วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 17:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2011, 10:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มิ.ย. 2011, 20:18
โพสต์: 90


 ข้อมูลส่วนตัว


ตามคำสอนของท่านพุทธทาส คำว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน แตกต่างจากที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันอย่างไร

มีเดียรถีย์ไซเบอร์ คนหนึ่งกล่าวว่าพุทธเจ้าไม่ได้ก่อตั้งศาสนา พุทธศาสนาไม่สอนให้เชื่อเรื่องอดีต อนาคต สอนให้อยู่แต่ปัจจุบัน เช่น เมื่อเราทำความผิดหรือชั่วเอาไว้มาก จิตก็จะเกิดความร้อนใจอย่างยิ่ง ก็สมมติเรียกว่าตกนรก (จะอยู่ขุมไหนก็ตั้งเอาเอง) เมื่อหมดผลชั่วแล้วมาทำความดี จิตก็จะเกิดความสุขใจอิ่มใจอย่างยิ่งขึ้นมาทันที ก็สมมติเรียกว่าเป็นเทวดาที่อยู่อยู่สวรรค์ (จะอยู่ชั้นไหนก็ตั้งเอาเอง) หรือเมื่อขลาดกลัว ก็เรียกว่าเกิดเป็นอสุรกาย หรือ ผี แต่พอเกิดความอยากได้สิ่งใดมาก แต่ก็ไม่ได้สมอยาก ก็เรียกว่าเป็นเปรต หรือเมื่อกำลังทำงานหนักเพื่อแลกความสุข ก็สมมติเรียกว่าเป็นคน แต่พอโง่อย่างที่ไม่สมควรจะโง่ ก็สมมติเรียกว่าเป็นสัตว์เดรฉาน หรือเมื่อกำลังอยู่ในสมาธิ ก็สมมติเรียกว่าเป็นพระพรหม (จะชั้นไหนก็ตั้งเอาเอง)

ซึ่งนี่คือการเวียนว่ายตาย-เกิดที่แท้จริงของพุทธศาสนา ซึ่งมีแต่ทุกข์ทั้งสิ้นไม่มากก็น้อย ที่เรียกว่า วัฎฎะสงสาร แต่พอจิตหยุดการเกิดเป็นอะไรๆ ก็เรียกว่า นิพพาน คือสงบเย็นหรือไม่มีทุกข์ ที่เรียกว่า หยุดการเวียนว่ายตาย-เกิด

ส่วนเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกายนั้น เป็นคำสอนของพราหมณ์เขา ที่ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนพุทธศาสนามาช้านานแล้ว ซึ่งก็จัดว่าเป็นคำสอนระดับศีลธรรมของพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่ใช่คำสอนระดับสูงหรือระดับโลกกุตตรของพุทธศาสนาเลย

จึงขอให้ชาวพุทธเข้าใจเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดที่แท้จริงของพุทธศาสนานี้ให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2011, 10:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
[๑๒๑๓] ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนปุยนุ่นหรือปุยฝ้าย ซึ่งเป็นเชื้อธาตุที่เบา ย่อม
ลอยจากแผ่นดินขึ้นสู่อากาศได้โดยไม่ยากเลย ฉันใด สมัยใด ตถาคตตั้งกายลงไว้ในจิต หรือ
ตั้งจิตลงไว้ที่กาย ก้าวลงสู่สุขสัญญาและลหุสัญญาอยู่ สมัยนั้น กายของตถาคตย่อมลอยจาก
แผ่นดินขึ้นสู่อากาศได้โดยไม่ยากเลย ฉันนั้นเหมือนกัน ฯลฯ
[๑๒๑๔] ดูกรอานนท์ สมัยนั้น กายของตถาคตย่อมลอยจากแผ่นดินขึ้นสู่อากาศได้
โดยไม่ยากเลย ตถาคตนั้นย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลาย
คนเป็นคนเดียวก็ได้ ฯลฯ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้.
จบ สูตรที่ ๒
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ บรรทัดที่ ๗๐๒๘ - ๗๐๖๕. หน้าที่ ๒๙๓ - ๒๙๔.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... =19&i=1208


ศึกษาต่อได้ตามลิงค์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2011, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ ไม่มี
สุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุ
ให้สติบริสุทธิ์อยู่ บุคคลนั้นพอใจ ชอบใจจตุตถฌานนั้น และถึงความปลื้มใจ
ด้วยจตุตถฌานนั้น ตั้งอยู่ในจตุตถฌานนั้น น้อมใจไปในจตุตถฌานนั้น อยู่จน
คุ้นด้วยจตุตถฌานนั้น ไม่เสื่อม เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย
ของเทวดาเหล่าเวหัปผละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๕๐๐ กัปเป็นประมาณอายุของ
เทวดาเหล่าเวหัปผละ ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นเวหัปผละนั้น ตราบเท่าตลอดอายุ ยัง
ประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิด
ดิรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง
ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาค ดำรงอยู่ในชั้นเวหัป-
*ผละนั้น ตราบเท่าตลอดอายุ
ยังประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไป
แล้ว ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความพิเศษผิด
แผกแตกต่างกัน ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ คือ ในเมื่อ
คติ อุบัติมีอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวก มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
จบสูตรที่ ๓
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ บรรทัดที่ ๓๔๕๑ - ๓๕๐๔. หน้าที่ ๑๔๘ - ๑๕๐.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=21&i=123


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2011, 14:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


บาป คือ เป็นผลมาจากการบำเพ็ญโลภะ โืทสะ โมหะ
บุญ คือ เป็นผลมาจากการขจัด โลภะ โืทสะ โมหะ
นรก คือ บำเพ็ญโลภะ โืทสะ โมหะ
สวรรค์ คือ ขจัดโลภะ โทสะ โมหะ ให้เบาบาง
นิพพาน คือ ไม่มี โลภะ โทสะ โมหะ ขจัดสิ้นหมด

onion onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2011, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


มีเดียรถีย์ไซเบอร์ คนหนึ่งกล่าวว่าพุทธเจ้าไม่ได้ก่อตั้งศาสนา ............ผิด

พุทธศาสนาไม่สอนให้เชื่อเรื่องอดีต อนาคต สอนให้อยู่แต่ปัจจุบัน .........ผิด

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2011, 21:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
[quote-tipitaka][๑๒๑๓] .......
ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้.
จบ สูตรที่ ๒


ชอบตรงนี้...
ใครว่าตำรากล่าวผิด..ก็ว่ามา :b32: :b32: :b32:

หรือจะว่าอุปมาอุปมัย..อีก :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร