ในวัดมีพื้นที่กว้างขวางไม่น้อยมีเดียว และพอที่จะเดินชมสถาปัตยกรรมที่กล่าวกันว่าเป็นลูกครึ่งระหว่างพม่าและมอญได้

ถึงแม้จะมีความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม ศิลปะและภาษา แต่แน่นอนว่านักแสวงบุญผู้ได้มาเยือนเมืองท่าขี้เหล็กแห่งนี้ คงจะสัมผัสได้ถึงพลังแห่งศรัทธาที่มีต่อพระพุทธศาสนาของชาวพม่าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

เมื่อมองผ่านนัตย์ตา สิ่งต่างๆภายนอกล้วนมีความแตกต่างกันอยู่เสมอ แต่ในบวรพระพุทธศาสนาเมื่อทุกดวงใจเข้าถึงความสุขอันเกิดจากความสงบ นั่นคือความสุขเดียวกันที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้

ฉันออกจากวัดพระเจ้าระแฆ่งในเวลาตอนเที่ยงวัน มีเวลาล้นเหลือที่จะชื่นชมกับวิถีชมชนที่ตลาดท่าขี้เหล็กพร้อมกับซื้อของฝากเล็กๆน้อยๆ ก่อนจะพาตัวเองกลับสู่แผ่นดินเกิดอีกครั้ง...

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ

พระธาตุเหนือสุดแดนสยาม

ใครที่มาเยือนแม่สาย โดยมากจะไม่พลาดเดินชมตลาดท่าขี้เหล็ก ตลาดชายแดนที่มีของให้เลือกชิม เลือกช้อปกันอย่างจุใจ ด้วยความที่เป็นตลาดชายแดนไทยพม่า จึงมีของพื้นเมืองให้ซื้อกันหลากหลาย ทั้งสินค้าสัญชาติไทย สินค้าสัญชาติพม่า และสินค้าจากจีนแผ่นดินใหญ่

คำแนะนำคือ ให้กล้าต่อราคามากๆหน่อย ขายหรือไม่ ผู้ขายจะตัดสินใจเอง... ไม่มีใครว่ากัน อีกประการหากมีเวลาจำกัด อย่ามัวแต่เดินเพลินเพราะขึ้นชื่อว่า “ตลาด” ใครไหนเลยจะทำใจก้าวเท้าออกมาได้ง่ายๆ

ห่างจากชายแดนฝั่งไทยแค่ ๕๐๐ เมตรมีพุทธสถานซึ่งใครพลาดถือว่าช่างน่าเสียดายเป็นที่สุด เพราะวัดแห่งนี้นอกจากจะถือได้ว่ามี พระธาตุอันประดิษฐานอยู่เหนือสุดของประเทศแล้ว ยังเป็นจุดชมวิวเมืองแม่สายที่ไม่น่าพลาดอีกแห่งหนึ่ง

วัดนี้ชื่อ"วัดพระธาตุดอยเวา" อันเป็นวัดบนดอยขนาดย่อมๆที่ประดิษฐานพระธาตุดอยเวาพระบรมธาตุที่เก่าแก่องค์หนึ่งรองลงจากพระบรมธาตุดอยตุง

คำว่า”เวา”แปลว่า แมงป่องช้าง เมื่อขึ้นไปกราบนมัสการพระธาตุจึงมีสัญลักษณ์เป็นรูปแมงเวาขนาดใหญ่ น่าตื่นตกใจ

รอบๆพระเจดีย์ถึงแม้จะรายล้อมไปด้วยอาคาร หอชมเมืองที่ประยุกต์เป็นหอนิทรรศการทางพระพุทธศาสนา รวมถึงรูปปั้นแมงเวา สร้างตามสถาปัตยกรรมยุคใหม่ มีเพียงพระธาตุเจดีย์เท่านั้นที่ยังคงอนุรักษ์และบูรณะตามรูปแบบเดิมซึ่งเป็นศิลปะล้านนาที่ยังคงดูเข้มขลัง

เมื่อขึ้นบนหอชมเมืองบนดอยเวา ก็มองเห็นแผ่นดินทั้งสองแนบชิดสนิทกัน บ้านเมืองเรียงรายแน่นขนัดเมื่อถูกมองจากมุมสูง พระธาตุดอยเวาประดิษฐานนิ่งสงบอยู่บนบนยอดดอย ณ แผ่นดินบริเวณเหนือสุดของสยามประเทศ คล้ายจะทรงแผ่ข่ายพระญาณ ปกป้องคุ้มครอง ผองพุทธศาสนิกชนทั้งแผ่นดินสอง สืบเนื่องไปชั่วกาลนาน

โปรดติตตามพระธาตุ ๙ จอมในเชียงราย และข้ามโขงไปทำบุญประเทศลาวด้วยกันวันพรุ่งนี้ค่ะ

พระธาตุจอมแจ้ง

ชื่อ"พระธาตุจอมแจ้ง"จึงเป็นชื่อที่ผู้เขียนเชื่อว่า เป็นชื่อที่เป็นมงคลอันสูงสุดในโลก
รู้แจ้ง รู้อย่างแจ่มแจ้ง รู้ชัดเจน คือ"ตรัสรู้"ซึ่งใช้เป็นคำเฉพาะสำหรับพระพุทธเจ้า "ตรัสรู้" ของพระพุทธเจ้า คือตรัสรู้ ญาณ ๓ ได้แก่

๑.บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในอดีตได้ คือระลึกชาติได้
๒.จุตูปปาตญาณ ความรู้ในจุติและอุบัติเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เรียก ทิพพจักขุญาณ หรือ ทิพยจักษุญาณ บ้าง
๓.อาสวักขยญาณ ความรู้ในการกำจัดอาสวกิเสส

หรือรู้แจ้งอริยสัจ ๔

วัดพระธาตุจอมแจ้งตั้งอยู่บริเวณเดียวกันกับพระธาตุจอมกิตติบนเขาขนาดย่อมๆ ณ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน (อยู่ถนนเลียบแม่น้ำเชียงแสน - เชียงของ)

ลักษณะเป็นพระธาตุเก่าแก่ตั้งอยู่ริมเนินซึ่งด้านหลังมองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างได้อย่างเด่นชัด สถานที่ร่มรื่น แทบจะไร้การปรุงแต่งจากร้านค้า สิ่งก่อสร้างนอกเหนือจากศาสนสถาน หรือสิ่งรบกวนใดๆ เมื่อได้ขึ้นไปจึงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศความสงบร่มเย็นและร่องรอยแห่งอดีต

ประพรมสักการะองค์พระธาตุด้วยน้ำอบชั้นดีเยี่ยม แล้วจึงเดินประทักษิณน้อมถวาย ด้วยบรรยากาศยามเช้าซึ่งไร้ผู้คน มีแต่เพียงสายลมหนาว ช่างเป็นความสุขใจยิ่งนัก

ด้านหลังเป็นพระอุโบสถหลังงามมากอีกแห่งหนึ่งของประเทศเนื่องจากมีภูมิทัศน์อันสวยงามและมีความสงบจนสัมผัสได้

พระธาตจอมแจ้งแห่งดอยกิตติตั้งอยู่บริเวณเดียวกันกับพระธาตุดอยกิตติ มีชื่อที่เป็นมงคลอย่างสูงสุด ทั้งมีความสงบเพราะเชื่อว่าพระธาตุแห่งนี้คงจะได้รับการรักษาให้คงสภาพแบบโบราณไว้ให้มากที่สุด เมื่อได้ไปสักการะ จึงรู้สึกสัมผัสได้ถึงความร่มเย็น จนกระทั่งรู้สึกอยากให้ทุกๆวัดในประเทศไทยมีบรรยากาศเช่นวัดแห่งนี้

ออกจากพระธาตุจอมแจ้งเดินไปอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงพระธาตุจอมกิตติ..ฉันก้มกราบนมัสการองค์พระธาตุด้วยความเลื่อมใสอย่างสูงล้นอีกครั้ง กราบขอพรให้มีโอกาสได้รับบารมีแห่งความรู้แจ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเดินออกไปด้วยใจที่เป็นสุข...

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ