริง โดยที่แท้ เธอค้นหาสัตว์บุคคลในขันธ์ ๕ เหล่านี้ใน
ปัจจุบันไม่ได้เลย ควรแลหรือที่เธอจะพยากรณ์ว่า พระตถาคตเป็นอุดมบุรุษ เป็นยอดบุรุษ ถึง
ความบรรลุชั้นเยี่ยม เมื่อจะบัญญัติ ย่อมบัญญัติเว้นจากฐานะ ๔ เหล่านี้ คือ สัตว์เบื้องหน้าแต่
ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก ๑ ย่อมไม่เกิดอีก ๑ ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี ๑ ย่อมเกิดอีก
ก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ ๑?
อ. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระเจ้าข้า.
พ. ถูกละๆ อนุราธะ ทั้งเมื่อก่อนและทั้งบัดนี้ เราย่อมบัญญัติทุกข์ และความดับทุกข์
จบ สูตรที่ ๔.


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0



เมื่อมีสาวกมาถามเรื่อง สัตว์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสอธิบายว่า


๒. สัตตสูตร

ว่าด้วยเหตุที่เรียกว่าสัตว์

[๓๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า สัตว์ สัตว์ ดังนี้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร
หนอแล จึงเรียกว่า สัตว์?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรราธะ เพราะเหตุที่มี ความพอใจ ความกำหนัด
ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในรูปแล เป็นผู้ข้องในรูป เป็นผู้เกี่ยวข้องในรูปนั้น ฉะนั้น
จึงเรียกว่า สัตว์. เพราะเหตุที่มีความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก
ในเวทนา ... ในสัญญา ... ในสังขาร ... ในวิญญาณ เป็นผู้ข้องในวิญญาณ เป็นผู้เกี่ยวข้อง
ในวิญญาณนั้น ฉะนั้น จึงเรียกว่า สัตว์. ดูกรราธะ เด็กชายหรือเด็กหญิง เล่นอยู่ตามเรือนฝุ่น
ทั้งหลาย เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ไม่ปราศจากความพอใจ ไม่ปราศจากความรัก
ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจากความกระวนกระวาย ไม่ปราศจากความทะยานอยาก
ในเรือนฝุ่นเหล่านั้นอยู่เพียงใด ย่อมอาลัย ย่อมอยากเล่น ย่อมหวงแหน ย่อมยึดถือเรือนฝุ่น
ทั้งหลายอยู่เพียงนั้น. ดูกรราธะ แต่ว่าในกาลใด เด็กชายหรือเด็กหญิงเป็นผู้ปราศจากความ
กำหนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความกระวน
กระวาย ปราศจากความทะยานอยากในเรือนฝุ่นเหล่านั้นแล้ว ในกาลนั้นแล เด็กชายหรือ
เด็กหญิงเหล่านั้น ย่อมรื้อ ย่อมยื้อแย่ง ย่อมกำจัด ย่อมทำเรือนฝุ่นเหล่านั้น ให้เล่นไม่ได้
ด้วยมือและเท้า ฉันใด ดูกรราธะ แม้เธอทั้งหลายก็จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำรูปให้
เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำเวทนา
ให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำ
สัญญาให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด
จงทำสังขารให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง
จงกำจัด จงทำวิญญาณให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา ฉันนั้น
นั่นเทียวแล.

ดูกรราธะ เพราะว่าความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นนิพพาน.
จบ สูตรที่ ๒.



http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0



เมื่อมีสาวก ถามคำถามต่ออีกไปว่า แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ตัณหาที่มีอยู่ มีความสิ้นไปมากน้อยเท่าไหร่
พระผู้มีพระภาค ทรงตรัสสอนว่า


โยนิโสมนสิการ


ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนรอยนิ้วมือ หรือรอยนิ้วหัวแม่มือ
ย่อมปรากฏอยู่ที่ด้ามเครื่องมือของพวกช่างไม้ หรือลูกมือของพวกช่างไม้

แต่เขาก็ไม่มีความรู้ว่า ด้ามเครื่องมือของเรา
วันนี้สึกไปเท่านี้ วานนี้สึกไปเท่านี้
วันอื่น ๆ สึกไปเท่านี้ ๆ คงรู้แต่ว่ามันสึกไป ๆ เท่านั้น,
นี้ฉันใด;

ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบภาวนาอยู่ ก็ไม่รู้อย่างนี้ว่า
วันนี้ อาสวะของเราสิ้นไปเท่านี้ วานนี้สิ้นไปเท่านี้
วันอื่น ๆ สิ้นไปเท่านี้ ๆ

รู้แต่เพียงว่า สิ้นไป ในเมื่อมันสิ้นไป ๆ เท่านั้น,
ฉันใดก็ฉันนั้น.

สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๒๘/๖๘.




หมายเหตุ:

ที่พระองค์ ทรงตรัสสอนแบบนี้ เพราะเหตุว่า
ตราบใด ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ อวิชชา ยังไม่ถูกทำลายจนหมดสิ้น
เหตุของการเกิด(สัตตานัง) ย่อมยังมีอยู่

จึงสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ในสภาวะที่เกิดขึ้น โดยใช้หลัก โยนิโสมนสิการ ได้แก่

ดูตามความเป็นจริง รู้ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เกิดขึ้น
อย่าใส่อะไรๆ ลงไป ในสิ่งที่เกิดขึ้น

เพราะ เมื่อใส่อะไรๆลงไป ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
เป็นเหตุให้ สิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย

เมื่อไม่ใส่อะไรๆ ลงไปในสิ่งที่เกิดขึ้น
เป็นเหตุให้ สิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมดับลงเอง ตามเหตุปัจจัย ของสิ่งที่เกิดขึ้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.พ. 2014, 08:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b16:
อนุโมทนากับเอก้อนที่ใช้หลักความรู้เรื่องสัตตานังไปวิเคราะห์การบรรลุธรรมของผู้คน ขอให้ใช้ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้รู้ว่า ไม่มีวิธีเดียวตามที่เอก้อนสำคัญ ในการชี้วัดผู้เห็นธรรม ถึงธรรม หรือบรรลุธรรม
:b38:


เอกอนเจอเจ้าสำนักมาหลายราย ...
...
พอเจอเอกอนเล่นมุขนี้ เขาก็มักจะตอบโจทย์การสนทนาธรรมประมาณนี้ล่ะ ...
ก็จะรีบหันไปฉวยของดีอื่น มาข่มทันที

:b1:

ชินแล้ว

:b8: :b8: :b8:

คือ ส่วนใหญ่สำนักปฏิบัติธรรมชอบโชว์พาวว์ในเรื่องอื่นกันมากกว่า
เช่น สภาวะพิศดาร ฤทธิ์ ปรากฎการณ์พิเศษ วัตถุวิเศษณ์ ของขลัง ...

ซึ่งถ้าวัดกันด้วยมุมมองวิธีเหล่านั้น
เอกอนก็เป็นเพียงขี้ครอกเดินตรอก...

:b1: :b1: :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร