วันเวลาปัจจุบัน 18 พ.ค. 2025, 15:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2010, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 23:37
โพสต์: 31

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยอมรับว่าตัวเองยังเลวมากๆ ไม่มีอะไรดีสักอย่าง
แต่ไม่ได้เสียดสีนะ....
คือเคยถามพระอาจารย์ท่านหนึ่งว่า คนที่เป็นพระโสดาบันแล้ว เขารู้ตัวเองมั้ยว่าเป็นพระโสดาบัน ท่านก็บอกว่าเขาจะรู้ด้วยตัวเขาเองว่าเขาเป็นพระโสดาบัน แต่เขาจะแสดงออกหรือไม่ นี่อีกอย่างหนึ่ง...
แล้วเราก็อนุโมทนากับ ใครก็ตามที่ฝึกฝนตนเองจนเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว....
แต่เราเองไม่ได้อะไรเลย...ยังเลวมากๆๆแบบคุณกบนอกกะลาว่านั่นแหล่ะ...ยอมรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 04:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ได้เสียดสี..ก็ดีแล้วครับ :b6: :b6:

แต่ที่ใครว่า..ผู้ที่ได้พระโสดาบันแล้วเขาจะรู้ตัวเขาเอง..นั้น

กบฯว่ายังไม่แน่เสมอไป..คือยังไม่ค่อยเชื่อนะครับ..เพราะมันไม่มีหลักกิโลเมตรให้เห็นจะ ๆ ..

อารมณ์ของการละสักกายทิฎฐิของพระโสดาบันคงยังไม่เข้มข้นเท่าพระอนาคา..พระอรหันต์..ดังนั้นจะแยกกันยากระหว่างผู้ที่ถึงไตรสรณคมณ์กับผู้ที่ถึงโสดาบันนี้..อาจจะทราบเฉพาะผู้ที่มีฌาณ..มีญาณสูงกว่าพระโสดาบัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 07:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
..ผู้ที่ได้พระโสดาบันแล้วเขาจะรู้ตัวเขาเอง..นั้น

กบฯว่ายังไม่แน่เสมอไป..คือยังไม่ค่อยเชื่อนะครับ..เพราะมันไม่มีหลักกิโลเมตรให้เห็นจะ ๆ ..

อารมณ์ของการละสักกายทิฎฐิของพระโสดาบันคงยังไม่เข้มข้นเท่าพระอนาคา..พระอรหันต์..ดังนั้นจะแยกกันยากระหว่างผู้ที่ถึงไตรสรณคมณ์กับผู้ที่ถึงโสดาบันนี้..อาจจะทราบเฉพาะผู้ที่มีฌาณ..มีญาณสูงกว่าพระโสดาบัน


ด้วยความเคารพครับ ท่านกบนอกกะลา

ไม่ต้องการสร้างข้อโต้แย้งครับ

แต่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์

ผู้ที่ได้โสดาบันแล้วรู้ต้วครับ

อาจมีสือนำเช่น

เห็นสายฟ้าแลบ เห็นนกพิราบบิน เห็นก้อนหิน

จึงเกิดความรู้หรืออาจเรียกว่าปริญญาผลุดขึ้นในใจเป็นความรู้ตนเองว่าถึงโสดาบันแล้ว

จากนั้นชีวิตของท่านนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

ความคิดอ่านทั้งหลายไม่เป็นไปตามโลกแต่จะเป็นไปตามธรรมะ

ที่ปุถุชนไม่ค่อยจะเข้าใจ

อาจเรียกว่าเป็นผู้มองเห็นสภาวะที่แท้ก็ได้

จึงสวนทางในความคิดความเข้าใจกับปุถุชนที่ยังมองไม่เห็น

ขอต่อท้ายอีกนิดว่า

สภาวะนี้ไม่ได้มีแต่พุทธศาสนิก

แต่เกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าจะได้ศึกษาพระพุทธธรรมหรือไม่

ธรรมนี้มีอยู่แล้วพระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ


ขอออกตัวว่าไม่ใช่ต้องการอวดรู้อวดตน

แต่ต้องการให้เป็นความรู้ความเห็นอีกอย่างหนึ่ง

ผิดถูกใจอย่างใดก็ไม่เป็นไรครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 08:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สภาวะนี้ไม่ได้มีแต่พุทธศาสนิก

แต่เกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าจะได้ศึกษาพระพุทธธรรมหรือไม่


ธรรมนี้มีอยู่แล้วพระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ


อ่านตรงนี้..แล้วไม่เข้าใจ..ครับ

รู้แต่ว่า..สังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ข้อแรก..ท่านละได้หมดจรดแล้ว

และ..เรากำลังพูดถึง..ภูมิของสาวก..คือผู้รู้ตาม..รู้ตามผู้สอน..นะครับ

นอกจากพุทธะ..ไม่มีใครสอนว่า..กายนี้ไม่ใช่เรา..เราไม่มีในกายนี้..

นอกจากพุทธศาสนิกแล้ว..ไม่มีใครนับถือพระรัตนไตร

นอกจากพุทธะแล้ว..ไม่มีใครมีข้อวัตรปฎิบัติถึงซึ่งความดับทุกข์..

ส่วนผู้ที่รู้พุทธะเอง..โดยไม่มีผู้บอกกล่าว..ท่านอยู่ในกลุ่มพุทธภูมิ..ครับ..ท่านไม่ได้อยู่ในกลุ่มของสาวก..นะครับ

คุณ mes อาจมีคำอธิบายที่ทำให้ผมเข้าใจ..ดีขึ้น..จะรออ่านครับ :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 10:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
สภาวะนี้ไม่ได้มีแต่พุทธศาสนิก

แต่เกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าจะได้ศึกษาพระพุทธธรรมหรือไม่


ธรรมนี้มีอยู่แล้วพระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ


อ่านตรงนี้..แล้วไม่เข้าใจ..ครับ

รู้แต่ว่า..สังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ข้อแรก..ท่านละได้หมดจรดแล้ว

และ..เรากำลังพูดถึง..ภูมิของสาวก..คือผู้รู้ตาม..รู้ตามผู้สอน..นะครับนอกจากพุทธะ..ไม่มีใครสอนว่า..กายนี้ไม่ใช่เรา..เราไม่มีในกายนี้..

นอกจากพุทธศาสนิกแล้ว..ไม่มีใครนับถือพระรัตนไตร

นอกจากพุทธะแล้ว..ไม่มีใครมีข้อวัตรปฎิบัติถึงซึ่งความดับทุกข์..

ส่วนผู้ที่รู้พุทธะเอง..โดยไม่มีผู้บอกกล่าว..ท่านอยู่ในกลุ่มพุทธภูมิ..ครับ..ท่านไม่ได้อยู่ในกลุ่มของสาวก..นะครับ
คุณ mes อาจมีคำอธิบายที่ทำให้ผมเข้าใจ..ดีขึ้น..จะรออ่านครับ :b16: :b16:


ที่ผมระบายสีแดงเอาไว้คือข้อที่ผมยอมรับว่าผมหมายถึงทั่วไปครับ

ในสมัยพุทธกาลและก่อนพุทธกาลมีแต่คำว่าประพฤติพรหมจรรย์และบำเพ็ญธรรม

หมายถึงการแสวงหาสัจจธรรมความหลุดพ้นจากทุกข์ด้วยการปฏิบัติตนด้วยความคิดหรือทิฏฐิต่างต่าง

ที่ใช้สมาธิในการปฏิบัติก็มีมาก

และสำเร็จเป็นปัจเจกพุทธก็ต้องมี


มีพระพุทธพจน์ตรัสไว้ว่า

ธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนนั้นมีอยู่แล้ว

พระองค์เป็นเพียงผู้ค้นพบและประกาศ


ศาสนาทั้งหลายในโลกมีความคลายคลึงกันอยู่มาก

คือสอนให้ละความเห็นแก่ตัวและมีเมตตาธรรม

แตกต่างกันชัดๆตรงที่

ศาสนาพุทธเน้นเรื่องปํญญา ขณะที่ศาสนาอื่นๆเป็นเทวะนิยมเน้นเรื่องศรัทธา

ส่วนมรรคปฏิบัติการทำสมาธิมีทุกศาสนา

ในทุกศาสนานั้นผมเชื่อว่าคงมีศาสนิกของศาสนานั้นๆทำสมาธิแล้วเกิดปัญญาดวงตาเห็นธรรมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

ท่านพระเยซู ท่านนบีโมฮำหมัดก็เข่นกันครับ(ขอสงวนเป็นความเชื่อส่วนตัวครับ ด้วยความเคารพ)

คำสอนเรื่องไม่ให้เห็นแก่ตัว ให้นอบน้อมถ่อมตน มีส่วนให้ละสังโยขได้

Quote Tipitaka:
สังโยชน์ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ มี ๑๐ อย่าง คือ
ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่
๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน
๒. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต
๔. กามราคะ ความติดใจในกามคุณ
๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ
ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่
๖. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต
๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม
๘. มานะ ความถือว่าตนเป็นนั่นเป็นนี่
๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
๑๐. อวิชชา ความไม่รู้จริง;
พระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้,
พระสกิทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ให้เบาบางลงด้วย,
พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด,
พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ;
ในพระอภิธรรมท่านแสดงสังโยชน์อีกหมวดหนึ่ง คือ
๑. กามราคะ
๒. ปฏิฆะ
๓. มานะ
๔. ทิฏฐิ (ความเห็นผิด)
๕. วิจิกิจฉา
๖. สีลัพพตปรามาส
๗. ภวราคะ (ความติดใจในภพ)
๘. อิสสา (ความริษยา)
๙. มัจฉริยะ (ความตระหนี่)
๑๐. อวิชชา


เป็นประเภทอย่างเดียวกับพระธุดงถ์ในศาสนาพุทธที่ไม่เคยปริยัติหรือรู้เรื่องสังโยชเลยแต่บรรลุธรรมได้จากการปฏิบัติครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 22:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ส่วนมรรคปฏิบัติการทำสมาธิมีทุกศาสนา

ในทุกศาสนานั้นผมเชื่อว่าคงมีศาสนิกของศาสนานั้นๆทำสมาธิแล้วเกิดปัญญาดวงตาเห็นธรรมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

ท่านพระเยซู ท่านนบีโมฮำหมัดก็เข่นกันครับ(ขอสงวนเป็นความเชื่อส่วนตัวครับ ด้วยความเคารพ)

คำสอนเรื่องไม่ให้เห็นแก่ตัว ให้นอบน้อมถ่อมตน มีส่วนให้ละสังโยขได้


ผมพอจะเข้าใจ คุณ mes บ้างแล้วละครับ :b12:

มรรคปฏิบัติการทำสมาธิมีทุกศาสนา..เห็นด้วยครับ

และ..ผลที่ได้จากสมาธิ..ก็มีเหมือนกันทุกศาสนา..ครับ.ผมก็เชื่ออย่างนี้เช่นกัน..แต่ผลของมิจฉาสมาธิ..กับ..สัมมาสมาธิ..มีผลไม่เหมือนกันนะครับ..อย่างไรจึงจะเรียกว่าสัมมาสมาธิ..อันนี้คิดว่าคุณ mes คงเข้าใจนะครับ

ในทุกศาสนานั้นผมเชื่อว่าคงมีศาสนิกของศาสนานั้นๆทำสมาธิแล้วเกิดปัญญาดวงตาเห็นธรรมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย...
ผมก็เห็นด้วยบางส่วนครับ..แต่เห็นธรรมตามนัยของพุทธคือเห็นอริยะสัจจ 4 มีมรรค 8 นะครับ พระพุทธองค์ก็ทรงเคยกล่าวใว้ชัดเจนว่า..ศาสนาใดที่สอนอริยะสัจจ 4 มีมรรค 8 แล้วศาสนิกนั้นก็ถึงพระนิพพานได้เช่นกัน..ตรงนี้สำคัญนะครับ..ไม่ใช่ว่าเราจะเข้าข้างศาสนาพุทธนะ..แต่ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นเอง

แล้วก็ลองมองดูซิครับ..ใครสอนอริยะสัจจ 4 บ้าง??..และการรู้ในอริยะสัจจ 4 ผมเชื่อว่า..ไม่ได้เกิดจากสมาธิ..ครับผม

พุทธเจ้า..รู้อริยะสัจจ 4 เพราะทรงบำเพ็ญบารมี 10 อย่างละเอียดอย่างยิ่งยวดเรียกว่า..บารมี 30 ทัศ..จนเต็ม..จึงเข้าถึงจุดรู้อริยะสัจจ 4 ด้วยพระองค์เองแบบไม่มีใครสอน..ดูแค่ตัวอย่าง..ทานบารมี..ในสมัยเกิดเป็นพระเวสสันดร..ทานไปได้อย่างไร..ทานลูก..ทานเมีย..นี้นะ..เรา ๆ ที่บำเพ็ญแค่บารมี10 อย่างหยาบ ๆ อันเรียกว่าปุถุชน..ไม่มีทางไปเข้าใจความรู้สึกของพระเวสสันดรในขณะนั้นได้หรอกครับ..มันเกินวิสัยจะจิตนาการได้..(เคยได้เห็นมีใครเขาพยายามจะอธิบายถึงเหตุผลที่พระเวสสันดรทานลูกเมียแล้ว..ดูแล้วจะตื้น ๆ อยู่..ไม่ได้ละเอียด..ใช่แบบเหตุผลของปุถุชนแค่นั้น)

พระอรหันตเจ้า..รู้อริยสัจจ 4..เพราะศึกษา..แล้วภาวนา..ตามคำสั่งสอนของผู้ที่รู้แจ้งด้วยตนเองก็คือพระพุทธเจ้า..จนเข้าถึงจุดรู้ในอริยะสัจจ 4 ด้วยตัวเอง..ที่มักกล่าวว่า..มันเป็นปัจจตัง..แบบที่มีผู้บอกนำทางให้ก่อน..ก็เพราะสั่งสมบารมี 10 แค่อย่างหยาบมาเท่านั้น

จะเห็นว่า..ผู้ที่จะหมดกิเลส..จนพ้นทุกข์..ต่างก็สั่งสมความดี 10 อย่างที่เรียกว่าบารมี 10 กันมาทั้งนั้น..ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า..ไม่ว่าจะเป็นอรหันตเจ้า..ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ..อย่างที่พระพุทธองค์สอนว่า..ทุก ๆ อย่างมีเหตุมีปัจจัย..ไม่มีอะไรไม่เกิดแต่เหตุ

ท่านพระเยซู ท่านนบีโมฮำหมัดก็เข่นกันครับ(ขอสงวนเป็นความเชื่อส่วนตัวครับ ด้วยความเคารพ)...คุณ mes กลับไปศึกษา..ทศชาติ..ดูนะครับ..ผมให้คุณ mes คิดเล่น ๆ ว่า..ถ้าในสมัยนั้นเกิดมีผู้คนนับถือ..เคารพ..ใน..พระเตมีย์ใบ้ พระมหาชนก. สุวรรณสาม พระเนมิราช. พระมโหสถ พระภูริฑัต. พระจันทราช พระพรหมนารท. พระวิธูร พระเวสสันดร..แล้วเคารพกราบใหว้..เป็นไปได้ไหมครับ??..

ผมเคารพพระเยซู..ท่านนบีโมฮาหมัด..กราบและใหว้ได้ด้วยครับ..แต่ผมไม่ยึดเป็นสรณะ..เพราะยังไม่ถึงเวลาของท่านนะครับ..

พูดอย่างนี้คิดว่า..คุณ mes จะเข้าใจนะครับ

คำสอนเรื่องไม่ให้เห็นแก่ตัว ให้นอบน้อมถ่อมตน มีส่วนให้ละสังโยขได้

การไม่ให้เห็นแก่ตัว ให้นอบน้อมถ่อมตน ..เป็นบุญเป็นความดีที่ผู้อยากพ้นทุกข์..ต้องมี..เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ครับ

หากจะกลับไปดู..สังโยชน์ แม้จะเป็นเบื้องต่ำ..อย่างสักกายทิฎฐิ..วิจิกิจฉา..ศีลลัพตปรามาส..จะละได้จะสังเกตว่าต้องใช้กำลังของปัญญา..

ปัญญา..มาจากไหน..มาจากสัมมาสมาธิ
สัมมาสมาธิ..มาจากไหน..มาจากสัมมาทิฎฐิ
สัมมาทิฎฐิ..มาจากไหน..มาจากการเห็นทุกข์..เห็นสมุทัย..(แม้แรก ๆ จะเห็นอย่างคร้าว ๆ )
การเห็นทุกข์..มาจากไหน..ก็กลับมาที่ตัวปัญญาอีก

ดังนั้น..การจะละสังโยชน์ได้..มีความละเอียดอ่อน..มีเหตุมีปัจจัยมากมาย..สนับสนุนอยู่


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 04 ก.ค. 2010, 23:02, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 23:37
โพสต์: 31

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอนำคำกล่าวของครูบาอาจารย์ที่ท่านชี้แนะนำสั่งสอนสืบๆกันมาว่า
"พระโสดาบันคือผู้ที่เริ่มเข้าสู่กระแสพระนิพพานแล้ว หรือเป็นชาวบ้านชั้นดี แต่ชาวบ้านชั้นดีก็มีหลายระดับ มีทั้งสักตขัตตุง โกลังโกละ และเอกพพิชี" (เราไม่รู้ความหมายนักหรอก อย่างที่บอก) แต่ครูบาอาจารย์ท่านก็กล่าวต่อไว้ว่า พระโสดาบัน (เขารู้อยู่แล้วว่าเขาเป็น) ท่านจะไม่มานั่งไล่เบี้ยไต่เต้าทีละขั้นจากสกิทาคามี ไปอนาคามีแล้วค่อยอรหัตผล....ส่วนใหญ่ท่านจะมุ่งพระอรหันต์กันทั้งนั้น..." และท่านก็เล่าให้ฟังว่า "เมื่อผู้ปฏิบัติได้พระโสดาบัน ณ ที่นั่งใด..ท่านก็จะพยายามปฏิบัติให้เข้าถึงงความเป็นอรหัตผล ณ ที่นั่งนั้นเช่นกัน".... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 23:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 05:53
โพสต์: 17


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue โสดาบันจริงๆ ต้องทิ้งโกรธ โปรดปรานการอภัย ใจเย็นๆ เป็นพื้นฐานก่อนซี
:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2010, 06:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
ส่วนมรรคปฏิบัติการทำสมาธิมีทุกศาสนา

ในทุกศาสนานั้นผมเชื่อว่าคงมีศาสนิกของศาสนานั้นๆทำสมาธิแล้วเกิดปัญญาดวงตาเห็นธรรมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

ท่านพระเยซู ท่านนบีโมฮำหมัดก็เข่นกันครับ(ขอสงวนเป็นความเชื่อส่วนตัวครับ ด้วยความเคารพ)

คำสอนเรื่องไม่ให้เห็นแก่ตัว ให้นอบน้อมถ่อมตน มีส่วนให้ละสังโยขได้


ผมพอจะเข้าใจ คุณ mes บ้างแล้วละครับ :b12:

มรรคปฏิบัติการทำสมาธิมีทุกศาสนา..เห็นด้วยครับ

และ..ผลที่ได้จากสมาธิ..ก็มีเหมือนกันทุกศาสนา..ครับ.ผมก็เชื่ออย่างนี้เช่นกัน..แต่ผลของมิจฉาสมาธิ..กับ..สัมมาสมาธิ..มีผลไม่เหมือนกันนะครับ..อย่างไรจึงจะเรียกว่าสัมมาสมาธิ..อันนี้คิดว่าคุณ mes คงเข้าใจนะครับ

ในทุกศาสนานั้นผมเชื่อว่าคงมีศาสนิกของศาสนานั้นๆทำสมาธิแล้วเกิดปัญญาดวงตาเห็นธรรมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย...
ผมก็เห็นด้วยบางส่วนครับ..แต่เห็นธรรมตามนัยของพุทธคือเห็นอริยะสัจจ 4 มีมรรค 8 นะครับ พระพุทธองค์ก็ทรงเคยกล่าวใว้ชัดเจนว่า..ศาสนาใดที่สอนอริยะสัจจ 4 มีมรรค 8 แล้วศาสนิกนั้นก็ถึงพระนิพพานได้เช่นกัน..ตรงนี้สำคัญนะครับ..ไม่ใช่ว่าเราจะเข้าข้างศาสนาพุทธนะ..แต่ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นเอง

แล้วก็ลองมองดูซิครับ..ใครสอนอริยะสัจจ 4 บ้าง??..และการรู้ในอริยะสัจจ 4 ผมเชื่อว่า..ไม่ได้เกิดจากสมาธิ..ครับผม

พุทธเจ้า..รู้อริยะสัจจ 4 เพราะทรงบำเพ็ญบารมี 10 อย่างละเอียดอย่างยิ่งยวดเรียกว่า..บารมี 30 ทัศ..จนเต็ม..จึงเข้าถึงจุดรู้อริยะสัจจ 4 ด้วยพระองค์เองแบบไม่มีใครสอน..ดูแค่ตัวอย่าง..ทานบารมี..ในสมัยเกิดเป็นพระเวสสันดร..ทานไปได้อย่างไร..ทานลูก..ทานเมีย..นี้นะ..เรา ๆ ที่บำเพ็ญแค่บารมี10 อย่างหยาบ ๆ อันเรียกว่าปุถุชน..ไม่มีทางไปเข้าใจความรู้สึกของพระเวสสันดรในขณะนั้นได้หรอกครับ..มันเกินวิสัยจะจิตนาการได้..(เคยได้เห็นมีใครเขาพยายามจะอธิบายถึงเหตุผลที่พระเวสสันดรทานลูกเมียแล้ว..ดูแล้วจะตื้น ๆ อยู่..ไม่ได้ละเอียด..ใช่แบบเหตุผลของปุถุชนแค่นั้น)

พระอรหันตเจ้า..รู้อริยสัจจ 4..เพราะศึกษา..แล้วภาวนา..ตามคำสั่งสอนของผู้ที่รู้แจ้งด้วยตนเองก็คือพระพุทธเจ้า..จนเข้าถึงจุดรู้ในอริยะสัจจ 4 ด้วยตัวเอง..ที่มักกล่าวว่า..มันเป็นปัจจตัง..แบบที่มีผู้บอกนำทางให้ก่อน..ก็เพราะสั่งสมบารมี 10 แค่อย่างหยาบมาเท่านั้น

จะเห็นว่า..ผู้ที่จะหมดกิเลส..จนพ้นทุกข์..ต่างก็สั่งสมความดี 10 อย่างที่เรียกว่าบารมี 10 กันมาทั้งนั้น..ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า..ไม่ว่าจะเป็นอรหันตเจ้า..ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ..อย่างที่พระพุทธองค์สอนว่า..ทุก ๆ อย่างมีเหตุมีปัจจัย..ไม่มีอะไรไม่เกิดแต่เหตุ

ท่านพระเยซู ท่านนบีโมฮำหมัดก็เข่นกันครับ(ขอสงวนเป็นความเชื่อส่วนตัวครับ ด้วยความเคารพ)...คุณ mes กลับไปศึกษา..ทศชาติ..ดูนะครับ..ผมให้คุณ mes คิดเล่น ๆ ว่า..ถ้าในสมัยนั้นเกิดมีผู้คนนับถือ..เคารพ..ใน..พระเตมีย์ใบ้ พระมหาชนก. สุวรรณสาม พระเนมิราช. พระมโหสถ พระภูริฑัต. พระจันทราช พระพรหมนารท. พระวิธูร พระเวสสันดร..แล้วเคารพกราบใหว้..เป็นไปได้ไหมครับ??..

ผมเคารพพระเยซู..ท่านนบีโมฮาหมัด..กราบและใหว้ได้ด้วยครับ..แต่ผมไม่ยึดเป็นสรณะ..เพราะยังไม่ถึงเวลาของท่านนะครับ..

พูดอย่างนี้คิดว่า..คุณ mes จะเข้าใจนะครับ

คำสอนเรื่องไม่ให้เห็นแก่ตัว ให้นอบน้อมถ่อมตน มีส่วนให้ละสังโยขได้

การไม่ให้เห็นแก่ตัว ให้นอบน้อมถ่อมตน ..เป็นบุญเป็นความดีที่ผู้อยากพ้นทุกข์..ต้องมี..เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ครับ

หากจะกลับไปดู..สังโยชน์ แม้จะเป็นเบื้องต่ำ..อย่างสักกายทิฎฐิ..วิจิกิจฉา..ศีลลัพตปรามาส..จะละได้จะสังเกตว่าต้องใช้กำลังของปัญญา..

ปัญญา..มาจากไหน..มาจากสัมมาสมาธิ
สัมมาสมาธิ..มาจากไหน..มาจากสัมมาทิฎฐิ
สัมมาทิฎฐิ..มาจากไหน..มาจากการเห็นทุกข์..เห็นสมุทัย..(แม้แรก ๆ จะเห็นอย่างคร้าว ๆ )
การเห็นทุกข์..มาจากไหน..ก็กลับมาที่ตัวปัญญาอีก

ดังนั้น..การจะละสังโยชน์ได้..มีความละเอียดอ่อน..มีเหตุมีปัจจัยมากมาย..สนับสนุนอยู่


ขอบคุณท่านกบครับสำหรับความรู้ที่กว้างขวาง

การบรรลุธรรมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

องค์ประกอบมีมากมาย

เราสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเหมือนเป็นการเตือนสติซึ่งกันและกัน

และช่วยกันขบคิดพระธรรมอันลึกซึ้งของพระตถาคต

เราแบ่งปันความคิดกัน

และศึกษาความรู้ของท่านผู้รู้ที่นำมาเป็นวิทยาทาน

ขอบคุณท่านกบที่ชี้แนะครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2010, 01:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร