วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 07:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร


พระธรรมเทศนา

โดย พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร
วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร


ปัจจุบันทุกวันนี้ก็เหมือนกัน รูปที่เป็นอยู่ เป็นของสกปรกทั้งนั้น ไม่ว่ารูปหญิง รูปชาย รูปพระ รูปฆราวาส เป็นเหมือนกันหมด เหตุใดมันจึงเป็นอย่างนั้น ของที่เราขบฉันรับประทานลงไปเป็นของเน่า ของเหม็น ของเสียทั้งนั้น ไม่ใช่ของดิบของดีอะไร เป็นต้มเป็นแกง เป็นผัดเป็นทอดต่างๆ ถ้าเราทิ้งเอาไว้ ของเหล่านั้นจะเน่า จะเหม็น จะเสีย อยู่ไปคืนสองคืนมีกลิ่นแล้ว นี่ร่างกายของเราที่เอาของเน่าของเหม็นมาบำรุงบำเรอ มันก็เป็นก้อนของเน่า ของเหม็นปฏิกูล ไม่ใช่ของสวยงามอะไร เพราะเหตุนั้น ในร่างกายของเราทั่วไป ไหลออกทางทวารใดก็มีแต่ของสกปรกเน่าเหม็น ไม่เป็นของดิบของดี ของหอมหวาน มีแต่ของเน่า เพียงแต่ลมออกมาเท่านั้น มันก็ยังมีกลิ่น แสดงว่ามันเน่าทั้งตัว มันเหม็นทั้งตัว ไม่มีอะไรที่จะดีวิเศษ

เวลาเราโกรธด่าว่าทุบตีเขา เราก็เป็นทุกข์ ทั้งๆ ที่จิตมุ่งอยากจะให้คนนั้นคนนี้เขาดี จึงดุด่าว่ากล่าว โกรธเขาถ้าเขาไม่ทำตาม แต่เราสอนเขาด้วยความโกรธในจิตในใจนั้นไม่เป็นผลประโยชน์ เหมือนกับเอาน้ำร้อนๆ ไปรดผัก แทนที่มันจะงอกงามขึ้น ไม่เป็นอย่างนั้น มันไหม้มันตายไปหมด เพราะน้ำที่เราไปรดมันร้อนฉันใด จิตใจของคนที่โกรธไปแนะสอนคนอื่น บอกคนอื่นด้วยความโกรธ จึงเป็นโทษเป็นทุกข์ เขาไม่ยินดีรับคำสอน

รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต


ในระหว่างการกล่าวธรรมปฏิสันถาร ในวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๐ ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองธมฺมวโร ได้เล่าให้ฟังว่า ท่านพระอาจารย์มั่นเคยสอนท่านว่า “หนังสือตัวเล็กๆ มันเรียนง่าย เรียนแล้วก็หลง เรียนตัวใหญ่ คือ เรียนกาย เรียนใจของตัวเอง ถ้าได้ตัวนี้ละ ไม่มีหลง” ท่านอาจารย์สิงห์ทองเล่าและกล่าวเน้นอีกด้วยว่า “จริงของท่าน ไม่รู้อันอื่น แต่ขอให้รู้ใจของตน”

“ไม่มีอันอื่น...ก็ขอให้มีอรรถ มีธรรมประจำตัว”

“มันประเสริฐ วิเศษอยู่แล้ว”

ไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มเติม...ไม่เห็นไม่รู้อะไรก็ไม่เป็นไร ขอให้เห็นให้เป็นในเรื่องของอรรถเรื่องของธรรมเท่านั้นเป็นดี เท่านั้นเป็นพอ ฯลฯ

หมากกระดานชีวิต

เราทุกคนที่ได้มานั่งร่วมวงกันอยู่เดี๋ยวนี้ เมื่อเสร็จจากงานกันแล้วก็จะต้องแยกย้ายกันไป กลับบ้านของตน และถ้ามองให้ลึกลงไปอีกก็จะรู้ว่า ต่างคนต่างก็จะต้องจากกันไปจริงๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไปตามทางกรรมของแต่ละคน แล้วแต่กรรมที่เราทำกันมา

มัจจุราช คือ ความตาย ไม่เคยเห็นแก่หน้าใคร เขาไม่มีการไว้หน้าไม่ว่าชาย ไม่ว่าหญิง เขาไม่ไว้หน้าทั้งนั้น จะติดขัดอะไรอยู่ เขาก็ไม่รับรู้ ลูกจะเล็กอยู่ก็ตาม พ่อแม่จะป่วยอยู่ ไม่มีคนคอยช่วยเลี้ยงดู เขาก็ไม่รับรู้เรื่องอย่างนี้เราเคยคิดคำนึงถึงกันไว้บ้างไหม ?

ควรพิจารณาเรื่องความตายให้เข้าใจว่า ต่อให้มีพรรคพวกมากมายเพียงใด มีเวทมนตร์คาถาดีสักเพียงไหน จะมียาดีสักเท่าใด จะบำบัดรักษาความเจ็บป่วยได้ ก็ชั่วกาลชั่วสมัย ระงับดับได้ก็ชั่วเวลาเป็นครั้งคราว และแล้วผลที่สุดก็ต้องตายเหมือนๆ กัน เรื่องหยูกเรื่องยาที่รักษาได้ ก็เมื่อมันยังไม่ถึงคราวถึงสมัยถึงกาลที่ควรตายเท่านั้น

ความตายจึงเป็นภัยอันตรายซึ่งไม่เป็นที่พึงปรารถนาของใครๆ แต่ก็ไม่มีใครที่จะมาแก้ไข ยกเลิกหรือหลีกเลี่ยงความตายเอาไว้ได้ ทุกคนจึงต้องตาย

บาปบุญที่ตนสะสมรวบรวมเอาไว้นั่นแหละ คือ เครื่องใช้สอยของตนที่จะติดตามไป แม้บาปบุญจะป้องกันความตายไว้ไม่ได้ แต่ทว่าบาปบุญนั้นจะเป็นกำลังเป็นเสบียงที่จะคอยติดสอยห้อยตามไปอำนวยทุกข์สุขให้เราในภพต่างๆ เมื่อตายไปแล้วก็จะต้องแสวงหาภพใหม่ชาติใหม่ หาที่อยู่ที่อาศัยที่ตนต้องการ แต่ความต้องการจะได้สมหมายนั้น ก็เพราะเหตุบุญกุศลที่ตนสร้างสมเอาไว้ คนที่ไม่มีบุญกุศล อยากจะไปเกิดในสถานที่ดีก็ไปไม่ได้

ถ้าเปรียบชีวิตเหมือนหมากกระดาน เมื่อตายแล้วก็ล้มกระดานชีวิตไปชีวิตหนึ่ง สิ่งของทรัพย์สมบัติทางโลกที่มีอยู่ก็ต้องกวาดลงกระดานไป แล้วเริ่มตั้งใหม่กันอีกครั้งในชาติใหม่ แบบแผนในการตั้งกระดานใหม่จะกำหนดด้วยเวรกรรม บาปบุญของแต่ละคน ไม่น้อยไปกว่านั้นและจะไม่เหนือไปกว่านั้นด้วย ดังนั้นก่อนจะมีการล้มกระดานชีวิตนี้ เราควรทำอะไรสำหรับการเตรียมตั้งหมากในกระดานชีวิตใหม่ของเราด้วย จงอย่าประมาทในชีวิตนี้ จงรีบทำความดี ละบาป ชำระใจของตนเองอยู่เสมอๆ เถิด

หมากกระดานเล่นแล้วก็ตั้งใหม่ ถ้าผู้เล่นมีความประสงค์อยากเล่นต่อ เช่นเดียวกับชีวิตเมื่อโลดแล่นไปจนตายแล้วก็เกิดใหม่ ตราบเท่าที่จิตยังติดยึดกับโลกียสมบัติทั้งหลายอยู่ จิตนี้ก็จะพาไปก่อชีวิตใหม่ไม่รู้จักจบสิ้น ในเกมหมากกระดานนั้นเมื่อผู้เล่นไม่ต้องการเล่นต่อไปอีกแล้ว คือ หมดความอยากแล้ว หมากกระดานก็จะถูกวางทิ้งเฉยอยู่อย่างนั้นเช่นเดียวกันกับชีวิตจิตที่หมดความติดยึดในสิ่งทั้งปวง ชีวิตร่างกายทั้งหลายก็จะสงบระงับ ไม่ต้องมาวนเวียนโลกโลกีย์นี้อีกเช่นกัน

หัดปฏิบัติ

ปฏิบัตินั้นก็หัดกันที่จิต ถ้าจิตเรามีธรรมในตัว ก็สามารถที่จะนำเอาสิ่งที่ตัวประสบพบเห็น เข้ามาสอนจิตใจของตัวเองได้ สามารถที่จะคิดพิจารณาในเรื่องในแง่ที่ตรงกันข้ามกับโลกที่เขาคิดกันได้ จะไปดูหนัง ฟังลิเกก็อาจเกิดสลดสมเพช แทนที่จะเพลิดเพลินไปกับเขา แต่กลับมาคิดดูเห็นความจริงอีกแง่ว่า คนที่เล่นอยู่นี้ที่เขาเพลิดเพลินอยู่ก็ดี คนที่ยืนชม นั่งชมกันอยู่นี้เป็นร้อย เป็นพันก็ดี คนเหล่านี้อีกไม่ถึงร้อยปี ก็จะตายหมด ไม่มีใครเหลือหลอ เราผู้ที่ดูอยู่นี่ก็ทำนองเดียวกัน ดังนั้น ที่ดูน่าเพลิดเพลินอยู่นี้มันไม่ใช่สิ่งที่น่ากำหนัดเพลิดเพลินแต่อย่างไรเลย

ความตายนั้นมีด้วยกันทุกคน ถ้าไม่คิดถึงความตาย มีแต่อยากได้อย่างเดียว มันก็ลุ่ม มันก็หลง ลืมเนื้อ ลืมตัวกันไป ใจทำกำเริบเสิบสาน ถ้าหากระลึกถึงความตายอยู่เสมอๆ ใจนั้นจะค่อยๆ คลายความลุ่มหลงต่างๆ คลายความกำหนัดยินดีในโลกลงได้

เหนื่อยจนตาย

ที่ไหนๆ ในโลก ไม่ว่าประเทศไทย หรือในต่างประเทศ จะพบว่ามีบ้านเรือนที่อยู่อาศัยที่หรูหราใหญ่โตสวยงามให้เห็นกันอยู่มากมาย และถ้าจะถามว่า จิตใจของบุคคลที่อยู่ที่อาศัยในบ้านเรือนที่สวยงามเหล่านั้น จะมีความเยือกเย็นเป็นสุขกว่าใจของคนอื่นๆ ที่มีฐานะต่ำกว่าเขาหรือไม่ ก็คงจะตอบได้ว่า ไม่แน่เสมอไป ทั้งนี้ก็คงเพราะว่าเรื่องของวัตถุนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดความสงบที่แท้จริงให้กับคนเราได้ วัตถุไม่ใช่สิ่งที่จะมาชำระล้างจิตใจของมนุษย์ได้ บ้านเรือนที่หรูหราจึงไม่ใช่เครื่องหมายที่จะบอกได้ว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นมีจิตใจสงบมากน้อยเพียงไร

สุข ทุกข์ อยู่ที่ใจ อยู่ที่ไหน ถ้าใจมันสงบระงับได้ มันก็เป็นสุขได้ ฉะนั้น การฝึกอบรมใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้าจิตใจมีแต่ความยึดถือหลงใหลในสิ่งต่างๆ อยู่อย่างถอนตัวไม่ขึ้น จิตใจก็จะมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ตลอดไป ที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเรื่องของกาย เรื่องของใจทำงานอะไรก็เพื่อกาย เพื่อใจ ทั้งนั้น วิ่งวุ่นกันอยู่ตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย ก็เพราะเรื่องของกายกับใจ คนเรามัวแต่วุ่นวายในงานต่างๆ ทั้งกลางวันกลางคืน โดยส่วนใหญ่ก็เป็นงานภายนอก งานสะสมสร้างฐานะของแต่ละบุคคลทั้งนั้น วุ่นวายจนนั่งไม่ติด เดินไม่ตรง หรือนอนไม่หลับกันไปก็มี เหล่านี้ก็เพราะความยึดถือนั่นแหละเป็นตัวการสำคัญ เช่น เกิดยึดถือว่า เราจะมีฐานะสู้เขาไม่ได้ ถ้าจะถามว่าสู้ใคร มันก็มีคนที่มีฐานะดีกว่าเราให้เปรียบเทียบเสมอนั่นแหละ

เมื่อไรจะรู้สึกว่าฐานะตัวดีพอที่จะหาความสุขกับมันได้จริงๆ บ้าง ใครมีความพอได้ คนนั้นก็จะมีความสุขได้ พอจริงก็สุขจริง พอได้มากก็สุขได้มาก หัดวางเสียบ้าง หัดวางเสียหน่อย ก่อนที่สังขารจะบังคับให้วางก่อนที่ความเฒ่าชรา และความตาย หรือโรคร้ายจะเป็นผู้บังคับให้วาง ถ้ายังไม่หัดวางจะเป็นผู้ที่เหนื่อยจนตาย แล้วก็ขนอะไรไปด้วยไม่ได้เลยในที่สุด

บนทางจงกรม

ท่านพระอาจารย์อุ่น (อุ่นหล้า) ฐิตธมฺโม ได้เมตตาเล่าไว้ในหนังสือประวัติย่อของพระอาจารย์สิงห์ทองว่า ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ถึง พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งเป็นพรรษาที่ ๙ ถึงพรรษาที่ ๑๑ ของท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านห้วยทราย ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร โดยมีท่านพระอาจารย์หลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เป็นผู้นำ

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองเคยเล่าให้ท่านพระอาจารย์อุ่น (อุ่นหล้า) ฟังว่า สมัยนั้นเหมือนกับว่าพระเณรในวัดนั้นจะไม่ค้างโลกกัน พอตื่นนอนขึ้นมา มองไปเห็นแต่แสงไฟ (แสงโคมตะเกียงที่จุดไว้) สว่างตามกุฏิของพระเณรอยู่เหมือนกับไม่นอนกัน

สำหรับท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ท่านก็เร่งความเพียรเต็มที่ จนทางจงกรมลึกเป็นร่อง ทำให้พระเณรต้องถมทางจงกรมให้บ่อยๆ ท่านเล่าว่าวันหนึ่งท่านเดินจงกรมอยู่ ระยะนั้นเป็นหน้าหนาว อากาศหนาวมาก ท่านต้องห่มผ้า ๓-๔ ผืน เดินจงกรม พอเดินไปๆ ดึกเข้า ท่านก็ง่วงนอนมากเพราะคราวนั้นท่านอดนอนมาได้สามคืนแล้ว เดินไปๆ ผ้าห่มผืนนอกสุดก็หลุดตกลงมาโดยไม่รู้ตัว พอเดินไปถึงหัวทางจงกรมแล้ววกหันกลับมา เห็นผ้าห่มของตัวเองก็ตกใจ นึกว่าเสือหรืออะไรหนอ ?... เพราะสมัยนั้น เสือยังมี...เดือนก็ไม่สว่างเท่าไร... ท่านจึงกระทืบเท้าดู มันก็นิ่ง... เอ๊ะ ! มันอะไรนา ?...เลยค่อยๆ ขยับเท้าเข้าไปๆ... ก้มดูใกล้ๆ แล้วเอาเท้าเขี่ยดู... ที่ไหนได้เป็นผ้าห่ม ท่านก็เลยหัวเราะขำอยู่คนเดียวพักใหญ่ เลยหายง่วง... ฯลฯ

“ประโยชน์อะไรกับทรัพย์สมบัติ ซึ่งเอาแต่เก็บไว้
ประโยชน์อะไรกับรี้พล ซึ่งไม่ใช้ต่อสู้ศัตรู
ประโยชน์อะไรกับพระคัมภีร์ ซึ่งละเลยไม่ใช้ท่องบ่น
ประโยชน์อะไรกับร่างกาย ซึ่งเจ้าของไม่รู้จักข่มใจจากความคิดชั่ว”


สติ

ธรรมที่ควรเจริญให้มีมากนั้น คือ สติ สตินี้ถึงมีมากเท่าไรก็ไม่เป็นภัย สติมีมากเท่าไรยิ่งดี มีสติมากใจมันจะไว ใจมันจะทันเหตุการณ์ เพียงอะไรนิดอะไรหน่อยที่จิตคิดปรุงภายใน ใจมันก็รู้ สติจะทำให้ไว รู้คัดเลือกเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ เหมือนกับคนตาดี สิ่งไหนไม่ดีเขาเห็น เขาก็ไม่จับไม่ต้อง ไม่เอามา ส่วนคนตาบอด เมื่อมองไม่เห็น เมื่อเขาไม่รู้ เขาก็จับได้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ไฟก็ยังเหยียบ ยังจับได้ เพราะตาไม่เห็น คนตาดีเขาก็ต้องเว้น ไม่ไปเหยียบ ไม่ไปจับ ไม่ใช่แต่ไฟ ถึงหนามหรือสิ่งสกปรกอื่นๆ เขาก็เลี่ยง ไม่ไปเหยียบ ไม่ไปจับ

สติก็เช่นกัน ถ้าเรามีอยู่ในจิตในใจ จะทำ จะพูด จะคิด สิ่งใด ถ้าเรามีสติ สติจะพาเราเลี่ยงสิ่งที่เป็นภัย เป็นอันตรายทั้งหลาย เรื่องสติจะหาที่ไหน จะไปหาที่ไหนก็ไม่เจอ ถ้าหากไม่ดูที่ตัวของตัว ต้องฝึกต้องหัดให้รู้จักกำหนดพิจารณาดูอยู่ภายนอก อย่าไปดูที่อื่น สำคัญที่ต้องกำหนดรู้ ให้ดูรู้ เข้าใจตามความเป็นจริง รู้จักพิจารณาไตร่ตรองที่เรียกว่า มีสัมปชัญญะ มีปัญญา รู้จักทำความเข้าใจตามความเป็นจริง ความรู้นี้จะเป็นสุขก็ตาม จะเป็นทุกข์ก็ตาม เฉยๆ ก็ตาม มันรู้ ตื่นอยู่ หลับอยู่มันก็รู้ นี่คือเรื่องของจิต สำคัญที่จิตอย่าไปติดข้อง

สติไม่มีทางเจริญขึ้นมาได้ ถ้าหากเราไม่มีปัญญาสอนใจให้รู้จักพิจารณาแก้ไขใจของตัว ไม่ใช่ว่ามันจะโง่เง่าเขลาอยู่ตลอด ไม่ใช่ว่ามันจะติดข้องอยู่ร่ำไป เมื่อฝึกอบรมแล้ว เราก็จะรู้เอง มันไม่คลุกเคล้าเมาความชั่วเหมือนเดิม มันจะฉลาดว่องไวขึ้น เรื่องอย่างนี้ต้องฝึก แล้วจะเข้าใจไม่ต้องมีใครมารับรอง ไม่ต้องหาประกาศนียบัตร เรารู้เอง ตัดสินตัวเองได้ว่าเราก้าวหน้ามีสติสัมปชัญญะเจริญขึ้นมาเพียงใด แต่ก่อนเป็นอย่างไร ปฏิบัติมาแล้วเป็นอย่างไร ตลอดปัจจุบันมันเป็นอย่างไร ตรวจชำระเองได้เรื่อยตลอดไป เมื่อทำแล้วสติย่อมดีขึ้น ความประมาทเผลอเรอก็จะลดลง

อกาลิโก

ธรรมยังคงเป็นอกาลิโกจริง ธรรมยังคงเส้นคงวาไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ธรรมไม่ใช่สิ่งที่จะหมดไปตามกาลสมัย ไม่ใช่กาลเวลาล่วงไปแล้ว ใครจะพยายามปฏิบัติธรรมกันเท่าไร ก็จะไม่เห็นความสุข จะไม่พบความสบายปรากฏกับตน ผู้ใดประพฤติปฏิบัติจริงจังย่อมจะได้เห็นอานิสงส์ของการปฏิบัตินั้น ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น เสียงมาร เสียงกิเลสที่เคยคอยมากระซิบให้ยึดมั่นสำคัญผิดว่าธรรมหมดไปแล้ว ขณะนี้มรรคผลต่างๆ หมดไปแล้ว ก็จะไม่หลุดไม่ตกไปจากใจของผู้ปฏิบัติ และใจก็จะได้รับอิสระ หลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง

ทุกคนมีโอกาส มีเวลาฝึกจะปฏิบัติกันได้ อย่าได้ไปคิดว่าธรรมหมดยุค หมดเวลาแล้วที่จะมีคนไปเข้าใจได้ ธรรมมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร โลกนี้ก็เปิดเผยชัดอยู่แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีเวลาที่จะปิดบังใคร แต่ที่เหมือนปิดบังนั้น เพราะขาดผู้ปฏิบัติที่จริงจังต่างหาก ใจของเราไม่มีสติ ไม่มีปัญญาจึงลุ่มหลง ทั้งๆ ที่ธรรมต่างๆ สิ่งต่างๆ ยังคงมีอยู่ธรรมดาเป็นปกติ ทุกคนต่างก็อยากมีความสงบ ต่างก็อยากมีความเย็นใจ จงตั้งหน้าตั้งตาภาวนารักษาใจของตัว เมื่อใจเป็นอรรถเป็นธรรมจริงจังแล้ว เห็นอะไรก็จะเป็นอรรถเป็นธรรมไปหมด อยู่สถานที่ใด ก็เป็นอรรถเป็นธรรมในสถานที่นั้น เป็นสุคโตในเมื่อเวลาอยู่ เป็นสุคโตในเมื่อเวลาไป อยู่สถานที่ใดก็ไม่เป็นเวรเป็นภัยแก่ตัวของตัว และไม่เป็นเวรเป็นภัยแก่คนอื่นและสัตว์อื่นอยู่สถานที่ใด ก็จะเกิดเป็นสิริ เป็นมงคลในสถานที่นั้น

ธรรมเป็นสิ่งที่ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ธรรมคือของเก่า ผู้ปฏิบัติจริงก็ย่อมได้ผลเหมือนเก่า คือ ย่อมได้ความหลุดพ้นเป็นขั้นเป็นตอนไปตามลำดับของการปฏิบัติ สิ่งที่จะเห็น ที่จะเป็น ที่จะรู้นั้น ผู้ปฏิบัติย่อมได้พบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ เพราะคำสอนทั้งหลายของพระองค์ยังคงมีอยู่ ซึ่งก็เท่ากับได้ชื่อว่า พระศาสดานั้นยังคงอยู่ รีบๆ ปฏิบัติกัน ต้องพยายามฝึกกาย ฝึกใจกันไป ไม่ต้องไปมัวคอยอ้างกาล อ้างเวลา เมื่อเราได้ชำระความชั่วออก ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เราก็ยังมีทางที่จะบริสุทธิ์ได้ นี่คือทางแห่งปัญญา เป็นทางชำระใจ ทางแห่งความบริสุทธิ์นิรันดรกาล


ประวัติย่อและพระธรรมเทศนาของท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร
วัดป่าแก้วชุมพล บ้านชุมพล ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
เรียบเรียงโดย ท่านพระอาจารย์อุ่น (อุ่นหล้า) ฐิตธมฺโม
:b8:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=22237

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 57 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร