วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 08:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2011, 11:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

พุทธศาสนาสอนสัจธรรมของจริงของแท้

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

แสดงธรรม ณ ประเทศสิงคโปร์ ครั้งที่ ๑
เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ (เวลาค่ำ)



พุทธศาสนาสอนสัจธรรมของจริงของแท้
เมื่อจะศึกษาพุทธศาสนา
จึงควรคิดค้นหาของจริงว่าอะไรเป็นของจริงของแท้
เดี๋ยวจะไปเข้าใจเอาว่า ของจริงเป็นของไม่จริง
แท้จริงของทั้งปวงมันเป็นจริงของมันอยู่แล้วตามธรรมชาติ
แต่คนไปเข้าใจเอาตามมติของตนเองว่าไม่จริง ต่างหาก
เช่นพระองค์สอนว่า คนเราเกิดมาเป็นอนิจจํ ไม่เที่ยงมั่นยืนยง
แปรสลายไปทนอยู่ไม่นาน ทุกข เป็นทุกข์อย่างนี้ทุกถ้วนหน้า
บอกไม่ได้ห้ามก็ไม่ฟังคำใคร หากเป็นไปตามสภาพของสังขาร
มีเกิดแล้วก็มีการดับไปเป็นธรรมดาอย่างนั้น
นี่เป็นความจริงและความจริงนี้ก็มีอยู่ในโลกแต่ไหนแต่ไรมา
ใครจะดัดแปลงแก้ไขอย่างไรก็ไม่ได้
แพทย์เยียวยารักษาของที่มันแตกไม่ดีมันชำรุดแล้ว
เพื่อให้กลับคืนดีเป็นปรกติตามเดิมก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง
ในที่สุดก็ต้องแตกสลายไปสู่สภาพเดิมของมัน
หมอเองก็ต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน


ของจริงมีอยู่อย่างนี้ คนเกิดมามีแต่กลัวความตาย
แต่หาได้กลัวต้นเหตุ คือ ความเกิดไม่
จึงหาเรื่องแก้แต่ความเจ็บ ความตาย
แก้ไม่ถูกจึงวุ่นวายกันไม่รู้จักจบสิ้นสักที
แก้เจ้บปวดเมื่อยตรงนี้หายไป
แล้วอีกหน่อยก็เจ็บปวดเมื่อยตรงโน้นอีกต่อไป
แก้ตนเองได้แล้วยังคนอื่นอีก
เช่น ลูกหลาน คนโน้น คนนี้ ไม่รู้จึกจบสิ้นสักที
ตายแล้วกลับมาเกิดอีก ก็เป็นอยู่อย่างนี้เช่นเดิม
เรียกว่า วัฏฏะ ไม่มีที่สุดลงได้


พระพุทธเจ้าจึงสอนให้แก้ตรงจุดเดิม
คือ ผู้เป็นเหตุให้นำมาเกิด
ได้แก่ จิตที่ยังหุ้มห่อด้วยสรรพกิเสสทั้งปวงให้ใสสะอาดไม่มีมลทิน
นั่นแลจึงจะหมดเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องวุ่นวายอีกต่อไป
พระพุทธองค์ สอนให้เข้าถึงต้นเหตุให้เกิดคือ ใจ
และสรรพกิเลสทั้งปวงอันปรุงให้จิตคิดนึกส่งส่ายต่างๆ
แล้วทำให้จิตเศร้าหมอง มืดมิด จึงไม่รู้จักผิด ถูก ดี ชั่ว ตามเป็นจริง
พระองค์สอนให้ทำจิตนั้นให้ใสสะอาดปราศจากความมัวหมอง
ซึ่งกองกิเกสทั้งปวง มีปัญญาสว่างรู้แจ้งแทงตลอด
กิเลสที่เป็นอดีตอนาคตมารวมลง ปัจจุบันเป็นปัจจัตตัง
อย่างไม่มีอะไรปกปิด แล้วจึงจะหมดกิเลส
พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องวุ่นวายอีกต่อไป


พึงเข้าใจว่า ธรรมะเป็นของพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย
แล้วก็ตามแต่รูปอันนี้ประกอบด้วยธาตุสี่ยังไม่แตกสลาย
ขันธ์ห้ายังใช้การได้อยู่ อายตนะ ผัสสะ
ยังจำเป็นจะต้องปรารภเรื่องนั้นๆ อันเป็นเหตุปัจจัยอยู่
แต่ท่านผู้รู้ทั้งหลายปรารภแล้วก็แล้วไป
เรื่องเหล่านั้นเป็นสักแต่ว่าไม่ทำให้ท่านกังวลด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น


ท่านอาจารย์พานั่งภาวนาพร้อมทั้งอบรมธรรมนำก่อน

ภาวนา ก็คือ วิธีอบรมใจให้รับความสงบ
เพราะเราไม่เคยสงบตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
ใจที่ไม่ได้รับความสงบแล้ว ก็ไม่มีพลังที่จะเกิดความรู้
คือ ความนึกคิดอะไรต่างๆ ให้เห็นของจริงได้
เหตุนั้นการภาวนา จึงเป็นการสร้างพลังใจ ให้ในสงบอยู่ในที่เดียว
จะอยู่ได้นานสักเท่าใดก็ขอให้อยู่ไปเสียก่อน
แต่ใจของไม่มีตัวเหมือนลมกระทบสิ่งหนึ่งจึงปรากฎว่า มีลม
ใจก็เช่นเดียวกัน เราจะต้องให้กระทบวัตถุใดวัตถุหนึ่ง
เช่น ให้กระทบที่ปลายจมูก เอาลมหายใจนั้นเป็นเครื่องวัด
ให้ใจไปรู้เฉพาะลมหายใจกระทบปลายจมูกก็ได้
หรือเราจะเพ่งพิจารณาอยู่เฉพาะตัวของเรา
ให้เห็นสักแต่ว่าธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
อยู่อย่างนั้นตลอดเวลาก็ได้ แล้วแต่จะถนัดอย่างไหน
เมื่อใจมันกระทบอยู่นั้น จะเห็นใจชัดขึ้นมาที่เดียวว่า ใจอยู่หรือไม่อยู่
เมื่อไม่อยู่ก็ดึงเอามาไว้ให้อยู่ในที่เดียว
เมื่อยู่แล้วก็คุมสติ เพ่งพิจารณาอยู่อย่างนั้น
เมื่อทำอยู่อย่างนี้ใจก็จะค่อยอ่อนลงๆ
แล้วผลที่สุดก็รวมลงเป็นเอภัคคตารมณ์ มีใจเป็นอารมณ์อันหนึ่งได้


ตอบปัญหาธรรมภายหลังจากนั่งภาวนา

:b44: ผู้ถาม ถ้าหากมีอารมณ์เกิดขึ้นในขณะที่เราไม่ได้นั่งภาวนา แต่เราพยายามคิดค้นหาเหตุผลนั้น แต่คิดไม่ตกแก้ไม่ได้ทำอย่างไรจึงจะแก้ไขได้

ท่านอาจารย์ การคิดค้นหาเหตุผลเรียกว่าปัญญาการทำความสงบเรียกว่า สมถะ ถ้าหากว่าเราคิดค้นเรื่องนั้นไม่ตก แสดงว่าสมถะน้อยหรือไม่มี ปัญญาก็ไม่เฉียบแหลมคือ ตัดไม่ขาด เวลาเกิดอารมณืหรืออุปสรรคใดขึ้นมา ให้หยิบยกเอาอารมณ์นั้นขึ้นมาเพ่งพิจารณาอยู่ในจุดเดียว อย่าให้มันฟุ้งซ่านมันก็เป็นสมถะอยู่ในตัว เกิดความรู้ชัดขึ้นแก้ไขอุปสรรคนั้นได้ทันที นั่นแหละเรียกว่าปัญญา


:b44: ผู้ถาม ผมสนใจพุทธศาสนามานานแล้ว แต่ไม่มีครูบาอาจารย์ อาศัยการอ่านหนังสือพร้อมกับการปฏิบัติไปด้วย ท่านอาจารย์ มีความคิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้ และขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ด้วย

ท่านอาจารย์ ผู้หัดภาวนาต้องอาศัยบัญญัติตำราเสียก่อนเป็นแนวทางเบื้องต้น เรียกว่าอนุมานหรืออนุโลมไปตามนั่น เช่น เราพิจารณาเห็นความตาย เห็นของเปื่อยเน่าปฏิกูลของร่างกายเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาในไตรลักษณ์ เราก็ต้องอาศัยอันนั้นเสียก่อน แต่เวลาปฏิบัติ เรากำหนดจับตัวใจให้ได้ คือ ใจผู้พิจารณาแล้วมันวางเอง ตราบใด ถ้าไม่วางตำราคือบัญญัติจะภาวนาไม่ลง ถ้าเวลาภาวนาลงสนิทมันวางหมดปรากฎเฉพาะใจที่เรากำหนดอย่างเดียวถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความรู้จากการภาวนาแล้วมันผิดกับตำราที่ว่าไว้ มันชัดไปกว่าตำราเสียอีก


:b44: ผู้ถาม เรื่องวัตถุภายนอกหรืออารมณ์ต่างๆ สามารถปล่อยวางได้ง่ายแต่ว่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวนี้ปล่อยวางยาก เช่น ผมมีที่แห่งหนึ่งผมจะต้องจัดการเพื่อลูกเมีย ถ้าหากปล่อยวางเสียหมดมันจะไม่ขัดกับหน้าที่ผมมีกับครอบครัวหรือครับ

ท่านอาจารย์ ครอบครวนั่นแหละคืออารมณ์ภายนอก อารมณ์ภายในคือ เกิดขึ้นที่ใจแห่งเดียวไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น เช่น ความวิตกวิจารณ์ ในเหตุการณ์ ความแก่ ความตาย ความสุข ทุกข์ของตนเป็นต้น ครอบครัวของเราเราสร้างมาแล้วเราต้องแก้ไขให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงค่อยไป ถ้าไม่เรียบร้อยก็ต้องเป็นอยู่อย่างนั่นเอง กำลังศรัทธายังไม่เต็มที่ ถ้าศรัทธาเต็มที่แล้วของเหล่านั้นเป็นของเล็กน้อยนิดเดียว



ที่มา...หนังสือ ปุจฉาวิสัชนาในต่างประเทศ
โดย พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี)
วัดหินหมากเป้ง ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6932

:b48: :b8: :b48:

:b49: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=35963

:b49: รวมคำสอน “หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43000

:b49: ประมวลภาพ “หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี” วัดหินหมากเป้ง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=42782


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2011, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

สวัสดีคุณลูกโป่ง

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ
smiley smiley smiley


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร