วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 02:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 22:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉบับที่4/5 ถาม-ตอบปัญหาธรรม หลวงพ่อมนตรี ป่าละอู ไฟล์วันที่ 26 มี.ค.53


01.53.20 โยมผู้หญิงคนหนึ่งถามว่า การดูเงาของจิต เหตุใดผู้ปฎิบัติจึงรู้สึกว่า ความทุกข์น้อยลง

-- หลวงพ่อ -- มันอาจจะได้ผล แต่การตามดูเงาของจิตนั้นเป็นงานที่ไม่มีวันจบ มันเป็นปลายเหตุไม่ใช่ต้นเหตุ อาจจะทันความคิดบ้างแต่ก็จะเกิดขึ้นอีกไม่รู้จบ


โยมคนเดิมถามต่อว่า การดูเงาของจิต ช่วยได้แค่ไหน ในการดำเนินชีวิต

-- หลวงพ่อ -- เป็นการบรรเทาเป็นระดับ ๆ ไป ท่านยกตัวอย่างว่า เหมือนเราเห็นรูปสวยเกิดกามราคะ เราก็พิจารณา อสุภะ เป็นการบรรเทากามราคะนั้น แต่มันจะไม่ขาดเพราะจิตรับอารมณ์ได้ครั้งละ อย่างเดียวเท่านั้น แล้วก็จะเกิดอีกไม่รู้จบ

แต่กับคนที่ดูจิตเป็น พอเห็นรูปสวย มันกลับมาดูที่จิต จิตไม่ปรุงให้เกิดกามราคะ มันทันกับความคิด แต่การดูเงาของจิตนั้นท่านไม่ขอพูดถึงว่าจะถึงที่สุดแห่งทุกข์หรือไม่ เพราะมันยังไม่ใช่ตัวจิตจริงๆ ยิ่งไม่มีกำลังแล้วไปนั่งคิดเอาเอง จะไม่มีกำลังไปหักล้างกิเลสได้เลย ท่านว่าครูบาอาจารย์ถึงต้องสอนทำกรรมฐานก่อน เพราะสติประจำธาตุขันธ์ ยังอ่อนและบอบบางเกินไปไม่สามารถยั้งอารมณ์ได้ ท่านเน้นเรื่องทำกำลังเป็นอย่างมาก

01.56.40 โยมผู้ชายคนหนึ่ง ขอให้ท่านขยายความคำว่า สติประจำธาตุ ประจำขันธ์

-- หลวงพ่อ -- สติที่คนทั่วไปมีอยู่ไม่สามารถยับยั้งอารมณ์ได้ ให้ไปถามคนที่ก่อคดีฆ่าคนตายแล้วติดคุก เพราะเผลอไป ขาดสติ สติมันไม่พอกับอารมณ์แรงๆ พระที่เราเห็นนั่งสมาธิหรือเดินจงกรม ก็เพื่อเอาสติไว้รักษาจิต จากขณิกสติไปถึงมหาสติ มหาสติจะกลั่นตัวเป็นญาณปัญญา เพื่อขูดล้างกิเลส ปัญญาสุดท้ายนั้นสำคัญมาก ท่านอุปมาว่า เรามีกาต้มน้ำอยู่หนึ่งใบ ใช้ 3 เดือนไม่เคยขัดก้นหม้อเลย ก้นหม้อดำปือเลย พอหลวงพ่อจะไปฉันท์ที่บ้าน ก็เอาผ้าขาวบางไปขัดมันจะออกไม๊ คงต้องใช้สก๊อตไบรท์ ท่านสรุปว่าถ้าเราไม่มีกำลัง จิตจะถูกกิเลสลากไป โยมที่มาเล่าผลการปฎิบัติให้ท่านฟัง บ่อยครั้งที่มาเล่าถึงอาการหรือเงา ของจิตได้อย่างละเอียดมาก แต่มันไม่ใช่ตัวจิต ให้ย้อนมาดูที่ตัวจิต

01.59.00 โยมผู้หญิงคนหนึ่งเล่าประสบการณ์ว่า นั่งอยู่ในเต๊นท์ที่เกิดพายุ แต่จิตสงบ ตอนหลังจึงวิ่งหนีออกมาและเต็นท์ได้พังลง ถ้ายังอยู่ในเต็นท์แต่จิตสงบเป็นสมาธิและเสียชีวิต จะไปที่ไหน

-- หลวงพ่อ -- ถ้าตายตอนจิตสงบเป็นสมาธิอาจ จะไปเป็นพรหม แต่ถ้าอยู่กับรู้ อยู่กับว่าง ก็จะไปเป็นขั้นตอนเพราะเหนือกว่าสมาธิ แต่ท่านไม่รู้ว่า ผู้ถามอยู่ในอารมณ์ไหน แต่รู้อย่างนึงว่า ตอนวิ่งออกมาอยู่ในอารมณ์กลัว รวมความแล้วท่านว่า ท่านก็ไม่ใช่ยมบาลแต่น่าจะไปสุคติภูมิ

02.04.20 โยมผู้หญิงถามถึงประกาศป่าละอู ท่านยืนยันเป็นครั้งที่สาม

02.15.10 (คำถามเสียงไม่ชัดเจน-boonga)

ท่านอธิบายว่า ว่างอยู่คู่กับจิตแต่อย่าไปทำจิตว่าง เพราะเป็นการทำผล ให้ทำที่เหตุก่อน กระทบแล้วให้กลับมาที่เหตุ ธรรมชาติของความคิดมันปรุงแต่ง เรารู้ทันมันดับ

02.16.40 โยมผู้ชายพูดถึงเวปแอนตี้วิมุตติ ว่าทางสวนพุทธธรรมเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่

-- หลวงพ่อ -- เวปแอนตี้วิมุตติก็เป็นสุภาพบุรุษที่ออกมายืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับพระหรือคณะใด แม้กระทั่งบ้านอารีย์หรืออดีตกรรมการที่ลาออกไป

แต่เป็นคณะที่เคยภาวนาอยู่ในสวนสันติธรรมแล้วออกมาเปิดเวปแอนตี้วิมุตติ และท่านยืนยันว่าทางสวนพุทธธรรมไม่เกียวข้องใดๆทั้งสิ้น

หน้าที่ของท่านอย่างเดียวคือพาพระปฎิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ท่านว่า ไม่ว่าจะเป็นที่หอฉันท์ หรือที่อื่น ท่านน้อมนำเอาพุทธโอวาส มาติดไว้ว่า "การที่เราออกบวช ไม่ได้ต้องการชื่อเสียง หรือต้องการให้คนกราบไหว้ หรือ .....แต่เพื่อการพ้นทุกข์เพียงประการเดียว" เป็นคำที่ท่านประทับใจตั้งแต่ก่อนบวชและจะปฎิบัติตามพระพุทธองค์ แม้แต่กิจนิมนต์ก็ไม่รับ กฐินก็ไม่รับ มีผู้ใหญ่หลายท่านจะนำกฐินมา ถวายแต่ท่านกลัวความสงบของสวนพุทธธรรมจะหายไปจึงไม่รับใดๆ ท่านว่า ท่านก็อยู่อย่างยากจนตามประสาของท่าน วันอาทิตย์ญาติโยมมาก็มาช่วยกันแบ่งเบาภาระกันไป

ท่านชื่นชมความเป็นสุภาพบุรุษของเวปแอนตี้วิมุตติที่ออกตัวว่า ไม่เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น

02.20.10 โยมผู้หญิงถามว่า ถ้าทำสมาธิมาแล้วตามดูเงาของจิต กำลังของสมาธิจะช่วยให้กลับมาดูที่ตัวจิตได้หรือไม่

-- หลวงพ่อ -- ถ้าไม่มีกัลยาณมิตรแนะนำ กำลังที่มีก็จะตะปปเงาดับแล้วเกิดใหม่เพราะไม่ใช่ตัวจิตจริงๆ จนกว่าจะมีกัลยาณมิตรมาชี้ให้ดูที่ตัวจิต

ท่านประทับใจคำที่หลวงปู่ดูลย์พูดไว้ว่า"อย่าส่งจิตออกนอก" 5 คำนี้ ผู้ที่มีปัญญาจะสามารถไปแจกแจงได้อีกมากมาย

คำนี้เหมือนหลวงปู่ท่านแง้มประตูนิพพานให้ ท่านไม่แจกแจงให้ฟังเพราะกลัวจะเป็นสัญญา

ฤาษีชีไพรมีสมาธิถึงกับสามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้แต่ไม่มีกัลยาณมิตรแนะนำคือพระพุทธเจ้า จึงไม่เข้าถึงการดับทุกข์จริงๆ

ท่านยกคำของพระพุทธองค์ที่ว่า "การประพฤติพรหมจรรย์ถ้าเธอได้กัลยาณมิตร ที่ดี เสมือนหนึ่งการประพฤติพรหมจรรย์ของเธอจะสำเร็จตลอดสาย" ท่านเน้นว่า "สำเร็จตลอดสาย" "เธอโชคดีที่ได้ตถาคตเป็นกัลยาณมิตร" กัลยาณมิตรสำคัญมาก "บุคคลจะพ้นทุกข์ไม่ใช่ด้วยกำลัง บุคคลจะพ้นทุกข์ด้วยปัญญา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 12:55
โพสต์: 26

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.."การประพฤติพรหมจรรย์ถ้าเธอได้กัลยาณมิตรที่ดี
เสมือนหนึ่งการประพฤติพรหมจรรย์ของเธอจะสำเร็จตลอดสาย" ท่านเน้นว่า "สำเร็จตลอดสาย"

"เธอโชคดีที่ได้ตถาคตเป็นกัลยาณมิตร" กัลยาณมิตรสำคัญมาก

"บุคคลจะพ้นทุกข์ไม่ใช่ด้วยกำลัง บุคคลจะพ้นทุกข์ด้วยปัญญา"..


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 17:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 14:54
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นที่แตกต่างทำให้เกิดปัญหา เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์คือพระธรรมนำความสุขที่แท้จริงมาสู่ชีวิต พ้นทุกข์ หนีวัฎฏสงสารได้แน่นอน
สาธุครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉบับที่ 5/5 ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม หลวงพ่อมนตรี ป่าละอู ไฟล์วันที่ 26 มี.ค.53

02.22.30 โยมผู้ชายถามท่านว่า พอกระทบอารมณ์ สติมันตัดไปไม่ถึงเสี้ยววินาที หากปฎิบัติไปแบบนี้......

-- หลวงพ่อ -- ให้สังเกตุว่าสติตัดหรือไปกดบังคับหรือไม่ หากเป็นสติจะมีความนุ่มนวลกว่า และให้ลองกระทบผัสสะแรงๆหากสติตัดทันที ท่านว่า"จะเตรียมผ้าไตรไว้ไห้บวชเลย"

ท่านเล่าผลการปฎิบัติของโยมคนนึงให้ฟังว่า ปฎิบัติมาในแนวของหลวงพ่อเทียน ปฎิบัติได้ดีมาก สติตัดได้เร็วมากแต่ไปต่อไม่ได้เพราะไม่มีผู้แนะนำ

ต่อมามีคนแนะนำให้ไปที่สำนักหนึ่ง ได้รับการสอนว่า "ให้ดูรูปนามให้เห็นไตรลักษณ์ ถึงจะวาง เป็นวิปัสสนาได้" โยมคนดังกล่าวก็เชื่อและกลับไปทำตามที่อาจารย์ท่านนั้นแนะนำ

แต่กลับยิ่งฟุ้งซ่านกว่าเดิม เพราะจิตไม่ยอม ท่านใช้คำว่า" ตรงว่างไม่เอา ไปเอาอะไร" หมดอาลัยตายอยากที่จะปฎิบัติต่อ ต่อมามีเพื่อนชวนให้มาหาท่าน ในตอนแรกก็อิดออดกลัวจะซ้ำรอยเดิม แต่ก็ยอมมาในภายหลัง

ท่านใช้คำว่า"ลูกรู้ไม๊จิตของลูกมันพ้นความคิคไปแล้ว มันไม่ต้องการความคิดอีกแล้ว มันทิ้งพุทโธ ไปอยู่กับว่างแล้ว จะให้กลับไปหาพุทโธอีกมันรำคาญ มันไม่เอา" ท่านอุปมาว่า เหมือนเราเดินสะพานไม้แคบๆ แรกๆเราก็จับราวสะพาน แต่พอเราเดินจนคล่องแล้วก็ไม่ต้องจับราวแล้ว มันหมดความคิดแล้วจะให้กลับไปหยิบเอาความคิดขึ้นมาอีกเพื่ออะไร

ไตรลักษณ์นั้นไว้ใช้เวลาจิตยังดื้ออยู่ หลุกหลิกต้องอาศัยไตรลักษณ์ไปก่อน แต่โยมคนนั้นผ่านตรงนี้ไปแล้ว

02.26.40 โยมถามต่อว่าบางครั้งสติก็เอาไม่อยู่ ต้องย้ำ

-- หลวงพ่อ -- บางครั้งเราต้องลดเพดานบินลงเมื่อเจอผัสสะแรงๆ ถ้าสติเอาไม่อยู่ก็ต้องใช้ความคิดช่วย เช่นเจอคนที่ทำให้โกรธก็ใช้ความคิดช่วยว่าเราปฎิบัติอย่างนี้ อย่าไปใส่ใจดีกว่า ต่อไปจิตก็จะค่อยๆฉลาดขึ้นเรื่อยๆไม่ต้องใช้ความคิดช่วย เป็นอุบายช่วยในการภาวนา ถ้าคะแนนเต็ม100 ท่านให้ 50 เพราะยังใช้อามิสช่วย

02.30.30 โยมผู้ชายคนหนึ่งถามท่านว่า หากสติตัดอย่างเร็วอย่างโยมคนก่อน จะเป็นการตะครุบเงาจิตหรือไม่

-- หลวงพ่อ -- ไม่ หากสติตัดคือรู้ทันไม่ตามอาการของจิตเช่นโกรธแล้วรู้ทัน ไม่ไปดูที่โกรธแต่ย้อนกลับมาดูที่จิต

ธรรมชาติของความคิดเมื่อรู้ทัน มันดับ ถ้าเราไปดูเงาของจิตมันจะลากเราไปด้วย ท่านว่า อย่าเพ่ง อย่าจ้อง อย่าห้าม อย่าตาม ให้เป็นผู้ดูเฉยๆ

อุปมาเหมือนมีจอมปลวก ไก่กำลังจิกกินปลวก เมื่อปลวกเดินออกมาจากรัง ไก่จะจิกเฉพาะตัวที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ถ้าปลวกตัวไหนวิ่งผ่านไป ไก่ก็จะไม่ไล่ตาม ถ้ายังไม่ออกมา ไก่ก็ไม่เข้าไปล้วงในรัง เหมือนเราปฎิบัติได้บ้างไม่ได้บ้าง ต่อไปก็จะเป็นธรรมชาติขึ้นนุ่มนวลขึ้น

02.31.42 อารมณ์โกรธ โลภ หลง ก็ให้ดูไปที่ตัวพวกนี้ตรงๆใช่หรือไม่

-- หลวงพ่อ -- ให้ย้อนกลับมาดูที่ตัวต้นเหตุ ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นปลายเหตุ อุปมาเหมือนเราเห็นนิมิตรเป็นไฟหรืออื่นๆอย่าไปดูนิมิตรให้ย้อนกลับมาดูที่ตัวจิต นิมิตรก็จะหายไป ตัวอย่างเช่น ถ้าเราใช้พุทโธ เกิดไปเห็นเทวดาต่างๆอย่าตามไปดูเทวดาให้กลับมาดูที่จิต นิมิตรก็จะหายไป จิตก็เลื่อนขั้นขึ้นเพราะเราไม่ติดในมายาเหล่านั้น

02.32.36 ท่านแนะนำให้สังเกตุว่าที่เราทันความคิดเพราะเราเพ่งจ้องหรือไม่ ถ้ามีเพ่งจ้องเข้ามาเกี่ยวข้องก็เป็นอามิสท่านใช้คำว่า"เป็นรู้ ที่มอมแมม" ถ้าไม่มีอามิส เราปฎิบัติไปเรื่อยๆ ท่านใช่คำว่า"กระทบร่อน"

02.33.20 โยมผู้หญิงถามว่าถ้าคิดปั๊ปสติตัดปุ๊ป กำลังสติต้องดีใช่ไม๊

-- หลวงพ่อ -- ใช่แต่ต้องดูว่ามีเพ่งบังคับด้วยหรือไม่ เช่นตัวโกรธนั้นไม่ธรรมดา

02.33.37 โยมผู้หญิง รู้ว่าโกรธแต่มันกรุ่นอยู่

-- หลวงพ่อ -- นั้นเป็นการรู้ความคิด ไม่ใช่เห็นความคิด ต้องมีกำลังในการปฎิบัติ

02.34.12 โยมผู้ชายถามว่า จิตเป็นจิตหรือจิตเป็นวิญญาณขันธ์

-- หลวงพ่อ -- ท่านไม่ตอบตามที่ถามท่านว่าเอาปริยัติมาถาม

แต่ท่านจะขอตอบในแบบหลวงปู่ดูลยบ์ว่า "เฮ้ย...มันคิดตรงไหน ก็ดูมันตรงนั้นแหละ" ไม่ต้องไปแยก ให้ดูตรงนั้นก่อน ทันบ้างไม่ทันบ้างก็ไม่เป็นไร ต่อไปเราแกร่งกล้าขึ้นเราจะเห็นชัดขึ้น เรื่อยๆ

ถ้าตอบไปแบบที่ถามก็จะเป็นสัญญา ไปนั่งแยกตามที่ตอบ มีคนเคยอ่านหนังสือ"จิตคือพุทธะ"แล้วมาถามท่าน แต่ท่านไม่เคยตอบให้กลับไปดูที่จิต ต่อมาเมื่อปฎิบัติจนเห็นเองจึงเข้าใจได้เอง

ในแนวของท่าน ท่านไม่ต้องการให้ไปนั่งคิดแยกรูป นาม-กายใจแต่ให้ทันกับความคิดโดยใช้กำลังของสติ ในปฎิจสมุปบาท อวิชาทำให้เกิดสังขาร.......... เราไม่มีหน้าที่ห้ามตา หู ..... หน้าที่ของเราคือห้ามใจ กระทบแล้วรู้ทัน เวทนาก็ไม่เกิด ภพ ชาติ สังขารมันเกิดตรงนี้ ทำยังไงให้เราจะทันกับความคิด

02.36.38 โยมผู้ชายถามว่าถ้าเราทันความคิดก็เหมือนเราตัดเสบียงมัน

-- หลวงพ่อ -- จิตของเราว่างอยู่เป็นปกติ แต่กิเลสเป็นอาคันตุกะเข้ามาในใจเรา เราทำเพื่อคืนสภาพเดิมให้กับจิต คือว่างอยู่ รู้อยู่ ว่างเฉยๆเป็นโมหะ ต้องรู้ด้วย

แต่ไม่ได้หมายความว่าปุบปับตัดทุกอย่างแต่ต้องรู้ก่อนด้วย ท่านว่า จงรู้ทุกอย่างที่จิตรู้

อาจารย์บางท่านแย้งบอกว่าจิตมันฉลาด จะตัดเอง

ท่านว่า ฟังให้ดีๆนะ จงรู้ทุกอย่างที่จิตรู้แต่อย่าติดในรู้นั้น จิตจะเป็นปัจจุบันตลอด แม้แต่นิมิตรเป็นรูป กลิ่น อะไรต่างๆ ไม่เอา เพราะเราจะคืนสภาพจิตเดิม จิตเดิม คือว่างอยู่ รู้อยู่ ในว่างอยู่ รู้อยู่จะมีสุข มีทุกข์ มีดีใจ เสียใจได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่างได้อย่างไร

ท่านยกตัวอย่างพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งพาคณะมา 10 กว่าท่าน คำพูดท่านคนฟังแล้วจะเข้าใจว่าท่านเสร็จกิจแล้ว มันว่าง ไม่มีอะไรเลย แต่ตัวหลวงพ่อมนตรีท่านชักจะรู้แล้วว่าไม่ใช่อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่จะบอกต่อหน้าลูกศิษย์ที่มาด้วยก็ไม่ได้ ต่อมาพระผู้ใหญ่ที่กล่าวถึงได้เล่าให้ท่านฟังว่า ไปดูเขื่อนโดยยืนอยู่บนสันเขื่อน มองลงไป รู้สึกเสียว หลวงพ่อท่านได้โอกาสท่านจึงแย้งว่า ท่านอาจารย์ สงสัยจะไม่ใช่แล้วในว่างยังมีเสียวอีก ถ้าอย่างนั้นไม่ว่างซะแล้ว เพราะเสียวเป็นการปรุงแต่ง ท่านสอนต่อว่า มันไม่ได้เป็นความว่างที่ทื่อๆ แต่ในความว่างมันมีความคมคาย ไม่มีชื่อเรียก ท่านว่า"มันเป็นอย่างนั้นเอง"

*ท่านกล่าวขอโทษและขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาในวันนั้น*


--------------------------------------------------------------------------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ

ผมลงถาม-ตอบ ปัญหาธรรม ครบแล้วนะครับ ผมคงหมดส่วนความรับผิดชอบของผมแค่นี้ ที่เหลือคือแต่ละท่านจะพิจารณาอย่างไรก็สุดแล้วแต่ ผมคงไม่มาถกทางธรรมด้วยเพราะผมเองไม่มีภูมิพอ แล้วก็เห็นว่าถ้าจะถกคงจะต้องเถียงกันไม่จบ คน 10 คน มองสิ่งเดียวกันยังเข้าใจไม่เหมือนกัน นับประสาอะไรกับของละเอียดอ่อนอย่างธรรมะ เรา ท่านต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งทางโลกและทางธรรม ผมก็เช่นกันครับ

ผมขอนำคำกล่าวของหลวงพ่อมนตรีให้ท่านลองพิจารณาครับ

"การประพฤติพรหมจรรย์ถ้าเธอได้กัลยาณมิตรที่ดี
เสมือนหนึ่งการประพฤติพรหมจรรย์ของเธอจะสำเร็จตลอดสาย" ท่านเน้นว่า "สำเร็จตลอดสาย"
"เธอโชคดีที่ได้ตถาคตเป็นกัลยาณมิตร" กัลยาณมิตรสำคัญมาก
"บุคคลจะพ้นทุกข์ไม่ใช่ด้วยกำลัง บุคคลจะพ้นทุกข์ด้วยปัญญา"


ผมทำดีที่สุดแล้ว

ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 12:55
โพสต์: 26

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ คุณ boonga มากค่ะที่กรุณาน้อมนำธรรมะของหลวงพ่อมนตรีมาให้พิจารณา
ประพฤติ ปฏิบัติตาม ใครที่ได้ไปเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ เป็นผู้มีบุญวาสนายิ่งนัก
บัวสีน้ำเงิน ไม่เคยไปกราบท่านโดยตรง ไม่เคยเห็นองค์จริง
แต่จากที่คุณนำธรรมะที่เกิดจากการปฏิบัติของท่าน มาเล่าสู่ฟัง
บัวสีน้ำเงินเชื่อแน่น่อน ว่าภูมิธรรมหลวงพ่อสูงส่ง สิ้นสงสัย
ท่านเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นพระลูกศิษย์แท้ๆของหลวงปู่ดูลย์

หากคุณมีเวลา ขอแนะนำให้คุณเริ่มรวบรวมคำสอนของหลวงพ่อมนตรี จดเอาไว้
ท่านเทศน์สอนวันที่เท่าไร สอนว่าอย่างไร
รวมทั้งควรเริ่มรวบรวมประวัติของท่านได้แล้ว ชักชวนกันรวบรวมในหมู่ลูกศิษย์
เก็บข้อมูลไว้ ต่อไปในภายภาคหน้า อาจจะได้รวมเป็นเล่ม เป็นหนังสือที่มีคุณค่ามหาศาล
บัวสีน้ำเงินขอจองล่วงหน้าเล่มหนึ่ง

พระที่ดี พระเพชรแท้หายากยิ่ง
นับจากวันนี้ไป เรามาเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมไปด้วยกันนะคะ
แม้เราจะอยู่กันคนละแห่ง เราต่างปฏิบัติตามครูบาอาจารย์ผู้ทรงมรรคทรงผล
เราย่อมพบกันที่เส้นชัยแน่นอน
คุณทำดีที่สุดแล้วค่ะ ขออนุโมทนา :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 13:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวสีน้ำเงิน เขียน:
ขอบคุณ คุณ boonga มากค่ะที่กรุณาน้อมนำธรรมะของหลวงพ่อมนตรีมาให้พิจารณา
ประพฤติ ปฏิบัติตาม ใครที่ได้ไปเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ เป็นผู้มีบุญวาสนายิ่งนัก
บัวสีน้ำเงิน ไม่เคยไปกราบท่านโดยตรง ไม่เคยเห็นองค์จริง
แต่จากที่คุณนำธรรมะที่เกิดจากการปฏิบัติของท่าน มาเล่าสู่ฟัง
บัวสีน้ำเงินเชื่อแน่น่อน ว่าภูมิธรรมหลวงพ่อสูงส่ง สิ้นสงสัย
ท่านเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นพระลูกศิษย์แท้ๆของหลวงปู่ดูลย์

หากคุณมีเวลา ขอแนะนำให้คุณเริ่มรวบรวมคำสอนของหลวงพ่อมนตรี จดเอาไว้
ท่านเทศน์สอนวันที่เท่าไร สอนว่าอย่างไร
รวมทั้งควรเริ่มรวบรวมประวัติของท่านได้แล้ว ชักชวนกันรวบรวมในหมู่ลูกศิษย์
เก็บข้อมูลไว้ ต่อไปในภายภาคหน้า อาจจะได้รวมเป็นเล่ม เป็นหนังสือที่มีคุณค่ามหาศาล
บัวสีน้ำเงินขอจองล่วงหน้าเล่มหนึ่ง

พระที่ดี พระเพชรแท้หายากยิ่ง
นับจากวันนี้ไป เรามาเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมไปด้วยกันนะคะ
แม้เราจะอยู่กันคนละแห่ง เราต่างปฏิบัติตามครูบาอาจารย์ผู้ทรงมรรคทรงผล
เราย่อมพบกันที่เส้นชัยแน่นอน
คุณทำดีที่สุดแล้วค่ะ ขออนุโมทนา :b8:


ขอคุยเรื่องส่วนตัวนิดนึงนะครับ

คุณแมวแก่เคยบอกผมว่า การที่หลวงพ่อมนตรีท่านออกประกาศป่าละอูและอีเมล์ 3 ฉบับ มากที่สุดคือการที่ท่านเปิดวัดวันที่ 26 มี.ค.นั้น ท่านเมตตาพวกเราที่สุดแล้ว ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจหรอกครับ ว่าหมายความว่าไง แต่หลังจากที่ได้คุยกับคุณแมวแก่มากเข้า ผมถึงได้เข้าใจว่าท่านเมตตาเรามากจริงๆ เพราะปกติท่านไม่ยุ่งกับทางโลกมากนัก ปฎิปทาท่านคือพาพระเร่งความเพียร ท่านยอมให้โดนแอบอ้างมาเป็น 10 ปี ท่านยังไม่สนใจ ถ้าคราวนี้ผมไม่ได้รับความเมตตาที่ท่านหยิบยื่นให้ ก็คงไม่มี boonga ออกมาพูดเรื่องราวต่างๆ ผมถึงได้บอกให้ทุกท่านใช้ความเมตตาของท่านให้เป็นประโยชน์สูงสุด ความจริงถ้าทุกท่านได้อยู่ในเหตุการณ์วันที่ 26 บรรยากาศและภาษากายของท่านก็เพียงพอที่จะทำให้เชื่อตามประกาศป่าละอูทั้งหมดได้ไม่ยากเลย

ส่วนตัวผม ได้กราบท่านครั้งแรกก็วันนั้นละครับ แต่เคยได้อ่าน "บันทึกธรรม" ที่ท่านเขียนเป็นบันทึก ขณะออกวิเวกที่ป่าห้วยขาแข้ง ก็เกิดศรัทธาท่านมากแต่ก็ไม่รู้ที่ตั้งของวัดท่าน วันนั้นก็ไม่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ท่านหรอกครับ รู้สึกว่าเราไม่คู่ควรจะเป็นศิษย์ท่าน ท่านบริสุทธิ์เหลือเกิน แต่ก็นำคำแนะนำที่ท่านเมตตาบอกให้มาลองปฎิบัติดู จึงได้รู้ว่าแตกต่างกับที่เคยปฎิบัติอย่างสิ้นเชิง

ถ้าคุณจะยอมฟังผม ขอให้พิสูจน์เรื่องการดูจิตด้วยตัวท่านเองเถิดครับ จะด้วยการปฎิบัติหรือสอบถามจากหลวงพ่อมนตรีท่านก็ตามสะดวก ท่านอายุมากแล้วนะครับและท่านเป็นศิษย์หลวงปู่แท้ๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป และคุณจะเสียเวลาไปมากกว่านี้

ผมเคยคิดจะรวบรวมคนให้ได้ 14 คนแล้วให้หารค่ารถกัน ไปกราบท่านและกราบเรียนถามกับท่านโดยตรง ผมคำนวณคร่าวๆก็อยู่ที่ประมาณ ไม่เกิน 250/คน แต่ตอนนี้เลิกคิดแล้วครับ รู้สึกว่าคนเราถ้าไม่ยอมเปิดใจจะพิสูจน์ ก็เสียเวลาเปล่า

ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2010, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านเมตตามอบแนวทางการภาวนาขั้นเริ่มต้น เป็นกระดาษมันสีเหลืองอ่อนกว้างประมาณ ฝ่ามือครับในนั้นเขียนไว้ว่า

"สติ....เมื่อถูก ประกอบให้ สมบูรณ์ มากขึ้นๆแล้ว สติตัวนี้นี่เองจะแผลงเป็น มรรคปัญญา หรือ ปัญญาญาณอันทรงพลัง เป็นญาณที่เพียบพร้อมไปด้วย วิชชา คือ ความรอบรู้ เมื่อวิชชาคือความสว่างไสวด้วยปัญญาเกิด อวิชชา คือ ความหลงโง่งม ความมืดบอด ก็จะถูกขับไล่ไปทันที ดังนั้น ความสมบูรณ์แห่งมรรคปัญญามากเพียงใด,ความเข้าใจกฎแห่งชีวิตและการ เข้าใจ และรู้จักตัวเองยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

ความคิด ......เป็นเสมือนต้นตอของชีวิต. ทุกชีวิตมิได้มีความเป็นเอกภาพแห่งตัวเอง. จะต้องตกอยู่ในอิทธิพลของ ความ คิด เมื่อความคิดถูกมรรคปัญญาควบคุม... สังขารตัวปรุงก็จะถูกขจัดไป. จะเหลือเพียงเนื้อแท้แห่งความผุดผ่องของความคิดของฝ่ายสัมมาทิฐิ ล้วนๆ.
จงทำความรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะ ใช้สติเฝ้ามองดู ความคิด ทุก ภาวะที่เกิด นี่เป็นวิถีทางที่จะรีดกระแสชีวิตของเราให้เรียวบางลงจากการห่อหุ้ม ของ โมหะ โทสะ โลภะ อันเสมือนเปลือกและกะพี้ของชีวิต ก็จะเหลือเพียงแก่นอันกลมกลึงเสลาบริสุทธิ์ล้วนๆของชีวิต


(หน้า2) เอกภาพแห่งชีวิตจะมีขึ้นก็จะต้องเริ่มจาก ความ รู้สึกตัว ทั่วพร้อม (สติ-สัมปชัญญะ) ก่อน,ทำอยู่เสมอๆ เป็นประจำๆ แล้วใช้สติคอยดูความคิดที่เกิดขึ้นเป็นประจำๆเสมอๆเช่นกัน....วัน แล้ววัน เล่า.....เดือนแล้วเดือนเล่า,อย่าเบื่อ....อย่าท้อแท้....อิดหนา ระอาใจ.จง คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเสริมความสมบูรณ์ให้กับชีวิต

จิตคิด เป็น สมุทัย
ผลที่จิตคิด เป็น ทุกข์
จิตหยุดคิด เป็น มรรค
ผลที่จะหยุดคิด เป็น นิโรธ
"จงรู้ทุกอย่างที่จิตรู้.........แต่อย่าติดในรู้นั้น"
"หยุดปรุง หยุดคิด จิตสงบ ปล่อยว่าง...วางเฉย"
พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย เป็นผู้มีจิตหยุดคิด (หยุดปรุงแต่ง) แล้วโดยสิ้นเชิง
อาภัสโร ภิกขุ
สวนธรรม "สุญญตะวิโมกข์"
นครปฐม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2010, 10:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1(ล.).jpg
1(ล.).jpg [ 54.8 KiB | เปิดดู 7140 ครั้ง ]
หลักการภาวนาเบื้องต้น หลวงพ่อมนตรี ป่าละอู อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ


แก้ไขล่าสุดโดย boonga เมื่อ 25 มิ.ย. 2010, 10:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2010, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




2(ล.).jpg
2(ล.).jpg [ 55.27 KiB | เปิดดู 7143 ครั้ง ]
ทำไมรูปข้างบนมันออกมาใหญ่โตมโหฬารอย่างนี้หนอ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 11:35
โพสต์: 48

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนา สาธุ กับคุณ boonga เป็นอย่างสูงค่ะ

อ่านแล้วมีประโยชน์มากๆๆๆ ได้ทราบ ถึงการปฏิบัติธรรม สายหลวงปู่ดูลย์ที่ถูกต้อง
ต้องฝึกอย่างไรค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2010, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:34
โพสต์: 173

ชื่อเล่น: เจ้ก
อายุ: 23

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนากับท่าน boonga น่ะครับ ที่เอาสิ่งดีๆและข้อธรรมดีๆมาฝากครับ
อ่านแล้วน้ำตาจะไหลอ่ะครับ มันรู้สึกปราบปลื้มกับกิจวัตรอันบริสุทธิ์ของหลวงปู่มากเลยครับ
ขอบพระคุณมากครับ :b8:

.....................................................
จะขอเป็นแก้วน้ำที่ว่างเปล่า..เพื่อเติมเต็มธรรมที่ขาดหาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2011, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 103

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ได้เข้ามานานมาก เอาคติธรรมจากท่านมาเพิ่มครับ

" ถ้าเราออกเดิน จะมาก-น้อย ต้องได้ระยะทาง "


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร