วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 18:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 11:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เอกอนไม่ได้อ่านพระสูตรมากนัก
แต่เมื่อมีใครนำพระสูตรมาให้ได้อ่าน
จึงได้อ่าน
และเมื่ออ่านเอกอนรู้สึกว่ามันมีบางส่วน
อารมณ์ธรรม ไม่สอดคล้องกับใจความหลักน่ะ

จึงทัก
แสดงว่า เอกอนทักได้ตรงจุด
:b1: อิอิ
แสดงว่าเอกอนสายตาแหลมคมอยู่
ที่สามารถดูแล้วแยกออก ไหนพุทธวจนะ
ไหนแต่งเติม น่ะ

....

smiley smiley smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 11:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

โดยไม่สนใจในคำตรัสสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้ว่า


กรรมเก่าและกรรมใหม่

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ….

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) …. โสตะ (หู) …. ฆานะ (จมูก) …. ชิวหา (ลิ้น) …. กายะ (กาย) …. มนะ (ใจ)

อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า)
อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)
อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น)
เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กรรมเก่า.

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด,
อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม)เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด,
อันนี้เรียกว่า กัมมนิโรธ.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัม ม นิโ รธค ามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค(อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่

สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ(การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ) สัมมาสติ(ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า)
กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย กรรมใหม่เราก็แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย,
กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ.

ภิกษุทั้งหลาย ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง.
พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท,
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
นี้แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.



เมื่อยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

จึงไม่สามารถน้อมนำคำสอนที่มีปรากฏอยู่ ไปปฏิบัติตามได้(เหตุจากความยึดมั่นถือมั่น เหตุจาก อวิชชา ที่มีอยู่)

เมื่อเป็นดังนี้ เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดในเวทนาที่เกิดขึ้นว่า ทำไมผัสสะ จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดเวทนา


"เขาจักทำที่สุดแห่งทุกข์ในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) นี้ได้ นั้น ;
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้."


ส่วนที่ทำสีแดงเป็นพุทธวจนะ ด้วยหรือเปล่า
หรือเป็นส่วนความเห็นเพิ่มเติม

ซึ่งที่ถามเพราะไม่รู้จริง ๆ
เอกอนไม่ค่อยได้อ่านพระไตรปิกฏน่ะ
ซึ่ง พออ่านที่หยิบยกมา ส่วนอื่น ๆ ลงตัวหมด
แต่อารมณ์ธรรมตรงเปิดหัว กะปิดท้ายมัน ไม่ได้เป็นในทิศทางเดียวกัน




เอกอน ต้องย้อนกลับไปอ่านตรงนี้



walaiporn เขียน:
walaiporn เขียน:
เหตุของความไม่รู้ชัดในผัสสะ


walaiporn เขียน:
กรรมเก่าและกรรมใหม่

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ….

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) …. โสตะ (หู) …. ฆานะ (จมูก) …. ชิวหา (ลิ้น) …. กายะ (กาย) …. มนะ (ใจ)

อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า)
อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)
อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น)
เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กรรมเก่า.

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด,
อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม)เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด,
อันนี้เรียกว่า กัมมนิโรธ.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัม ม นิโ รธค ามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค(อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่

สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ(การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ) สัมมาสติ(ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า)
กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย กรรมใหม่เราก็แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย,
กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ.

ภิกษุทั้งหลาย ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง.
พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท,
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
นี้แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.




ย่อมไม่รู้ชัดในเวทนา


ภิกษุ ท. ! สังโยชน์ ๑๐ ประการเหล่านี้ มีอยู่.
สิบประการอย่างไรเล่า ?

สิบประการ คือ โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ.

โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?

คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามฉันทะ พยาบาท :
เหล่านี้ คือ โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ.

อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?
คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา :
เหล่านี้ คือ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล สัญโญชน์ ๑๐ ประการ.
- ทสก. อํ. ๒๔/๑๘-๑๙/๑๓.



ภิกษุ ท. ! เพราะอาศัยตาด้วย รูปทั้งหลายด้วย จึงเกิดจักขุวิญญาณ ;
การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ)
นั่นคือผัสสะ ;

เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา อันเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง.
บุคคลนั้น เมื่อสุขเวทนาถูกต้องอยู่ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ;
อนุสัยคือราคะ ย่อมตามนอน แก่บุคคลนั้น (ตสฺส ราคานุสโย อนุเสติ) ;

เมื่อทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมระทมใจ ย่อมคร่ำครวญ
ย่อมตีอกร่ำไห้ ย่อมถึงความหลงใหลอยู่ ;
อนุสัยคือปฏิฆะ ย่อมตามนอน แก่บุคคลนั้น.


เมื่อเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ไม่สุขถูกต้องอยู่ เขาย่อมไม่รู้ตามเป็นจริง
ซึ่งเหตุให้เกิดเวทนานั้นด้วย ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งเวทนานั้นด้วย

ซึ่งอัสสาทะ(รสอร่อย) ของเวทนานั้นด้วย ซึ่งอาทีนวะ (โทษ) ของเวทนานั้นด้วย
ซึ่งนิสสรณะ (อุบายเครื่องออกพ้นไป) ของเวทนานั้นด้วย ;
อนุสัยคืออวิชชา ย่อมตามนอน แก่บุคคลนั้น.

ภิกษุ ท. ! บุคคลนั้นหนอ ยังละราคานุสัยอันเกิดจากสุขเวทนาไม่ได้ ;
ยังบรรเทาปฏิฆานุสัยอันเกิดจากทุกขเวทนาไม่ได้ ;

ยังถอนอวิชชานุสัย อันเกิดจากอทุกขมสุขเวทนาไม่ได้ ;
เมื่อยังละอวิชชาไม่ได้ และยังทำวิชชาให้ เกิดขึ้นไม่ได้แล้ว,

เขาจักทำที่สุดแห่งทุกข์ในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) นี้ได้ นั้น ;
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้.
(ในกรณีแห่ง หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ ก็ได้ตรัสโดยทำนองเดียวกันกับในกรณีแห่งตา).
- อุปริ.ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.



เมื่อบุคคลเสวยสุขเวทนาอยู่ ไม่รู้จักชัดซึ่งเวทนานั้น
ราคานุสัยย่อมมี แก่เขาผู้มองไม่เห็น ทางออกจาก อำนาจของเวทนานั้น.

เมื่อบุคคลเสวยทุกขเวทนาอยู่ ไม่รู้จักชัดซึ่งเวทนานั้น
ปฏิฆานุสัยย่อมมี แก่เขาผู้มองไม่เห็นทางออกจาก อำนาจของเวทนานั้น.

บุคคลเพลิดเพลินแม้ในอทุกขมสุข อันพระภูริปัญญา-
พุทธเจ้าทรงแสดงว่าเป็นธรรมอันรำงับ ก็หาพ้นจากทุกข์ไปได้ไม่.

เมื่อใดภิกษุ มีความเพียรเผากิเลส ไม่ทอดทิ้งสัมปชัญญะ
ก็เป็นบัณฑิต รอบรู้เวทนาทั้งปวง.

ภิกษุนั้น เพราะรอบรู้ซึ่งเวทนา จึงเป็นผู้ไม่มีอาสวะในทิฏฐธรรม เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม
จนกระทั่งกายแตก จบเวท ไม่เข้าถึงซึ่งการนับ (ว่าเป็นอะไร) แล.
- สฬา. สํ. ๑๘/๒๕๔/๓๖๓-๓๖๔.




วิธีทำ เพื่อให้เกิดการกระทำดังนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวซึ่งเจตนา ว่าเป็นกรรม.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุเกิดของกรรมทั้งหลาย ย่อมมี เพราะความเกิดของผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความดับแห่งกรรม ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! มรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.
ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๖๔/๓๓๔.




ยิ่งการกระทำแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง


walaiporn เขียน:



การละสังโยชน์


ภิกษุ ท. ! บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้ มีอยู่ในโลก หาได้โลก.

สี่จำพวกเหล่าไหนบ้าง ? สี่จำพวก คือ :-

(๑) บุคคลบางคนในโลกนี้ มีสังโยชน์ส่วนเบื้องต่ำทั้งหลายที่ยังละไม่ได้,
มีสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องเกิดอีกที่ยังละไม่ได้, และมีสังโยชน์ตัวเหตุ ให้ต้องมีภพ ที่ยังละไม่ได้.

(๒) บุคคลบางคนในโลกนี้ ละสังโยชน์ส่วนเบื้องต่ำทั้งหลายได้แล้ว
แต่มีสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องเกิดอีก ที่ยังละไม่ได้, มีสังโยชน์ตัวเหตุให้ ต้องมีภพ ที่ยังละไม่ได้.

(๓) บุคคลบางคนในโลกนี้ ละสังโยชน์ส่วนเบื้องต่ำทั้งหลายได้แล้ว
ทั้งยังละสังโยชน์ตัวเหตุให้มีการเกิดอีกได้ด้วย, แต่มีสังโยชน์ตัวเหตุ ให้ต้องมีภพ ที่ยังละไม่ได้.

(๔)บุคคลบางคนในโลกนี้ละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งหลายได้แล้ว
ละสังโยชน์ ตัวเหตุให้ต้องเกิดอีกได้แล้ว และยังละสังโยชน์ด้วยเหตุ ให้ต้องมีภพได้อีกด้วย.


(ประเภทที่ ๑) ภิกษุ ท. ! พระสกิทาคามี นี้แล เป็นผู้ยังละสังโยชน์ ส่วนเบื้องต่ำทั้งหลาย ไม่ได้ทั้งหมด
ละสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องเกิดอีกยังไม่ได้ และละสังโยชน์ตัวเหตุ ให้ต้องมีภพ ยังไม่ได้.

(ประเภทที่ ๒) ภิกษุ ท. ! พระอนาคามีพวกที่มีกระแสในเบื้องบน ไปสู่อกนิฏฐภพ นี้แล
เป็นผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งหลายได้ทั้งหมด แต่ยังละสังโยชน์ตัวเหตุ ให้ต้องเกิดอีกไม่ได้
และละสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องมีภพยังไม่ได้.

(ประเภทที่ ๓) ภิกษุ ท. ! พระอนาคามี พวกที่จักปรินิพพานในระหว่างนี้แล
เป็นผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งหลายได้ด้วย ละสังโยชน์ตัวเหตุ ให้ต้องเกิดอีกได้ด้วย
แต่ยังละสังโยชน์ตัวเหตุให้มีภพไม่ได้.

(ประเภทที่ ๔) ภิกษุ ท. ! พระอรหันต์ขีณาสพ นี้แล เป็นผู้ที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งหลายได้
ละสังโยชน์ตัวเหตุให้ต้องเกิดอีกได้ และยังละสังโยชน์ตัวเหตุ ให้ต้องมีภพได้อีกด้วย.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ คือบุคคล ๔ จำพวก มีอยู่ในโลก หาได้ในโลก.
- จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๘๑/๑๓๑.




ผู้ที่ยังมีกิเลส สามารถกระทำ ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้




วิธีกระทำ

เมื่อผัสสะเกิด สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด

แค่ดู และรู้ ตามความเป็นจริง ของความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
มีสติรู้อยู่ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น





ภิกษุ ท. ! ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด (นิสฺสารณิยธาตุ) ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่.

ห้าอย่างอย่างไรเล่า ?

ห้าอย่างคือ :-

ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งกามทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในกามทั้งหลาย ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งเนกขัมมะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในเนกขัมมะ.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดีปราศจาก กามทั้งหลายด้วยดี ;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายอันทำ ความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะกามเป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งกามทั้งหลาย.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งพ๎ยาบาท,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในพ๎ยาบาท;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอัพ๎ยาบาท,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอัพ๎ยาบาท.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากพ๎ยาบาทด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะพ๎ยาบาทเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งพ๎ยาบาท.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งวิหิงสา,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในวิหิงสา ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอวิหิงสา,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอวิหิงสา,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจาก วิหิงสาด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะวิหิงสาเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งวิหิงสา.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือเมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งรูปทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในรูปทั้งหลาย ;

แต่เมื่อ ภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอรูป,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอรูป.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากรูปทั้งหลายด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะรูปทั้งหลายเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งรูปทั้งหลาย.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งสักกายะ (ความยึดถือว่าตัวตน),
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในสักกายะ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งความดับแห่งสักกายะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในความดับแห่งสักกายะ,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากสักกายะด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะสักกายะ เป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.

อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่ง สักกายะ.

นันทิ (ความเพลิน) ในกาม ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในพ๎ยาบาท ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในวิหิงสา ก็ไม่นอนตาม (ในจิต)ของเธอ ;
นันทิในรูป ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ ;
นันทิในสักกายะ ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ.

เธอนั้น เมื่อกามนันทิก็ไม่นอนตาม พ๎ยาปาท นันทิก็ไม่นอนตาม วิหิงสานันทิก็ไม่นอนตาม รูปนันทิก็ไม่นอนตาม สักกายนันทิก็ไม่นอนตาม ดังนี้แล้ว ;

ภิกษุ ท. ! เรากล่าวภิกษุนี้ว่า ปราศจากอาลัยตัดตัณหาขาดแล้ว รื้อถอนสังโยชน์ได้แล้ว กระทำที่สุด แห่งกองทุกข์ได้แล้ว เพราะรู้เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด ๕ อย่าง.
- ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๗๒/๒๐๐.



.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เอกอนไม่ได้อ่านพระสูตรมากนัก
แต่เมื่อมีใครนำพระสูตรมาให้ได้อ่าน
จึงได้อ่าน
และเมื่ออ่านเอกอนรู้สึกว่ามันมีบางส่วน
อารมณ์ธรรม ไม่สอดคล้องกับใจความหลักน่ะ

จึงทัก
แสดงว่า เอกอนทักได้ตรงจุด
:b1: อิอิ
แสดงว่าเอกอนสายตาแหลมคมอยู่
ที่สามารถดูแล้วแยกออก ไหนพุทธวจนะ
ไหนแต่งเติม น่ะ

....

smiley smiley smiley



ไม่เที่ยงหรอกเอกอน

เพราะสำนวนที่วลัยพรนำมาแสดง การนำบทความมาจากตรงไหน วลัยพรจะแยกไว้ชัด

เช่น มีลิงค์แนบที่มา หรือ มีที่มาของพระสูตรนั้นๆ แนบท้ายทุกครั้ง

วลัยพรจะไม่นำความคิดเห็นของตน ไปปะปนกับพระสูตร หรือ ในบทความที่นำมา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 11:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


คือในลักษณะนี้

เมื่อยังมีการใช้พระสูตรแบบนำมาสอดไส้
เสริมโนน่นิด นี่หน่อย
และการเสริมเติมแต่ง ยังมีการนำคำพระพุทธองค์มาใช้
เช่น "เสาระเนียด" และอื่น ๆ เป็นต้น
คนที่เขาไม่รู้เท่าทันก็อาจจะเข้ามายึดมั่นในส่วนทั้งหมดเอาได้

:b1:

โดยเฉพาะเรื่อง อายตนะ กับ ผัสสะ

เรื่อง
อายตนะ
อิทัปปัจยตา-ปฏิจจสมุปบาท
ธาตุ4 ขันธ์5
ให้รู้แจ้งในเรื่องดังกล่าว ย่อมเห็นแจ้งแทงตลอดในเรื่องของการปรากฎแห่ง ผัสสะ

เพาะ ด้วยสิ่งนั้นมี สิ่งนี้จึงมี
การเห็นแจ้ง ก็จะเห็นการอาศัยซึ่งกันและกันปรากฎ ...

ดังนั้น ข้อความสอดแทรกดังกล่าวจึงไม่น่าจะใช่ความเห็นพระพุทธเจ้า

...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 11:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เอกอนชี้ตรงนี้ ไม่ใช่ตรงอื่น

ตรงที่เน้นตัวอักษร หนา ๆ แดง ๆ นั่นเท่านั้น

เท่านั้น

พอจะเข้าใจมั๊ยว่าตรงส่วนนั้น เท่านั้น :b1:

eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

โดยไม่สนใจในคำตรัสสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้ว่า


กรรมเก่าและกรรมใหม่

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ….

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) …. โสตะ (หู) …. ฆานะ (จมูก) …. ชิวหา (ลิ้น) …. กายะ (กาย) …. มนะ (ใจ)

อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า)
อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)
อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น)
เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กรรมเก่า.

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด,
อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม)เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด,
อันนี้เรียกว่า กัมมนิโรธ.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัม ม นิโ รธค ามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค(อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่

สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ(การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ) สัมมาสติ(ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า)
กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย กรรมใหม่เราก็แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย,
กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ.

ภิกษุทั้งหลาย ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง.
พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท,
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
นี้แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.



เมื่อยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

จึงไม่สามารถน้อมนำคำสอนที่มีปรากฏอยู่ ไปปฏิบัติตามได้(เหตุจากความยึดมั่นถือมั่น เหตุจาก อวิชชา ที่มีอยู่)

เมื่อเป็นดังนี้ เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดในเวทนาที่เกิดขึ้นว่า ทำไมผัสสะ จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดเวทนา


"เขาจักทำที่สุดแห่งทุกข์ในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) นี้ได้ นั้น ;
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้."


ส่วนที่ทำสีแดงเป็นพุทธวจนะ ด้วยหรือเปล่า
หรือเป็นส่วนความเห็นเพิ่มเติม

ซึ่งที่ถามเพราะไม่รู้จริง ๆ
เอกอนไม่ค่อยได้อ่านพระไตรปิกฏน่ะ
ซึ่ง พออ่านที่หยิบยกมา ส่วนอื่น ๆ ลงตัวหมด
แต่อารมณ์ธรรมตรงเปิดหัว กะปิดท้ายมัน ไม่ได้เป็นในทิศทางเดียวกัน


ซึ่งพระสูตรสอดแทรกนี้คุณวลัยพรเอามาจากไหนหรือ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 11:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เอกอนชี้ตรงนี้ ไม่ใช่ตรงอื่น

ตรงที่เน้นตัวอักษร หนา ๆ แดง ๆ นั่นเท่านั้น

เท่านั้น

พอจะเข้าใจมั๊ยว่าตรงส่วนนั้น เท่านั้น :b1:

eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

โดยไม่สนใจในคำตรัสสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้ว่า


กรรมเก่าและกรรมใหม่

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ….

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) …. โสตะ (หู) …. ฆานะ (จมูก) …. ชิวหา (ลิ้น) …. กายะ (กาย) …. มนะ (ใจ)

อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า)
อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)
อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น)
เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กรรมเก่า.

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด,
อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม)เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด,
อันนี้เรียกว่า กัมมนิโรธ.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัม ม นิโ รธค ามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค(อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่

สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ(การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ) สัมมาสติ(ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า)
กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย กรรมใหม่เราก็แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย,
กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ.

ภิกษุทั้งหลาย ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง.
พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท,
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
นี้แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.



เมื่อยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

จึงไม่สามารถน้อมนำคำสอนที่มีปรากฏอยู่ ไปปฏิบัติตามได้(เหตุจากความยึดมั่นถือมั่น เหตุจาก อวิชชา ที่มีอยู่)

เมื่อเป็นดังนี้ เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดในเวทนาที่เกิดขึ้นว่า ทำไมผัสสะ จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดเวทนา


"เขาจักทำที่สุดแห่งทุกข์ในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) นี้ได้ นั้น ;
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้."


ส่วนที่ทำสีแดงเป็นพุทธวจนะ ด้วยหรือเปล่า
หรือเป็นส่วนความเห็นเพิ่มเติม

ซึ่งที่ถามเพราะไม่รู้จริง ๆ
เอกอนไม่ค่อยได้อ่านพระไตรปิกฏน่ะ
ซึ่ง พออ่านที่หยิบยกมา ส่วนอื่น ๆ ลงตัวหมด
แต่อารมณ์ธรรมตรงเปิดหัว กะปิดท้ายมัน ไม่ได้เป็นในทิศทางเดียวกัน






นั่นไง ว่าแล้ว :b9:

เหตุนี้แหละ ที่วลัยพร จึงไม่ค่อยมีความสันทัด ในการสนทนากับเอกอน

ส่วนมาก จะลงอีหรอบนี้แหละ การเริ่มต้นการสนทนา จึงไม่ต่างจาก หัวมังกุฏ ท้ายมังกรหรอก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 12:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


สรุปคือ ส่วนสีแดงเป็นความคิดเห็นเพิ่มเติมที่คุณวลัยพรแทรกไว้ ใช่ หรือ ไม่

:b6:

เอกอน เข้าใจว่าเอกอนถามเพื่อต้องการคำตอบแค่นี้นะ
แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ตรงไปตรงมา สักที

คำตอบนี้
ตอบยากยิ่ง
แต่กับการอธิบายยืดยาวเพื่อแก้ตัว กลับทำได้ง่าย

เพราะ อะไร...

เราปกป้องคำตอบ เพื่อ ปกป้อง อะไร

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
สรุปคือ ส่วนสีแดงเป็นความคิดเห็นเพิ่มเติมที่คุณวลัยพรแทรกไว้ ใช่ หรือ ไม่

:b6:

เอกอน เข้าใจว่าเอกอนถามเพื่อต้องการคำตอบแค่นี้นะ
แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ตรงไปตรงมา สักที

คำตอบนี้
ตอบยากยิ่ง
แต่กับการอธิบายยืดยาวเพื่อแก้ตัว กลับทำได้ง่าย

เพราะ อะไร...

เราปกป้องคำตอบ เพื่อ ปกป้อง อะไร

:b1:





ที่เอกอน ไม่ยอมจบ เหตุจาก เอกอน สักแต่ว่าอ่าน แค่อ่านผ่านตา

จึงทำให้ ไม่เห็นข้อความที่ชี้แจงไว้แล้ว




walaiporn เขียน:
eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

โดยไม่สนใจในคำตรัสสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้ว่า


กรรมเก่าและกรรมใหม่

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ….

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) …. โสตะ (หู) …. ฆานะ (จมูก) …. ชิวหา (ลิ้น) …. กายะ (กาย) …. มนะ (ใจ)

อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า)
อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)
อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น)
เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กรรมเก่า.

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด,
อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม)เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด,
อันนี้เรียกว่า กัมมนิโรธ.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัม ม นิโ รธค ามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค(อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่

สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ(การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ) สัมมาสติ(ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า)
กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย กรรมใหม่เราก็แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย,
กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ.

ภิกษุทั้งหลาย ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง.
พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท,
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
นี้แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.



เมื่อยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

จึงไม่สามารถน้อมนำคำสอนที่มีปรากฏอยู่ ไปปฏิบัติตามได้(เหตุจากความยึดมั่นถือมั่น เหตุจาก อวิชชา ที่มีอยู่)

เมื่อเป็นดังนี้ เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดในเวทนาที่เกิดขึ้นว่า ทำไมผัสสะ จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดเวทนา


"เขาจักทำที่สุดแห่งทุกข์ในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) นี้ได้ นั้น ;
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้."


ส่วนที่ทำสีแดงเป็นพุทธวจนะ ด้วยหรือเปล่า
หรือเป็นส่วนความเห็นเพิ่มเติม

ซึ่งที่ถามเพราะไม่รู้จริง ๆ




ไม่เป็นไรเอกอน

ถ้าเป็นพุทธวจนะ จะมีที่นำมาอ้างอิง เช่น อาจเป็นลิงค์ หรือ ให้ดูตรงท้ายข้อความ สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.

ถ้าไม่มีลิงค์แนบ หรือไม่มีคำเหล่านี้ แนบท้าย เช่น สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.

เป็นเพียงความเห็นเท่านั้น

จำได้ว่า เอกอนเคยถามมาครั้งหนึ่ง และวลัยพร ได้อธิบายไปแล้ว


จริงๆแล้ว เอกอนน่าจะแยกประโยคได้นะว่า ตรงไหนเป็นความเห็น ตรงไหนที่นำมาจากพุทธวจนะ
เพราะวลัยพร จะแยกไว้ชัด เช่น

เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

โดยไม่สนใจในคำตรัสสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้ว่า




กรรมเก่าและกรรมใหม่

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ….

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) …. โสตะ (หู) …. ฆานะ (จมูก) …. ชิวหา (ลิ้น) …. กายะ (กาย) …. มนะ (ใจ)ฯลฯ
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.





eragon_joe เขียน:
คำตอบนี้
ตอบยากยิ่ง
แต่กับการอธิบายยืดยาวเพื่อแก้ตัว กลับทำได้ง่าย:



พอคิดว่า คนอื่นล่ะ ง่ายนัก

นี่แหละเหตุ ของการสักแต่ว่า อ่าน






ส่วนที่บอกว่า


eragon_joe เขียน:
เพราะ อะไร...

เราปกป้องคำตอบ เพื่อ ปกป้อง อะไร :b1:




ก็เป็นเรื่องของเอกอนนะ

อยากทำอะไร ก็ทำไป



อย่ามาเสียเวลา เพื่อจะให้วลัยพร ตอบให้ตรงให้ตรงกับสิ่งที่เอกอน คาดเดาเอาเองว่า ต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้

เพราะผู้ที่ยังมีกิเลส สนทนากับ ผู้ที่มียังมีกิเลส

ล้วนสนทนาด้วยสัญญา จะเอาให้ถูกใจตนทั้งหมด ไม่ได้หรอก

ถึงบอกไง เหตุใคร เหตุมัน

จบได้แล้ว หากยังไม่จบ นั่นเหตุปัจจัย ที่เอกอนยังมีอยู่
ทุกคน ต้องแก้ที่ตนเอง ไม่ใช่คิดแก้นอกตัว

คิดว่า พอสมควรแล้ว กับการที่มาสนทนากัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 13:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

อย่ามาเสียเวลา เพื่อจะให้วลัยพร ตอบให้ตรงให้ตรงกับสิ่งที่เอกอน คาดเดาเอาเองว่า ต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้

เพราะผู้ที่ยังมีกิเลส สนทนากับ ผู้ที่มียังมีกิเลส

ล้วนสนทนาด้วยสัญญา จะเอาให้ถูกใจตนทั้งหมด ไม่ได้หรอก

ถึงบอกไง เหตุใคร เหตุมัน

จบได้แล้ว หากยังไม่จบ นั่นเหตุปัจจัย ที่เอกอนยังมีอยู่
ทุกคน ต้องแก้ที่ตนเอง ไม่ใช่คิดแก้นอกตัว

คิดว่า พอสมควรแล้ว กับการที่มาสนทนากัน


จบได้แล้ว หากยังไม่จบ นั่นเหตุปัจจัย ที่เอกอนยังมีอยู่

:b32: :b32: :b32:

เอกอนยังมีปัจจัยอยู่เยอะเลย ทั้งรูปทั้งนาม
ยังมีลมหายใจอยู่ ยังต้องกิน ต้องนอน ต้องหาเลี้ยงชีพ
ยังต้องหิว ยังต้องหาข้าวกิน ยังต้องไปซื้อหาอาหาร
เพื่อได้เงินมาซื้ออาหารยังต้องทำงาน โอยยยย
กาย วาจา ใจ ยังหยุดไม่ได้จร้าาาาาา
วัน ๆ งี๊ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เพียบเลยจร้าาาาา

:b12: ปัจจัยยังเพียบบบบ

:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 14:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


และเอกอนก็พบว่า
ด้วยอาศัย สัญญา
การหมดมุขก็เป็นปัจจัยให้การสนทนาจบลงได้

s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 22:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
และเอกอนก็พบว่า
ด้วยอาศัย สัญญา
การหมดมุขก็เป็นปัจจัยให้การสนทนาจบลงได้

s002

:b11: :b11: :b11:
:b3: :b3: :b3:
:b13: :b13: :b13:
:b38:
:b55:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร