วันเวลาปัจจุบัน 21 ส.ค. 2025, 23:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 09:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 13:22
โพสต์: 79


 ข้อมูลส่วนตัว


การรู้แจ้ง กับ ไอคิวสูง ต่างกันหรือเหมือนกันตรงไหนครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


การรู้แจ้ง เรื่องของพุทธ
ไอคิว เรื่องของฝรั่ง

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องจิต
ของฝรั่ง ก็มีนักทฤษฏี เขียนอธิบายเรื่องจิต เรื่องจิตวิทยา เรื่องจิตใต้สำนึก จิตเหนือสำนึก

ของชาวพุทธ ก็มีอธิบาย ละเอียดยิ่งกว่า พิศดารยิ่งกว่า อยู่ในพระไตรปิฏก โดยเฉพาะในส่วนของพระอภิธรรม

แต่ทั้งสองทฤษฏีนั้น เอามาเทียบเคียงกันไม่ได้ มันคนละเรื่องกันเลย และไม่ควรเอามาปะปนกัน

รู้สึกว่า...

ทฤษฏีเรื่องจิต ของฝรั่ง เป็นเรื่องที่ใครก็คิดได้ ใครๆ ก็แต่งได้ ให้เป็นนักคิดนักเขียนซะหน่อย มีเหตุมีผล สักหน่อย มีความสนใจสักหน่อย หัดสังเกตุสังกาซักหน่อย

แต่เรื่องจิต ในพระอภิธรรม บอกตามตรงว่า เหนือจินตนาการ เหนือความคิดอ่านของคนธรรมดาทั่วไป

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อมันตรา เขียน:
การรู้แจ้ง กับ ไอคิวสูง ต่างกันหรือเหมือนกันตรงไหนครับ

รู้แจ้ง ต่างกันกับ ไอคิวสูง เพราะรู้แจ้ง แสดงสถานะแล้วว่ารู้

ไอคิวสูง คือสถานะของคนที่มีความฉลาด แต่ หากยังตีโจทย์ไม่ออกก็ยังชื่อว่ายังไม่รู้ครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Howard Gardner (1983) กล่าวถึงเชาวน์ปัญญา 7 ชนิด แม้ว่าแต่ละชนิดต่างเป็นอิสระไม่ต้องอาศัยอย่างอื่นประกอบ แต่โดยทั่วไปแล้ว กิจกรรมต่าง ๆ จะประกอบด้วยส่วนของเชาวน์ปัญญาเหล่านี้ร่วมกัน (Gardner, 1983; Walter and Gardner,1986; Krechesky and Gardner,1990)
เชาวน์ปัญญา 7 ชนิดคือ
1. เชาวน์ปัญญาทางด้านดนตรี (Musical intelligence) ได้แก่ทักษะที่เกี่ยวข้องกับการดนตรี
2. เชาวน์ปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Bodily kinesthetic intelligence) ได้แก่ทักษะที่ใช้ส่วนต่าง ๆของร่างกายในการแสดง หรือแก้ไขปัญหาเช่น นักกรีฑา นักแสดง นักเต้นรำ และ ศัลยแพทย์
3. เชาวน์ปัญญาในด้านตรรก และการคำนวณ (Logical and mathematic intelligence) ได้แก่ทักษะในการใช้เหตุและผล รวมทั้งการคิดคำนวณ และความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา
4. เชาวน์ปัญญาทางด้านการใช้ภาษา (Linguistic intelligence) ได้แก่ทักษะซึ่งเป็นผลจากการใช้ภาษา
5. เชาวน์ปัญญาเกี่ยวกับที่ว่าง (Spatial intelligence) ได้แก่ทักษะที่ใช้ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้าง รูปพรรณสัณฐาน องค์ประกอบ มักพบในกลุ่มที่เป็นศิลปิน หรือสถาปนิก
6. เชาวน์ปัญญาเชิงปฏิสัมพันธ์ (Interpersonal intelligence) ได้แก่ทักษะที่ใช้ในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่นมีความไวในการรับหรือส่งอารมณ์ ความรู้สึก แรงจูงใจ หรือมีความเข้าใจในผู้อื่น ข้อนี้น่าจะคล้ายกับเรื่องของ EQ.
7. เชาวน์ปัญญาในด้านความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับตนเอง (Intrapersonal intelligence)ได้แก่ความเข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ตนเองมีอยู่

http://www.chamlongclinic-psych.com/document/intelligence/index.htm

“๑๘” : เลขจักรพรรดิ หรือ “๑๘ ศาสตร์จักรพรรดิ”
........................................................................
“พระธรรมสิงหบุราจารย์”หรือพระเดชพระคุณ “หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม” วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ท่านเมตตาสั่งสอนและเทศน์โปรดญาติโยมอยู่บ่อยๆว่า...
“...พระพุทธเจ้าออกบวชเพื่อไปหาวิชามาให้เราแก้ไขชีวิต แต่ก่อนเสด็จออกบรรพชานั้น ท่านได้สำเร็จ “๑๘ ศาสตร์”มาแล้ว
มีคนมาถามศิลปะศาสตร์ ๑๘ จักรพรรดิ มีอะไรบ้าง? วันนี้จะคลี่คลายให้ท่านฟัง
ศิลปะศาสตร์!...ดอกเตอร์! ท่านจบมาหลายกัปหลายกัลป์แล้ว ท่านเป็น “พระเวสสันดร”มาแล้ว เป็นพระชาติสุดท้าย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าเน้นอะไรมากที่สุด...เน้นวิชาการ! ไม่ใช่เน้นหลับหูหลับตา พระองค์เน้นหลักวิชาการ วิชาการที่เราเรียนกันทุกวันนี้ ใครมีบุตรมีหลานให้เรียนวิชาการให้ได้๑๘ ศาสตร์ นี่มีมา๒ พันกว่าปีแล้ว ยังอยู่ในที่เรียนกันอยู่ทุกวันนี้ พระพุทธเจ้าทรงพร้อมที่จะสอน มีศิลปะศาสตร์เรียก ๑๘ จักรพรรดิ! ๑๘ ดอกเตอร์! พร้อมที่จะสอนชาวโลกได้
พระพุทธเจ้าสมัยเป็น “เจ้าชายสิทธัตถะ”ทรงได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี จากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงคือ “อาจารย์วิศวามิต” วิชาที่ทรงศึกษา คือ “ศิลปะศาสตร์ ๑๘ ประการ” คือ
หนึ่ง...ยุทธศาตร์ วิชา นักรบ
สอง...รัฐศาสตร์ วิชา การปกครอง
สาม...นิติศาสตร์ วิชา กฎหมายและการประเพณี
สี่...พาณิชยศาสตร์ วิชา การค้า
ห้า...อักษรศาสตร์ วิชา วรรณคดีและภาษา
หก...วิชาภาษาทั้งของตนและชาติที่เกี่ยวข้องกัน(ในสมัยอินเดียยุคพุทธกาล)
เจ็ด...คณิตศาสตร์ วิชา คำนวณ
แปด...วิชา ดูดวงดาว(ดาราศาสตร์)
เก้า...ภูมิศาสตร์ วิชา ดูพื้นที่
สิบ...โหราศาสตร์ ก็เรียนจบวิชาโหร รู้จักพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆทั่วไป
สิบเอ็ด...เวชศาสตร์ วิชา แพทย์
สิบสอง...เหตุศาสตร์ วิชา ว่าด้วยเหตุผล
สิบสาม...สัตวศาสตร์ วิชา ดูลักษณะสัตว์
สิบสี่...วิชาช่างกล(วิศวกรรมศาสตร์)
สิบห้า...ศาสนศาสตร์ วิชา ศาสนา
สิบหก...วิชา ตำราพิชัยสงคราม
สิบเจ็ด...วิชา ร้องรำหรือนาฏศิลป์
สิบแปด...วิชา การประพันธ์
รวมเป็น ๑๘ อย่าง พระพุทธเจ้าท่านจบมาหลายกัปหลายกัลป์ จะว่าพระพุทธเจ้ามาสอนเฉพาะ “กรรมฐาน”ได้อย่างไร? ท่านจบมาทั้ง๑๘ ศาสตร์ เรียกว่า “ศิลปะศาสตร์” คือ “วิชาจักรพรรดิ” ที่เราเรียกกันว่า “เลขจักรพรรดิ” ก็ขอฝากพี่น้องไว้ด้วยว่าเลขจักรพรรดิคือเลข “๑๘” ที่กล่าวมาแล้วนั้น ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่จบคนเดียว ๑๘ ดอกเตอร์! มีเพียงพระพุทธเจ้า! ซึ่งเรียนมาหลายชาติ เก็บหน่วยกิตเอาไว้มาทุกชาติ ระลึกชาติได้ถึง ๑๐ ชาติ ๘๐ อสงไขย เรียกว่า “พระเจ้า๑๐ ชาติ” กระทั่งพระชาติสุดท้าย... “พระเวสสันดร” ก็ระลึกชาติได้ แล้วเรียนจบทุกศาสตร์
พระพุทธเจ้านี่ท่านยอดในโลกเลยนะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นโลกวิทู!...รู้แจ้งโลกได้ยังไง! รู้หมดทั้ง๑๘ ศาสตร์...รู้ตลอด แต่มันมีปัญหามันมีอยู่อันหนึ่งอย่างที่ท่านทั้งหลายจะได้คลายสงสัยว่า ๑๘ ดอกเตอร์มีอะไรบ้างอย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ อาตมาจึงพูดให้ท่านฟัง คือรู้ว่า ๑๘ ศิลปะศาสตร์ แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง...นี่รู้แล้วนะ! วิชาแรกวิชารบเลยยุทธศาสตร์ช่วยตัวเองทั้งนั้น ช่วยตัวเองด้วยวิชาการทุกอย่างแต่การช่วยแก้ปัญหาไม่มีในวิชานี้ ช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านจึงเสด็จบรรพชาถึง ๖ ปี ไปหาวิชาแก้ปัญหามาให้พวกเรา
การแก้ปัญหาชีวิตในกิจประจำวันทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรเกิน “กรรมฐาน” ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียนจบถึง๑๘ ศาสตร์ ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ เพียงแต่บอกแนวทางแผนที่บอกทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ โหราศาสตร์ดูดวงดาว ดูฤกษ์ ดูยาม ดูดวงชีวิตของคน ท่านก็เรียนมาจบหมดทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นจะสอนชาวโลกไม่ได้ ก็ขอประกาศให้ญาติโยมได้ทราบว่า พระพุทธเจ้าเป็นโลกวิทู!...รู้แจ้งโลก! ไม่มีใครจะเทียมเท่าพระพุทธเจ้าอีกต่อไปแล้ว!...”

จาก หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม

http://www.sujipuli.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539242925


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2013, 00:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2012, 00:24
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


ไอคิว มีคนพยายามหยั่งวัด จนออกมาเป็นตัวเลข จนได้ไอคิวสูงสุดอยู่ที่ 180

การรู้แจ้ง..ไม่อาจหยั่งวัดได้เลย...ยิ่งพยายามหยั่งวัด..ก็ยิ่งออกห่างจากการรู้แจ้ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2013, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


อมันตรา เขียน:
การรู้แจ้ง กับ ไอคิวสูง ต่างกันหรือเหมือนกันตรงไหนครับ


ไอคิว เป็นการพยายามวัดประสิทธิภาพของสมองในการทำความเข้าใจ เห็นความสัมพันธ์ในเรื่องต่างๆ เป็นการสร้างความรู้จากการคิดอย่างเป็นระบบ

การรู้แจ้ง คือความเข้าใจจากการได้เห็นแล้ว ได้เหตุผลครบแล้ว

ไอคิวกับรู้แจ้ง ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย เพราะคนละประเด็นกันครับ

แต่ไอคิว หากใช้ให้ถูกทาง เป็นฐานสำหรับความรู้แจ้งได้สำหรับท่านที่มีความถนัดปฎิบัติแบบใช้ปัญญานำครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร