วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 02:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 260 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่ยอมรับมัน


ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ล้วนเกิดจากการคาดเดาทั้งสิ้น เหตุมี ผลย่อมมี ทุกข์หรือสุขล้วนเกิดจากอุปทานให้ค่าให้ความหมายต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

ไม่ว่าสภาวะอะไรเกิดขึ้นก็ตาม เราเพียงแค่ยอมรับมัน ยอมรับว่าเรามีความรู้สึกขณะนั้นๆอย่างไร ยอมรับไปตามนั้น หากสติยังไม่สามารถรู้เท่าทันต่อการปรุงแต่งของจิตได้ ใช้จินตามยปัญญาไปก่อน คือใช้ความคิดแทนไปก่อน

ให้คิดเสมอๆว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันก็แค่สภาวะเท่านั้นเอง เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ล้วนไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน สภาวะแปรเปลี่ยนตลอดเวลา เราถูกกิเลสเล่นปั่นหัวตลอดเวลา

เพียงเรามีสติ รู้อยู่กับปัจจุบัน ไม่หลงลงไปเล่นกับกองกิเลส เหตุใหม่ย่อมไม่มีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อเหตุใหม่ไม่มี ผลย่อมไม่มีอย่างแน่นนอน

ส่วนผลของเหตุเก่าที่มาแสดงเป็นเหตุใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ จบลงไปด้วยตัวสภาวะเอง ถ้าเราไม่หลงลงไปเล่นกับมัน

เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อสร้างภาพ สร้างเปลือกให้ดูดี ไม่ต้องไปตบแต่งสีสรร เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด จงเป็นตัวของตัวเอง กิเลสตัวไหนเกิด ยอมรับไปตามนั้น

คนเราโง่มาก่อนด้วยกันทั้งนั้นแหละ จะหาที่ว่าเกิดมาแล้วรู้ทันที มันหายากหรือง่ายไม่ต้องไปคาดเดา

เห็นกิเลสของตัวเองน่ะดีแล้ว จะได้ขัดเกลาจิต ถ้าไม่เห็นจะเอาที่ไหนไปขัดเกลา ก็โง่ต่อไป โง่พราะกิเลสบดบังดวงตาให้มืดบอด ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำมาทั้งนั้นนะ จะโง่ชั่วคราวหรือโง่ตลอดชีวิต สุดท้ายทุกคนหายโง่เหมือนๆกันหมด

ฉะนั้นจงอย่าไปว่ากัน อย่าไปว่านอกตัว แต่จงหมั่นว่าในตัวเอง หากยังหลงก่อเหตุออกไปตามใจกิเลสที่มีอยู่ นั่นแหละยังโง่กว่ากิเลส เจริญสติต่อไป สติมา ปัญญาเกิดเอง ไม่ต้องไปคาดหวังหรือหวังผลอะไรเลย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ต้องอยาก



สภาวะยิ่งละเอียดมากเท่าไหร่ ยิ่งเห็นสภาวะไม่ต้องอยากชัดเจน การปฏิบัติไม่ต้องไปอยากมี อยากได้ หรืออยากทำอะไรเลย

มีหน้าที่คือ ทำทุกวัน ทำต่อเนื่อง จะมากหรือน้อย ไม่ใช่ตัววัดผล แต่ขอให้ทำ เพราะเหตุของแต่ละคนสร้างมาแตกต่างกันไป สภาวะจึงมีรูปแบบหรือเหตุในการทำของแต่ละคนแตกต่างกันไป

อยากทำเพราะอะไร เพราะอยากมี อยากได้ อยากเป็น สารพัดของกิเลสที่เป็นคลื่นแทรกอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่จะมีสติรู้เท่าทันสภาวะไหมเท่านั้นเอง

ความอยากทำ มันแฝงไปด้วยความคาดหวัง ย่อมมีผลตอบกลับมาคือ สมหวังกับผิดหวัง ที่เกิดจากการให้ค่าต่อสภาวะที่เกิดขึ้น สุดท้าย พอไม่ได้ดั่งใจหรือไม่เป็นไปตามคาดหวัง ใครทุกข์ ตัวเรานั้นทุกข์ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย

พอได้ดั่งใจหรือสมดังที่คาดหวัง กิเลสมาหลอกให้ดีใจ สภาวะเปลี่ยนไปอีกแล้ว เพิ่งดีใจแหง่บๆ นี่ผิดหวังแล้วเพราะสภาวะเปลี่ยนไป ทุกอย่างไม่เที่ยงเลย ฉะนั้นจึงไปคาดเดาอะไรไม่ได้เลย

วันนี้ตรวจสอบตัวเองแล้วหรือยังว่า ได้ทำสิ่งที่เป็นมงคลสูงสุดให้แก่ชีวิตแล้วหรือยัง หรือแค่หายใจเข้า หายใจออกทิ้งไปวันๆ สนุกสนานเล่นกับเงากิเลสไปวันๆ

อันนี้ก็แล้วแต่เหตุของแต่ละคนว่าจะใช้อุบายในการรักษาจิตกันไว้อย่างไร ที่จะไม่ตกไปอบาย มีแต่เหตุที่มุ่งสละออกฝ่ายเดียว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: กำลังต้องการน้ำมันเติมวิริยะอยู่พอดี อนุโมทนาค่ะ อ.น้ำ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2011, 10:52
โพสต์: 256

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b47: :b8: :b8: :b47: :b20: :b20:

.....................................................
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร ไม่ต้อง อ้อนวอน ขอพร กะใคร ให้กวน
พรที่ ให้กัน ผันผวน เป็นเหมือน ลมหวน อวลไป อวลมา อย่าหลง
พรทำ ดีเอง มั่นคง วันคืน ยืนยง ซื่อตรง ต่อผู้ รู้ทำ
อยากรวย ด้วยพร เพียรบำ - เพ็ญบุญ กุศลนำ ให้ถูก ให้พอ ต่อตน
ทุกคน เกิดมา เป็นคน ชั่วดี มีจน เป็นผล แห่งกรรม ทำเอง
ถือธรรม เชื่อกรรม ยำเยง บาปชั่ว กลัวเกรง ทำแต่ กรรมดี ทวีพรฯ

ท่านพุทธทาสภิกขุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


จงมีความศรัทธา



จงมีความศรัทธา แต่อย่าขาดปัญญาในการพิจรณา ศรัทธาในสิ่งที่ควรศรัทธา เราสามารถสร้างได้ด้วยตัวของตัวเราเอง ไม่ใช่ไปสร้างที่นอกตัวแต่อย่างใด


สิ่งที่สร้างให้เกิดความศรัทธานอกตัวนั้น ล้วนสามารถก่อให้เกิดเหตุใหม่ได้ทั้งสิ้น แต่ศรัทธาที่เกิดภายในตัว ล้วนเป็นเหตุของการดับที่เหตุทั้งปวง

เราทำเพื่อที่จะดับ กิจใดๆก็ตามที่ทำแล้วมีแต่การสร้างไม่ใช่การดับ กิจนั้นๆล้วนเกิดจากผลของเหตุที่ทำไว้ทั้งสิ้น อดีตเราไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ที่แก้ได้คือ ปัจจุบัน


เราหมั่นสร้างเหตุปัจจุบัน เหตุของการดับที่เหตุทั้งปวง คือ ตัวเรา ของเรา สามารถสร้างได้ด้วยการเจริญสติ

ผลของการเจริญสติ จะทำให้เราสามารถอยู่กับปัจจุบันได้ทันมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออยู่กับปัจจุบันได้ทัน ย่อมเห็นตามความเป็นจริงของทุกๆสรรพสิ่งได้


เพราะเมื่อรู้ชัดทั่วสกลกายนี้ได้หมดจนสิ้นสงสัย ย่อมหมดสงสัยในสิ่งนอกตัว อะไร ทำไม อย่างไร ล้วนเกิดจากเหตุของสิ่งนั้นๆ เมื่อสิ่งนั้นยังมี สิ่งนี้จึงมี เป็นเรื่องธรรมดา


เมื่อเข้าใจถึงเหตุและผลตรงนี้ได้ ย่อมสิ้นสงสัย รู้ชัดภายในได้ ย่อมรู้ชัดภายนอกได้


รู้แค่ภายนอก แต่ไม่รู้ภายใน สิ่งที่ถูกรู้ล้วนแต่เป็นเรื่องของกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตทั้งนั้น มิใช่ตามความเป็นจริงแต่อย่างใดเลย มีแต่การคาดเดา มีแต่การให้ค่าตามอุปทานที่มีเหตุกับสิ่งนั้นๆ


เมื่อยังมีเหตุ ย่อมมีผลมาแสดงให้ได้รับ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดา เพราะความไม่รู้ตัวเดียวที่ยังมีอยู่ หากรู้แล้วจะไม่ทำอีกเลย จะไม่สร้างอีกเลย จะหยุดที่ตัวเองได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 10 มี.ค. 2011, 20:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ต้องดิ้นรน



สภาวะทุกๆสภาวะหรือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคนนั้น ล้วนเกิดจากเหตุหรือกรรม หรือการกระทำของแต่ละคนที่ทำมา ทั้งในอดีตและปัจจุบันที่กำลังทำอยู่

สิ่งเหล่านี้ ส่งผลให้ได้รับตามการะทำนั้นๆ ไม่ว่าจะทางกาย วาจา ใจ จะเจตนาหรือไม่เจตนา ล้วนส่งผลหมด ส่งผลมาให้ได้รับเป็นเหตุหรือสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตปัจจุบันของแต่ละคน

หากเราเข้าใจในเรื่องเหตุและผลของสภาวะเหล่านี้ได้ เราจะสิ้นสงสัยทั้งภายในกายและภายนอกกาย จะไม่มีความสงสัยใดๆอีกเลย

ที่ยังมีความสงสัยอยู่ เนื่องจากสิ่งที่ถูกรู้นั้น อาจจะสำเร็จด้วยการฟัง การอ่าน หรือจากความคิดที่คาดเดาเอาเอง แต่ไม่ใช่รู้ตามความเป็นจริงโดยตัวของสภาวะเอง

หากรู้ตามความเป็นจริงได้ จะสิ้นสงสัย และจะรู้อยู่ในกายและจิตของตัวเอง มากกว่าจะส่งจิตออกนอก แล่นไปตามผัสสะหรือกิเลสที่มากระทบ

เรื่องภายนอกที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นเหตุของสิ่งภายนอก เราไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ใครจะเป็นอะไร ยังไง ล้วนเกิดจากเหตุที่เขาทำหรือสร้างกันขึ้นมาเอง เหมือนดั่งเช่นเราในอดีต ที่หลงสร้างไปด้วยความไม่รู้

เราสามารถพูดหรืออธิบายให้ฟังได้ ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่ อันนั้นขึ้นอยู่กับเหตุที่ทำมาร่วมกัน หากเคยสร้างเหตุมาร่วมกัน ย่อมเชื่อกัน หากไม่ได้สร้างมาร่วมกัน ย่อมไม่มาเชื่อกัน ให้ดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ไม่ต้องไปดูใครที่ไหน

ฉะนั้นการอธิบายหรือการพูดจึงไม่ต้องไปหวังผลใดๆ การหวังนั่นคือ การสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น ย่อมมีผลตามมาอย่างแน่นอน

หากเราคิดจะช่วยเขาเหล่านั้น มีทางเดียวคือ การแผ่เมตตา ขอส่วนบุญที่เราทำมานี้ จงสำเร็จแด่เขาเหล่านั้น ขอให้เขาเหล่านั้นจงมีความสุข เราทำได้แค่นี้เอง ยังดีกว่าไม่ได้ทำ

ทำแบบนี้ เท่ากับเราไม่ได้เอาเราที่มีอยู่ ลงไปเกี่ยวข้องกับเหตุของคนอื่นๆ เหตุใหม่ที่จะเกิดขึ้นที่เป็นอกุศลกรรมย่อมไม่มี

ผลที่ได้รับคือ ความเย็นใจที่เกิดขึ้น ความเย็นใจที่เกิดจากการให้โดยไม่หวังผล ไม่ต้องไปหวังว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร เพราะนั่นคือเหตุที่เขาทำมากัน

เมื่อรู้แล้ว จึงเพียรที่จะไม่สร้างขึ้นมาอีกอย่างเด็ดขาด ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้หรือยังถูกกิเลสครอบงำอยู่ ย่อมหลงสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นเนืองๆไปด้วยความไม่รู้ที่ยังมีอยู่ จะสร้างมากหรือน้อยก็อยู่ที่ความไม่รู้ที่ยังคงมีอยู่

สภาวะทุกๆสภาวะจะมีกิเลสตัวที่ละเอียดที่สุดที่แฝงอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราจะดูหรือรู้เท่าทันสภาวะนั้นๆมั๊ยเท่านั้นเอง

เมื่อรู้ทันได้ เราย่อมหยุดที่จะคิดแก้ไข เปลี่ยนแปลง ย่อมอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสภาวะนั้นๆไปจนกว่า ตัวสภาวะจะจบลงด้วยเหตุของตัวสภาวะนั้นๆเอง

เรามีหน้าที่คือ เจริญสติ ทำให้ต่อเนื่อง ทำไม่ต่อเนื่อง ชีวิตของเราก็จะกระท่อนกระแท่นเหมือนกับการเจริญสติที่เราทำอยู่ นี่เห็นไหมเหตุ แล้วจะไปโทษใครได้ ทำตัวเองทั้งนั้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุแห่งทุกข์


มีผู้คนอีกมากมายที่มีความทุกข์ แต่ไม่รู้ที่มาที่ไปของทุกข์ หรือเหตุแห่งทุกข์ที่เกิดขึ้น ว่าทุกข์นั้นๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเองนั้น เกิดจากอะไร


เพราะเมื่อยังมีความไม่รู้ มีกิเลสครอบงำอยู่ ปิดบังดวงจิตให้มืดบอด เต็มไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ จึงเป็นเหตุให้หลงก่อเหตุแห่งทุกข์ให้เกิดขึ้นเนืองๆ นี่แหละความไม่รู้เพียงตัวเดียวนี่แหละ ที่ทำให้คนเราต้องมาทุกข์ตลอดทั้งชีวิต


บางทีทุกข์แต่ไม่รู้ว่าทุกข์ เพราะอุปทานหลงให้ค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นๆว่านั่นคือ สุข เลยหลงหนักไปอีกว่า ทำแบบนี้ ทำแบบนั้นแล้วทำให้เกิดสุข ซึ่งโดยตามความเป็นจริงแล้วคือ กำลังสร้างเหตุแห่งทุกข์ขึ้นมาใหม่


เมื่อรู้แล้ว อาจจะรู้ด้วยเหตุของการฟัง การอ่าน การคิด การภาวนา จะรู้มากหรือน้อย ย่อมพยายามที่จะไม่สร้างเหตุแห่งทุกข์ให้เกิดขึ้นอีกต่อไป หยุดสร้างเหตุทั้งปวงที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปหยุดที่คนอื่นๆ


เหตุของคนอื่นๆ เราไม่อาจจะไปหยุดให้ได้ เหตุของใคร นั่นของคนนั้นๆ เขาต้องหยุดด้วยตัวของเขาเอง ไม่วันนี้ หรือ พรุ่งนี้ หรือวันไหนๆก็ตาม


สักวันเมื่อทุกคนเข้าใจเหตุแห่งทุกข์ คือ ตัวของตัวเองนี่แหละที่สร้างขึ้นมาเองทั้งหมด เขาย่อมหยุดที่จะสร้างเหตุทั้งปวงด้วยตัวเองได้ และไม่คิดจะสร้างเหตุใหม่อีกต่อไป

เหตุที่ยังก่อให้เกิดเหตุใหม่อยู่เนืองๆ ล้วนเกิดจากความคาดเดาตามอุปทานที่มีอยู่มากน้อยแตกต่างกันไป ตามเหตุที่ทำมาและในปัจจุบันที่กำลังสร้างให้เกิดขึ้นใหม่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 00:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วิจิกิจฉา



วิจิกิจฉา คือ ความสงสัย ได้แก่ผู้มีความสงสัยต่างๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม เรียกว่า ทั้งภายนอกกายและภายในกาย

ลักษณะอาการที่เกิดขึ้น คือ จะชอบกล่าวโทษนอกตัวเนืองๆ ชอบกล่าวว่า เพราะเหตุนั้น จึงทำให้เป็นเช่นนี้ สภาวะที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงแค่การคาดเดา สำเร็จด้วยความคิด หาใช่สภาวะการเห็นตามความเป็นจริงไม่

เมื่อยังไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงได้ ย่อมยังชอบกล่าวโทษนอกตัว เมื่อยังมีการกล่าวโทษนอกตัวอยู่ นั่นคือ ยังเป็นผู้ที่มีความสงสัยอยู่

การละวิจิกิจฉา มีตั้งแต่สภาวะหยาบๆจนกระทั่งละเอียด

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 01:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


นี่แหละโง่ของแท้



คำว่า ศรัทธาแต่ขาดปัญญา ในที่นี้หมายถึง การขาดความคิดพิจรณา แต่ไม่ใช่ไปกล่าวโทษสิ่งนอกตัวว่า เพราะเหตุนั้น เหตุนี้ เพราะคนนั้น คนนี้ เพราะสิ่งนั้น สิ่งนี้ จึงทำให้ตนเองเป็นเช่นนี้

ยกตัวอย่างเช่น องคุลีมาล ที่มีความศรัทธาเชื่อมั่นในสิ่งที่ครูบาฯท่านสอนมา ท่านต้องการความสำเร็จ เลยต้องฆ่าคนจนกว่าจะครบตามจำนวนที่ครูบาฯสั่งไว้ เหตุมี ผลย่อมมี ทำไมองคุลีมาลจึงต้องฆ่าคนเหล่านั้น มีทั้งรู้จักและไม่รู้จัก

ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ หากรู้แล้วคงไม่ทำหรือสร้างเหตุไปด้วยความไม่รู้อีก ทีนี้รู้ของแต่ละคนที่ได้รู้ ที่คิดว่ารู้ ย่อมแตกต่างกันไปตามเหตุที่แต่ละคนได้กระทำมา องคุมาลก็เช่นเดียวกัน

เราเหมือนกันหมด ทุกๆคนไม่มีความแตกต่างกันเลย ที่แตกต่างคือ กิเลส ที่เป็นเหตุให้ทุกๆคนดูแตกต่างกันไป จึงได้หลงสร้างเหตุออกไปด้วยความไม่รู้ที่ยังคงมีอยู่

เหมือนคนที่ชอบกล่าวว่าผู้อื่นโง่ ใครล่ะที่โง่กว่ากัน ระหว่างคนที่ว่าเขา กับคนที่เป็นฝ่ายถูกผู้อื่นว่า

คนที่ว่าเขานั่นแหละโง่บรมโง่ กิเลสบดบังดวงตายังดูตัวเองไม่ออก โง่แม้กระทั่งหลงสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นก็ยังไม่รู้ตัว นี่แหละความโง่ ไม่ใช่โง่แบบธรรมดาเลยนะ แต่เป็นตัวโง่ตัวพ่อตัวแม่เลย โง่กับกิเลสของตัวเองยังไม่รู้ตัว

เมื่อยังไม่รู้ตัว จึงหลงว่าคนอื่นๆโง่ ทั้งๆที่ตัวเองนั้นโง่ยิ่งกว่าเขา คนที่รู้แล้ว รู้เท่าทันกิเลสไม่ต้องมากหรอก แค่รู้ในระดับหนึ่ง เขาจะไม่มีการกล่าวโทษนอกตัวเนืองๆ

มีแต่คอยตรวจสอบตัวเองเนืองๆ ว่าจะพลั้งเผลอสร้างเหตุแห่งความโง่ออกไปอีกหรือเปล่า

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2011, 01:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วิถีแห่งการเห็นตามความเป็นจริง



รู้จริงต้องทำ


รู้จำต้องท่อง



การรู้เห็นตามความเป็นจริง ต้องรู้ชัดในกายและจิตของตัวเองให้ได้ก่อน เมื่อรู้ชัดในกายและจิตได้ ย่อมเป็นเหตุให้รู้เห็นตามความเป็นจริงของจิตตัวเองที่เป็นอยู่จริง


เมื่อรู้ชัดเช่นนี้ได้ จึงจะรู้เห็นตามความเป็นจริงของทุกๆสรรพสิ่งที่เป็นอยู่ได้


เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริงของทุกๆสรรพสิ่งเช่นนี้ได้ ย่อมหยุดสร้างเหตุนอกกาย เพราะเหตุนอกกาย ล้วนมีและเป็นก่อนที่จะมีเราขึ้นมา


แต่จะมุ่งสร้างเหตุในตัวแทน มุ่งสร้างเหตุการดับของเหตุทั้งปวงที่เกิดขึ้นภายในจิต


ดับตัวต้นเหตุภายในได้แล้ว ย่อมดับเหตุภายนอกทั้งปวงได้ หากดับภายในยังไม่ได้ ก็ยากที่จะดับเหตุภายนอกได้เช่นกัน


ความผิดพลาดคือ การเรียนรู้ ต้องโง่มาก่อน ก่อนที่จะรู้


โง่กับใครหรือกับอะไรล่ะ?


ไม่ใช่โง่กับใครที่ไหนเลย โง่กับกิเลสที่เกิดขึ้นในใจของตัวเองนี่แหละ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2011, 22:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่รู้ชัดในกายและจิต




ทุกๆเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต นั่นคือ สภาวะที่เกิดขึ้น เราไม่ต้องไปหาคำตอบว่าอะไร ทำไม อย่างไร ที่ไหนๆหรือที่ใครๆหรอก เพียงแค่เราหมั่นเจริญสติจนสามารถรู้ชัดอยู่ในกายและจิตนี่ได้เนืองๆ เราจะได้คำตอบทุกๆคำตอบเอง

แล้วคำตอบนั้นๆจะเป็นตัวช่วยในการถ่ายถอนอุปทานที่มีอยู่

ถ้าคำตอบที่ได้นั้นๆมีเหตุให้เพิ่มพอกพูนกิเลส คำตอบนั้นๆยังไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง

คำตอบที่แท้จริงจะมีแต่ลด ละ เลิกพฤติกรรมเก่าๆที่มีแต่การสร้างเหตุที่ก่อภพก่อชาติใหม่ให้เกิดขึ้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2011, 20:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญาอบรมสมาธิ


สภาวะนี้เกิดจากผลของการเจริญสติ เรียกว่า สัมมาสติ

เมื่อมีสภาวะสัมมาสติเกิด ย่อมมีตัวปัญญาเกิดร่วมด้วยทุกๆครั้ง


การเจริญสติ เป็นการพัฒนาสติที่ทุกคนมีอยู่ ส่วนจะมีมากหรือน้อยนั้น อันนั้นแล้วแต่เหตุของแต่ละคนที่ทำมา

เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง กำลังของสติจะถูกพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีกำลังเข้มแข้งมากขึ้น จะมีตัวสัมปชัญญะเกิด

เมื่อมีตัวสัมปชัญญะเกิดขึ้นมาแล้ว สมาธิย่อมเกิดขึ้นตาม

การที่ทำกิจอะไรก็ตาม การที่เอาจิตจดจ่อรู้อยู่ในการกระทำนั้นๆ จะทำให้เกิดทั้ง สติ สัมปชัญญะและสมาธิ

สภาวะที่เกิดขึ้นคือ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จะสามารถรู้ชัดในกายได้ตลอด ส่วนจะรู้ชัดได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิของแต่ละคน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเหตุที่แต่ละคนกระทำมา บางคนสมาธิอาจจะแค่ขณิกสมาธิ

บางคนอาจจะแค่อุปจารสมาธิ แต่บางคนอาจจะมีกำลังสมาธิถึงอัปปนาสมาธิ


สภาวะที่นำมาแสดงนี้ เรียกว่า สภาวะของปัญญาอบรมสมาธิ คือ สภาวะของสัมมาสติ

แล้วเมื่อปัญญาได้อบรมสมาธิ สภาวะที่เกิดขึ้น คือ สัมมาสมาธิ



ทำไมจึงกล่าวว่าปัญญาอบรมสมาธิ



เหตุเกิดเนื่องจาก สมาธิแรกเริ่มที่ทุกๆคนได้รู้จัก ส่วนมากจะเป็นสมาธิที่เกิดจากการทำสมถะ แล้วสมาธิที่เกิดจากสมถะส่วนมากจะเป็นมิจฉาสมาธิ

สภาวะที่เกิดของมิจฉาสมาธิ คือ ขาดความรู้สึกตัว ได้แก่ ขาดตัวสัมปชัญญะ มีแต่ตัวสติ รู้ว่าจะเกิดสมาธิ พอเกิดสมาธิขึ้นแล้ว ขาดความรู้สึกตัว ขาดการรับรู้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในกายและจิต เรียกว่า ไม่มีตัวรู้เกิดขึ้น

เมื่อได้มาเจริญสติ สติมีกำลังเพิ่มมากขึ้นเท่าใด ตัวสัมปชัญญะ หรือ ความรู้สึกตัวยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น

เมื่อเวลาที่สติ สัมปชัญญะทำงานร่วมกัน สมาธิย่อมเกิด

เมื่อมีสมาธิเกิดขึ้น ย่อมมีความรู้สึกตัว จึงเรียกสภาวะนี้ว่า ปัญญาอบรมสมาธิ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2011, 20:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หลุมพรางของเหตุ


การคาดเดาคือหลุมพรางของกิเลสชั้นเลิศ ซึ่งกิเลสตัวนี้ล้วนเกิดจากการปรุงแต่งของจิตที่เกิดขึ้นยามที่เกิดผัสสะ ณ ขณนั้นๆ นั่นคือเหตุใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่จะมีสติ สัมปชัญญะรู้เท่าทันไหมเท่านั้นเอง

คนส่วนมากล้วนสร้างเหตุที่เกิดจากการคาดเดา ใช้ความคิดที่ยังมีเราอยู่นั้นเข้าไปตัดสิน ใครจะไปรู้จิตของเจ้าตัวเขาเองได้ดีที่สุด นอกจากตัวเขานั้นแล้ว ไม่มีเลย

ตัวของเขาเองย่อมรู้ดีที่สุด เพียงแต่จะยอมรับตามความเป็นจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตจริงๆหรือเปล่าเท่านั้นเอง หากยอมรับได้ ย่อมปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นไปตามความเป็นจริง แล้วสภาวะนั้นๆย่อมจบลงไปด้วยของสภาวะเอง

หากยังยอมรับไม่ได้ ย่อมตอบโต้ไปตามกิเลสที่เกิดขึ้นในจิต เหตุใหม่ย่อมมีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เหตุมี ผลย่อมมี สภาวะย่อมเปลี่ยนรูปแบบไปไม่จบสิ้น จนกว่าจะยอมรับได้ แล้วสภาวะนั้นๆย่อมจบลงไปด้วยตัวของสภาวะเอง

ส่วนคนภายนอกได้แต่คาดเดาเอาเอง ตามทิฏฐิของตัวเองที่มีอยู่ แต่หาใช่ตามความเป็นจริงไม่ รู้แค่ไหน ย่อมคาดเดาไปตามกิเลสที่คิดว่ารู้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2011, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ถอนราก ถอนโคน



คำว่า ถอนราก ถอนโคน หมายถึง สภาวะของกิเลสที่ถูกขุดขึ้นมาประจานเจ้าของ แต่อยู่ที่ว่าเจ้าตัวนั้นจะยอมรับตามความเป็นจริงหรือ สภาวะนี้จะเกิดในผู้ที่เจริญสติ

สภาวะที่เกิดขึ้นคือ กิเลสที่มีอยู่ในจิต ถูกขุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

เริ่มจากสภาวะแบบหยาบๆ จนกระทั่งละเอียด เป็นกิเลสที่นองเนื่องอยู่ในขันธสันดานของแต่ละคน อยู่ที่ว่าจะมีสติรู้เท่าทันต่อสภาวะของกิเลสที่เกิดขึ้นหรือไม่

คนเจริญสติ ถ้ามีสติในระดับหนึ่ง จะเข้าใจในเรื่องเหตุมากขึ้น อาจจะจากการฟังหรือจากการพิจรณา หรือบางคนได้จากภาวนา แล้วแต่เหตุที่ทำมา


ถ้าทำแล้วกิเลสเพิ่ม นั่นผิดทาง เพราะมีแต่เหตุ ไม่ใช่ดับเหตุ



ถาม พยายามปล่อยไปตามเรื่อง คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่บางตรั้ง ก็เอาไว้ไม่ค่อยอยู่ บางทีก็สงบได้เอง บางทีก็เหมือนจะพุ่งขึ้น

ตอบ มันไม่เที่ยงค่ะ ความคิดถ้าไปจดจ้องดู เราจะรำคาญ



ถาม ใช่ค่ะ พยายามรู้อยู่ พอว้าวุ่น ก็ทำให้ขึ้เกียจ เบื่อ ไม่อยากปฏิบัติ แต่พยายามตามดู นอกอริยาบถ

ตอบ ถ้าเราเผลอไปสนใจอีก มันจะชัดอีก จะแบบนั้นแหละค่ะ เราห้ามความคิดไม่ได้ แต่ห้ามการกระทำได้อย่าปล่อยให้เกิดการกระทำ ให้รู้ในกายไว้น่ะค่ะ

ทำแบบไหนๆก็ได้ ทำงานก็รู้ไปด้วย ใช้ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ แล้วถ้ามีเวลาว่างพอ หาที่หลบมุม นั่งแป๊บนึง ให้สมาธิหล่อเลี้ยงเอาไว้



ถาม เวลาแนะนำคนอื่น….แนะนำได้…แต่พอตัวเอง ลืมคำแนะนำหมด เหมือนคนหลับๆตื่นๆเลยค่ะ บางทีถ้าเหนื่อยหรือท้อมากๆ ก็จะนั่งหลับตา ดูท้องพองยุบสักแป๊ป

ตอบ เข้าใจค่ะ มันมีแต่เหตุแล้วก็เหตุ ตอนนี้คุณกำลังสร้างเหตุเพื่อตัดภพตัดชาติ กุศลแรง วิบากเยอะ เพราะเจ้าหนี้จะมาทวงตลอด



ถาม ใช่ค่ะ วิบากเยอะจริงๆ มันเหมือนระลอกคลื่นค่ะ เก่าไป ใหม่มา ค่อยบ้าง แรงบ้าง รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ก็ทำไป…สะดุดไป…อยากไป สลับไป สลับมา อย่างที่บอก รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง

ตอบ เจอมาหมดแล้ว ทุกวันนี้ก้ยังเจอ แต่ไม่เคยท้อ เพราะผ่านจุดนั้นมาแล้ว กว่าจะผ่านได้ หืดขึ้นคอ จะเลิกตั้งหลายครั้ง ทำๆหยุดๆ แต่มันเลิกไม่ได้



ถาม แต่ก็ไม่คิดจะเลิกหรอกนะค่ะ เพียงแต่ บางครั้งก็ยอมกิเลสเขาก่อน จะได้ไม่แตกหัก ไม่งั้นถ้าเราสู้เขาไม่ไหวจะทำให้เราแตกหัก ไม่เข้าใกล้การปฏิบัติแล้วจะยุ่ง ต้องคอยประคับประคองความรู้สึก ทั้งปลอบ ทั้งขู่ ทั้งตาม ทั้งขืนมีหมดครบทุกรส





สิ่งที่พูดต่อไปนี้ บางคนบอกว่า พูดดูง่าย แต่ทำยาก คือ พียงจะบอกว่า เกิดอะไรก็ตาม ให้ยอมรับไปตามความเป็นจริง อย่าหนี อย่าตอบโต้

แรกๆทำอาจจะยากหรือง่าย แล้วแต่เหตุของแต่ละคน สำหรับตัวเองนั้น แรกๆยากมากค่ะ ยากจริงๆ กว่าจะยอมรับได้หมดใจ เพราะใจมันคอยค้านว่าเราไม่ผิด

พอเริ่มยอมแล้วยอมอีก ยอมมากขึ้น ทำให้เข้าใจสภาวะมากขึ้นเรื่อยๆ เหตุทั้งนั้นแหละค่ะ ผลเลยมาแสดงให้ได้รับแบบนั้น

จะผ่านกิเลสได้ ต้องยอม ยอมไม่ได้ ผ่านไม่ได้

คำว่ายอม หมายถึง ยอมภายนอก ส่วนภายในใจรู้สึกอย่างไร รู้ไปตามนั้น แต่ไม่แสดงออกไป มันจะเป็นเหตุใหม่ไปทันที

ยอมได้บ่อยๆ ความรู้สึกในใจที่มีอยู่จะเบาบางลงไปเรื่อยๆ สุดท้ายจะยอมจนหมดใจเอง แล้วสภาวะจะเปลี่ยนไป เป็นสภาวะกิเลสที่ละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ

ผ่านกิเลสหยาบๆไม่ได้ อย่าหวังว่าจะไปต่อไปได้เลยค่ะ นี่แหละที่เขาเรียกว่าถอนรากถอนโคน




ถาม ค่ะ….เข้าใจแล้ว….ก็อย่างที่บอกว่าบางครั้งก็เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็เหมือนมีอะไรบางๆมากั้นไว้

ตอบ เข้าใจค่ะ สภาวะแต่ละสภาวะ เมื่อคุณเจอและเรียนรู้ด้วยตัวเอง จนยอมได้หมดใจจริงๆ จะเข้าใจสภาวะมากขึ้นเรื่อยๆ


เพราะกิเลสที่เจอน่ะ ตัวเดิมๆซ้ำๆ แต่เปลี่ยนตัวละครมาเล่น

จากกิเลสแบบหยาบๆ พอเราเห็นมัน ยอมมัน จนมันเห็นว่าเราไม่สู้ ตัวใหม่มาต่อ

สภาวะเปลี่ยนไป แต่กิเลสตัวเดิม แต่ละตัวสับเปลี่ยนมาทดสอบ

จนกระทั่งผัสสะภายนอกทำอะไรเราไม่ได้แล้ว ทีนี้ละ กิเลสภายในจิตที่เกิดขึ้นเอง โดยไม่ต้องมีผัสสะ

เห็นไหมคะ สภาวะมันละเอียด ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งหมด




ถาม สภาวะภายนอกมันปรวนแปรอย่างนี้แหละจึงทำให้ เบื่อ ท้อ และเหนื่อยค่ะ

ตอบ เข้าใจค่ะ สติยังไม่ทัน มันจะแบบนี้แหละค่ะ คือยังยอมรับไม่ได้
น้ำเองเจออะไรหนักๆมาเยอะ อยากขอให้อดทนไว้ค่ะ แล้วตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง เล็กๆน้อยๆทำไป แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะ



ถาม รับทราบค่ะ …ทั้งอด…ทั้งทนเลยตอนนี้ จะพยายามทำอย่างต่อเนื่องนะค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 260 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร