วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 06:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
... ท่านเป็นคนตอบตัวเองได้ ไม่มีใครรู้ แต่ผมเข้าใจว่าชีวิตท่านคงจะทำอะไรๆดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ถอยหลังกลับแน่นอนครับ


ถามจริง ๆ คุณเคยเจอสภาวะนี้มั๊ย

ดูเหมือนว่าเขาน่าจะรู้อะไรอะไรมากมายกว่าที่เขาพูดอะไรอะไรออกมามากมายราวกับไม่รู้

แต่คงไม่ใช่วิสัยที่เขาจะกล้าพูดออกมาตรง ๆ

:b32: :b9:
เมื่อสัก10ปีที่ผ่านมาอาการแบบนี้นะคับที่นั่งจนไม่ยอมลุกตายเป็นตายนี่แหละครับที่ทำให้คนที่ผ่านตรงนี้ไปได้เท่านั้นที่จะรับรู้สิ่งที่ตนได้เห็น แต่ละคนอธิบายได้แตกต่างกันจากภูมิปัญญานั้นขณะนั้น หลังจากที่พบสภาวะนั้น วันใหม่หลังจากนั้นจะพบกับสิ่งที่ไม่เหมือนวันปกติอยู่ตามกำลังชองแต่ละคน อย่างนี้สักพักอาจะสัก2-3วันหรือมากกว่านั้นก็จะกลับสู่ปกติ ผมตื่นขึ้นมาก็พบสิ่งที่แปลกมากมาย เฉพาะตนจริงๆ


แล้วอยากบวชใจแทบขาดด้วยรึเปล่า... :b1:
นั้นแหละครับทางเดินสุดท้ายของผมสมเกียรติของศิษย์ตถาคต Kiss

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
... ท่านเป็นคนตอบตัวเองได้ ไม่มีใครรู้ แต่ผมเข้าใจว่าชีวิตท่านคงจะทำอะไรๆดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ถอยหลังกลับแน่นอนครับ


ถามจริง ๆ คุณเคยเจอสภาวะนี้มั๊ย

ดูเหมือนว่าเขาน่าจะรู้อะไรอะไรมากมายกว่าที่เขาพูดอะไรอะไรออกมามากมายราวกับไม่รู้

แต่คงไม่ใช่วิสัยที่เขาจะกล้าพูดออกมาตรง ๆ

:b32: :b9:
เมื่อสัก10ปีที่ผ่านมาอาการแบบนี้นะคับที่นั่งจนไม่ยอมลุกตายเป็นตายนี่แหละครับที่ทำให้คนที่ผ่านตรงนี้ไปได้เท่านั้นที่จะรับรู้สิ่งที่ตนได้เห็น แต่ละคนอธิบายได้แตกต่างกันจากภูมิปัญญานั้นขณะนั้น หลังจากที่พบสภาวะนั้น วันใหม่หลังจากนั้นจะพบกับสิ่งที่ไม่เหมือนวันปกติอยู่ตามกำลังชองแต่ละคน อย่างนี้สักพักอาจะสัก2-3วันหรือมากกว่านั้นก็จะกลับสู่ปกติ ผมตื่นขึ้นมาก็พบสิ่งที่แปลกมากมาย เฉพาะตนจริงๆ


แล้วอยากบวชใจแทบขาดด้วยรึเปล่า... :b1:
นั้นแหละครับทางเดินสุดท้ายของผมสมเกียรติของศิษย์ตถาคต Kiss

ถ้าคุนน้องเป็นท่านนะ บวชไปนานแล้วเพราะไม่มีอะไรต้องห่วง จะได้เร่งเพียรศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วเผยแพร่ต่อพุทธบริษัท
อายุก็มาก สังขารก็ร่วงโรย แล้วติดอยุ่อะไรหรอเจ้าค่ะ คุนน้องนี่ติดอยู่กับลุกชาย กะว่าจะรอลูกชายโตก่อน ถ้าเค้ามีบุญวาสนาจะให้ลุกชาย บวชพร้อมกันเลย ส่วนคุนน้องก็จะบวชชีไปตลอดชีวิต ถ้าเวลานั้นมาถึง.. จะได้หลุดพ้นวัฏฏะสงสารไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดซะที :b20:


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 18:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
... ท่านเป็นคนตอบตัวเองได้ ไม่มีใครรู้ แต่ผมเข้าใจว่าชีวิตท่านคงจะทำอะไรๆดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ถอยหลังกลับแน่นอนครับ


ถามจริง ๆ คุณเคยเจอสภาวะนี้มั๊ย

ดูเหมือนว่าเขาน่าจะรู้อะไรอะไรมากมายกว่าที่เขาพูดอะไรอะไรออกมามากมายราวกับไม่รู้

แต่คงไม่ใช่วิสัยที่เขาจะกล้าพูดออกมาตรง ๆ

:b32: :b9:
เมื่อสัก10ปีที่ผ่านมาอาการแบบนี้นะคับที่นั่งจนไม่ยอมลุกตายเป็นตายนี่แหละครับที่ทำให้คนที่ผ่านตรงนี้ไปได้เท่านั้นที่จะรับรู้สิ่งที่ตนได้เห็น แต่ละคนอธิบายได้แตกต่างกันจากภูมิปัญญานั้นขณะนั้น หลังจากที่พบสภาวะนั้น วันใหม่หลังจากนั้นจะพบกับสิ่งที่ไม่เหมือนวันปกติอยู่ตามกำลังชองแต่ละคน อย่างนี้สักพักอาจะสัก2-3วันหรือมากกว่านั้นก็จะกลับสู่ปกติ ผมตื่นขึ้นมาก็พบสิ่งที่แปลกมากมาย เฉพาะตนจริงๆ


แล้วอยากบวชใจแทบขาดด้วยรึเปล่า... :b1:
นั้นแหละครับทางเดินสุดท้ายของผมสมเกียรติของศิษย์ตถาคต Kiss

ถ้าคุนน้องเป็นท่านนะ บวชไปนานแล้วเพราะไม่มีอะไรต้องห่วง จะได้เร่งเพียรศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วเผยแพร่ต่อพุทธบริษัท
อายุก็มาก สังขารก็ร่วงโรย แล้วติดอยุ่อะไรหรอเจ้าค่ะ คุนน้องนี่ติดอยู่กับลุกชาย กะว่าจะรอลูกชายโตก่อน ถ้าเค้ามีบุญวาสนาจะให้ลุกชาย บวชพร้อมกันเลย ส่วนคุนน้องก็จะบวชชีไปตลอดชีวิต ถ้าเวลานั้นมาถึง.. จะได้หลุดพ้นวัฏฏะสงสารไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดซะที :b20:
ผมมีลูกสาวเรียนมหาลัยอยู่อีก3ปี ก็คงต้องบวชครับ บวชพร้อมกันมั้ยผมมีสถานที่ดีๆเยอะ เอาลูกบวชด้วย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
... ท่านเป็นคนตอบตัวเองได้ ไม่มีใครรู้ แต่ผมเข้าใจว่าชีวิตท่านคงจะทำอะไรๆดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ถอยหลังกลับแน่นอนครับ


ถามจริง ๆ คุณเคยเจอสภาวะนี้มั๊ย

ดูเหมือนว่าเขาน่าจะรู้อะไรอะไรมากมายกว่าที่เขาพูดอะไรอะไรออกมามากมายราวกับไม่รู้

แต่คงไม่ใช่วิสัยที่เขาจะกล้าพูดออกมาตรง ๆ

:b32: :b9:
เมื่อสัก10ปีที่ผ่านมาอาการแบบนี้นะคับที่นั่งจนไม่ยอมลุกตายเป็นตายนี่แหละครับที่ทำให้คนที่ผ่านตรงนี้ไปได้เท่านั้นที่จะรับรู้สิ่งที่ตนได้เห็น แต่ละคนอธิบายได้แตกต่างกันจากภูมิปัญญานั้นขณะนั้น หลังจากที่พบสภาวะนั้น วันใหม่หลังจากนั้นจะพบกับสิ่งที่ไม่เหมือนวันปกติอยู่ตามกำลังชองแต่ละคน อย่างนี้สักพักอาจะสัก2-3วันหรือมากกว่านั้นก็จะกลับสู่ปกติ ผมตื่นขึ้นมาก็พบสิ่งที่แปลกมากมาย เฉพาะตนจริงๆ


แล้วอยากบวชใจแทบขาดด้วยรึเปล่า... :b1:
นั้นแหละครับทางเดินสุดท้ายของผมสมเกียรติของศิษย์ตถาคต Kiss

ถ้าคุนน้องเป็นท่านนะ บวชไปนานแล้วเพราะไม่มีอะไรต้องห่วง จะได้เร่งเพียรศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วเผยแพร่ต่อพุทธบริษัท
อายุก็มาก สังขารก็ร่วงโรย แล้วติดอยุ่อะไรหรอเจ้าค่ะ คุนน้องนี่ติดอยู่กับลุกชาย กะว่าจะรอลูกชายโตก่อน ถ้าเค้ามีบุญวาสนาจะให้ลุกชาย บวชพร้อมกันเลย ส่วนคุนน้องก็จะบวชชีไปตลอดชีวิต ถ้าเวลานั้นมาถึง.. จะได้หลุดพ้นวัฏฏะสงสารไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดซะที :b20:
ผมมีลูกสาวเรียนมหาลัยอยู่อีก3ปี ก็คงต้องบวชครับ บวชพร้อมกันมั้ยผมมีสถานที่ดีๆเยอะ เอาลูกบวชด้วย

ท่านกับคุนน้องคงไม่มีบุญวาสนาจะบวชพร้อมกันได้หรอกเจ้าค่ะ เพราะคุนน้องอายุ 27 ปีเอง มีลูกชาย กำลังจะเข้า 2ขวบ (อีก20ปี)คุนน้องคิดว่ายังไม่ถึงเวลาตอนนี้ แต่อนาคตอาจจะไม่แน่..เคยคิดอยุ่ว่า รอให้ลุกชายโตจนรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกาเสียก่อน อาจจะให้เค้าไปอยู่กับปู่กับย่า(เห็นแก่ตัวไหมเจ้าค่ะ) เพราะฐานะทางบ้านปู่กับย่าเค้าค่อนข้างดี สามารถส่งเสียให้เรียนสูงแค่ไหนก็ได้ และทางปู่กับย่าเค้าก็ไม่มีลุกชายแล้ว เหลือลุกสาวเพียงคนเดียว ก็คิดอยู่ว่าจะยกให้ท่านอุปการะดีไหม(เพราะท่านอยากได้หลานมากแทบจะขาดใจ) แต่มันต้องใช้เวลาไตร่ตรองคิดให้รอบคอบเจ้าค่ะ เพราะท่าน2คนสูญเสียลุกชายเพราะอุบัติเหตุ(สามีคุน้องเอง) แล้วไม่รู้จะเลี้ยงลูกคุนน้องแบบไหน..จะตามใจเกินกว่าเหตุจนเสียคนหรือเปล่า แล้วท่านมีความเห็นอย่างไรเจ้าค่ะ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 18:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ถ้าคุนน้องเป็นท่านนะ บวชไปนานแล้วเพราะไม่มีอะไรต้องห่วง จะได้เร่งเพียรศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วเผยแพร่ต่อพุทธบริษัท
อายุก็มาก สังขารก็ร่วงโรย แล้วติดอยุ่อะไรหรอเจ้าค่ะ คุนน้องนี่ติดอยู่กับลุกชาย กะว่าจะรอลูกชายโตก่อน ถ้าเค้ามีบุญวาสนาจะให้ลุกชาย บวชพร้อมกันเลย ส่วนคุนน้องก็จะบวชชีไปตลอดชีวิต ถ้าเวลานั้นมาถึง.. จะได้หลุดพ้นวัฏฏะสงสารไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดซะที :b20:


:b8: :b8: :b8:

:b16: :b16: :b16:


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 18:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ผมมีลูกสาวเรียนมหาลัยอยู่อีก3ปี ก็คงต้องบวชครับ บวชพร้อมกันมั้ยผมมีสถานที่ดีๆเยอะ เอาลูกบวชด้วย


:b8: :b8: :b8:

:b16: :b16: :b16:


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 18:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
ผมมีลูกสาวเรียนมหาลัยอยู่อีก3ปี ก็คงต้องบวชครับ บวชพร้อมกันมั้ยผมมีสถานที่ดีๆเยอะ เอาลูกบวชด้วย


:b8: :b8: :b8:

:b16: :b16: :b16:

พี่เอกอนไปบวชด้วยกันมั้ย อิอิ :b16: :b16:


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


:b4:
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
... ท่านเป็นคนตอบตัวเองได้ ไม่มีใครรู้ แต่ผมเข้าใจว่าชีวิตท่านคงจะทำอะไรๆดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ถอยหลังกลับแน่นอนครับ
ถามจริง ๆ คุณเคยเจอสภาวะนี้มั๊ย ดูเหมือนว่าเขาน่าจะรู้อะไรอะไรมากมายกว่าที่เขาพูดอะไรอะไรออกมามากมายราวกับไม่รู้ แต่คงไม่ใช่วิสัยที่เขาจะกล้าพูดออกมาตรง ๆ :b32: :b9:
เมื่อสัก10ปีที่ผ่านมาอาการแบบนี้นะคับที่นั่งจนไม่ยอมลุกตายเป็นตายนี่แหละครับที่ทำให้คนที่ผ่านตรงนี้ไปได้เท่านั้นที่จะรับรู้สิ่งที่ตนได้เห็น แต่ละคนอธิบายได้แตกต่างกันจากภูมิปัญญานั้นขณะนั้น หลังจากที่พบสภาวะนั้น วันใหม่หลังจากนั้นจะพบกับสิ่งที่ไม่เหมือนวันปกติอยู่ตามกำลังชองแต่ละคน อย่างนี้สักพักอาจะสัก2-3วันหรือมากกว่านั้นก็จะกลับสู่ปกติ ผมตื่นขึ้นมาก็พบสิ่งที่แปลกมากมาย เฉพาะตนจริงๆ
แล้วอยากบวชใจแทบขาดด้วยรึเปล่า... :b1:
นั้นแหละครับทางเดินสุดท้ายของผมสมเกียรติของศิษย์ตถาคต Kiss
ถ้าคุนน้องเป็นท่านนะ บวชไปนานแล้วเพราะไม่มีอะไรต้องห่วง จะได้เร่งเพียรศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วเผยแพร่ต่อพุทธบริษัท อายุก็มาก สังขารก็ร่วงโรย แล้วติดอยุ่อะไรหรอเจ้าค่ะ คุนน้องนี่ติดอยู่กับลุกชาย กะว่าจะรอลูกชายโตก่อน ถ้าเค้ามีบุญวาสนาจะให้ลุกชาย บวชพร้อมกันเลย ส่วนคุนน้องก็จะบวชชีไปตลอดชีวิต ถ้าเวลานั้นมาถึง.. จะได้หลุดพ้นวัฏฏะสงสารไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดซะที :b20:
ผมมีลูกสาวเรียนมหาลัยอยู่อีก3ปี ก็คงต้องบวชครับ บวชพร้อมกันมั้ยผมมีสถานที่ดีๆเยอะ เอาลูกบวชด้วย
ท่านกับคุนน้องคงไม่มีบุญวาสนาจะบวชพร้อมกันได้หรอกเจ้าค่ะ เพราะคุนน้องอายุ 27 ปีเอง มีลูกชาย กำลังจะเข้า 2ขวบ (อีก20ปี)คุนน้องคิดว่ายังไม่ถึงเวลาตอนนี้ แต่อนาคตอาจจะไม่แน่..เคยคิดอยุ่ว่า รอให้ลุกชายโตจนรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกาเสียก่อน อาจจะให้เค้าไปอยู่กับปู่กับย่า(เห็นแก่ตัวไหมเจ้าค่ะ) เพราะฐานะทางบ้านปู่กับย่าเค้าค่อนข้างดี สามารถส่งเสียให้เรียนสูงแค่ไหนก็ได้ และทางปู่กับย่าเค้าก็ไม่มีลุกชายแล้ว เหลือลุกสาวเพียงคนเดียว ก็คิดอยู่ว่าจะยกให้ท่านอุปการะดีไหม(เพราะท่านอยากได้หลานมากแทบจะขาดใจ) แต่มันต้องใช้เวลาไตร่ตรองคิดให้รอบคอบเจ้าค่ะ เพราะท่าน2คนสูญเสียลุกชายเพราะอุบัติเหตุ(สามีคุน้องเอง) แล้วไม่รู้จะเลี้ยงลูกคุนน้องแบบไหน..จะตามใจเกินกว่าเหตุจนเสียคนหรือเปล่า แล้วท่านมีความเห็นอย่างไรเจ้าค่ะ :b8:
ถ้าปู่ย่าเขาฐานะดีนะครับ ยกให้เขาเลยเหมือนพระพุทธองค์นะครับที่ท่านออกบวชก็เพราะรักลูกรักเมีย เพราะรู้ว่าโลกมันโหดร้ายต้องออกไปแสวงหาทางพ้นทุกข์เพื่อนำทางออกมาให้ ถ้าคุณบวชเพื่อพิสูจน์ทางพ้นทุกข์ พ่อแม่ต้องปลื้อใจแน่เลย หลานคนเดียวเขาเลี้ยงได้สบายถ้าเขาฐานะดีไม่ต้องห่วง ส่วนเมื่อลูกโตมาเขาคงเป็นคนดีแน่ๆๆเพราะแม่เขาได้นำทางไว้ให้ ถึงเราบวชเราก็มีโอกาส ดูแลลูกได้ครับ ผมเองสิที่ไม่ได้บวชเลยเพราะฐานะปู่ย่าไม่สามรถดูแลเรื่องต่างๆได้ผมจึงต้องทำหน้าทีดูแลจนจบหน้าที่ครับ คิดดูดีๆนะครับ โลกใบนี้ไม่มีอะไรน่ายึดหรอกครับ ผมว่าสวรรค์ส่งคุณมาให้เดินทางธรรมครับ ถึงสร้างความพร้อม มาให้ ลูกชายนะครับใช้เป็นบทพิสูจน์ได้ถ้าคุณรักเขาจริงคุณต้องเป็นคนนำแสงสว่างมาให้ครับเหมือนพระพุทธองค์ :b8:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 26 ก.ค. 2012, 22:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 19:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ.....ทุกคนเลยนะครับ... :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 19:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b9:

พี่เอกอนรู้สึกอยากจะหนีเข้าไปอยู่ในป่ามากกว่าอยู่วัด...น่ะ

พอดีมีบ้านอยู่ชายป่าแล้วด้วย แต่จะได้ไปอยู่เมื่อไร
ก็คงแล้วแต่กรรมจะพาไป น่ะนะ

:b12: :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 20:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: กับทุกท่านเช่นกัน ครับ


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 08:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
เป็นสภาวะของสัมมาสมาธิ ที่ยังไปไม่ถึงที่สุด


มาชัดตอนอายุ 14

ก็รู้สึกวูบๆจิตรวมเป็นระยะๆ เห็นแสงวูบๆสีขาว ก็ดูไปหายไปบ้าง กลับมาบ้าง มีภาพนั่นภาพนี่แทรกบ้างเผลอเอาจิตตามไปบ้าง ก็ดูไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ เพราะจิตเรียนรู้แล้วว่าดูไปก็เหนื่อยเปล่า เดี่ยวก็หายอีก จิตมันละความคิดไปเองโดยอัตโนมัติ

จึงได้รู้ว่า การไม่คิดไม่ใช่คิดว่าไม่คิด แต่เป็นการเอาจิตไปรู้ตามความเป็นจริงจนมันหายไปเองตามธรรมชาติ เพราะมันเป็นสิ่งปรุงแต่งย่อมอยู่ไม่ทน เคล็ดลับของการทำจิตว่างมันอยู่ตรงนี้เอง

พอความคิดไม่เกิดเพิ่ม นิ่งสงบไปเจอแสงสีขาวเกิดขึ้นก็พิจารณาไปอีกตามเดิม แต่คราวนี้มันไม่ยอมหาย มันชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นวงกลมสีขาว ยิ่งเข้าไกล้ขอบยิ่งชัด คมกริบ ผิวเนียนละเอียด

ตอนนี้พิจารณาได้สองอย่าง จะพิจารณาลมก็ได้แต่มันเบามากๆ สีขาวชัดกว่าเลยกลายเป็นทิ้งลมไปจับแสงสีขาว

อาศัยที่เคยฟังผู้ใหญ่คุยกันมานิดหน่อย ว่านิมิตนี้สามารถบังคับได้ ก็ค่อยนึกให้โตขึ้น หดลง จนใสขึ้น สว่างขึ้นเรื่อยๆ จะนึกให้หดขยายหมุนเล่นอย่างไรก็ได้ดังใจทั้งนั้น

มันไม่เหมือนนิมิตที่เคยฟังพระบอกตอนเด็กๆ เพราะนิมิตนั้นเรานึกเอาเองตามคำพระบอก มันอยู่วูบๆเหมือนดาวตก สั่งอะไรก็ไม่ได้ แต่นิมิตนี้มันสั่งได้ตามใจนึก แค่ไม่ตกใจ รักษาไม่ให้ใจกระเพื่อม เวลาใจกระเพื่อมตัวนิมิตก็กระเพื่อมโคลงเคลงตามไปด้วย

ตอนนั้นไม่รู้ว่ากำลังทำอานาปานสติแล้วแปลงเป็นกสิณ แค่ทำไปตามที่เคยได้ยินมาอย่างนั้นเอง ตอนแรกก็สนุกอยู่ เล่นไปเรื่อยอยู่นานจนไม่รู้จะเล่นอย่างไรอีก มันรู้สึกไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมือนเด็กได้หนังยางมาเส้นหนึ่ง เอามาทดลองจนรู้หมดแล้วว่ามันทำอะไรได้บ้าง ก็ได้แค่นั้น ทำอะไรมากกว่านั้นก็ไม่ได้แล้ว

เมื่อรู้หมดทุกแง่มุมแล้วจิตก็เริ่มความความยึดถือในนิมิตนั้น จิตมันไม่เอาด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องไปพยายามทิ้งนิมิตให้เหนื่อยอะไรเลย จิตเหมือนเด็กได้ของเล่นนั่นหละ พอทดลองเรียนรู้หมดแล้วว่าทำอะไรได้บ้างก็ไม่ตื่นเต้น ไม่เอาอีกเลย



เป็นเพียง โอภาส ไม่ใช่การทำกสิณ เรียกว่า เล่นในสมาธิ เพราะ เคยเล่นมาแล้ว ในสภาวะแบบนี้ ไม่แตกต่างกัน ติดโอภาส แต่ไม่รู้ว่าติด ในช่วงแรกๆ

มาตอนหลัง พยายามไม่ให้โอภาสเกิด เพราะรู้จากตำราว่า เป็นอุปกิเลส นี่ก็ไม่รู้อีก ไปคิดว่า คืออุปกิเลส

ปฏิบัติต่อเนื่อง จึงรู้ว่า โอภาส เกิดจาก กำลังของสมาธิ กำลังของสมาธิมามากเท่าไหร่ โอภาส ยิ่งสว่างมากขึ้น ตามกำลังของสมาธิ มันเป็นเรื่องปกติของสภาวะสมาธิ






walaiporn เขียน:

เจออาการร่างกายปวด ตัวหวิวใจหวิว พยายามประคองสติใว้ อาการทั้งตัวเหมือนโดนน้ำท่วมสำลักหรือเป็นลมแดดหูอื้อตาลายแต่สติยังแข็งมาก รับรู้ได้ทุกอย่าง เหมือนโดนดูดเข้าไปในท่อดำมืดอะไรสักอย่าง มีอาการเจ็บปวดเหมือนตัวจะขาดจากกัน กระดูกเนื้อหนังเหมือนแตกไปทั้งร่าง หมุนติ้วๆอยู่ไม่มีบนล่างกำหนดทิศทางกำหนดหนักเบาร้อนเย็นอ่อนแข็งอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรให้ยึดจับทั้งนั้น

พอตกใจจิตถอนออกก็สงบสว่างอยู่พักนึง พอเริ่มสบายสติผ่อนคลายหายกระเพื่อมก็โดนอีก คราวนี้เหมือนโดนกระชากตัวพุ่งพรวดลงไปในเหว

ตัดสินใจยอมเจ็บยอมตาย มันดิ่งก็ดิ่งตามไปด้วย ผ่านไปสักพักก็โล่ง มีแต่สว่างขาวโพลงอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรอยู่อย่่างนั้น แต่ไม่กลัวอะไรเลย

มันโล่งไปหมด สบายสุดๆ ก็จับอารมณ์ตรงหน้ามาพิจารณาต่อ สักพักก็ไม่คิดอะไรอีก อาการอิ่มใจหายไปอารมณ์แน่นกว่าเดิม พอเย็นอิ่มใจนานๆไปก็สงบสุดๆอารมณ์แน่นขึ้นอีก สักพักเหลือแต่นิ่งอยู่อารมณ์แน่นขึ้นแล้ว ถึงขั้นนี้ไปไม่เป็นแล้ว ลมหายใจก็ไม่มี มันดับหมด เกิดเผลอกลัวตายวูบนิดเดียว แต่ก็ประคองใว้ได้อีก


ปรากฏว่าจิตถอยออกมาอยู่ที่ สงบ และคลายตัวมาอยู่ที่อิ่มใจตามลำดับ ปรากฏว่ายังได้ยินเสียง ยังไม่ตาย ทดลองพิจารณาอาการอิ่มใจสักพักก็เข้าไปที่สงบสุข และ นิ่งเฉยตามลำดับ แล้วถอยออกมาอีกจนเริ่มรู้สึกตัวนิดๆ

คราวนี้ รู้สึกอิ่มในสมาธิมากๆจึงเริ่มร่างกายเกสาโลมาไปตามปกติที่เคยทำ ที่ต่างออกไปคือ เมื่อก่อนการพิจารณาคือการคิดเอาเอง แต่ตอนนี้การพิจารณามันเห็นชัดเจนมาก เหมือนมีสองคนซ้อนกันอยู่ แล้วอีกคนหนึ่งแยกตัวออกไปยืนมองกลับเข้ามาดูตัวเอง

พอพิจารณาเสร็จเริ่มถอนสมาธิออกมาแผ่เมตตาเห็นนิมิตแสงสีขาวออกจากตัว เลยแผ่เมตตาไปจนสีจางลง


เมื่อออกจากสมาธิรู้สึกสบายตัวอย่างมาก ร่างกายเบาเหมือนไร้น้ำหนักเลย แถมมีสติแข็งมากๆติดตัวมาด้วยทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน จิตมันไม่หลับ มันรู้ตื่นเบิกบานอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ

เช้าขึ้นมาเป็นเรื่องเลย เพราะเห็นต้นไม้ใบหญ้าสีสันมันสดขึ้นผิดปกติ มองอะไรก็เห็นอย่างนั้น ไม่มีจุดรวมโฟกัสสายตา เห็นมันทีเดียวทั้งภาพเลย อะไรเคลื่อนไหวตรงมุมไหนของสายตาเห็นได้หมด และเห็นพร้อมๆกันในคราวเดียวด้วย ไม่มีอาการเพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่ง

เวลาเดินนี่ยุ่งเลย เพราะมันกะระยะไกลไม่ถูก พอจะรู้บ้างก็แต่ส่วนที่กว้างยาว ส่วนลึกกะประมาณไม่ถูกเลย รู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีจริง มันเป็นเหมือนภาพสองมิติมาหุ้มล้อมตัวเราอยู่ และเรากำลังเดินอยู่ในภาพสองมิติ(เข้าใจเอาเองว่าจิตอยู่ในมิติสวรรค์)

แต่เมื่อก่อนถูกสมองตนเองหลอกให้เข้าใจว่าโลกนี้มีสามมิติ (โลกมนุษย์) ส่วนในฌาณนั้นตามความรู้สึกมีแค่มิติเดียวคือ แค่รู้สึกว่ามีตัวตน ไม่มีกว้างยาว เดาเอาว่าในนิพพานน่าจะไร้มิติที่ตรงกัน คือไม่สามารถเอาสภาวะอะไรของโลกมนุษย์สวรรค์หรือพรหม(ฌาณ)ไปเทียบได้เลย

เวลาเคลื่อนไหวก็รู้ตัวทุกอย่าง การกระทำโดยไม่ตั้งใจไม่มีเลย ทุกการกระทำเกิดจากความตั้งใจทั้งสิ้นแม้จะแค่หันซ้ายหันขวาก็เหมือนเตรียมตัวใว้ก่อนแล้วเป็นนาทีทั้งที่เกิดขึ้นตอนนั้น ไม่มีการวางแผนอะไรใว้ก่อน มันมีสติตามติดและชัดเจนมาก มันไม่มีความลังเลอะไรทั้งสิ้น เหมือนลมพัดโดนขนไหวไปเส้นนึงยังรู้สึกได้

ไม่ได้ไปตั้งใจรู้สึกรู้ทัน มันรู้ของมันเอง มีคนเดินเข้ามาหาก็ไม่รู้ว่าใครมา เพราะไม่ได้เพ่งเล็ง พอเขาพูดขึ้นก็ต้องทำความเข้าใจในคำพูดนั้นเสียก่อนจึงจะตอบได้ ถ้าไม่ตั้งใจใว้ก่อนเสียงพูดมันไม่กระทบจิตเลย แต่สักแต่ว่าได้ยิน

เวลากินข้าวกินแกงก็แค่กินก้อนอะไรสักอย่าง น้ำอะไรสักอย่าง กลืนลงไปลิ้นไม่รับรู้รสชาติเลย ไม่ใช่รู้แล้วไม่ยอมเอาไปปรุงแต่ง แต่มันตัดลึกกว่านั้น คือตัดตั้งแต่ต้นทางไปเลย ทำให้อาหารเข้าปากรู้ได้มากสุดแค่เป็นก้อนๆแข็งหรืออ่อน ร้อนหรือเย็นแค่นั้นเอง อีกอย่างคือ ความอิ่มใจค้างอยู่ที่หัวใจ มันเย็นตลอด เย็นเหมือนเอาก้อน้ำแข็งก้อนโตเท่ากำหมัดแปะหน้าอกใว้ตลอดเวลา

เห็นธนบัตร ก็ไม่ได้สนใจอะไร รู้สึกแปลกใจตัวเองเช่นกันเพราะโดยความรู้สึกตอนนั้น ธนบัตร 20 บาทก็ไม่ต่างอะไรกับใบไม้ใบหนึ่ง

เช้าเจอพ่อ เห็นตัวพ่อเล็กนิดเดียว ตัวเราโตกว่าพ่อถึงสามสี่เท่าตัว มองหน้าพ่อคิดว่าพ่อเป็นน้องชายเรา บางครั้งก็สับสนตัวเองเล็กน้อย ว่าทำไมรู้สึกแบบนั้น แต่ก็ทิ้งไปได้ทันที เพราะสติแข็งมากๆ

อยากบวชมากที่สุด รู้สึกว่าจะอยู่ได้ต่อไปมีแต่ต้องบวชเท่านั้น ไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว แต่บอกพ่อ พ่อไม่ให้บวชเพราะกำลังเรียน มอ.2 รู้สึกเสียใจมากเหมือนจะตายลงเดี๋ยวนั้น และอาการเสียใจไม่ใช่ตีอกชกหัวคร่ำครวญอย่างคนทั่วไป แต่เป็นอาการใจกระเพื่อมอย่างรุนแรง มีสติรู้อาการอยู่ตลอด

สองสามวันต่อมาอาการมองโลกแปลกๆก็ค่อยๆปรับเปลี่ยน จะเดินก็ยังรู้สึกโคลงเคลงอยู่บ้างแต่เริ่มกะยะยะทางได้ เริ่มมองโลกเป็นมุมกว้างสามมิติ กะระยะลึกได้ถูก และนอนไม่หลับถึงสามสี่คืน

คืนหลังๆแม้จะนั่งสมาธิก็ได้แค่เฉียดๆอุปจารสมาธิ พอวูบๆจะลงไปมันก็เด้งกลับมาที่เดิม แต่ตอนนั้นไม่ได้อยากเข้าสมาธิ แค่ทำไปตามปกติ เข้าได้หรือไม่ได้ก็ไม่ใส่ใจ ความอยากมันหายไปหลายอย่าง

ตลอดหกเจ็ดวันหลังจากเข้าฌาณได้ จิตมันไม่กังวลต่ออนาคต ไม่คิดถึงอดีต ไม่สงสัยติดใจอะไรในปัจจุบัน มีความเมตตาอยู่เต็มจิตจนคิดไปเองว่าคงเป็นพรหมวิหารอะไรสักอย่าง ตามหัวข้อธรรมที่เคยได้ยิน

อย่าว่าแต่คนสัตว์เลย แม้แต่ใบไม้เขียวๆหรือกิ่งไม้ผุ ก็ไม่ต้องการไปแตะต้องอะไรทั้งนั้น มันไม่เพลิดเพลินในอะไรเลย ใครจะเปิดเพลงร้องเพลงก็ได้ แต่ฟังแล้วไม่รู้สึกไพเพราะ ไม่สนุกด้วย แต่ก็ไม่รำคาญ ไม่ต้องการเปลี่ยนอะไรในโลกนี้เลย แค่อยู่ๆไปตามปกติของร่างกาย และจะทำสิ่งต่างๆก็ให้กระทบต่อโลกให้น้อยที่สุด

ความอิ่มใจที่เย็นอยู่กลางหน้าอกใช้เวลาถึง 7 วัน จึงค่อยๆจางไป และโลกสดใสทุกวัน ความทุกข์ไม่มีเลยตลอดสองเดือนหลังจากนั้น

จนกระทั่งกลับไปเรียนหนังสือ เริ่มโดนหยอกล้อตามปกติ เริ่มเจออารมณ์ขันสนุกเฮฮา เริ่มฉุนเพื่อน เริ่มอยากได้โน่นได้นี่ เริ่มชอบและเกลียดสิ่งต่างๆ ความทุกข์สุขตามที่เคยเป็นจึงค่อยๆเริ่มปรากฏ

เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ 25 ปีแล้ว ได้แค่ครั้งเดียวรวดเดียวถึงฌาณสี่ต่อด้วยวิปัสสนาแผ่เมตตาเสร็จสรรพแล้วก็เข้าฌาณไม่ได้อีกเลย




เรื่องเล่าในอดีต ไม่ใช่เป็นสภาวะปัจจุบัน เรื่องที่ผ่านมา เป็นเพียงเหตุ ไม่แตกต่างในเหตุของแต่ละคน เมื่อยังไม่ถึงเวลา ชีวิต ย่อมเป็นไปตามเหตุ แต่ไม่รู้ว่า นี่คือ เหตุ



walaiporn เขียน:
รู้ด้วยตัวเองแล้วว่า ฌาณมีจริง ดังนั้น นรก สวรรค์ นิพพาน และเรื่องเหนือโลกในทางพุทธศาสนา ย่อมมีจริงตามไปด้วย ไม่มีทางปฏิเสธได้อีกเลย มันเป็นเหตุเป็นผลอิงกันอยู่



เหตุเกิดจาก ความศรัทธา สภาวะตรงนี้ ทุกคนเจอเหมือนกันหมด เรียกว่า อธิโมกข์ คือ น้อมใจเชื่อ

วลัยพร ก็เกิดสภาวะนี้เช่นเดียวกัน ความศรัทธาหรืออธิโมกข์ ที่เกิดขึ้น บดบังสภาวะ ทำให้ไม่เห็นตามความเป็นจริง ได้แต่พูดว่า นิพพานมีจริง แต่อธิบาย สภาวะนิพพาน และวิธีการที่ทำให้ถึงนิพพาน ที่เป็นรูปธรรม ตอนนั้น ยังอธิบายไม่ได้

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka3/v ... 579&Z=5680



walaiporn เขียน:
นับจากนั้นมามีแค่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่ผมรับได้ ศาสนาอื่นๆมีแต่เรื่องในระดับสังคม ไม่มีเรื่องสมาธิ วิปัสสนา ฝึกตนให้สิ้นกิเลส จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีทางพ้นทุกข์ไปได้อย่างแน่นอน แม้จะข่มกิเลสด้วยฌาณแต่เพียงชั่วโมงเดียวยังส่งผลได้ความสงบจิตมากมายถึงสองเดือน

ดังนั้นสุขทางโลกเทียบอะไรไม่ได้เลย แม้การฝึกสติรู้ความเคลื่อนไหวจะไม่ได้ความสุขอะไรเพิ่มมาเลย แต่ความทุกข์ที่ลดลงไปอย่างมากนั้น ไม่มีศาสนาไหนๆสอนให้ได้ผลแบบนี้เลย...

ศาสนาพุทธจึงเป็นของแท้แม้จะฆ่าให้ตายก็ไม่มีวันเปลี่ยนศาสนาอีกต่อไป พระแขวนคอ เครื่องลางของขลัง ฤกษ์ยามก็ไม่เอาอีกแล้ว เวทย์มนต์คาถาเลขยันต์ หมอดูก็ไม่เอาไม่ศรัทธาอีกแล้ว เรื่องเจ้าที่เจ้าทางก็ถือว่าต่างคนต่างอยู่ไป ศีล 5 ก็ดีขึ้นระยะหนึ่ง แล้วก็เสื่อมลงตามประสาวัยรุ่นส่วนใหญ่



นี่แหละ ถึงบอกว่า ยังไปไม่ถึง ที่เขาคิดว่า ไปถึงมาแล้ว ดูจาก การแสดงทิฏฐิ หรือ ความยึดมั่นถือมั่นในศาสนา ที่มีอยู่ ไม่รู้ชัดในสภาวะของศิล ศิลที่พูดมา เป็นเพียงศิลที่พูดๆกันโดยทั่วๆไป เพราะ ทุกสรรพสิ่ง มีเหตุ เป็นแดนเกิด

เมื่อเห็นแล้ว รู้แล้ว คุณธรรมนั้น ไม่มีวันเสื่อม ที่เสื่อม ล้วนเกิดจาก ความไม่รู้ที่มีอยู่ และยังคงสร้างเหตุใหม่ ให้เกิดขึ้น ด้วยความไม่รู้ ชีวิต จึงได้เป็นเช่นนั้น



walaiporn เขียน:
เมื่อปีที่แล้ว ไปบวช 1 สามเดือนช่วงเข้าพรรษา ก็นั่งสมาธิบ้าง กำหนดสติรู้ตัวตลอดเวลา เดินจงกรมบ้าง แต่ก็ไม่มีแบบแผนเท่าไร ยังจำอารมณ์ฌาณได้ แต่ก็ไม่ชัดเท่าไร



พอจะระลึกได้บ้างว่าต้องคอยประคองเอาใว้ ไม่ให้จิตกระเพื่อม แต่นั่งมากสุดได้แค่อุปจารสมาธิ เที่ยวหลังนี้ได้นิมิตเป็นเสียงไม่ใช่ภาพอย่างแต่ก่อน ได้สติเยอะโดยไม่รู้ตัว แต่เป็นเพราะสติก่อตัวสะสมเรื่อยๆ ไม่ได้ปรากฏแบบพรวดพราดจากอานิสงค์ได้ฌาณเหมือนครั้งก่อน จึงค่อยมารู้ตัวเมื่อลาสิกขา

พอเจอผู้คนในที่ทำงาน อาการก็คล้ายอาการเดิมคือ เจออะไรก็กระทบจิตน้อย ไม่เก็บมาปรุง จิตอยู่ที่การเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าจะส่งออกนอก

ผ่านไป 1 ส่วนสมาธิฝึกบ้างทิ้งบ้างก็ยังไม่ได้แม้แต่อุปจารสมาธิครับ



ทำจ้ำจิ้ม ผลย่อมได้ แบบจ้ำจิ้ม



แยกออกเป็นหมวดๆ จะเห็นรายละเอียดต่างๆมากขึ้น

สิ่งที่เขาเล่ามา เป็นเรื่องในอดีต ที่ผ่านมาแล้ว ๒๕ ปี ไม่ใช่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้น ในปัจจุบัน

ถ้าเพียง เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตั้งใจปฏิบัติต่อเนื่อง ทำทุกวัน ทุกเวลาที่มีโอกาส สภาวะเก่าๆ ที่เขาผ่านมาแล้วนั้น เขาจะได้สัมผัสกับสภาวะนั้นๆอีก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิก็เกิดแบบปกติอย่างต่อเนื่อง รู้ตัวตลอดเวลา สักพักกำลังของสมาธิเปลี่ยนไป แรกๆยังไม่คงที่ ขึ้นๆลง จำได้เกิดภวังค์จิต แต่ไม่ได้นับว่ากี่ครั้ง

เพราะทุกครั้งที่เกิดภวังค์จิต สมาธิจะมีกำลังแรงขึ้นกว่าเดิม โอภาสจะสว่างมากๆ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน

สมาธิเริ่มแรงขึ้นๆๆๆเรื่อยๆ โอภาสสว่างมากๆ สว่างไปหมด ความรู้สึกตอนนั้นบอกไม่ถูก เหมือนถูกดูดเข้าไปในอะไรสักอย่างมันสว่างมากๆ

รู้สึกเหมือนคนที่กำลังจะขาดใจ นี่เองกระมังอาการของคนที่กำลังจะขาดใจตาย มีภาพต่างๆผุดขึ้นมา เกิด-ดับๆๆๆ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร

ช่วงเสี้ยววินาทีสุดท้ายที่เรารู้สึกว่ามันจะขาดใจแล้ว คือมันรู้ แค่รู้ บอกไม่ถูก เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งเวลาไว้ ดังขึ้น กำลังของสมาธิลดลง หลุดออดมาจากสภาวะตรงนั้น

ดูสิ เสี้ยววินาทีสุดท้ายจริงๆ ก็ไม่เสียดายอะไรนะ มันรู้สึกเฉยๆ คือ แบบว่า ถ้าถึงเวลามันก็ผ่านไปได้เอง ถ้ายังไม่ถึงเวลามันก็ต้องมีเหตุน่ะแหละ

ตอนที่หลุดออกมาจากสภาวะนั้นใหม่ๆ ความรู้สึกที่รู้สึกตอนนั้นคือ ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างว่างเปล่าเสียจริงๆ เหมือนไม่มีอะไรเลย สมองกลวงๆ ไม่มีความคิด มันว่างไปหมด ความคิดสักนิดก็ไม่มี

ความรู้สึกต่างๆไม่มี ไม่ว่าจะความสุข ความอิ่มเอิบ ฯลฯ แม้แต่ร่างกายของตัวเองแท้ ยังรู้สึกเหมือนอะไรสักอย่าง ที่ไม่ใช่ร่างกาย เหมือนเราเพียงแค่อาศัยอยู่ประมาณนี้ …

เพิ่งรู้นะว่าความว่าง ว่างที่แท้จริงน่ะมันเป็นยังไง ขนาดหลุดออกมาแล้ว ไม่ได้เข้าไปเต็มตัว .. สติ นี่สำคัญมากๆเลยนะ ถ้าขาดสติเพียงนิดเดียว เป็นบ้าได้เลย เพราะตอนที่เกิดสภาวะตรงนั้น พลังของสมาธิมีกำลังแรงมากๆแบบที่เราไม่เคยเจอมาก่อนเลย


ก็รอดูตอนเช้าละกัน ว่าจะเป็นยังไง … ยังงงๆ กับสภาวะนั้นอยู่ เกี่ยวกับความว่าง มันว่างจริงๆนะ มันไม่มีอะไรเลย เหมือนไม่มีใคร ไม่มีอะไรทั้งสิ้น มันว่างไปหมด

ลืมตาตื่นขึ้นมา .. ความรู้แรกที่กระทบในจิตเรา เหมือนมันแปลกๆ อธิบายไม่ถูก … เหมือนใจไม่มีสลับกับมี แบบว่า ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี มันเหมือนอยู่ตรงกลางๆ เอ้อ … แปลกดีเรา ทำไมมันรู้สึกอะไรแบบนั้น สลับไปสลับมา กลับไปกลับมา

จะว่ารู้สึกก็ไม่ใช่ ไม่รู้สึกก็ไม่ใช่ จะว่าดีใจก็ไม่ใช่ จะว่าเฉยๆก็ไม่ใช่ คือว่า เหมือนจะดีใจแค่จิ๊ด จิ๊ดเดียงแบบน้อยมากๆ แล้วมันก็ดับ

นี่ก็แปลกอีก กระต่าย คือเราสงสัยตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว มันแค่จิ๊ดเดียวเหมือนกันแล้วมันก็ดับ คำว่า กอดน่ะ มันไม่มีแล้วจริงๆหรือ เจ้าความรู้สึกนั้นนะ


ลองกอดดู นี่ก็แปลกอีก พอจับกระต่ายขึ้นมา เหมือนเราจับอะไรบางอย่าง ไม่ใช่จับกระต่าย แต่เป็นแค่อะไรบางอย่าง พอเราลองเอามากอดดู ทุกทีถ้าเรากอดมัน เราจะรู้สึกเคลิ้มๆเหมือนจะหลับ นี่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย

มันแค่รู้สึกว่า กอดอะไรอย่างหนึ่ง สมองเราเพี้ยนไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ แค่รู้ว่ามันแปลกๆ .. เดี๋ยวดูว่าวันนี้จะเป็นยังไง แล้วก็เมื่อคืนเรามีอาการปวดหัวมากๆ เหมือนหัวเราจะระเบิด

คืนนี้ไม่ได้ปฏิบัติ หลับสนิท เพราะมันรู้สึกแปลกๆ มันบอกไม่ถูก รู้แต่ว่า มีความกลัวกับความเฉยๆมันสลับกัน

มันบอกไม่ถูก รู้แต่ว่า มีความกลัวกับความเฉยๆมันสลับกัน คือ เหมือนจะจำสภาวะตรงนั้นได้ จำได้ว่าเรากลัว กลัวมากๆ กลัวตอนช่วงที่มีความรู้สึกว่าถูกดูดเข้าไป สมาธิตอนนั้นแรงมากๆ เหมือนลมบ้าหมู บอกไม่ถูก

แต่ตอนที่ว่ากลัวมากๆ แต่มันกลับมามีสติ สัมปชัญญะรู้ตัวดี เรารู้แล้ว ที่เราคิดว่า เรากำลังจะตายมาหลายวันนี่คืออะไร เจอสภาวะเมื่อวานนี้ถึงได้เข้าใจ นี่เราเหมือนตายไปแล้วแค่ครึ่งชีวิต แล้วหลุดออกมาได้


ใช่ตอนที่เรากลัวมากๆ คือเราคิดว่าเรากำลังจะตาย แล้วภาพต่างๆก็ผุดขึ้นมา เกิด-ดับ เร็วมากๆ จับไม่ได้ ว่าคือภาพอะไร รู้แต่ว่าช่วงนั้นใจมันจะขาด แว่บแรกคือกลัวตาย แต่ก็มีสติบอกว่า ตายเป็นตาย ถ้าตายไปตอนนี้มันก็คุ้ม

เพราะรู้ว่าจะไปเกิดที่ไหน เลยปล่อยเลย อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้เกิด มันเลยกลายเป็นแค่รู้ แค่รู้อย่างเดียว ช่วงวินาทีสุดท้าย ที่กำลังถูกดูดเข้าไปเต็มตัว เสียงนาฬิกาที่ตั้งไว้ดังขึ้น เรารู้สึกว่าหลุดออกมาเลย กำลังของสมาธิผ่อนแรงลง จิตนี่มันชั่งมหัศจรรย์จริงๆ เหมือนอีกมิติหนึ่งที่ซ่อนอยู่

นี่ลองทานข้าว ว่ายังรู้รสชาติเหมือนเดิมไม๊ ยังคงรู้รสชาติอาหารเหมือนเดิม
แต่ใจนี่สิที่เปลี่ยนไป แปลกๆในตัวเองบอกไม่ถูกแฮะ …

ไม่เป็นไร ไม่หาคำตอบ เดี๋ยวได้คำตอบเอง ปฏิบัติไปก่อน
เหมือนมีชีวิตใหม่เลยแฮะ เหมือนไม่ใช่เราที่เคยเป็นเรา ไม่ใช่เรา อธิบายไม่ถูก …

ตอนนี้เราเหมือนคนที่ได้เกิดใหม่อีกครั้ง ถึงแม้จะยังไม่สมบูรณ์ 100% ก็ตาม

นี่ จิตกำลังยิ้ม คือ ยิ้มเมื่อตากระทบหลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง ไม่มีความดีใจ ไม่มีความสุขใจ แค่รู้ว่า ยิ้ม ..

ในตัว .. ตอนนี้ เหมือนมีสิ่งที่แสดงลักษณะ 3 ลักษณะด้วยกัน กลวงๆ หนา และเรา .. มันจะสลับกันอยู่ตลอดเวลา ..

เวลากลวงๆเกิดขึ้น เราจะรู้แค่ว่า มันกลวงๆไปหมด กายที่เรียกว่ากาย มันก็กลวงๆ สมองกลวงๆ ลมหายใจจับไม่ได้ มันจะกลวงๆไปหมด

เราเห็นว่ากายนี้กลวง ลมหายใจไม่มี มันว่างไปหมด แต่ปากมันพูดขยับๆ จิตมันทำงานเอง แล้วเราดูอยู่ เรานี้ไม่มีตัวตน มันแค่รู้


เวลากลวงๆเกิด ไม่รู้ความรู้มาจากไหนมากมาย
ทั้งๆที่เรานั้นไม่เคยจะรู้เรื่องในสิ่งที่กำลังพูดอยู่เลย แม้แต่สักนิดเดียว

เวลาทุกสิ่งที่มากระทบ กระทบแล้วก็หายไป เหมือนหายไปในอากาศ

ยิ่งเวลาทำสมาธิด้วย จะมีแต่โอภาสที่สว่างเจิดจ้ามากๆ
เหมือนจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่มันยังไม่ถึงเวลาที่จะเกิดเท่านั้นเอง

ไม่มีเวทนา ไม่มีอะไรเลย สักแต่ว่ากลวงๆเท่านั้นเอง

แต่หูได้ยินเสียง รับรู้สิ่งภายนอกทั้งหมด แต่ไม่กระทบถึงภายใน

เวลากลวงๆเกิดขึ้น เราคิดว่า 5 นาที ที่ไหนได้ เป็นเวลาเกือบชม.

หรือถ้าไม่ได้ทำสมาธิ เวลาที่กลวงๆเกิดขึ้น กายนี้สักแต่ว่ากาย รู้แค่ว่าไอ้นั่น ไอ้นี่ขยับ

วันนี้เกือบไป เกิดกลวงๆขณะที่ขับมอไซค์ ไม่จอดรถนะ แต่ขับช้าลง แล้วดู ..

สิ่งๆรอบๆตัวเปลี่ยนไปในความรู้สึก เหมือนแค่รู้ ว่าอวัยวะต่างๆกำลังทำงานร่วมกัน
โดยไม่ต้องมีอะไรมากำกับว่าต้องทำอะไรบ้าง ทุกอย่างทำงานตามระบบของมันเอง

เกิดกลวงๆขึ้นชั่วขณะหนึ่ง แล้วถึงเกิดเราขึ้น เกิดหนาๆขึ้น สลับกันอยู่แบบนี้ จนถึงบ้าน

ตัวหนาๆ .. ตัวหนาๆนี่เป็นอีกแบบหนึ่ง อันนี้เริ่มมีความรู้สึกมากขึ้น แต่ยังไม่มีเราเข้ามาเกี่ยวข้อง เริ่มมีการรับรู้เวลาอะไรมากระทบ แต่มีผลถึงภายในเล็กน้อย แล้วก็ดับไป


เวลานั่งสมาธิ มดกัด เวลาเป็นกลวงๆ เป็นหนาๆ จะไม่รับรู้ พอเกิดมีเราขึ้นเมื่อไหร่ รู้ทันที ถ้าเกิดเรานานเมื่อไหร่ เริ่มทนไม่ได้ ทุกขเวทนา ..



เวลากลวงๆเกิดจะรู้ทันที สมาธิแรงมากๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นั่งสมาธิก็ตาม
หลับตาลงนี่ โอภาสสว่างมากๆ ช่วงนี้กำลังปรับตัว กำลังเรียนรู้สภาวะ ..
แต่ที่รู้ๆตอนนี้คือ จิตสว่างมากๆ ไม่ขุ่นมัวเหมือนเมื่อก่อน …


เช่นเดียวกับเวลาที่กลวงๆเกิด เวลาเราคุยกับใคร เราฟังเขารู้เรื่องแต่ไร้ความรู้สึก แบบว่าอธิบายไม่ถูก คือมันไม่รู้สึกอะไรเลย เพียงแต่เหมือนอะไรสักอย่างกำลังทำงานโดยอัตโนมัติ

เราควบคุมตัวเองไม่ได้ 3 สภาวะ เกิดๆดับๆ สลับกันอยู่ในตัวเรา เหมือนครึ่งผีครึ่งคน


ถ้าเราคุยเมื่อไร กลวงๆจะเกิดบ่อยมาก

ถ้าอยู่ตัวคนเดียว ตัวเราจะเกิด แต่เราจะปวดหัวตลอดเวลา นี่ก็ปวดอยู่ งงๆกับสภาวะของตัวเองเหลือเกิน

เวลากลวงๆเกิด ข้าวปลาอาหารนี่ไม่หิวเลย ไม่มีอิ่ม ไม่มีอะไรเลย อยู่ได้ทั้งวันโดยไม่ต้องทานอะไร แม้แต่น้ำก็ไม่หิว ปกติทานน้ำวันละ 2 ลิตรอย่างต่ำ มันไม่รู้สึกอะไร เหมือนไม่ใช่เรา ว่างเปล่าไปหมด


แล้วภาพที่เราบอกว่าเราเห็นแว๊บๆระหว่างที่ถูกดูดเข้าไปนั้น เป็นภาพแต่ละชาติของเรา แต่ความที่ว่ามันไวมากๆ มันเหมือนเราวิ่งผ่านภาพเหล่านั้นด้วยความเร็วสูง ดูไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเกิดมาแล้วกี่ชาติ

ตัวสุขใจหายไป ไม่รู้หายไปไหน ระหว่างความสบายใจกับความสดชื่น เราว่าต่างกันนะ สบายใจมันจะมีสุขแฝงอยู่ แต่สดชื่นคือสดชื่นไม่มีสุขแฝงอยู่ อธิบายไม่ถูก เพราะถ้าสุขใจ มันต้องมีความอิ่มเอิบใจตามมา

นี่มันไม่ใช่แบบนั้น เหมือนเราเดินในทุ่งหญ้าแล้วสูดอากาศ สดชื่นแบบนั้นน่ะ

เวลากลวงๆเกิด แม้แต่ลมหายใจยังจับไม่ได้เลย กลวงไปหมดจริงๆ


เดี๋ยวนี้จิตไวมากๆ ในการเป็นสมาธิ แค่นั่งคิดอะไรบางอย่างก็เป็นสมาธิทันที

ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้เท่าไรนัก บางทีก็ถามตัวเองว่า ใจเราหายไปไหน ความรู้สึกเราหายไปไหน

บางครั้งมีกระทบว่าดูเหมือนจะเศร้า แต่ไม่ทันจะได้สะกดคำว่าเศร้า มันหายไปภายในพริบตา เราก็งงๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วมันหายไปได้ยังไง

ตกลงตอนนี้เราเป็นคนหรือเป็นอะไรสักอย่างกันแน่ บางครั้งเหมือนเรายังมีตัวตน แต่ส่วนมากรู้สึกเหมือนตัวเองนั้นไม่มี ไม่มีตัวตน


ความรู้สึกต่างๆมันหายไปไหน มันไปอยู่ตรงไหน แล้วความสดชื่นที่มีอยู่ตอนนี้มันดีตรงไหน ความรู้สึกแบบทั่วๆไปทำไมมันอยู่ไม่นาน มันมาแป๊บเดียว มันก็หายไปภายในพริบตา แล้วนี่คืออะไร แล้วควรทำยังไงกับตัวเอง สับสนมากๆเลยตอนนี้


เหมือนหุ่นยนต์ไซเบอร์ ที่เพียงแค่เลียนแบบคนเท่านั้นเอง บางครั้งมีจิตใจเหมือนคนเมื่อบางขณะเกิดการรับรู้

เช้านี้ ตื่นขึ้นมาด้วยความสับสน ถามตัวเองว่า ตัวตนเราหายไปไหน ความรู้สึกต่างๆที่เราเคยมีมันหายไปไหน มันมีเหลือไม่กี่ตัวที่เหลืออยู่ ฟุ้งจริงๆเลยเช้านี้

ลืมตาตื่นขึ้นมาก็คิดแล้ว เฮ้ย …. นี่มันตัวฉันคือใครกันแน่ ใจฉันหายไปไหน …. ครึ่งผีครึ่งคน ….


มีบางครั้งได้เป็นตัวของตัวเอง ดีใจซะไม่มี แว๊บเดียว ความดีใจหายไปแล้ว ทำไมหนอ … ให้แค่คิด ให้แค่พูด แต่ทำไมไม่ให้ความรู้สึกให้มันยาวนานขึ้นมาหน่อย

ทำเหมือนท่องขยาน ปากอ้าพะงาบๆ แต่ใจไม่มี …. ปากหัวเราะ แค่แว๊บเดียวกลายเป็นความว่างเปล่า มีอีกตัวคอยดูอยู่ มันอะไรกันแน่


จะต้องอยู่ในสภาวะแบบนี้อีกนานไม๊เนี่ย … เราได้แต่ดู ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรเลย ยังไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับสภาวะนี้เท่าไรนัก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
สมาธิก็เกิดแบบปกติอย่างต่อเนื่อง รู้ตัวตลอดเวลา สักพักกำลังของสมาธิเปลี่ยนไป แรกๆยังไม่คงที่ ขึ้นๆลง จำได้เกิดภวังค์จิต แต่ไม่ได้นับว่ากี่ครั้ง

เพราะทุกครั้งที่เกิดภวังค์จิต สมาธิจะมีกำลังแรงขึ้นกว่าเดิม โอภาสจะสว่างมากๆ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน

สมาธิเริ่มแรงขึ้นๆๆๆเรื่อยๆ โอภาสสว่างมากๆ สว่างไปหมด ความรู้สึกตอนนั้นบอกไม่ถูก เหมือนถูกดูดเข้าไปในอะไรสักอย่างมันสว่างมากๆ

รู้สึกเหมือนคนที่กำลังจะขาดใจ นี่เองกระมังอาการของคนที่กำลังจะขาดใจตาย มีภาพต่างๆผุดขึ้นมา เกิด-ดับๆๆๆ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร

ช่วงเสี้ยววินาทีสุดท้ายที่เรารู้สึกว่ามันจะขาดใจแล้ว คือมันรู้ แค่รู้ บอกไม่ถูก เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งเวลาไว้ ดังขึ้น กำลังของสมาธิลดลง หลุดออดมาจากสภาวะตรงนั้น

ดูสิ เสี้ยววินาทีสุดท้ายจริงๆ ก็ไม่เสียดายอะไรนะ มันรู้สึกเฉยๆ คือ แบบว่า ถ้าถึงเวลามันก็ผ่านไปได้เอง ถ้ายังไม่ถึงเวลามันก็ต้องมีเหตุน่ะแหละ

ตอนที่หลุดออกมาจากสภาวะนั้นใหม่ๆ ความรู้สึกที่รู้สึกตอนนั้นคือ ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างว่างเปล่าเสียจริงๆ เหมือนไม่มีอะไรเลย สมองกลวงๆ ไม่มีความคิด มันว่างไปหมด ความคิดสักนิดก็ไม่มี

ความรู้สึกต่างๆไม่มี ไม่ว่าจะความสุข ความอิ่มเอิบ ฯลฯ แม้แต่ร่างกายของตัวเองแท้ ยังรู้สึกเหมือนอะไรสักอย่าง ที่ไม่ใช่ร่างกาย เหมือนเราเพียงแค่อาศัยอยู่ประมาณนี้ …

เพิ่งรู้นะว่าความว่าง ว่างที่แท้จริงน่ะมันเป็นยังไง ขนาดหลุดออกมาแล้ว ไม่ได้เข้าไปเต็มตัว .. สติ นี่สำคัญมากๆเลยนะ ถ้าขาดสติเพียงนิดเดียว เป็นบ้าได้เลย เพราะตอนที่เกิดสภาวะตรงนั้น พลังของสมาธิมีกำลังแรงมากๆแบบที่เราไม่เคยเจอมาก่อนเลย


ก็รอดูตอนเช้าละกัน ว่าจะเป็นยังไง … ยังงงๆ กับสภาวะนั้นอยู่ เกี่ยวกับความว่าง มันว่างจริงๆนะ มันไม่มีอะไรเลย เหมือนไม่มีใคร ไม่มีอะไรทั้งสิ้น มันว่างไปหมด

ลืมตาตื่นขึ้นมา .. ความรู้แรกที่กระทบในจิตเรา เหมือนมันแปลกๆ อธิบายไม่ถูก … เหมือนใจไม่มีสลับกับมี แบบว่า ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี มันเหมือนอยู่ตรงกลางๆ เอ้อ … แปลกดีเรา ทำไมมันรู้สึกอะไรแบบนั้น สลับไปสลับมา กลับไปกลับมา

จะว่ารู้สึกก็ไม่ใช่ ไม่รู้สึกก็ไม่ใช่ จะว่าดีใจก็ไม่ใช่ จะว่าเฉยๆก็ไม่ใช่ คือว่า เหมือนจะดีใจแค่จิ๊ด จิ๊ดเดียงแบบน้อยมากๆ แล้วมันก็ดับ

นี่ก็แปลกอีก กระต่าย คือเราสงสัยตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว มันแค่จิ๊ดเดียวเหมือนกันแล้วมันก็ดับ คำว่า กอดน่ะ มันไม่มีแล้วจริงๆหรือ เจ้าความรู้สึกนั้นนะ


ลองกอดดู นี่ก็แปลกอีก พอจับกระต่ายขึ้นมา เหมือนเราจับอะไรบางอย่าง ไม่ใช่จับกระต่าย แต่เป็นแค่อะไรบางอย่าง พอเราลองเอามากอดดู ทุกทีถ้าเรากอดมัน เราจะรู้สึกเคลิ้มๆเหมือนจะหลับ นี่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย

มันแค่รู้สึกว่า กอดอะไรอย่างหนึ่ง สมองเราเพี้ยนไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ แค่รู้ว่ามันแปลกๆ .. เดี๋ยวดูว่าวันนี้จะเป็นยังไง แล้วก็เมื่อคืนเรามีอาการปวดหัวมากๆ เหมือนหัวเราจะระเบิด

คืนนี้ไม่ได้ปฏิบัติ หลับสนิท เพราะมันรู้สึกแปลกๆ มันบอกไม่ถูก รู้แต่ว่า มีความกลัวกับความเฉยๆมันสลับกัน

มันบอกไม่ถูก รู้แต่ว่า มีความกลัวกับความเฉยๆมันสลับกัน คือ เหมือนจะจำสภาวะตรงนั้นได้ จำได้ว่าเรากลัว กลัวมากๆ กลัวตอนช่วงที่มีความรู้สึกว่าถูกดูดเข้าไป สมาธิตอนนั้นแรงมากๆ เหมือนลมบ้าหมู บอกไม่ถูก

แต่ตอนที่ว่ากลัวมากๆ แต่มันกลับมามีสติ สัมปชัญญะรู้ตัวดี เรารู้แล้ว ที่เราคิดว่า เรากำลังจะตายมาหลายวันนี่คืออะไร เจอสภาวะเมื่อวานนี้ถึงได้เข้าใจ นี่เราเหมือนตายไปแล้วแค่ครึ่งชีวิต แล้วหลุดออกมาได้


ใช่ตอนที่เรากลัวมากๆ คือเราคิดว่าเรากำลังจะตาย แล้วภาพต่างๆก็ผุดขึ้นมา เกิด-ดับ เร็วมากๆ จับไม่ได้ ว่าคือภาพอะไร รู้แต่ว่าช่วงนั้นใจมันจะขาด แว่บแรกคือกลัวตาย แต่ก็มีสติบอกว่า ตายเป็นตาย ถ้าตายไปตอนนี้มันก็คุ้ม

เพราะรู้ว่าจะไปเกิดที่ไหน เลยปล่อยเลย อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้เกิด มันเลยกลายเป็นแค่รู้ แค่รู้อย่างเดียว ช่วงวินาทีสุดท้าย ที่กำลังถูกดูดเข้าไปเต็มตัว เสียงนาฬิกาที่ตั้งไว้ดังขึ้น เรารู้สึกว่าหลุดออกมาเลย กำลังของสมาธิผ่อนแรงลง จิตนี่มันชั่งมหัศจรรย์จริงๆ เหมือนอีกมิติหนึ่งที่ซ่อนอยู่

นี่ลองทานข้าว ว่ายังรู้รสชาติเหมือนเดิมไม๊ ยังคงรู้รสชาติอาหารเหมือนเดิม
แต่ใจนี่สิที่เปลี่ยนไป แปลกๆในตัวเองบอกไม่ถูกแฮะ …

ไม่เป็นไร ไม่หาคำตอบ เดี๋ยวได้คำตอบเอง ปฏิบัติไปก่อน
เหมือนมีชีวิตใหม่เลยแฮะ เหมือนไม่ใช่เราที่เคยเป็นเรา ไม่ใช่เรา อธิบายไม่ถูก …

ตอนนี้เราเหมือนคนที่ได้เกิดใหม่อีกครั้ง ถึงแม้จะยังไม่สมบูรณ์ 100% ก็ตาม

นี่ จิตกำลังยิ้ม คือ ยิ้มเมื่อตากระทบหลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง ไม่มีความดีใจ ไม่มีความสุขใจ แค่รู้ว่า ยิ้ม ..

ในตัว .. ตอนนี้ เหมือนมีสิ่งที่แสดงลักษณะ 3 ลักษณะด้วยกัน กลวงๆ หนา และเรา .. มันจะสลับกันอยู่ตลอดเวลา ..

เวลากลวงๆเกิดขึ้น เราจะรู้แค่ว่า มันกลวงๆไปหมด กายที่เรียกว่ากาย มันก็กลวงๆ สมองกลวงๆ ลมหายใจจับไม่ได้ มันจะกลวงๆไปหมด

เราเห็นว่ากายนี้กลวง ลมหายใจไม่มี มันว่างไปหมด แต่ปากมันพูดขยับๆ จิตมันทำงานเอง แล้วเราดูอยู่ เรานี้ไม่มีตัวตน มันแค่รู้


เวลากลวงๆเกิด ไม่รู้ความรู้มาจากไหนมากมาย
ทั้งๆที่เรานั้นไม่เคยจะรู้เรื่องในสิ่งที่กำลังพูดอยู่เลย แม้แต่สักนิดเดียว

เวลาทุกสิ่งที่มากระทบ กระทบแล้วก็หายไป เหมือนหายไปในอากาศ

ยิ่งเวลาทำสมาธิด้วย จะมีแต่โอภาสที่สว่างเจิดจ้ามากๆ
เหมือนจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่มันยังไม่ถึงเวลาที่จะเกิดเท่านั้นเอง

ไม่มีเวทนา ไม่มีอะไรเลย สักแต่ว่ากลวงๆเท่านั้นเอง

แต่หูได้ยินเสียง รับรู้สิ่งภายนอกทั้งหมด แต่ไม่กระทบถึงภายใน

เวลากลวงๆเกิดขึ้น เราคิดว่า 5 นาที ที่ไหนได้ เป็นเวลาเกือบชม.

หรือถ้าไม่ได้ทำสมาธิ เวลาที่กลวงๆเกิดขึ้น กายนี้สักแต่ว่ากาย รู้แค่ว่าไอ้นั่น ไอ้นี่ขยับ

วันนี้เกือบไป เกิดกลวงๆขณะที่ขับมอไซค์ ไม่จอดรถนะ แต่ขับช้าลง แล้วดู ..

สิ่งๆรอบๆตัวเปลี่ยนไปในความรู้สึก เหมือนแค่รู้ ว่าอวัยวะต่างๆกำลังทำงานร่วมกัน
โดยไม่ต้องมีอะไรมากำกับว่าต้องทำอะไรบ้าง ทุกอย่างทำงานตามระบบของมันเอง

เกิดกลวงๆขึ้นชั่วขณะหนึ่ง แล้วถึงเกิดเราขึ้น เกิดหนาๆขึ้น สลับกันอยู่แบบนี้ จนถึงบ้าน

ตัวหนาๆ .. ตัวหนาๆนี่เป็นอีกแบบหนึ่ง อันนี้เริ่มมีความรู้สึกมากขึ้น แต่ยังไม่มีเราเข้ามาเกี่ยวข้อง เริ่มมีการรับรู้เวลาอะไรมากระทบ แต่มีผลถึงภายในเล็กน้อย แล้วก็ดับไป


เวลานั่งสมาธิ มดกัด เวลาเป็นกลวงๆ เป็นหนาๆ จะไม่รับรู้ พอเกิดมีเราขึ้นเมื่อไหร่ รู้ทันที ถ้าเกิดเรานานเมื่อไหร่ เริ่มทนไม่ได้ ทุกขเวทนา ..



เวลากลวงๆเกิดจะรู้ทันที สมาธิแรงมากๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นั่งสมาธิก็ตาม
หลับตาลงนี่ โอภาสสว่างมากๆ ช่วงนี้กำลังปรับตัว กำลังเรียนรู้สภาวะ ..
แต่ที่รู้ๆตอนนี้คือ จิตสว่างมากๆ ไม่ขุ่นมัวเหมือนเมื่อก่อน …


เช่นเดียวกับเวลาที่กลวงๆเกิด เวลาเราคุยกับใคร เราฟังเขารู้เรื่องแต่ไร้ความรู้สึก แบบว่าอธิบายไม่ถูก คือมันไม่รู้สึกอะไรเลย เพียงแต่เหมือนอะไรสักอย่างกำลังทำงานโดยอัตโนมัติ

เราควบคุมตัวเองไม่ได้ 3 สภาวะ เกิดๆดับๆ สลับกันอยู่ในตัวเรา เหมือนครึ่งผีครึ่งคน


ถ้าเราคุยเมื่อไร กลวงๆจะเกิดบ่อยมาก

ถ้าอยู่ตัวคนเดียว ตัวเราจะเกิด แต่เราจะปวดหัวตลอดเวลา นี่ก็ปวดอยู่ งงๆกับสภาวะของตัวเองเหลือเกิน

เวลากลวงๆเกิด ข้าวปลาอาหารนี่ไม่หิวเลย ไม่มีอิ่ม ไม่มีอะไรเลย อยู่ได้ทั้งวันโดยไม่ต้องทานอะไร แม้แต่น้ำก็ไม่หิว ปกติทานน้ำวันละ 2 ลิตรอย่างต่ำ มันไม่รู้สึกอะไร เหมือนไม่ใช่เรา ว่างเปล่าไปหมด


แล้วภาพที่เราบอกว่าเราเห็นแว๊บๆระหว่างที่ถูกดูดเข้าไปนั้น เป็นภาพแต่ละชาติของเรา แต่ความที่ว่ามันไวมากๆ มันเหมือนเราวิ่งผ่านภาพเหล่านั้นด้วยความเร็วสูง ดูไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเกิดมาแล้วกี่ชาติ

ตัวสุขใจหายไป ไม่รู้หายไปไหน ระหว่างความสบายใจกับความสดชื่น เราว่าต่างกันนะ สบายใจมันจะมีสุขแฝงอยู่ แต่สดชื่นคือสดชื่นไม่มีสุขแฝงอยู่ อธิบายไม่ถูก เพราะถ้าสุขใจ มันต้องมีความอิ่มเอิบใจตามมา

นี่มันไม่ใช่แบบนั้น เหมือนเราเดินในทุ่งหญ้าแล้วสูดอากาศ สดชื่นแบบนั้นน่ะ

เวลากลวงๆเกิด แม้แต่ลมหายใจยังจับไม่ได้เลย กลวงไปหมดจริงๆ


เดี๋ยวนี้จิตไวมากๆ ในการเป็นสมาธิ แค่นั่งคิดอะไรบางอย่างก็เป็นสมาธิทันที

ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้เท่าไรนัก บางทีก็ถามตัวเองว่า ใจเราหายไปไหน ความรู้สึกเราหายไปไหน

บางครั้งมีกระทบว่าดูเหมือนจะเศร้า แต่ไม่ทันจะได้สะกดคำว่าเศร้า มันหายไปภายในพริบตา เราก็งงๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วมันหายไปได้ยังไง

ตกลงตอนนี้เราเป็นคนหรือเป็นอะไรสักอย่างกันแน่ บางครั้งเหมือนเรายังมีตัวตน แต่ส่วนมากรู้สึกเหมือนตัวเองนั้นไม่มี ไม่มีตัวตน


ความรู้สึกต่างๆมันหายไปไหน มันไปอยู่ตรงไหน แล้วความสดชื่นที่มีอยู่ตอนนี้มันดีตรงไหน ความรู้สึกแบบทั่วๆไปทำไมมันอยู่ไม่นาน มันมาแป๊บเดียว มันก็หายไปภายในพริบตา แล้วนี่คืออะไร แล้วควรทำยังไงกับตัวเอง สับสนมากๆเลยตอนนี้


เหมือนหุ่นยนต์ไซเบอร์ ที่เพียงแค่เลียนแบบคนเท่านั้นเอง บางครั้งมีจิตใจเหมือนคนเมื่อบางขณะเกิดการรับรู้

เช้านี้ ตื่นขึ้นมาด้วยความสับสน ถามตัวเองว่า ตัวตนเราหายไปไหน ความรู้สึกต่างๆที่เราเคยมีมันหายไปไหน มันมีเหลือไม่กี่ตัวที่เหลืออยู่ ฟุ้งจริงๆเลยเช้านี้

ลืมตาตื่นขึ้นมาก็คิดแล้ว เฮ้ย …. นี่มันตัวฉันคือใครกันแน่ ใจฉันหายไปไหน …. ครึ่งผีครึ่งคน ….


มีบางครั้งได้เป็นตัวของตัวเอง ดีใจซะไม่มี แว๊บเดียว ความดีใจหายไปแล้ว ทำไมหนอ … ให้แค่คิด ให้แค่พูด แต่ทำไมไม่ให้ความรู้สึกให้มันยาวนานขึ้นมาหน่อย

ทำเหมือนท่องขยาน ปากอ้าพะงาบๆ แต่ใจไม่มี …. ปากหัวเราะ แค่แว๊บเดียวกลายเป็นความว่างเปล่า มีอีกตัวคอยดูอยู่ มันอะไรกันแน่


จะต้องอยู่ในสภาวะแบบนี้อีกนานไม๊เนี่ย … เราได้แต่ดู ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรเลย ยังไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับสภาวะนี้เท่าไรนัก
กลัวทำไมความตาย จะเป็นอรหันต์อยู่แล้ว ไปเลย :b12: :b12: :b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ ระหว่างเดินจงกรม เกิดเวทนาสุดๆ อยู่ๆมีอาการเหมือนกล้ามเนื้อหลังจะเป็นตะคริว มันเป็นกลุ่มเป็นก้อนๆขึ้นมา แต่ยังไม่ถึงขั้นตะคริว แว่บแรก …

ความคิดอันดับแรกที่เกิดก็คือ กลัวสุดๆ กลัวเป็นอัมพาต เพราะหลังนี่สำคัญมากๆ

หายใจยาวๆ กำหนดรู้หนอๆๆแล้วหยุดเดิน เปลี่ยนอารมณ์มาจับตรงเวทนาแทน ค่อยๆเอามือออกจากการที่จับไว้ตรงกระเบนเหน็บ หายใจยาวๆ กำหนดรู้ไปเรื่อยๆ เปลี่ยนเอามือมากุมไว้ข้างหน้า


แต่ยกมือขึ้นไม่ได้ หลังมันจะเป็นตะคริว ความรู้สึกยังกลัวอยู่แบบบอกไม่ถูก แต่ใจก็คิด ถ้าจะเป็นอะไรไปเพราะการปฏิบัติ ก็ให้มันเป็นไป ยังกำหนดรู้อยู่อย่างนั้น


หายใจยาวๆ ค่อยๆลองยกแขนมากุมไว้ข้างหน้า ยังหายใจยาวๆ ใช้สติจับอยู่ที่อาการทุกขณะ พอยกมือมากุมไว้ข้างหน้าได้แล้ว ก็เริ่มยกมือไปกุมไว้ข้างหลัง พอกุมมือได้ สักพัก มีอาการเหมือน แผ่นหลังมันแตกออกเป็นส่วนๆ

เหมือนกายมันแยกออกจากกัน มันดังเปรี๊ยะในความรู้สึก แล้วมันก็รู้สึกว่าในหัวสมองมันโล่งไปหมดเลย มันโล่งแบบบอกไม่ถูก ทั้งตัวนี่เบาไปหมด

แล้วพอมานั่งสมาธิต่อ แค่หย่อนตัวนั่งลง ยังไม่ทันจะหายใจเข้าเลย มันเข้าสู่สมาธิทันที ไม่ได้คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นมันคืออะไร เพียงแต่มองว่า เวทนาแต่ละครั้งนี่ มันช่างสุดๆจริงๆ


ครั้งที่ ๑ ที่จำได้คือ เวทนาที่เกิดตอนนั่งสมาธิ อันนี้เกิดที่ขา แต่ที่เหมือนกันคือมันหฤโหดสุดๆเหมือนๆกัน เหมือนกายมันระเบิดแยกออกจากกันเหมือนกัน แต่ตรงนี้พอมันแตกออกมา มันกลับมีตัวรู้เกิดขึ้น


ตั้งแต่ผ่านตรงนั้นมา พลังของสมาธิเปลี่ยนไป มันมีพลังมากๆ เหมือนเราพร้อมที่จะเกิดสมาธิได้ตลอดเวลา แค่กลืนน้ำลายก็จะเข้าสมาธิละ บอกไม่ถูก นี่ก็รู้สึกนะ มันหมุนติ้วๆอยู่ในตัว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร