วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2011, 00:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่างคนก็มีเหตุผลที่กินต่างกัน ลองมาดูมุมมองคนที่ไม่กินมองคนกินกันบ้าง

ไม่เห็นด้วยกับคนกลุ่มที่มีความคิดว่ากินเพราะ
-คิดว่ากินแล้วได้บุญ
-คิดว่ากินเนื้อสัตว์แล้วเป็นปาบทั้งหมด

เห็นด้วยกับคนกลุ่มที่มีความคิดว่ากินเพราะ
-เห็นเนื้อแล้วเกิดภาพสัตว์ตอนถูกฆ่าขึ้นมา เกิดความสงสารเลยไม่อยากกิน ไม่เกี่ยวกับปาบหรือบุญ
-กินเพราะเป็นความชอบส่วนตัว
-ถูกกับโรคประจำตัว
-สบายใจที่จะกิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2011, 02:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องกินเรื่องใหญ่ครับ เพราะกินอย่างคนมีความเห็น เห็นว่าเป็นการทำร้ายสัตว์ ทำให้เกิดโรคภัย เห็นว่าคนเราเป็นสัตว์กินเนื้อ ไม่กินก็ไม่ได้จะไม่มีแรง เห็นว่าได้บุญกว่าหากกินอาหารผ่านการทำพิธีทางศาสนา
แต่พระพุทธเจ้าท่านยกย่องคนกินที่กินอย่างไม่ประมาทคือกินอย่างพิจารณา เช่น พิจารณาแหล่งกำเหนิดของอาหาร อย่างหมูกินอยู่อย่างสกปรก เหยียบย่ำดินโคลน ก่อนเป็นอาหารต้องโดนฆ่าทำลายชีวิต มีการแล่เนื้อ มีใส้ พุง เลือด และของเหม็น ต้องเดินทางไกลจากมือสู่มือ จากตลาดสู่บ้าน ต้องสูญเสียกำลัง และเชื้อเพลิงประกอบอาหารกว่าจะมาอยู่บนโต๊ะกินข้าว แม้จะกินเจ ผักต่างๆล้วนมาจากดิน มีการให้ปุ๋ย มียาฆ่าแมลง มีการเปลี่ยนมือ จากมือหนึ่งสู่มือหนึ่ง มีการสูญเสียเวลาและพลังงานกว่าผักจะโต มีการสูญเสียเวลาหุงต้ม กว่าจะมาอยู่บนจานข้าว

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2011, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2008, 20:41
โพสต์: 448

ที่อยู่: bangkok, Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
เรื่องกินเรื่องใหญ่ครับ เพราะกินอย่างคนมีความเห็น เห็นว่าเป็นการทำร้ายสัตว์ ทำให้เกิดโรคภัย เห็นว่าคนเราเป็นสัตว์กินเนื้อ ไม่กินก็ไม่ได้จะไม่มีแรง เห็นว่าได้บุญกว่าหากกินอาหารผ่านการทำพิธีทางศาสนา
แต่พระพุทธเจ้าท่านยกย่องคนกินที่กินอย่างไม่ประมาทคือกินอย่างพิจารณา เช่น พิจารณาแหล่งกำเหนิดของอาหาร อย่างหมูกินอยู่อย่างสกปรก เหยียบย่ำดินโคลน ก่อนเป็นอาหารต้องโดนฆ่าทำลายชีวิต มีการแล่เนื้อ มีใส้ พุง เลือด และของเหม็น ต้องเดินทางไกลจากมือสู่มือ จากตลาดสู่บ้าน ต้องสูญเสียกำลัง และเชื้อเพลิงประกอบอาหารกว่าจะมาอยู่บนโต๊ะกินข้าว แม้จะกินเจ ผักต่างๆล้วนมาจากดิน มีการให้ปุ๋ย มียาฆ่าแมลง มีการเปลี่ยนมือ จากมือหนึ่งสู่มือหนึ่ง มีการสูญเสียเวลาและพลังงานกว่าผักจะโต มีการสูญเสียเวลาหุงต้ม กว่าจะมาอยู่บนจานข้าว


**********************

ทำไม จึงไม่ควรกิน เนื้อสัตว์?




ข้อคิดพิจารณาธรรม
ท่านพุทธทาสภิกขุแห่งสวนโมกข์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์?


เพราะเป็นการปฏิบัติเพื่อยึดเอาประโยชน์ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นทางก้าวหน้าของสัมมาปฏิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งได้ผลมาก โดยลงทุนทางวัตถุน้อยที่สุดแต่ให้ผลมากทางใจ
ประโยชน์ทางฝ่ายธรรม

ข้อที่ ๑ เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น

เพราะพวกพืชผัก เป็นของหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ ซึ่งมีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น นักกินผักย่อมไม่มีเวลาไปกระวนกระวายเพราะอาหารไม่ค่อยจะถูกปากถูกลิ้นนัก เลย ในขณะที่นักกินเนื้อมักต้องเลียบๆ เคียงๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งภัตตาหารเนื้อบ่อยๆ ญาติโยมเสียไม่ได้ในท่าทีก็พยายามหามาถวายศรัทธาญาติโยมที่มีใจเป็นกลาง เคยปรารภกับข้าพเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่า เขาสามารถจะเลี้ยงพระได้ถึง ๕๐ รูป โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย หากเป็นอาหารที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อกับปลา แต่ที่ผ่านมาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างมากๆ ไม่ใช่ว่าจะคิดว่า เนื้อมีราคาแพงกว่าผักแต่เป็นเพราะรู้ว่าสัตว์ถูกฆ่าตาย เพื่อการทำบุญเลี้ยงพระของเรามีอีกหลายคน ที่ทีแรกค้านว่าการทำอาหารมังสวิรัติวุ่นวายลำบาก แต่เมื่อได้ทดลองทำไป ๒-๓ ครั้ง กลับสารภาพว่าเป็นการง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องไปติดไฟเลยก็มี ตัณหาของนักกินผักกับกินเนื้อมีความแตกต่างกันอย่างไร จะกล่าวในข้อหลังเฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า
“คนกินเนื้อสัตว์ เพราะแพ้รสตัณหา
กินเพราะตัณหา ไม่ใช่เพราะเลี้ยงง่าย”

ข้อที่ ๒. เป็นการฝึกในส่วน “สัจธรรม”

คนเราห่างไกลจากความพ้นทุกข์ก็เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตัวเอง สัจจะในการกินผักนั้นเป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลินบริสุทธิ์ ได้ผลสูงเกินกว่าที่คนไม่เคยทดลองจะคาดถึง พืชผักเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง “ดวงธรรมแห่งสัจจะ”ในใจของเราให้สมบูรณ์แข็งแรงดังนั้นการฝึกกินผัก อาหารพืชผักจึงเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ที่ยอดเยี่ยมกว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่นๆ เพราะแบบฝึกหัดบางอย่างค่อนข้างง่าย แต่บางอย่างก็ยากเกินจะฝึกทำให้ไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุกๆวัน แต่เราผู้ปฏิบัติธรรมต้องฝึกทุกวันจึงจะได้ผลเร็ว เหตุฉะนี้การฝึกใจด้วยเรื่องอาหารอันเป็นสิ่งที่เราต้องบริโภคอยู่ทุกวันจึง เหมาะมาก อย่าลืมพระพุทธภาษิตที่มีใจความว่า
“สัจจะเป็นคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์”



ข้อที่ ๓.เป็นการฝึกในส่วน“ทมะ”ธรรม

“ทมะ” คือ การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ คนเราเป็นทุกข์เพราะตัณหาอันได้แก่ ความอยากที่ข่มใจไว้ไม่อยู่ มีข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อง่ายๆ เช่นข้าพเจ้าเคยเห็นชาวบ้านที่มาจากป่าดอนสูงๆ อุตสาห์หาบเอาพวกพืชผักลงมาแลกปลาแห้งๆ จากชาวบ้านแถบริมทะเลขึ้นไปกินทั้งๆ ที่ต้องเสียเวลาเป็นวันๆ ในขณะที่กลางบ้านของเขาก็มีอาหารพวกพืชผัก เผือก มัน ฟัก มะพร้าวฯลฯ อย่างอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังเป็นของสด สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้งๆ และขึ้นราที่พวกเขาสู้อุตส่าห์ลงมาหามหิ้วขึ้นไปเก็บไว้กินเป็นไหนๆดังนั้น… ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหาจักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม เหตุนี้การข่มจิตด้วยเรื่องอาหารการกินจึงเหมาะมาก เพราะจะมีการข่มได้ทุกวันการข่มจิตอยู่เสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์เช่น กัน

โปรดทราบ! ว่ามันเป็นการยากยิ่งที่คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหา โดยพยายามเลือกกินแต่ผักจากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อ และผักปนกันมาจงยึดเอาเกมกีฬาฝึกข่มจิต ที่เป็นเครื่องชนะตนอันนี้เถิดการเลี้ยงพระในงานต่างๆ ข้าพเจ้าเคยเห็นเคยได้ยินเสียงเอ็ดตะโร เรียกเอาแต่อาหารเนื้อส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะถูกเลือก กับเขา มิหนำซ้ำยังเหลือกลับไปอีก แมกระทั่งอาหารที่ปรุงระคนกันมาก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อคงเหลือแต่ผักติดจานกลับ ไป และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือควรรู้ไว้ด้วยว่าบรรดาพ่อครัวแม่ครัวและเจ้าภาพเขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำไป จึงปรุงอาหารเนื้อสัตว์เอาไว้ให้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายแขกเหรื่อชาวบ้าน และฝ่ายบรรพชิตทั้งหลายร่วมมือกัน “แบ่งอิทธิพล”

ข้อที่ ๔. เป็นการฝึกในส่วน “สันโดษ”

สันโดษ คือ ความพอใจเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ตามฐานะของตน โดยทั่วไปชีวิตของผู้ออกบวชย่อมดำรงอยู่ด้วยอาหารชั้นเลว ทว่าข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางรูป เว้นไม่ยอมรับอาหารจากคนจนเพราะเห็นว่าเลวเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ และถึงแม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยมีความสันโดษหรือถ่อมตนดังนั้น… การฝึกเป็นนักกินผัก กินอาหารอย่างง่ายๆ จะแก้ได้หมด “สันโดษเป็นทรัพย์อย่างเอกของบรรพชิต”

ข้อที่ ๕. เป็นการฝึกในส่วน “จาคะ”

จาคะ คือ การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบหรือความพ้นทุกข์ นักกินผักที่แท้จริงมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าที่จะมีใจนึกอยากในเรื่องจะบริโภคอาหารที่มีรสหลากหลาย เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไปกว่ากินเพื่ออย่าให้ตาย ซึ่งต่างไปจากเนื้อสัตว์ที่ยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ
ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิตความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ไม่มีดวงจิตของนักกินผักเลย ส่วนนักกินเนื้อนั้น ท่านจะทราบของท่านได้เองเป็นปัจจัตตัง เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่นๆ

ข้อที่ ๖. เป็นการฝึกในส่วน “ปัญญา”

ปัญญา คือ ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก การใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของการยึดมั่น และให้ใจละวางความยึดมั่นในการกินอาหาร แบบฝึกหัดที่ยากและเป็นก้าวที่ใหญ่ของการปฏิบัติธรรมเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกบริโภคอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์อันบังคับให้ท่าน ต้องใช้พิจารณาตัวเองอยู่เสมอทุกมื้อเพราะเนื้อทำให้หลงในรส ส่วนผักทำให้ยกใจขึ้นไป ซึ่งเหมาะแก่สันดานของสัตว์ผู้มีกิเลสย้อมใจจนจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาแต่เดิม ปัญญาของท่านต้องรู้อยู่เสมอว่า ไม่ใช่จะไปนิพพานได้เพราะกินผัก เป็นแต่การกินผักจะช่วยขัดเกลากิเลสทุกๆ วัน

แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นว่าฝ่ายที่จะช่วยขัดเกลาจิตใจต้องเป็น ผักความจริงอาจจะถือว่า ผักเป็นอาหารชั้นเลวหรือไม่ประณีตก็พอแล้ว แต่เมื่อมาพิจารณาใคร่ครวญให้ดีแล้วมันมาตรงกับอาหารผัก เพราะจะทำอย่างไร เนื้อก็เป็นของชวนกินเพียงแต่ต้มเฉย ๆ พอได้กลิ่นมันก็ยั่วตัณหาอยู่ดี!เพราะฉะนั้นฝ่ายที่จะปราบตัณหา จึงกลายเป็นเกียรติยศของผักไป อาหารผักเป็นอาหารที่ข่มตัณหาได้และมีแต่ความบริสุทธิ์จึงเหมาะสม สำหรับผู้ที่ระแวงภัย และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ

ผลดีในฝ่ายโลก อาหารผักมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายยิ่งกว่าเนื้อสัตว์หรือไม่? เรื่องนี้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็บอกแก่เราชัดแจ้งอยู่แล้วว่าอาหารผัก จะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังแข็งแรงโรคน้อย ดวงจิตสงบ ช่วยให้ความกระหาย ในความอยาก ความโกรธ ความมัวเมา บรรเทาลงเป็นอันมาก


แก้ไขล่าสุดโดย muntana เมื่อ 07 เม.ย. 2011, 19:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2011, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2008, 20:41
โพสต์: 448

ที่อยู่: bangkok, Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว




awful.jpg
awful.jpg [ 126.79 KiB | เปิดดู 6417 ครั้ง ]
ผมเลิกกินเนื้อสัตว์เพราะคลิปนี้ครับ อยากให้ดูและวัดใจตัวเองว่า

ยังมีความเมตตามากพอที่จะเห็นเป็นเรื่องธรรมดาหรือเปล่า


http://www.jozho.net/index.php?mo=5&qid=666547


http://www.peta.org/issues/animals-used ... hotos.aspx
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 02:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ ผมดูคริปไปแล้วแต่ไม่หมด สารภาพว่าเห็นแล้วเกิดความหดหู่ใจมากและเกิดความสงสารสัตว์เหล่านั้นที่เป็นเพื่อนร่วมโลกล้วนแล้วแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผมเข้าไปโพสกระทู้เกี่ยวกับน้องคนหนึ่งที่กินผักอย่างเดียวโดยที่แม่เป็นห่วงเพราะหลายสาเหตุ ผมยกย่องน้องคนนั้นมากที่มีจิตใจที่เมตตาต่อสัตว์ทั้งหลาย ทำไมหรือครับ เพราะน้องคนนั้นกินอย่างพิจารณา พิจารณาว่าเป็นการเบียดเบียนต่อสัตว์ พิจารณาว่าการเกิดเป็นทุกข์สัตว์โลกที่เกิดมาล้วนแล้วแต่เคยเกิดร่วมเป็นพ่อแม่พี่น้องกันมาก่อน จะกินเนื้อพ่อแม่พี่น้องลงหรือ แม้ว่าสุขภาพน้องเขาไม่ดีแต่น้องเขาก็ยอมรับสภาพของตนเอง ไม่หวังว่าจะต้องไปสวรรค์ หรือมีความสุขมากกว่าคนอื่นๆ หรือมีความแจ่มใสของดวงจิต มีสมาธิดีกว่า ปฏิบัติได้ผลเร็วกว่า แต่น้องเขามีจิตมุ่งหวังเพื่อการเลิกเบียดเบียนสัตว์นั่นเป็นจุดมุ่งหวังที่เกิดจากความเมตตา กระทู้เรื่องราวของน้องคนนี้อยู่ในบอร์ดเรานี่และลองหาดูนะครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2011, 03:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ประเด็นนี้ มีคนถกเถียงกันอย่างมากมายอยู่ทุกปี สามารถค้นดูข้อความเก่าๆได้ครับ

เรื่องกินเจไม่กินเจ ใครชอบอะไรก็ทำไปได้ คนเราต่างธาตุต่างศรัทธา
ไม่ต้องเอาเราไปเปรียบเขา เอาเขาไปเปรียบเรา
เราว่าดี ไม่เดือดร้อนใคร เราทำไป

แต่ไม่ใช่ว่าเอาความคิดความเชื่อของเรา
ไปเป็นเครื่องวัดว่าคนที่ไม่ทำ เป็นคนมีปัญหา
หรือไปเที่ยวต่อว่า ว่า การกินเนื้อสัตว์ เป็นปัญหา

พระพุทธเจ้าของเราก็ทรงฉันเนื้อสัตว์ แม้กระทั่งวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพ มื้อสุดท้ายก็ทรงฉันอาหารที่ทำจากหมู ถ้าการกินเนื้อสัตว์เป็นปัญหา ก็อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นหนึ่งในผู้ที่กินเนื้อสัตว์เป็นปกติ

เสือสิงห์ มันเกิดมาในภพของสัตว์ มันก็ต้องมีอาหารในแบบของมัน มันกินของสดของคาว เอาไปต้มไปย่าง มันไม่ชอบเท่าของสด

หนอนมันกินเมือกกินมูถเป้นอาหาร นั่นก้คืออาหารของหนอน จะไปเอาน้ำผึ้งให้มันกิน มันไม่เอา

เป็นเทวดา เขาอิ่มทิพย์ แต่เขาชอบของสวยของหอม จะให้มากินเหมือนมนุษย์ เขาก็ไม่เอา มันแสลงสำหรับเขา

เป็นคนก็เหมือนกัน คนเหนือกินอย่างนึง คนใต้กินอย่างหนึ่ง เด็กกินอย่างนึง ผู้ใหญ่กินอย่างนึง แล้วแต่กรรมตกแต่งให้เราเป็นคนประเภทไหน กินอะไรเป็นอาหาร

เราไม่ชอบกินเนื้อ เราพอใจจะไม่กินเนื้อ นั่นคือธาตุของเรา เราพอใจแบบนั้น มันก็จบตรงนั้น การพยามไปเที่ยวปรุงแต่งบีบคั้นให้คนกินเนื้อรู้สึกผิดบาปจนเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องควรทำ

คนจะกินไม่กิน ต้องเป็นศรัทธาที่เขาแตกออกมาจากใจเขาเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2011, 03:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


พระเทวทัตเสนอไม่ให้ฉัน เนื้อสัตว์ ใช่หรือเปล่า?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2011, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่ๆก็ไม่อยากทานเนื้อสัตว์เฉยๆขึ้นมาซะยังงั้น
เพราะไม่อยากทานเลยไม่ทาน

ไม่รู้สึกว่าต้องฝืนใจที่ไม่ทานเนื้อ
เพราะไม่อยากทานอยู่แล้ว
จึงไม่ต้องรู้สึกว่ากำลังฝืนใจตัวเองให้ลำบากลำบนอะไรกับการไม่ทาน

และไม่เห็นว่าจะเกี่ยวกับการได้บุญตรงไหนที่ไม่ทานเนื้อ
แต่พบว่า ใจเย็นขึ้นมาก และกายก็เย็นขึ้นมาก

ผักก็ดินน้ำไฟลม เนื้อทั้งหลายก็ดินน้ำไฟลม
ใครสะดวกอย่างไรก็ทานอย่างนั้น

พระพุทธองค์เพียงแต่ให้รอบรู้และฉลาดเท่าทัน
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นผักหรือเนื้อ ก็เกิดกิเลสได้เท่าๆกัน.......ถ้ารู้ไม่ทัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2011, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองไปอ่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ดู มีเรื่องที่หมอชีวกทูลถามพระพุทธเจ้าว่าการที่พระฉันเนื้อสัตว์โดยที่(น่าจะ)รู้อยู่แล้วว่าเขาฆ่าเพื่อที่จะมาถวายแก่พระภิกษุ ไปดูนะว่าพระพุทธองค์ตอบว่าอย่างไร
ลองหาอ่านดูนะครับ 75 อุบาสก พุทธสาวกในสมัยพุทธกาล ของธรรมะสภาครับ เล่มนี้เลยครับ
ส่วนปกดูได้จาก Link นี้ครับ
http://dbook2.tarad.com/product.detail.php?id=2344918#


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 06:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้พกมาด้วย จากหนังสือ 75 อุบาสกพุทสาวกในสมัยพุทธกาล หน้า 75 (ยาวหน่อยนะ หรือคนพิมพ์พิมพ์ช้าก็ไม่รู)
อ่านด้วยกันแล้ววิเคราะห์ด้วยกันนะ
สมัยหนึ่งหมอชีวกสูตรว่าด้วยเรื่องการฉันเนื้อสัตว์
สมันหนึ่ง ชีวกโกมารภัจจ์เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่อัมพวัน ถวายบังคมแล้วนั่งกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ" ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังมาว่า คนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงเพื่อถงายพระสมณโคดม ทั้งๆที่พระสมณโคดมทราบเช่นนั้นแล้ว ยังเสวยเนื้อที่เขาฆ่าเฉพาะตน อาศัยตนทำ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญคนเหล่านั้น พูดตรงกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไม่ได้กล่าวตู่พระองค์ด้วยถ้อยคำอันไม่เป็นจริง ชื่อว่ายืนยันธรรมอันสมควรแก่ธรรม การกล่าวและกล่าวตามที่ชอบธรรมจะไม่ถึงข้อติเตียนล่ะหรือ?(คือพวกเขากล่าวตามที่ตรัสไว้ว่าควรบริโภคเนื้อที่บริสุทธิ์ ๓ ส่วนล่ะหรือ?)
ตรัสตอบปฏิเสธว่า คนเหล่านั้นกล่าวไม่ตรงกับที่พระองค์ตรัสไว้เรียกว่าเขากล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง เพราะได้ตรัสไว้ว่า เนื้อที่ไม่ควรบริโภคต้องประกอบไปด้วยเหตุ ๓ ประการ(เรียกว่าเนื้อที่เป็นอกัปปิยะ) คือ
๑.เนื้อที่ตนเห็น คือ มีการเห็นด้วยตาว่าผู้อื่นฆ่ามาเพื่อทำเป็นอาหารถวายเรา
๒.เนื้อที่ได้ยิน คือ มีการฟังเสียงด้วยหูว่าผู้อื่นฆ่าและนำเนื้อนั้นมาถวายเรา
๓.เนื้อที่ตนรังเกียจ คือ มิได้เห็นด้วยตาหรือได้ยินด้วยหู แต่เกิดความสงสัยว่าเขา อาจจะฆ่าแล้วทำมาเป็นอาหารถวายเรา
ส่วนเนื้อที่ควรบริโภคต้องประกอบด้วยเหตุ ๓ ประการ (เรียกว่าเนื้อกัปปิยะ)ซึ่งตรงข้ามกันคือ
๑.เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น ๒.เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน ๓.เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ
.....................................................................................................
.....................................................................................................

ลักษณะการฉันอาหารไม่มีโทษ
แล้วทรงแสดงวิธีแผ่เมตตา(เมตตาอัปปมัญญา)ของภิกษุทั้งหลาย เพื่อความไม่เบียดเบียนไม่ได้รับโทษจากการฉันเนื้อว่า
ภิกษุในธรรมวินัย อาศัยอยู่ในเขตบ้านหรือที่ใดก็ตาม เธอก็มีใจประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปตลอด ๔ ทิศ พร้อมทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ไปในสัตว์ทุกเหล่า โดยมีตนทั่วไปในที่ทุกสถาน(คือมีตัวเราเองเป็นเครื่องเปรียบเทียบว่าเรารักตนเองฉันใด คนอื่นสัตว์อื่นก็รักตนฉันนั้น)ด้วยใจประกอบ ด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่(มีกำลังเมตตามาก)หาประมาณไม่ได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดอยู่
มีคฤหบดีหรือลูกคฤหบดีเข้าไปหาภิกษุนั้น แล้วนิมนต์เพื่อให้ฉันอาหารในวันรุ่งขึ้นหากภิกษุต้องการก็รับนิมนต์นั้นได้
เวลาเช้าภิกษุนั้นไปยังบ้านที่เขานิมนต์ เขาเลี้ยงดูด้วยบิณฑบาตอันประณีต เธอไม่ได้มีความคิดว่าอยากให้คฤหบดีหรือลูกปฏิบัติเลี้ยงดูเช่นนี้ต่อไปทุกๆวัน เธอไม่ได้กำหนัด ไม่สยบ ไม่รีบกลืนบาตร เธอรู้โทษ มีปัญญาใคร่ครวญ ไม่เป็นทาสอาหาร
ภิกษุเช่นนั้นไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น หรือไม่เบียดเบียนทั้งสองฝ่าย ภิกษุเช่นนี้ชื่อว่าฉันอาหารไม่มีโทษ
หมอชีวกทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังมาว่า พรหมปกติอยู่ด้วยเมตตา คำนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นองค์พยานแล้ว เพราะพระองค์ทรงปกติอยุ่ด้วยเมตตา"
ตรัสตอบว่าชีวก บุคคลยังมีความพยาบาท เพราะยังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่ แต่ราคะ โทสะ โมหะนั้น พระตถาคตละแล้ว ประดุจตาลยอดด้วน มีอันไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดาถ้าท่านยกย่องเราว่าเป็นพรหม เพราะเราละราคะ โทสะ โมหะแล้ว เราอนุญาตให้ท่านกล่าวเช่นนั่นได้
หมอชีวกกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ากล่าวหมายถึงการละ ราคะ โทสะ โมหะ นั่นแหละ"

แม้ภิกษุมีใจประกอบด้วย กรุ มุทิตา อุเบกขา ก็มีการแผ่ไปเหมือนกับการแผ่เมตตานั้น ก็ชื่อว่าผู้ไม่คิดเบียดเบียนตนหรือเบียดเบียนผู้อื่นเช่นกัน

ทรงแสดงโทษของการฆ่าสัตว์ ๕ ประการ
จากนั้น ตรัสโทษของการฆ่าสัตว์เพื่อถวายพระตถาคต หรือจะถวายใครก็ตามย่อมประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญเป็นอันมากเช่นเดียวกัน คือ
๑.ประสบบาปตั้งแต่วาจาสั่งให้เขาไปนำสัตว์นั้นมา
๒.สัตว์ซึ่งถูกผูกคอนำมา ย่อมทุกข์โทมนัส
๓.ประสบบาปเมื่อสั่งวาจาให้ฆ่า (หรือฆ่าด้วยเองก็บาป)
๔.เมื่อสัตว์กำลังถูกฆ่าย่อมทุกข์ทรมาน
๕.เมื่อถวายหมายให้พระตถาคต หรือสาวกของตถาคต ยินดีในเนื้ออกัปปิยะนั้น ก็ย่อมประสบบาปไม่ใช่บุญ
..................................................................................................................................................................................................................................................................

มันก็ไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงสักเท่าไหร่หรอก มันก็อ้อมไปอ้อมมา
ในส่วนความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ขออนุญาตเล่าอะไรเล็กน้อย (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านครับ)
มีครั้งหนึ่งหลังจากปฏิบัติธรรมเสร็จ(อายุราวๆ 17-19 ปี)พี่สาวก็มาถามว่ายังไม่อยากกินเนื้อสัตว์เลยอะ เราไม่กินเนื้อสัตว์สัก 1 อาทิตย์ดีไหม ก็เลยพากันไม่กินเนื้อสัตว์(แบบเขี่ย) 1 สัปดาห์ จากนั้นก็เกิดความเสียดายจึงพากันปฏิบัติต่อเลยไปเป็น 3 เดือน พี่สาวเขาบอกว่าพอแล้ว แต่ตัวผมยังเสียดายก็เลยกินต่อจนมาถึงทุกวันนี้(ตั้งแต่เข้าปี 1 ก็ไม่ได้กินแบบเขี่ยแต่กินแบบมังสวิรัติไปเลย) สรุปได้ว่าตอนนี้ผมก็ไม่ทานเนื้อสัตว์อยู่แล้วซึ่งบางครั้งมันก็อาจมองในคนละแง่มุมซึ่งผมต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วยครับ
ในความเห็นของผม จากสิ่งที่หมอชีวกทูลถามพระพุทธเจ้า ผมคิดว่าเราก็ทานได้นะ แต่ว่าการทานของเราต้องทานด้วยเมตตา
อย่ายินดีในการรับประทานเนื้อสัตว์ แผ่เมตตาขอบคุณให้กับเจ้าของกายเนื้อที่ทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ต่อได้ อย่าไปยินดีว่าเออเนื้อสัตว์นี้อร่อย ทีหลังจะกินเพิ่มอีกจาน สัตว์ก็เหมือนมนุษย์นี่แหละบางครั้งจิตยังยึดติดในสภาพเดิมๆ เวลาตายแล้วมีจิตขุ่นมัว อยู่ในโลภะ โทสะ โมหะ ก็มาเกิดใน(แถวๆ)กายเนื้อบ้างก็มี เขาก็มีความหวงในกายเนื้อเดิมของเขา บางครั้งก้มาในรูปแบบไวรัส แบคทีเรีย เจ้ากรรมนายเวร แบบนี้ก็มี(คิดว่านะ)ซึ่งก็ก่อให้เกิดความทุกข์แก่ผู้รับประทานแบบนี้ก็มี

อย่างที่บอกว่ามันคือความคิดเห็นของผม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ถ้าผมตีความผิดผมขอกราบขอขมาผู้อ่านทุกท่านด้วยครับ
ขอท่านผู้อ่านเจริญในธรรมที่ถูก ที่ควร สมควรแก่บารมีและปัญญาของทุกท่านทุกคนเทอญ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร