วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2010, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธ เป็นมนุษย์หรือเทวดา

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2010, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




buffalo-talaynoi-16032009_037_preview.jpg
buffalo-talaynoi-16032009_037_preview.jpg [ 33.07 KiB | เปิดดู 8056 ครั้ง ]
เราละอาสวะได้แล้ว ถอนรากเสียแล้ว..หมดสิ้น ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีกต่อไป

เปรียบเหมือนดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก เกิดในน้ำ โตในน้ำ แต่ตั้งอยู่พ้นน้ำ ไม่ถูกน้ำฉาบติด

ฉันใด

เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดในโลก เติบโตขึ้นในโลก แต่เป็นอยู่เหนือโลก ไม่ติดกลั้วด้วยโลกฉันนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2010, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พุทธพจน์ต่อไปนี้ให้แง่คิดหลายอย่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2010, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธ เป็นมนุษย์หรือเทวดา

คติพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับเทวดา เมื่อปฏิบัติให้ถูกต้องด้วยความเข้าใจ ก็ทำให้ชาวพุทธอยู่ร่วมกันได้ด้วยดี

กับผู้ที่ยังนับถือเทพเจ้า พร้อมทั้งสามารถรักษาหลักการของตนไว้ได้ด้วย

อย่างไรก็ดี บางท่านสังเกตว่า ท่าทีเช่นนี้ทำให้พระพุทธศาสนาเสียเปรียบ เพราะคนทั่วไปมีความโน้มเอียง

ในทางที่จะไม่มั่นใจตนเอง และขี้เกียจจะคิดเหตุผล จึงมักถูกดึงลงไปสู่ลัทธิไหว้วอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอฤทธิ์

ดลบันดาลได้ง่าย

ข้อนี้อาจเป็นจุดอ่อนที่พิจารณากันไปได้ต่างๆ

แต่ปัญหาน่าจะอยู่ที่ว่า เราได้ยกเอาขอบเขตที่ท่านวางไว้ขึ้นมาปฏิบัติกันหรือเปล่า และคอยย้ำความเข้าใจ

ที่ถูกต้องกันไว้หรือไม่ ยิ่งถ้ารู้ตัวว่ามีจุดอ่อนอยู่แล้วก็ควรจะยิ่งระมัดระวังรักษาหลักการให้แข็งขันยิ่งขึ้น

มองอย่างหนึ่ง

เหมือนกับพูดว่า ชาวพุทธฝ่ายชาวบ้านจะไปนับถือกราบไหว้ยกย่อง(แต่ไม่ใช่อ้อนวอนหรือมั่วสุม)

เทพเจ้ากับเขาอย่างไรก็ได้ แต่อย่านับถือให้สูงกว่าความสามารถของมนุษย์ที่ตนมีอยู่ก็แล้วกัน

เทวดาจะสูงเท่าใดก็ได้ แต่ที่สูงสุดนั้นคือมนุษย์ คือท่านผู้เป็นศาสดาของเทวะและมนุษย์ทั้งหลาย

หรือถ้าไม่คล่องใจที่จะนึกภาพเทพเจ้าที่ตนเคยเคารพเทิดทูนมากราบไหว้มนุษย์ ก็อาจจะมองมนุษย์ผู้สูงสุด

ใหม่อีกแนวหนึ่งว่า เป็นผู้ได้พัฒนาตนจนถึงภาวะสูงสุดพ้นไปแล้วทั้งจากความเป็นเทพเจ้าและความเป็นมนุษย์

โดยขอให้พิจารณาพุทธพจน์ดังต่อไปนี้ (ข้อความมีลักษณะเล่นถ้อยคำ จึงแปลรักษาสำนวนเพื่อผู้ศึกษา

มีโอกาสพิจารณา)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2010, 19:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จพุทธดำเนินทางไกล

พราหมณ์ผู้หนึ่งได้เดินทางไกลทางเดียวกับพระองค์ มองเห็นรูปจักรที่รอยพระบาทแล้วมีความอัศจรรย์ใจ

ครั้นพระองค์เสด็จลงไปประทับนั่งพักที่โคนไม้ต้นหนึ่งข้างทาง

พราหมณ์เดินตามรอยพระบาทมา มองเห็นพุทธลักษณาการที่ประทับนั่ง สงบลึกซึ้งน่าเลื่อมใสยิ่งนัก

จึงเข้าไปเฝ้า และทูลถามว่า “ท่านผู้เจริญ คงจักเป็นเทพเจ้า”

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “แน่ะพราหมณ์ เทพเจ้าเราก็จักไม่เป็น”

ทูลถามต่อไปว่า “ท่านผู้เจริญ คงจักเป็นคนธรรพ์” ตรัสตอบว่า “คนธรรพ์ เราก็จักไม่เป็น”

“ท่านผู้เจริญ คงจักเป็นยักษ์”

“ยักษ์ เราก็จักไม่เป็น”

“ท่านผู้เจริญ คงจักเป็นมนุษย์”

“มนุษย์ เราก็จักไม่เป็น”

ทูลถามว่า “เมื่อถามว่า ท่านผู้เจริญ คงจักเป็นเทพ ท่านก็กล่าวว่า เทพเราก็จักไม่เป็น

เมื่อถามว่า ท่านผู้เจริญ คงจักเป็นคนธรรพ์…เป็นยักษ์...เป็นมนุษย์ ท่านก็กล่าวว่า จักไม่เป็น

เมื่อเช่นนั้น ท่านผู้เจริญจะเป็นใครกันเล่า”

ตรัสตอบว่า “นี่แน่ะพราหมณ์ อาสวะเหล่าใด ที่เมื่อยังละไม่ได้ จะเป็นเหตุให้เราเป็นเทพเจ้า...

เป็นคนธรรพ์…เป็นยักษ์...เป็นมนุษย์

อาสวะเหล่านั้น เราละได้แล้ว ถอนรากเสียแล้ว..หมดสิ้น ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีกต่อไป

เปรียบเหมือนดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก เกิดในน้ำ โตในน้ำ แต่ตั้งอยู่พ้นน้ำ ไม่ถูกน้ำฉาบติด

ฉันใด

เราก็ฉันนั้น เหมือนกัน เกิดในโลก เติบโตขึ้นในโลก แต่เป็นอยู่เหนือโลก ไม่ติดกลั้วด้วยโลก ฉันนั้น

นี่แน่ะพราหมณ์ จงถือเราว่าเป็น “พุทธะ” เถิด”

องฺ.จตุกฺก.21/36/48

(พุทธธรรมหน้า 482)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2010, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ที่ยังไม่มั่นใจในความเป็นมนุษย์ ไม่ควรทำกรรมฐาน

เพราะอะไร ?

เพราะทำไปปฏิบัติไปแล้วภาวะเช่นนี้ปรากฏ ก็ไม่พ้นเรื่องจำพวกสัมภเวสีภูตผีปีศาจ ดังเช่นรายนี้




พอดีมีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดมาค่ะเมื่อวันที่ 2 - 4 เมษายนที่ผ่านมานี้ค่ะ ชีได้สอนการปฏิบัติ การเดินจงกรมและการนั่งสมาธิ
ชุดแรกให้ทำอย่างละ 15 นาที วันแรกที่ได้ทำฟุ้งซ่านมากเลยค่ะไม่มีสมาธิ วันที่สองก็ทำแต่ก็เหมือนเดิมค่ะ พอตกเย็นได้สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ท่านได้ให้การบ้านเพิ่ม เป็นนั่งสมาธิ 20 นาที เดินจงกรม 20 นาที 3 ชุดติดกัน
เราเริ่มทำกับเพื่อนอีกคนค่ะ ไปปฏิบัติกันที่พระธาตุ ชุดแรกผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พอชุดที่ 2 ตอนนั่งสมาธิเริ่มรู้สึกว่า หายใจติดขัด หัวใจเต้นแรงมาก อยากอาเจียร เหมือนคนจะเป็นลมค่ะ
พอทำชุดที่ 3 ก็เป็นเหมือนเดิม เพื่อนที่ไปด้วยกันก็เป็น จึงคิดว่าอากาศร้อนไปหรือสมาธิไม่ดีพอรึเปล่า ก็เลยคุยกับเพื่อนว่า วันรุ่งขึ้นค่อยทำกันตอนเช้า ว่าจะเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า
ตกตอนเช้า ก็ไปปฏิบัติธรรมเหมือนเดิม คือ ทำ 3 ชุดเหมือนตอนกลางคืน แล้วก็ย้ายสถานที่ ก็เป็นเหมือนเดิม เป็นอาการเป็นเหมือนตอนกลางคืน แต่คราวนี้นั่งไปทนไม่ไหว ร้องไห้เลยค่ะน้ำตาไหลออกมา หัวใจเหมือนจะเต้นออกมาจากอกเลย

ตอนเย็นไปสอบอารมณ์ พระท่านก็ถามว่า ตอนนั่งสมาธิเห็นอะไรหรือเปล่า
เราก็เล่าไปตามอาการที่เกิดขึ้น ท่านก็ไม่ได้ตกใจอะไร แค่บอกให้เรากำหนดรู้ แล้วไม่ต้องไปสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ด้วยความที่เราอยากรู้ว่าเพราะอะไร จึงถามพระอาจารย์ ไปอีกรอบ
ท่านก็ตอบว่า เป็นพวกสัมพเวสี แถว ๆ วัดนี่แหละ โยมไม่ต้องไปอยากรู้หรอก


หากได้อาจารย์ประมาณนี้ เลิกทำเสียจะดีกว่า เพราะอะไร ?

เพราะเป็นมิจฉาปฏิปทา ไม่อาจพ้นจากทุกข์ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 06 มิ.ย. 2010, 09:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue ขออนุญาตโพสต์ได้ป่าวคะ เห็นชื่อกระทู้นี้ เกิดความสงสัย จึงไปค้นคว้า หาหลักฐานมาค่ะ รูปภาพ


บุคคลผู้เป็นเอกหาได้ยากในโลก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรากฏแห่งบุคคลผู้เอกหาได้ยากในโลก บุคคลผู้เอกเป็นไฉน คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรากฏแห่งบุคคลผู้เอกนี้แลหาได้ยากในโลก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอก เมื่อเกิดขึ้นในโลกย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่ออัตถะเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลผู้เอกเป็นไฉน คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอกนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่ออัตถะ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย

ยถาปิ อุทเก ชาตํ ปุณฺฑรีกํ ปวฑุฒฒิ

โนปลิปฺปติ โตเยน สุจิคนฺธํ มโนรมํ

ตเถว จ โลเก ชาโต พุทฺโธ โลเก วิหรติ

โนปลิปฺปติ โลเกน โตเยน ปทุมํ ยถาฯ

ดอกบัว เกิดและเจริญงอกงามในน้ำ แต่ไม่ติดน้ำ ทั้งส่งกลิ่นหอม ชื่นชูใจให้รื่นรมย์ ฉันใด

พระพุทธเจ้าทรงเกิดในโลก และอยู่ในโลก แต่ไม่ติดโลก เหมือนบัวไม่ติดน้ำ ฉันนั้น



กรมการศาสนา พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ ข้อที่ ๑๓๙ , ๑๔๐ เอกปุคคลบาลี เอกปุคคลวรรคที่ ๓ หน้า ๑๘๑


คัดลอกบางส่วนจาก: ธรรมะเพื่อชีวิต เล่มที่ ๒๕ ฉบับวันวิสาขบูชา ๒๕๔๓ มูลนิธิพุทธศาสนศึกษา วัดบุรณศิริมาตยาราม


ที่มา http://www.dharma-gateway.com/

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แก้ไขล่าสุดโดย Bwitch เมื่อ 22 มิ.ย. 2010, 12:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ประสูติ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนปีพุทธศักราช (พ.ศ.) ๘๐ ปี

ณ ลุมพินี ประเทศเนปาล

อภิเษกสมรส กับพระนางยโสธรา (พระนางพิมพา) มีพระราชโอรส 1 องค์ ชื่อราหุล

ออกบวช พระชนมายุ ๒๙ ปี เห็นภาพนิมิตที่เทวดาแปลงตน เป็นภาพคนแก่ คนเจ็บ คนตาย สมณะ จึงทรงเบื่อหน่าย ตัดสินใจออกบวชที่แม่น้ำอโนมานที โดยทรงม้ากัณฐกะ ไปกับนายทหารชื่อฉันนะ

ตรัสรู้ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนปีพุทธศักราช (พ.ศ.) ๔๕ ปี

มีพระชมมายุ ๓๕ ปี ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย

ปฐมเทศนาวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ณ สารนาถ อินเดีย

ปัญจวัคคีย์เห็นธรรมขอบวชเป็นพระสงฆ์จึงบังเกิด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครบ ๓ องค์ พระพุทธองค์ได้ทรงเผยแพร่สัจธรรมเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี

ปรินิพพาน วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนปีพุทธศักราช (พ.ศ.) ๑ ปี

พระชมมายุ ๘๐ ปี เสด็จสู่ปรินิพพาน ณ กุสินารา อินเดีย


ทั้งหมดนี้ มีหลักฐานคือ สถานที่จริง และในพระไตรปิฎก

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 12:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


พระมหาปุริสลักษณะ

พระมหาปุริสลักษณะ หมายถึง ลักษณะ ๓๒ ประการของมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งจะมีคติเป็น ๒ เท่านั้นคือ

๑. ถ้าครองเรือน จะได้เป็นพระมหาจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม เป็นธรรมราชา มีอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาลจรดมหาสมุทรทั้ง ๔ มั่นคง ทรงชนะมาด้วยความชอบธรรม มิต้องใช้อาชญา

มีรัตนะ ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว มีราชบุตรกว่าหนึ่งพัน ล้วนกล้าหาญ รูปทรงสง่างามสมเป็นวีรกษัตริย์ มีความเกษมสำราญ มิมีเสี้ยนหนาม

๒. ถ้าออกบวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลส เปิดแล้วในโลก (ตรัสรู้สัจธรรม รู้เท่าทันและละออกจากกิเลส ซึ่งปกปิดความจริงในสัตว์โลก ขันธโลก และสังขารโลก)

เหตุแห่งการแสดงธรรมเรื่องพระมหาปุริสลักษณะ

ในกรุงสาวัตถี พระอานนท์ออกบิณฑบาตในหมู่บ้าน ได้ยินการสนทนาของชาวบ้านว่า พระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้าสมบูรณ์ด้วยอนุพยัญชนะ (ลักษณะรายละเอียด) ๘๐ ประการ มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มีพระรัศมี ๖ สี แผ่ออกจากพระวรกายวาหนึ่ง

ไม่ทราบว่า ลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นด้วยบุพพกรรมใด พระอานนท์ทำภัตตกิจเสร็จแล้วกลับสู่พระเชตวันวิหาร กระทำวัตรปฏิบัติแด่พระศาสดาแล้ว ได้กราบทูลเรื่องที่ได้ยินมา พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายที่นั่งแวดล้อมอยู่ และแสดงลักษณะทั้งหลาย พร้อมทั้งบุพพกรรมที่มีมา

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ


๑. พระบาทประดิษฐานเป็นอันดี สุปะติฎฐิตะปาโท เมื่อทรงเหยียบพระบาท ทรงจรดพื้นด้วยฝ่าพระบาททุกส่วนเสมอกัน เมื่อทรงยกพระบาทขึ้นก็เสมอกัน



ผลในชาติปัจจุบัน พระพุทธองค์ทรงไม่มีข้าศึกศัตรูภายใน คือ ราคะ โทสะ โมหะ ข้าศึกศัตรูภายนอก คือ สมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม ใครๆ ในโลกนี้จะข่มได้


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงยึดมั่นในกุศลอย่างมั่นคง ประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต บำเพ็ญทาน สมาทานศีล เบญจศีล อุโบสถศีล ปฏิบัติดีต่อบิดา มารดา สมณพราหมณ์ เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล เคารพในธรรมที่สูงขึ้นไป


๒. ใต้พระบาททั้งสองมีลายธรรมจักร มงคล ๑๐๘ ประการ เหฎฐา ปาทะตะเลสุ จักกานิ



ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงมีบริวารมาก มีบริวารเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ นก สัตว์สี่เท้าที่มียศมาก แวดล้อมพระองค์ไม่มีใครยิ่งกว่า


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ ได้นำความสุขมาให้แก่ชนเป็นอันมาก บรรเทาความหวาดกลัว จัดการรักษา คุ้มครอง ป้องกันอย่างเป็นธรรม ให้ทานด้วยสิ่งของต่าง ๆ


๓. ส้นพระบาทยาว อายะตะปัณหิ พระบาทแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ปลายพระบาทสองส่วน ลำพระชงฆ์ (แข้ง) ตั้งในส่วนที่สาม เหลือส้นพระบาทอีกหนึ่งส่วน และส้นพระบาทนั้นสีแดงงาม

๔. นิ้วพระหัตถ์ นิ้วพระบาทยาวเรียว กลมงาม ทีฆังคุลี

๕. พระวรกายตั้งตรงดังกายท้าวมหาพรหม พรหมุชุ คัตโต ไม่น้อมไปข้างหน้า หรือหงายไปข้างหลัง



ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์มีพระชนมายุยืน ไม่มีผู้ใดปลงพระชนมชีพได้


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงเว้นปาณาติบาต มิได้เหยียบสัตว์ให้ตายด้วยความประมาท มิได้ประหารสัตว์ให้ตายด้วยพระหัตถ์ มีความละอาย มีความกรุณา มีความปรารถนาดีแก่สัตว์ทั้งปวง


๖. พระมังสะ (เนื้อ) อูมในที่ ๗ แห่ง สัตตุสสะโท ได้แก่ หลังพระหัตถ์ทั้งสอง หลังพระบาททั้งสอง พระอังสา (บ่า) ทั้งสอง ลำพระศอ (คอ) มิได้เห็นเส้นปรากฏออกมาภายนอก



ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ได้ของที่ควรเคี้ยว ควรบริโภค ควรลิ้ม น้ำที่ควรดื่ม อันประณีต มีรสอร่อย


บุพพกรรม ในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงให้ของที่ควรเคี้ยว ของที่ควรบริโภค ของที่ควรลิ้ม น้ำที่ควรดื่ม อันประณีต มีรสอร่อย เป็นจำนวนมาก


๗. ฝ่าพระหัตถ์ ฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม มุทุตะละนะหัตถะปาโท

๘. ฝ่าพระหัตถ์ ฝ่าพระบาทมีลายดังตาข่าย ชาละหัตถะปาโท นิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ เว้น พระอังคุฎฐะ (นิ้วหัวแม่มือ) นิ้วพระบาททั้งห้าเสมอกัน ชิดสนิทดี



ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงมีบริวารที่พระองค์สงเคาระห์เป็นอย่างดี ผูกใจบริวารได้เป็นอย่างดีโดยการสงเคราะห์ในบุพชาติ (กรรม) และในปัจจุบัน (อุปนิสัย) เป็นที่รักของบริวาร


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ได้แก่ ทาน (การให้) ปิยวาจา (วาจาไพเราะ) อัตถจริยา (บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์) สมานัตตา (วางตนเหมาะสม)

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


๙. หลังพระบาทนูนดุจสังข์คว่ำ อุสสังขะปาโท และข้อพระบาทกลอกกลับผันแปรอย่างคล่องขณะย่างพระบาท
๑๐. พระโลมา (ขน) มีสีดำสนิท ขดเป็นทักษิณาวัฎ (เวียนขวา) ๓ รอบและมีปลายช้อนขึ้น



ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้เลิศ ผู้ประเสริฐ เป็นประมุขสูงสุดกว่าสัตว์ ทั้งปวง


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้กล่าววาจาประกอบด้วยอรรถด้วยธรรม แนะนำประชาชนเป็นอันมาก เป็นผู้นำประโยชน์และความสุขให้แก่สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้บูชาธรรมเป็นปกติ


๑๑. พระชงฆ์ (แข้ง) เรียวดังแข้งเนื้อทราย กลมกลึงงาม เอณิชังโฆ



ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงได้ปัจจัยอันควรแก่สมณะและบริษัท เครื่องสมณูปโภคอันควรแต่สมณะ โดยพลัน


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ตั้งใจสอนศิลปะวิทยา จรณะ(ศีล สมาธิ) หรือกรรม (การงาน) ที่ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนใคร ๆ โดยตั้งใจว่า ทำอย่างไรชนทั้งหลายจะเรียนรู้เร็ว สำเร็จเร็ว ไม่ลำบากนาน


๑๒. พระฉวีวรรณ (ผิว) ละเอียด สุขุมมัจฉวี ธุลีละอองมิติดต้องพระวรกายได้ มลทินใดมาสัมผัสก็เลื่อนหลุดไปดุจน้ำกลิ้งตกจากใบบัว



ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงมีพระปรีชามาก กว้างขวาง ว่องไว เฉียบแหลม ทำลายกิเลส ปัญญาเหนือกว่าสัตว์ทั้งหลาย บรรลุโพธิญาณ


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงเข้าหาสมณพราหมณ์ สอบถามธรรม ตั้งใจฟัง ทำความเข้าใจ ไตร่ตรอง เพื่อความเจริญทางปัญญา


๑๓. พระฉวีวรรณ (ผิว) เหลืองงามดังทองคำ สุวัณณะวัณโณ



ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงได้เครื่องลาด ผ้านุ่งห่มอย่างดี เนื้อละเอียด


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานความไม่โกรธ และให้ทานเป็นผ้าเนื้อละเอียด จำนวนมาก


๑๔. พระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก โกโสหิตะวัตถะคุโยหะ องค์กำเนิดเพศชายหดเร้นเข้าข้างใน



ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงมีพระโอรสมาก หมายถึง พุทธบุตร สาวกผู้ดำเนินตามพุทธพจน์ จำนวนหลายพัน


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้นำญาติมิตรที่สูญหาย พลัดพรากไปนานมาพบกัน แล้วทรงมีความชื่นชม


๑๕. พระวรกายสง่างาม สมบูรณ์ สมส่วน ดังปริมณฑลแห่งต้นนิโครธ (ต้นไทร) นิโครธปริมัณฑโล ความสูงของพระวรกายเท่ากับวาของพระองค์

๑๖. พระกรยาวจนใช้พระหัตถ์ลูบพระชานู (เข่า) โดยไม่ต้องน้อมพระวรกาย ปาณิตะเลหิ ชันนุกานิ ปริมะสะติ



ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้มั่งคั่งมาก มีทรัพย์สมบัติมาก ก็คือ ศรัทธา ศีล หิริโอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ฉลาดในการพิจารณาบุคคลที่ควรสงเคราะห์ ควรยกย่อง ควรเลื่อมใส และการกระทำการสงเคราะห์ การยกย่อง การเลื่อมใส


.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


๑๗. พระวรกายส่วนหน้าล่ำพีบริบูรณ์ สง่างามดุจราชสีห์ สีหะปุพพะทะธะกาโย

๑๘. พระปฤษฎางค์ (หลัง) เต็ม ปิตตันตะรังโส ตั้งแต่บั้นพระองค์ (เอว) ขึ้นไปถึงต้นพระศอ (คอ) พื้นพระมังสะ (เนื้อ) ปิดพระปฤษฎางค์เป็นอันดี มิได้เห็นข้อพระอัฐิท่ามกลางพระขนอง (ข้อกระดูกสันหลัง) ปรากฏออกมาภายนอก

๑๙. พระศอกลมเสมอกัน สะมะวัฎฎักขันโธ


ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงไม่เสื่อมจากอริยทรัพย์ ๕ ประการ ได้แก่ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และสมบัติทั้งปวง


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงหวังประโยชน์เกื้อกูล ความสุขเกษมจากโยคะ (กิเลส) แก่มหาชนด้วยคิดว่า ทำอย่างไรชนทั้งหลายพึงเจริญด้วย (คุณธรรม) ศรัทธา ศีล สุตะ พุทธิ จาคะ ธรรมะ ปัญญา พึงเจริญด้วย (เศรษฐกิจและสังคม) ทรัพย์ ข้าว นา สวน สัตว์เลี้ยง บุตรภรรยา ทาสกรรมกร ญาติ มิตร พวกพ้อง


๒๐. มีเส้นประสาทสำหรับนำรสอาหารดีเลิศ ระสัคคะสัคคี มีเส้นประสาทปลายข้างบนประชุมอยู่ที่พระศอสำหรับนำรสอาหารแผ่ซ่านสม่ำเสมอไปทั่วพระวรกาย



ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงมีโรคาพาธน้อย มีความลำบากน้อย สมบูรณ์ด้วยเตโชธาตุทำให้ย่อยอาหารได้ดี เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติธรรม


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าด้วยมือ ก้อนหิน ไม้ หรืออาวุธ ฆ่าเองหรือบังคับให้ผู้อื่นฆ่า หรือทำให้สัตว์ทั้งหลายหวาดกลัว


๒๑. พระเนตรดำสนิท อะภินีละเนตโต มีการเห็นแจ่มใส

๒๒. ดวงพระเนตรสดใสดังตาโค โคปะขุโม


ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่ชนทั้งหลายเห็นแล้วรัก เป็นที่รักใคร่ของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ และยังชนเป็นอันมากให้สร่างโศก


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทอดพระเนตรดูมหาชนด้วยสายพระเนตรเบิกบาน น่ารัก ไม่ถลึงตาดู ไม่ค้อนตาดู


๒๓. พระเศียรกลมงาม พระพักตร์มีอุณหิสคือลักษณะเหมือนมีกรอบหน้า อุณหีสะสีโส


ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงเป็นที่คล้อยตามแห่งมหาชน


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงเป็นหัวหน้าชนเป็นอันมาก ทรงเป็นผู้นำมหาชนทั้งหลายในการทำกุศลธรรม ด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ในการบำเพ็ญทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถศีล ปฏิบัติดีต่อบิดามารดา สมณพราหมณ์ เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล และทำกุศลที่ยิ่งอื่น ๆ


๒๔. โลมา (ขน) มีขุมละเส้น เอเกกะโลโม


.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


๒๕. มีพระอุณาโลมระหว่างพระโขนง (คิ้ว) สีขาวอ่อนเหมือนปุยฝ้าย อุณณาโลมา ภมุกันตะเรชาตา

ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงเป็นที่ประพฤติตามของมหาชน


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่ความจริง ดำรงคำสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อถือ ไม่พูดลวงโลก


๒๖. พระทนต์มี ๔๐ ซี่ จัตตาฬีสะทันโต เบื้องบน ๒๐ ซี่ เบื้องล่าง ๒๐ ซี่เสมอกัน

๒๗. พระทนต์มิได้ห่าง สนิทกันดี อะวิระฬะทันโต


ผลในชาตินี้ พุทธบริษัทไม่แตกแยกกัน


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ไม่พูดให้คนแตกร้าวกัน พูดสมานคนที่แตกร้าวให้สามัคคีกัน ยินดีในความพร้อมเพียงของหมู่ชน


๒๘. พระชิวหาอ่อน กว้าง ยาวกว่าชนทั้งปวง ปหูตะชิโวห

๒๙. พระสุรเสียงไพเราะดุจเสียงท้าวมหาพรหม กระแสเสียงดุจเสียงนกการเวก พรหมัสสะโร กะระวิกะภาณี


ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงมีพระวาจาอันมหาชนเชื่อถือ


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำไม่มีโทษ ไพเราะหู ชวนให้รักจับใจ


๓๐. พระหนุ (คาง) ดุจคางราชสีห์ สีหะหะนุ


ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงไม่มีข้าศึกภายใน คือ ราคะ โทสะ โมหะ ไม่มีข้าศึกภายนอก ไม่ว่าสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือ ใครๆ ในโลกกำจัดได้


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดแต่คำจริง ถูกกาละ อิงอรรถ อิงธรรม อิงวินัย มีหลักฐาน มีประโยชน์ในกาลอันควร


๓๑. พระทนต์เรียงเรียบเสมอกัน สะมะทันโต

๓๒. พระทาฐะ (เขี้ยว) ทั้ง ๔ ซี่ขาวบริสุทธิ์ รุ่งเรืองด้วยรัศมี สุสุกกะทาโฐ


ผลในชาตินี้ พระพุทธองค์ทรงมีบริวารสะอาด คือกำจัดกิเลสซึ่งเป็นมลทินได้แล้ว


บุพพกรรมในภพชาติก่อน พระพุทธองค์ทรงเลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีพ ละมิจฉาชีพ ๑๒ อย่างได้แก่ การโกงด้วยตาชั่ง การโกงด้วยของปลอม การโกงด้วยเครื่องตวงวัด การโกงด้วยการรับสินบน การหลอกลวง การตลบตะแลง การตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น การกรรโชก


.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 12:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ


พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจาก ประกอบด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ
ยังประกอบด้วยอนุพยัญชนะ ลักษณะรายละเอียด ๘๐ ประการ ดังต่อไปนี้

๑. นิ้วพระหัตถ์และนิ้วพระบาทเหลืองงาม

๒. นิ้วพระหัตถ์และนิ้วพระบาทเรียวจากต้นไปปลาย

๓. นิ้วพระหัตถ์และนิ้วพระบาทกลมกลึงเป็นอย่างดี

๔. พระนขา (เล็บ) ทั้ง ๒๐ องค์มีสีแดง

๕. พระนขางอนงามช้อยขึ้นเบื้องบนมิได้ค้อมลงในเบื้องต่ำดุจเล็บสามัญชนทั่วไป

๖. พระนขาเกลี้ยงกลม มิได้มีริ้วรอย

๗. ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทซ่อนอยู่ในพระมังสะ มิได้สูงขึ้นปรากฏออกมาภายนอก

๘. พระบาททั้งสองเสมอกันมิได้ย่อมใหญ่กว่ากัน

๙. พระดำเนินงามดุจอาการดำเนินแห่งกุญชรชาติ (ช้าง)

๑๐. พระดำเนินงามดุจสีหราช

๑๑. พระดำเนินงามดุจดำเนินของหงส์

๑๒. พระดำเนินงามดุจอุสุภราช (วัวผู้จ่าฝูง)

๑๓. ขณะเมื่อยืนจะย่างดำเนินนั้นยกพระบาทเบื้องขวาไปก่อน พระวรกายเยื้องไปข้างเบื้องขวาก่อน

๑๔. พระชานุมณฑล (บริเวณเข่า) เกลี้ยงกลมงามบริบูรณ์ มิได้เห็นอัฐิสะบ้าปรากฏออกมาภายนอก

๑๕. มีบุรุษพยัญชนะบริบูรณ์ คือ มิได้มีกิริยามารยาทคล้ายสตรี

๑๖. พระนาภี (ท้องน้อย) มิได้บกพร่องกลมงาม มิได้วิกล (ไม่ปกติ มีตำหนิ) ในที่ใดที่หนึ่ง

๑๗. พระนาภี (สะดือ) มีสัญฐานลึก

๑๘. ภายในพระนาภี (สะดือ) มีรอยเวียนเป็นทักษิณาวรรต (เวียนขวา)

๑๙. ลำพระเพลา (ขา) ทั้งสองกลมงามดุจลำสุวรรณกัทลี (ลำกล้วยทอง)

๒๐. ลำพระกร (ลำแขน) งามดุจงวงช้างเอราวัณ

๒๑. พระองคาพยพ (อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย) ใหญ่น้อยทั้งปวงงามพร้อมทุกสิ่งหาที่ติมิได้

๒๒. พระมังสะที่ควรจะหนาก็หนา ที่ควรจะบางก็บางทั่วทั้งพระสรีรกาย

๒๓. พระมังสะเต่งตึง มิได้หย่อนย่นในที่ใดที่หนึ่ง

๒๔. พระสรีรกายทั้งปวงปราศจากตุ่ม ไฝ ปาน มูลแมลงวัน

๒๕. พระกายงามสมส่วนกันโดยลำดับทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง

๒๖. พระกายงามบริสุทธิ์พร้อมสิ้นปราศจากมลทินทั้งปวง

๒๗. ทรงพระกำลังมากเสมอด้วยกำลังของกุญชรชาติ ประมาณถึงพันโกฎิช้าง ถ้าจะประมาณด้วยกำลังบุรุษก็ได้ถึงแสนโกฎิบุรุษ

๒๘. พระนาสิก (จมูก) โด่ง

๒๙. สันฐานพระนาสิกงามได้รูป

๓๐. พระโอษฐ์เบื้องบนเบื้องล่างมิได้เข้าออกกว่ากัน เสมอกันเป็นอันดี มีสีแดงดุจผลตำลึงสุก

๓๑. พระทนต์ (ฟัน) บริสุทธิ์ปราศจากมูลมลทิน

๓๒. พระทนต์ขาวดุจสีสังข์

๓๓. พระทนต์เกลี้ยงสนิท ไม่มีริ้วรอย

๓๔. พระอินทรีย์ (ประสาท) ทั้งห้าได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย งามบริสุทธิ์ทั้งสิ้น คือ การรับรู้ได้ดี

๓๕. พระเขี้ยวทั้งสี่กลมบริบูรณ์

๓๖. ดวงพระพักตร์มีสัณฐานยาวสลวย

๓๗. พระปราง (แก้ม) ทั้งสองเปล่งปลั่งงามเสมอกัน

๓๘. ลายพระหัตถ์มีรอยลึก

๓๙. ลายพระหัตถ์มีรอยยาว

๔๐. ลายพระหัตถ์มีรอยตรง ไม่ค้อมคด

๔๑. ลายพระหัตถ์มีสีแดงสดใส

๔๒. มีพระรัศมีส่องสว่างรอบพระวรกาย

๔๓. กระพุ้งพระปรางทั้งสองสมบูรณ์

๔๔. กระบอกพระเนตรกว้างและยาวงามพอสมกัน

๔๕. ดวงพระเนตรผ่องใสบริสุทธิ์ทั้งสิ้น

๔๖. ปลายเส้นพระโลมา (ขน) ทั้งหลายมิได้งอมิได้คด

๔๗. พระชิวหา (ลิ้น) มีสัณฐานอันงาม

๔๘. พระชิวหาอ่อน มิได้กระด้าง มีสีแดงเข้ม

๔๙. พระกรรณ (หู) ทั้งสองมีสัณฐานยาวดุจกลีบบัว

๕๐. ช่องพระกรรณมีสัณฐานกลมงาม

๕๑. พระเส้น (ผม) ทั้งปวงมีระเบียบ สละสลวย

๕๒. แถวพระเส้น (รากผม) ทั้งหลายซ่อนในพระมังสะ (หนังศีรษะ) ทั้งสิ้น มิได้เป็นคลื่น ฟูขึ้นเหมือนชนทั้งหลาย

๕๓. พระเศียรสัณฐานงามดุจดังฉัตรแก้ว

๕๔. ปริมณฑลพระนลาฎ (หน้าผาก) กว้างยาวพอสมกัน

๕๕. พระนลาฎมีสัณฐานงาม

๕๖. พระขนง (คิ้ว) มีสัณฐานงามดุจคันธนูโก่งไว้

๕๗. พระโลมาที่พระขนง (ขนคิ้ว) มีเส้นละเอียด

๕๘. เส้นพระโลมาที่พระขนงงอกขึ้นแล้วล้มราบไปตามลำดับ

๕๙. พระขนงใหญ่

๖๐. พระขนงยาวสุดหางพระเนตร

๖๑. พระฉวีวรรณ (ผิว) ละเอียดทั่วพระวรกาย

๖๒. พระสรีรกายรุ่งเรืองไปด้วยสิริ (สง่าราศี)

๖๓. พระสรีรกายมิมัวหมอง ผ่องใสอยู่เป็นนิตย์

๖๔. พระสรีรกายสดชื่นดุจดอกบัว

๖๕. สรีรสัมผัสอ่อนนุ่มทั่วพระวรกาย

๖๖. กลิ่นพระกายหมอฟุ้งดุจกลิ่นหอมไม้กฤษณา

๖๗. พระโลมามีเส้นเสมอกันทั้งสิ้น

๖๘. พระโลมามีเส้นละเอียดทั่วทั้งพระวรกาย

๖๙. ลมอัสสาสะปัสสาสะ (ลมหายใจเข้าออก) ละเอียด

๗๐. พระโอษฐ์มีสัณฐานงามดุจแย้ม

๗๑. กลิ่นพระโอษฐ์หอมดุจกลิ่นดอกบัว

๗๒. พระเกศา (ผม) ดำขลับ

๗๓. กลิ่นพระเกศาหอมฟุ้งตลบอบอวล

๗๔. พระเกศามีกลิ่นหอมดุจกลิ่นดอกบัว

๗๕. พระเกศามีสัณฐานเส้นกลมสลวยทุกเส้น

๗๖. เส้นพระเกศาดำสนิททั้งสิ้น

๗๗. เส้นพระเกศาละเอียด

๗๘. เส้นพระเกศามิเคยยุ่ง

๗๙. เส้นพระเกศาเวียนเป็นทักษิณาวรรตทุก ๆ เส้น

๘๐. มีรัศมีเปล่งเหนือพระเศียร


************************************



.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2010, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


พระฉัพพรรณรังสี


พระฉัพพรรณรังสี คือ รัศมี ๖ สี ได้แก่

๑. นีละ เขียวเหมือนดอกอัญชัน

๒. ปีตะ เหลืองเหมือนหรดาล

๓. โลหิตะ แดงเหมืองตะวันออก

๔. โอทาตะ ขาวเหมือนแผ่นเงิน

๕. มัญเชฏฐะ แสดเหมือนดอกหงอนไก่

๖. ประภัสสร เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก


******************************


.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร