วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 02:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 70, 71, 72, 73, 74, 75, 76 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ ดิฉันได้มีความคิดที่ดีมากขึ้น แต่ตัวดิฉันยังด้อยด้วยสติปัญญา ยังไม่สามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ และยังไม่รู้แนวทางปฏิบัติ จึงได้มากราบเรียนถามท่านอาจารย์

ดิฉันชอบปฏิบัติธรรม และทำบุญอยู่เสมอ ทั้งที่พยายามทำความดีทุกทาง มีสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างดี แต่ชีวิตการงานไม่รุ่งเรือง (ทำธุรกิจขายตรง ) จน สามีคิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี หันมาดื่มเหล้า ทุกวัน จนดิฉันกลุ้มใจเพราะการเงินก็ไม่ค่อยจะดี ชวนคุณแม่ไปวัดทำบุญ แม่ก็ไม่ไปด้วย บอกว่าทำไปเถอะ ทุกคนคงไม่เชื่อในสิ่งที่เราทำ เพราะชีวิตของดิฉันยังย้ำแย่ เป็นหนี้เป็นสิน ทุกวันนี้ก็พยามทำความดี และเชื่อมั่นในความดี ทั้งที่เห็นบางคนทำงานแบบเอาเปรียบเบียดเบียนคนอื่น แต่เขากับมีเงิน ได้กำไรจากคนอื่นมากมาย ดิฉันทำงานแบบไม่เคยเบียดเบียนใคร ซื่อสัตย์กับลูกค้าเสมอมากว่า 7 ปี หรือมีกรรมอะไร ชาตินี้ที่เกิดมาก็ไม่เคยสร้างกรรมหนักอะไร จะมีก็บางทีตบยุง มีผึ้งมารุมต่อย ก็ฆ่าผึ้ง ตอนทำบุญหรือตอนบวชเนกขัมมะ ก็อุทิศบุญขออโหสิปล่อยๆ รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรด้วย จะเรียนถามอาจารย์ว่า

1. ดิฉันจะต้องแก้ไขที่ตัวเองอย่างไร

2. ทำอย่างไรสามีถึงจะเลิกเหล้า และถ้าเลิกไม่ได้ดิฉันจะต้องทำใจอย่างไร

3. ความตั้งใจสูงสุด ดิฉันอยากจะประสบความสำเร็จในงานที่ทำ มีรายได้ปลดหนี้สิน ช่วยทุกคนในครอบครัว ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี แล้วดิฉันจะไปถือศีล ปฏิบัติ ไปตามทางที่ใจคิดว่าป็นสิ่งที่เบาสบาย และไม่อยากเกิดแล้ว เห็นแล้วว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ สิ่งที่ดิฉันปารถนานี้ ไม่ทราบว่าจะสำเร็จได้อย่างไร หรือถ้าดิฉันมีกรรมแล้วไม่สำเร็จ แล้วดิฉันจะอยู่กับความทุกข์นี้ได้อย่างไร

คำตอบ
(๑) อยากทำดีแต่มีตัวถ่วง ความดีที่ทำก็เกิดไม่สะดวก หากผู้ถามปัญหาประพฤติตนเป็นผู้บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญจิตตภาวนาอยู่เสมอ ดวงดีย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และยิ่งประพฤติบริโภคใช้สอยมักน้อยเท่าที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ บริโภคใช้สอยแต่สิ่งที่เป็นสาระ และประพฤติตนเป็นผู้มีจิตสันโดษ ปัญหาต่างๆย่อมหมดไปได้

(๒) พระพุทธะสอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง มิได้สอนให้ไปแก้ปัญหาที่ผู้อื่น ลองพิสูจน์สัจจธรรมนี้ ด้วยการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีบุญสุดๆ เมื่อใดเขาศรัทธาในตัวผู้ถามปัญหา ปัญหาจึงมีโอกาสหมดไปได้ ตรงกันข้ามหากเขาไม่ศรัทธา จงยกเขาขึ้นเป็นครูสอนใจตัวเองว่า เมื่อมีการดื่มสุราเกิดขึ้น ต้องมีการหยุดดื่มสุราเป็นธรรมดา เพราะสรรพสิ่งดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จงตามดูไปเรื่อยๆ หากผู้ดูไม่ทิ้งขันธ์ลาโลกไปเสียก่อน อาจเห็นสัจจธรรมของการดื่มสุราก็ได้นะ

(๓) ผู้ใดพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่ง (มีความรู้ มีความสามารถ) และพัฒนาตัวเองให้เป็นคนดี (มีคุณธรรม) ได้แล้ว ความสำเร็จของชีวิตย่อมเกิดขึ้น และจะยั่งยืนได้ต้องพัฒนาตัวเองให้มีดวงดี คือประพฤติทาน ศีล ภาวนา จนให้ผลได้เมื่อใดแล้ว ความสำเร็จที่ยั่งยืนย่อมเกิดขึ้น ดังนั้นผู้ใดอยากดี อยากมีความสำเร็จในงาน ไม่อยากเกิดอีก ธรรมวินัยของพุทธศาสนาช่วยได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ผมเคยฟัง บรรยายของอาจารย์เกี่ยวกับการบูชาเทวดา เจ้าที่ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการค้าขายและความเจริญในชีวิต จึงอยากเรียนถามว่าหากมีร้านค้าอยู่ 2 ร้าน โดยร้านแรกหมั่นไหว้บูชาเทวดาเจ้าที่ทุกวัน แต่อีกร้านหนึ่งหมั่นไหว้บูชาแต่พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์แต่ไม่ได้ไหว้บูชาเทวดาฟ้าดิน ร้านที่บูชาเทวดาจะค้าขายดีกว่าหรือรุ่งเรืองกว่าจริงหรือไม่ครับ (ในกรณีที่เจ้าของร้านทั้ง 2ร้านเป็นคนที่มีบุญบารมีศีลธรรมพอๆกัน)

2.ผมมีข้อสงสัยว่า ทำไมผู้คนส่วนมากถึงได้ชอบบูชาเทวดา เทพ พรหมหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อขอบารมีองค์เทพเหล่านั้นให้คุ้มครองและช่วยเหลือสิ่งที่ตนปรารถนา โดยเค้าให้เหตุผลว่า พรหมเทพเทวดาทั้งหลายยังอยู่ในกามภพ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด จึงต้องการสร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือผู้คน และสามารถช่วยเราได้มากกว่าการที่เราไปบูชาพระรัตนตรัย หรือพระอริยะที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว เพราะท่านเหล่านั้นคงจะไม่ข้องแวะกับสัตว์โลก และไม่สามารถช่วยเหลือเราได้เหมือนเทพเทวดาทั้งหลาย หากเป็นแบบนี้จริงคนเราก็หนีไปบูชาเทพเทวดาทั้งหลายหมดสิครับ

3.การอุทิศส่วนกุศล และการแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย หากกายทิพย์ท่านนั้นหิวข้าวหรือไม่มีเสื้อผ้าใส่ และเราอุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาไปให้ จะทำให้เค้าหายหิวหรือมีเสื้อผ้าได้หรือไม่ครับ จำเป็นไหมที่ต้องแปลงสภาพบุญจากการภาวนานั้น ให้เป็นสิ่งของทิพย์ที่กายทิพย์เหล่านั้นต้องการ?

รบกวนท่านอาจารย์ช่วยอธิบายและชี้แนะด้วยครับ ผมคิดว่าคำถามนี้คงอยู่ในใจของตนหลายๆคน และมีประโยชน์ต่อทุกท่านครับ

หากมีสิ่งใดที่ผมได้ล่วงเกินต่อท่านอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ขอท่านอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์โปรดให้อภัยและอโหสิกรรมแก่ผมด้วยครับ

คำตอบ
(๑) คำว่า “ บูชา ” หมายถึง แสดงความเคารพ และคำว่า “ ศรัทธา ” หมายถึง ความเชื่อถือในสิ่งที่ควรเชื่อ หรือคือความเชื่อในสิ่งดีงามที่มีเหตุผลรองรับ

ฉะนั้นการบูชาเทวดา เจ้าที่ เป็นการแสดงความเคารพสัตว์ที่อยู่ต่างมิติ ทำให้มีเทวดาเป็นเพื่อน เพื่อนย่อมช่วยเพื่อนให้ได้ตามที่มนุษย์ปรารถนา ทั้งนี้ต้องไม่เกินความสามารถของผู้ให้และผู้รับ อีกร้านหนึ่งที่ไม่ได้บูชาเทวดา ย่อมไม่มีเพื่อนต่างมิติคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ร้านที่มีเทวดาสนับสนุนจึงค้าขายดีกว่า

ผู้ใดประพฤติตนมีศีลมีธรรม คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา หากเจ้าของร้านทั้งสองมีเทวดาคุ้มรักษาเหมือนกัน ผู้บูชาเทวดาย่อมค้าขายดีกว่า

(๒) ผู้มีความพร่องในคุณธรรมและยังมีปัญญาเห็นผิด ย่อมขอบารมีองค์เทพผู้ปุถุชนให้มาคุ้มครอง และช่วยเหลือในสิ่งที่ตนปรารถนา

เทวดาเกิดอยู่ในกามภพ พรหมเกิดอยู่ในรูปภพหรืออรูปภพ ซึ่งยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร จึงยังต้องสร้างบุญให้เกิดขึ้น ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น

ส่วนการบูชาพระรัตนตรัยหรือบูชาพระอริยะเจ้า เป็นการกระทำของผู้มีความเห็นถูกว่า มนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาตัวเองได้ดีกว่าเทวดาหรือพรหม โดยเอาพระอริยะบุคคลมาเป็นตัวอย่างพัฒนาตัวเองให้เข้าถึงโลกุตรธรรม อันเป็นสมบัติสูงสุด ที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้

(๓) คำว่า “ บุญ ” หรือ “ กุศล ” มีความหมายเป็นสิ่งเดียวกัน ผู้ใดมีบุญ ผู้นั้นสามารถอุทิศบุญที่ตนมีให้กับคนอื่นได้ แต่เขาจะได้รับบุญหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยสามอย่าง คือ มีผู้อุทิศบุญ มีบุญที่อุทิศ และมีผู้มารับบุญ หากปัจจัยสามอย่างนี้ถึงพร้อม การอุทิศบุญจึงจะสัมฤทธิ์ผล อนึ่ง สัตว์ที่ยังต้องการบุญที่เกิดจากการให้ทาน บุญที่ใช้บำบัดความหิว บุญที่ทำให้มีเสื้อผ้าสวมใส่ มีเฉพาะปรทัตตูปชีวีเปรตและสัมภเวสีเท่านั้นที่ต้องการ สัตว์กายทิพย์ เช่น เทวดา พรหม จำนวนหนึ่งยังต้องการบุญจากการฟังธรรม และมีจำนวนน้อยต้องการบุญจากการให้อาหารให้ความช่วยเหลือเป็นทาน

ส่วนคำว่า “ เมตตา ” หมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข เมตตาเป็นคุณธรรมจะเกิดได้ต้องให้อภัยเป็นทาน อภัยได้ในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ แค้นเคือง ขึ้งเคียด (ปฏิฆะ) เมื่อทำได้เช่นนี้แล้วเมตตาจึงเกิดขึ้นได้ และสามารถแผ่ให้กับผู้อื่นที่ตนปรารถนาแผ่ให้ได้

พูดถึงการแปลงสภาพบุญไม่สามารถทำได้ บุญที่เกิดจากการภาวนามีผลทำให้เกิดปัญญา ไม่สามารถแปรไปเป็นบุญที่เกิดจากให้ทาน บุญที่เกิดจากการรักษาศีล บุญที่เกิดจากการประพฤติอ่อนน้อม ฯลฯ ได้ เพราะทำเหตุต่างกันผลของบุญที่เกิดจึงต่างกัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมฝึกปฏิบัติสมถภาวนาด้วยตัวเองอยู่ที่บ้าน โดยการดูลมหายใจแล้วภาวนา พุทธ-โธ ผมมีข้อสงสัยที่จะเรียนถามอาจารย์ดังนี้

1.ท่านัง นั่งเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ลำตัวตั้งตรง ผมมีข้อสงสัยว่า ลำตัวตั้งตรงนี้ ขณะปฏิบัติเมื่อลำตัวตั้งตรงแล้วนั่งปล่อยสบายๆ หรือต้องเหยียดตัวให้ตรงแล้วเกร็งไว้นิ่งๆ เพราะว่าที่ผมปฏิบัติ ถ้าปล่อยตัวสบายๆ สักพักหนึ่งลำตัวมันจะหย่อนลงมาเองแล้วหลังจะงอเล็กน้อย

2.จุดโฟกัสของสายตา ในขณะที่นั่งหลับตา ในความมืดนั้นตาก็ยังต้องการโฟกัสไปที่จุดใดจุดหนึ่ง ผมอยากถามอาจารย์ว่า วิธีที่ถูกควรให้สายตามองไปที่จุดใดในความมืดนั้น เพราะเวลาปฏิบัติถ้าผมมองที่ปลายจมูกแล้วดูลมหายใจ ลักษณะการมองใกล้ใบหน้าแบบนี้ส่งผลให้ตัวเอียงไปข้างหลังเล็กน้อยโดยไม่ รู้สึกตัว เมื่อระลึกถึงท่านั่งจึงรู้ว่าตัวเราเอียงไปข้างหลัง

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
(๑) คำว่า “ นั่งลำตัวตรง ” หมายถึงนั่งแล้วทำให้กระดูกสันหลังตั้งตรงเป็นแนวดิ่ง ถ้านั่งแล้วหลังงอ ไม่ถือว่าเป็นการนั่งลำตัวตรง

(๒) ผู้ที่นั่งหลับตาแล้ว ไม่สามารถโฟกัสการมองเห็นไปยังจุดใดได้ แต่ที่บอกว่า “ มองไปที่ปลายจมูก ” นั้นหมายความว่า เอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจที่กระทบปลายจมูก และขณะมีจิตระลึกได้ว่าตัวเอียงไปข้างหลัง นั่นแสดงว่า จิตเคลื่อนออกไปจากลมหายใจ (ขาดสติ) แล้ว ไม่มีสติระลึกอยู่กับลำตัวที่เอียงไปด้านหลัง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ดิฉันสัมผัสได้กับวิญญาณ ที่อยู่ตามสถานที่ต่างๆ แต่ก่อนยังไม่สามารถสัมผัสได้มากอย่างปัจจุบัน จึงเกิดปัญหาว่า ดิฉันเหนื่อยมาก(มาปลุกตี 2 ตี 3 ) เพราะเขาจะมาหา มาบอก มาขอ ให้ทำอะไรให้ เนื่องจากเขาไม่สามารถสื่อกับญาติเขาได้ ดิฉันควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร

2. หากดิฉันไม่ต้องการเห็นสิ่งเหล่านี้ ดิฉันจะทำอย่างไร หรือหากต้องทำในสิ่งที่เขาต้องการ ดิฉันควรจะปฏิบัติอย่างไร ดิฉันเกรงว่า หากมากๆเข้า ดิฉันจะเหมือนคนบ้า ดิฉันไม่ต้องการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญณาญกับมนุษย์ สิ่งที่เกิดกับดิฉันเป็นหน้าที่หรือไม่ อาจารย์กรุณาแนะนำด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณในความเมตตา
ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่อาจารย์เพียรให้ความรู้เป็นวิทยาทาน
สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยความเคารพ

คำตอบ
(๑) จิตของผู้ใดมีสติกล้าแข็ง ผู้นั้นมีจิตไม่เป็นทาสของสิ่งกระทบอื่น หากผู้ตามปัญหาประสงค์ไม่เป็นทาสรับใช้ให้กับจิตวิญญาณอื่น ต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีบุญเพิ่มมากขึ้น ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญจิตตภาวนา เช่นกำหนดลมหายใจเข้าออกแล้วอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร ประพฤติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ บุญย่อมมีเพิ่มมากขึ้นแน่นอน และไม่ต้องเสียเวลาเป็นข้ารับใช้วิญญาณอื่นอีกต่อไป
(๒) หากผู้ถามปัญหาปรารถนาไม่เป็นข้ารับใช้ฯ ต้องประพฤติตามคำแนะนำในข้อ (๑) ส่วนที่ว่าเป็นหน้าที่หรือไม่ ตอบว่า ไม่ใช่หน้าที่ แต่เป็นหนี้เวรกรรมที่ต้องชดใช้ให้หมดไป ผู้รู้เลือกที่จะอุทิศบุญใหญ่ใช้หนี้ เพื่อนำเวลามาใช้ในการปฏิบัติธรรม ซึ่งได้บุญมากกว่า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูฝึกวิปัสสนากรรมฐานได้ประมาณ สองปีแล้วค่ะ ไปเข้าคอร์สก็หลายครั้งแล้ว นอกจากนั้นก็นั่งสมาธิ หรือพยายามเจริญสติให้มากที่สุดในแต่ละวัน ทานและศีลก็ไม่พร่อง ตั้งใจว่าแต่ละวันต้องทำ ทาน ศีล และภาวนาให้ครบ หนูเองเห็นได้ชัดว่าใจเปลี่ยนไปมาก มีสติมากขึ้น รับรู้เท่าทันอารมณ์ได้ดี

ตอนนี้หนูยังเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ และที่ไปเข้าคอร์สประจำคือวัดที่เป็นสาขาของวัดหนองป่าพง ของหลวงพ่อชา พระอาจารย์ที่นั่นท่านแนะนำให้ทำสมถะควบคู่กับวิปัสสนา แต่หนูสังเกตว่าจริตตนเองนั้นเหมาะกับวิปัสสนามาก คือเห็นการเกิดดับ การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ หรือเห็นไตรลักษณ์ได้เร็ว แต่ถ้าบังคับจิตให้นิ่งเป็นสมถะหนูมักจะทำได้ไม่นานเลย แต่ถ้าตามรู้ตามดูการเกิดดับไปนั้นจิตจะสบายมาก นั่งสมาธิได้นาน


หนูทราบว่า อาจารย์ฝึกกรรมฐานแล้วได้อภิญญาภายในเจ็ดวันหลังจากบวช และใช้การบริกรรม หนูขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

- ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยบอกเทคนิค การทำจิตให้นิ่งด้วยค่ะ หนูไม่แน่ใจว่าถ้าจริตหนูไม่อำนวยทางนี้แล้ว หนูก็จะทำได้แค่วิปัสสนาหรือเปล่าค่ะ เพราะเท่าที่อ่านที่ฟังมา ก็มีพระอริยะที่บรรลุธรรมได้แต่ไม่ได้อภิญญา
- ขอความกรุณาอาจารย์แนะนำวัด หรือพระอาจารย์ที่สามารถสอนสมถะกรรมฐานให้ด้วยค่ะ เมื่อหนูกลับเมืองไทยจะได้เข้าไปเรียนไปฝึก

กราบขอบคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
การมีศีลคุมใจและเจริญสมถภาวนาอยู่เสมอ ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจนแน่วแน่ได้แล้ว โอกาสเห็นไตรลักษณ์จึงมีได้ การที่พระอาจารย์แนะนำให้ทำสมถภาวนาควบคู่กับวิปัสสนาภาวนานั้น ท่านแนะนำถูกต้องแล้ว ผู้ถามปัญหาได้เจริญสมถภาวนามาก่อน จึงสามารถนำจิตเข้าพัฒนาวิปัสสนาภาวนาได้ทันที ด้วยการพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ จนเห็นว่าองค์กรรมฐานที่นำมาพิจารณาดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ ตัวอย่างเช่น ใช้จิตที่ตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ ตามพิจารณาดูรูปร่างกายว่าประกอบขึ้นจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ ต่างมาประชุมเข้าเป็นร่างกาย แล้วจิตจึงได้เข้าอยู่อาศัย เมื่อใดที่จิตรู้ เห็น เข้าใจว่า ร่างกายเป็นสิ่งที่มีความไม่คงที่ (อนิจจัง) ร่างกายเป็นภาวะที่คงทนอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง) และร่างกายเป็นสิ่งที่มิใช่ตัวมิใช่ตน มีความดับสลาย (อนัตตา) เป็นเบื้องสุด จิตที่รู้ เห็น เข้าใจถูกตรงตามนี้แล้ว ปัญญาเห็นแจ้งในร่างกายย่อมเกิดขึ้น จิตจะปล่อยวางร่างกายที่มิได้มีอยู่จริง แล้วจิตมีความว่างเป็นอุเบกขา ส่วนกรรมฐานอื่น (เวทนา จิต และธรรม) ให้พิจารณาในรูปแบบเดียวกันนี้ ผู้ใดมีจิตเห็นถูกตรงตามนี้ สามารถบรรลุธรรมที่นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ด้วยเหตุนี้พระอรหันต์ประเภท สุกขวิปัสสกะ จึงไม่จำเป็นต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้เข้าถึงความตั้งมั่นในระดับฌานแต่อย่างใด

การพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน มิได้ทำให้พ้นทุกข์ เพราะผู้ที่พัฒนาจิตจนบรรลุ ฌานสมาบัติ (รูปฌาน ๔ + อรูปฌาน ๔) เมื่อถอยจิตออกจากฌานแล้ว ความรู้สูงสุดฝ่ายโลกิยะที่เรียกว่า อภิญญา ๕ (อิทธิวิธี ทิพพโสต เจโตปรยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และทิพพจักขุ) ย่อมเกิดขึ้น ความรู้สูงสุดทั้งห้านี้ ไม่สามารถนำจิตเข้าถึงอริยธรรม และยังเป็นตัวถ่วงให้เนิ่นช้า ในการนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ทั้งปวงอีกด้วย จึงไม่แนะนำตามความประสงค์ที่ถามไป .... ขออภัย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมตตาช่วยแก้ปัญหาให้ด้วย...ทุกข์ มาก ๆ

เป็นทุกข์มาก เมื่อ ฟังธรรม เรื่องการโกงกินทรัพย์หลวง เขาบอกว่าเป็นกรรมหนักมาก มาก ๆ
กระผมทำงานยึดในความซื่อสัตย์สุจริตมาตลอด เมื่อปีที่แล้วได้แต่งงานชีวิตก็มีความสุขดี
แต่มารู้ภายหลังว่าสมบัติของภรรยา เป็นป่าสงวนสัตว์ไม่มีสิทธิถือครอง จำนวนมาก โดย
คุณพ่อตา คุณแม่ยายซึ่งมีอาชีพเป็นครูได้บุกรุกป่าสงวนสร้างสวนยางพารา ทั้งสองคนได้ใช้
สร้างฐานะมาตลอดชีวิตจนร่ำรวยและปกปิดกระผม และภรรยามาตลอด พึ่งมารู้เมื่อพ่อตาเป็น
โรคมะเร็งร้ายเมื่อปีที่แล้ว ทำให้กระผมต้องดูแลสวนยางแทน ก็พบหลักฐานที่ไปโกงทรัพย์หลวง
พอกลับบ้านรู้สึกตัวเองว่าเป็นทุกข์มาก ๆ สวดมนต์ก็ไม่ค่อยจะถูก ทั้ง ๆ ที่สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำ

จะทำอย่างไรดี เมตตาช่วยแก้ปัญหาให้ด้วย.....ขอขอบพระคุณครับ...

คำตอบ
ผู้ใดร่วมกระทำอกุศลกรรม โดยระลึกไม่ได้ในต้นเหตุมาก่อน เมื่อใดที่กรรมให้ผล ผู้ร่วมทำกรรมย่อมได้รับบาป คือมีทรัพย์ไม่ปลอดภัย ความทุกข์ใจ ทุกข์กาย ฯลฯ จึงได้เกิดขึ้น

ผู้รู้ยอมรับความจริง เรื่องกฎแห่งกรรมและบริหารหนี้เวรกรรมดังนี้

๑. เมื่อใดที่กรรมตามทัน ต้องยอมชดใช้หนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ไปจนกว่าจะหมดหนี้

๒. เมื่อกรรมตามทัน ต้องพัฒนาตัวเองให้มีบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) แล้วอุทิศบุญใหญ่ใช้หนี้ให้เจ้ากรรมนายเวร ทำให้หนี้เวรกรรมจบลงได้เร็ว

๓. คิด พูด ทำดีทุกขณะตื่น เพื่อหนีหนี้เวรกรรมที่ยังตามให้ผลไม่ทัน

๔. หนีเข้านิพพานได้เมื่อใด หนี้เวรกรรมที่เหลือทั้งหมด เป็นอันยกเลิก

พุทธวจนะ : มนุษย์สมบัตินำความคับ แค้นใจมาให้

ข้อความข้างต้น ยังคงเป็นจริงอยู่จนทุกวันนี้ ลองดูตัวอย่างของ ปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) อดีตลูกเศรษฐีที่มีมรดกมากมาย มีผืนที่ดินกว้างใหญ่เกือบสองร้อยตารางกิโลเมตร มีเหมืองสูบน้ำอยู่หลายสิบเหมือง มีโรงเรือนเก็บเครื่องมือทำการเกษตร และเก็บผลผลิตอยู่หลายโรง หลังจากพ่อแม่ทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว ปิปผลิมาณพและภรรยา (ภัททกาปิลานี) ได้ยกสมบัติกำพร้าทั้งหมดให้กับบริวารเอาไปบริหารจัดการกันเอง แล้วทั้งสองได้นำตัวเองไปบวชเป็นภิกษุและภิกษุณีอยู่ในพุทธศาสนา บวชได้ไม่นานได้บรรลุอรหัตตผล นำพาชีวิตเข้าถึงสมบัติอมตะ คือพระนิพพานได้เป็นเบื้องสุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเคยไปปฏิบัติธรรม 2 ครั้ง ฟังบรรยาย มีเหตุให้ต้องออกมาก่อนทุกครั้ง

* ครั้งแรก ไป 3 วัน หลวงพ่อจรัล วันสุดท้ายอีกไม่กี่ชั่วโมง เพื่อนที่ไปด้วยกันขอให้พาเขากลับ(หนูเป็นคนขอให้เขาไปเป็นเพื่อน)

* อีกครั้งหนึ่ง 10 วัน ที่ของท่านอาจารย์โกเอ็นกา ตอนไปได้ฟังบรรยายธรรมในเทปก่อน ศรัทธามาก ๆๆ ไป 2 วันแรก ขอกลับ เขาไม่ให้กลับ ตกลงอยู่ต่อ ถึงวันที่ 7 ดีใจรู้สึกทำอย่างที่ท่านสอนได้ นิ่ง สงบ พอตกกลางคืน มีเสียงคนเดินรอบห้อง เปิดประตู ได้ยินเสียงอะไรทั้งคืน บวกกับได้ยินเสียงสวดมนต์ ไวต่อสัมผัสมาก กลัวมากเพราะเป็นคนกลัวผี แล้วต้องนอนคนเดียวในห้อง ตอนนั้นมีความรู้สึกเหมือนอยู่ไม่ได้แล้ว ในใจคิดว่าเค๊าจะเอาเราไปทำร้ายด้วย ทนถึงวันที่ 8 ตอนเย็นไม่ไหว พอนั่งได้ยินเสียง ออกไป ออกไป ได้ยินเสียงคนกระซิบ กลัวมากถึงมากที่สุด ต้องดื้อกลับ แล้วตอนกลับมาได้ยินเสียงอะไรดังมากมาย เวลารถวิ่ง เสียวหัวใจแปล๊บ ๆ ทุกอย่างอึกทึกไปหมด เหมือนจะกลับมาอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ กว่าจะปรับตัวได้ นานพอควร

* แล้วเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ไปฟฟังธรรมที่ ม.ศรีนค่รินทร์วิโรฒ ต้องต้องออกมาก่อนอีกแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ต้องมีเหตุให้ออกก่อน เพราะสามีมีประชุมด่วน เสียดายมาก ๆ เพราะตั้งใจจะขอไปกราบท่าน ดร. และมีคำถามนี้จะถามท่านว่า เหตุใดถึงมีอุปสรรคไม่สำเร็จทุกครั้ง ทั้งๆ ที่รู้สึกว่าการปฏิบัติรรมดีกับชีวิตและต้องปฏิบัติชั่วชีวิต แต่เวลาหนูอยู่บ้านครึ่งวันเช้าคือเวลาแห่งการปฏิบัติธรรม แล้วช่วงบ่ายจะทำงานค่ะ พยายามไปวัด ไปถือศีลอุโสบถ ทำสังฆทาน ให้ทานคนยากจน ดูแลพ่อแม่อย่างดี หรือเพราะว่าหนูทำเวรกรรมไว้มาก มันจะไม่สำเร็จอย่างนี้ตลอดไปรึเปล่าค่ะ

ขอให้อาจารย์ช่วยหนูด้วยนะคะ ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
การทำความดี โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรม (ภาวนา) เป็นบุญใหญ่สุด ทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จในรอบวัน ต้องอุทิศบุญใหญ่ให้กับเจ้ากรรมนายเวร อุทิศบุญไปเรื่อยๆ จนกว่าหนี้เวรกรรมจะจบสิ้น การอุทิศบุญที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมลำพังเพียงคนเดียว ยังเป็นบุญที่ไม่มากพอสำหรับผู้ที่จองเวรไว้มาก ผู้รู้จึงขอความเมตตาจากครูฝึก บอกผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมร่วมกันอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเรา วิธีนี้เป็นการชดใช้หนี้เวรกรรมด้วยบุญก้อนใหญ่ ซึ่งจะใช้หนี้ได้หมดเร็วกว่าการอุทิศบุญของตนเพียงคนเดียว ผู้ถามปัญหาประสงค์จะหมดปัญหาที่ถูกจองเวร ต้องประพฤติตามที่แนะนำอยู่เสมอ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในที่สุดผมก็มีโอกาสได้ไปฟังการบรรยายธรรมของคุณพ่อที่ มศว เมื่อวันจันทร์ที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา

ผมมีความสุขเหลือล้น และวันนั้นผมก็ตั้งจิตเชิญเจ้ากรรมนายเวรไปฟังกับผมด้วยครับ
แต่พอมาถึงช่วงที่คุณพ่อพูดถึง คนที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ไม่สามารถจะเข้าสู่ฌาน หรืออะไรสักอย่างนี่ละครับ ผมฟังแล้วก็รู้สึกทุกข์ใจ เพราะผมบอกตรงๆเลยนะครับ ว่าผมเองก็เป็นบุคคลหนึ่งที่มี พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ผมเป็นเกย์ครับ คุณพ่อ

ผมทรมานเหลือเกินครับ ที่เกิดเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ไม่เคยไปสร้างกรรมกับผู้หญิงในชาตินี้เลยนะครับ เพราะผมไม่อยากสร้างบาป ผมเชื่อว่าการเป็นเกย์ ของผมนั้นเกิดจากกรรมเก่า แต่ทุกคืนผมก็ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกคืนเลย ไม่เคยว่างเว้น ทำบุญทำทาน รักษาศีลทุกวัน

คุณพ่อครับ แต่คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมทุกคนล้วนแต่ทำให้ผมเจ็บช้ำใจ ทุกคนเลยครับ ผมปวดใจ ร้องไห้ทุกครั้ง ตอนนี้ผมไม่คิดไรแล้วครับ ปล่อยวางพยายามสะสมบุญบารมีให้มากที่สุด คุณพ่อครับ ผมไม่อยากเกิดเป็นเกย์อีกแล้วในชาติหน้า คุณพ่อแนะนำผมหน่อยได้ไหมครับ ว่าผมควรทำเหตุอะไร ถึงจะได้ตรงกับผลที่จะเกิดในภพหน้า

หลังจากที่คุณพ่อบอกว่า คนที่เป็นเบี่ยงเบนทางเพศมีวิบากกรรมมาก ไม่สามารถเข้าสมาธิอะไรได้เนี่ย ทำให้ผมรู้สึกบั่นทอนใจเหมือนกัน คุณพ่อครับ ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมครับว่าผมควรทำตัวอย่างไร

ผมอายุ 24 ครับแต่ผมแอบดีใจอย่างหนึ่งคือ ผมรู้จักธรรมะของพระพุทธเจ้าได้เร็ว และเข้าใจถึงหลักกรรมในเวลาช่วงวัยรุ่น เพื่อความไม่ ประมาทคุณพ่อสนองกรุณาช่วยผมด้วยนะครับ

ด้วยความเคารพยิ่ง

คนมีกรรม

คำตอบ
ชาติปัจจุบัน เว้นประพฤติทุศีลข้อสามได้ ถือเป็นการประพฤติถูกตรงกับหนึ่งในเรื่องของความเพียรสี่อย่าง คือเพียรยับยั้งบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ไม่เติมเชื้อบาปให้มีมากขึ้น
อนึ่ง ผู้รู้ยอมรับความจริงถึงกรรมไม่ดี (เหตุ) ที่ตนเองเคยทำไว้ก่อน เมื่อกรรมส่งผลเป็นวิบากไม่ดี (เป็นเกย์) ให้ผู้ทำกรรมต้องรับ ผู้รู้ไม่หนีอกุศลวิบาก ผู้รู้ยอมชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะจบสิ้น หากผู้ถามปัญหา ไม่เติมเชื้อบาปให้เกิดขึ้นอีก แล้วหันมาประพฤติตนให้เป็นผู้บำเพ็ญทานอยู่เสมอ รักษาศีลห้าให้มีอยู่กับใจทุกขณะตื่น สวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต ์เจริญอานาปานสติ จนสามารถคุมจิตไม่ให้ส่งออกไปนอกตัวได้ แล้วอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ ชีวิตปัจจุบันย่อมไม่มีทุกข์ ชีวิตหน้าเสวยทิพยสุขแน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้เริ่มปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆ เมื่อเดือนเมษายน 2552 ที่ผ่านมา เช่น ถือศีลแปดที่วัด 3 วัน สวดมนต์เย็นนั่งสมาธิ บางวันก็ไปทำวัตรเย็นที่วัด และตื่นตี4.30 บ้างตี 5 สวดมนต์นั่งสมาธิโดยใช้ภาวนาพุทโธ กระทำเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน ได้มีเหตุการณ์ดังนี้

-อาทิตย์แรกของการนั่งสมาธิ หนูเจ็บหูมากจนหูข้างหนึ่งแทบไม่ได้ยิน ไปหาหมอ หมอบอกว่าหูบวม เวลาผ่านมาอีก 1 อาทิตย์ถึงหาย

-เกิดอาการตาเจ็บมาก เหมือนมีอะไรละคายเคืองในตา ไปหาหมอ ก็หาไม่เจอ เวลาผ่านมาอีก 1 วันถึงหาย

-ระหว่างนั่งสมาธิ จะมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาไต่ตอม หนูก็พยายามกำหนด คันหนอ บ้าง เจ็บหนอบ้าง สักพักแล้วก็หายไป

-หนูได้ฟัง ซีดี ของหลวงพ่อปราโมทย์ แล้วมีความรู้สึก มีความมานะพยายาม เตือนตัวเองอยู่เสมอว่าบุญถ้าไม่ทำไม่ได้

-มีอยู่วันหนึ่ง มีพี่ของน้องที่ทำงานเขาดูลายมือได้ (ปกติหนูเป็นคนไม่ชอบดูหมออยู่แล้ว )เขาดูลายมือให้ เขาบอกว่ามือข้างหนึ่งมีเป็นรูปใบโพธิ์ หนูบอกเขาว่าหนูไปถือศีลแปดมา แล้วเขาถามว่า หนูปวดในช่องท้องบ้างหรือเปล่า (ปกติปวด) เขาบอกว่าเหมือนมีอะไรในช่องท้องและหน้าอก หนูได้ฟังแล้วหนูใจคอไม่ดีเลย ทุกข์ใจมาก (เพราะพ่อแม่ พี่ชาย 2 คนหนู สียเพราะโรคมะเร็ง) แล้วเขาไปนั่งสมาธิมา เขาบอกว่า เจ้ากรรมนายเวรหนูอดีตชาติหนูไปฆ่าเขามา เจ้ากรรมนายเวรเขาจองเวร พี่เขาแนะนำให้เวลาสวดมนต์และนั่งสมาธิแล้ว ให้อุทิศส่วนบุญไห้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง ณ วันนั้นหนูกลับบ้านสวดมนต์ แล้วนั่งสมาธิเสร็จแล้วแต่หนูยังไม่ได้ถอนจากนั่ง (เปลี่ยนอิริยาบท) หนูอุทิศส่วนบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ที่เมื่อในอดีตชาติไปฆ่าเขามา หนูมีความรู้สึกเสียใจมากจนร้องไห้ น้ำตาใหลออกมา ขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวร เป็นความรู้สึกที่เสียใจจริงๆ หลังจากนั้นกำหนดว่ารู้สึกเสียใจแล้วหยุดร้องให้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

-ทุกวันนี้ช่วงหัวค่ำ เข้าห้องพระสวดมนต์สวดพาหุงมหากา อิติปิโสเท่าอายุบวกหนึ่ง ชินะบัญชร มงกุฏพระเจ้า 3 จบ คาถาหว่านทราย 7 จบ
กำแพงแก้ว 7 ชั้น เมตตัญจะฯ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญ

-เช้ามืดสวดยอดพระกัณฐ์ไตรปิฏก มงกุฏพระเจ้า 3 จบ คาถาหว่านทราย 7 จบ กำแพงแก้ว 7 ชั้น (7 จบ) เมตตัญจะฯ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญ

-ช่วงเช้าใส่บาตร รวมถึงวันพระทุกวันพระ ทำบุญที่โบสถ์หลวงพ่อเพชร (พิจิตร)

อาจารย์คะ หนูอ่านหนังสือทางสายเอกของอาจารย์แล้ว หนูจะขออาจารย์เป็นผู้จุดความมานะพยายามให้กับหนูนะคะ

ขอบคุณอาจารย์มากคะ

คำตอบ
เมื่ออาการรู้สึกเสียใจเกิดขึ้น แล้วกำหนดให้หายไปได้ แสดงว่าสติได้กลับคืนมา ไม่ส่งจิตออกไปรับเอาเรื่องในอดีตมาปรุงให้เกิดเป็นอารมณ์เสียใจ การหยุดร้องไห้จึงเป็นผลตามมา ดังนั้นทุกครั้งที่มีอารมณ์ไม่ดีเกิดขึ้น ผู้ที่ยังมีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็งนัก ต้องกำหนดให้ถูกตรงกับเหตุ แล้วสติจะกลับคืนมาอยู่กับปัจจุบันขณะได้
อนึ่ง การสวดมนต์บทต่างๆที่บอกเล่าไป ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติภาวนา เป็นการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น ที่มีผลทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ การนำอาหารไปใส่ลงในบาตรพระเป็นการบำเพ็ญทาน และเพื่อให้จิตเข้าถึงอารมณ์ตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว และเข้าถึงสมาธิขั้นสูงได้ ควรรักษาใจให้มีศีลอย่างน้อยห้าข้อคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ต้องเป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย แล้วผลบุญจะผลักดันให้ผู้ประพฤติ บรรลุในสิ่งที่ตนปรารถนาได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะนี้ดิฉันกำลังศึกษาระดับปริญญาเอก ด้านสิ่งแวดล้อม อยู่ที่ต่างประเทศค่ะ เป็นความโชคดีมาก ที่ได้มาฟังเสียงบรรยายธรรมของอาจารย์ผ่านเวบไซต์ ทำให้ดิฉันมีกำลังใจในการเจริญศีลภาวนาและตั้งใจว่าจะทำต่อไปเรื่อยๆค่ะ เพราะดิฉันมีความเห็นเช่นเดียวกับอาจารย์ว่า ปัญญาทางโลกเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาชีวิตทำให้ใจเป็นสุขได้

ตอนนี้ดิฉันกำลังจะต้องทำวิจัย โดยศึกษาพิษวิทยาของดิน ที่ปนเปื้อนด้วยสารตะกั่วโดยใช้ไส้เดือนค่ะ ซึ่งจากการทดลอง ทำให้ดิฉันต้องฆ่าไส้เดือนหลายร้อยตัว (freeze dry) เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณสารตะกั่วในตัวใส้เดือน ซึ่งงานนี้เป็นงานที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์ที่ปรึกษาค่ะ ดิฉันไม่มีทางเลือกอื่น อยากเรียนถามอาจารย์ว่า

1) ผลกรรมที่จะได้รับจากการกระทำนี้คืออะไรบ้างคะ

2) ถ้าดิฉันกล่าวขอขมาไส้เดือนก่อนที่จะฆ่า จะทำให้เวรกรรมเบาบางลงบ้างไหมคะ หรือหากอาจารย์จะกรุณาชี้แนะวิธีอื่นๆ เพื่อก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ ที่กรุณาสละเวลาและสายตาอ่านและตอบคำถามของดิฉัน

คำตอบ
(๑) เมื่อใดที่กรรม (เหตุ) ที่ทำให้ผล จะให้ผลเป็นความเจ็บป่วยและมีอายุไม่ยืนยาว

(๒) ไส้เดือนเป็นสัตว์ที่มีรูปนาม การขอขมากรรมย่อมทำได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ผู้ถูกแช่แข็งแห้ง (ไส้เดือน) จะยกโทษให้หรือไม่ หากไส้เดือนยกโทษให้ ผู้ที่นำเขาไปแช่แข็งแห้ง ไม่ต้องรับผลของกรรมนั้น ตรงกันข้ามถ้าจิตวิญญาณของไส้เดือนไม่ยกโทษให้ อกุศลวิบากตามข้อ (๑) ย่อมเกิดขึ้นกับผู้กระทำ

อนึ่ง การวิจัยที่มีการฆ่าสัตว์ เป็นส่วนประกอบแห่งความสำเร็จในการศึกษา แม้จะรู้ว่าเป็นบาป จงทำต่อไป เมื่อใดความรู้ที่เกิดขึ้น ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก บุญย่อมเกิดขึ้นจากผลของวิจัยนั้น และจะดีที่สุด เมื่อการทำวิจัยจบสิ้นลงแล้ว ผู้ถามปัญหาต้องหยุดประพฤติทุศีลดังที่เคยทำมาก่อน แล้วพัฒนาจิตให้มีบุญสั่งสมมาก จนบาปตามให้ผลไม่ทัน ด้วยการประพฤติทาน ศีล ภาวนา ตลอดชีวิต

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเคยศึกษาเรื่องราวของธรรมะมาบ้าง จากการอ่านและฟังธรรมะจากท่านผู้รู้หลายท่าน รวมถึงหนังสือของท่านอาจารย์สนองด้วยค่ะ ทำให้ได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์มากขึ้น และที่ดิฉันสนใจมากคือเรื่องกฎแห่งกรรม ทำกรรมสิ่งใดไว้ ผลของกรรมนั้นย่อมตามสนอง ไม่ว่าจะกรรมดีหรือกรรมชั่ว แต่มีเรื่องสงสัยบางอย่างที่ต้องเรียนถาม ขอท่านอาจารย์เมตตาให้ความกระจ่างด้วยค่ะ

1 การทำกรรมไว้เพียงครั้งเดียว แต่ผลของกรรมนั้นทำไมจึงมากมายหลายเท่านัก อย่างเช่นนะคะ (ที่เคยอ่านเจอมา) คนที่ฆ่าสัตว์เพียงครั้งเดียว จะต้องไปเกิดในนรกใช้กรรมหลายล้านปี พอขึ้นมาก็ต้องมาถูกฆ่าอีก 500 ชาติ ทำไมมากมายนัก ที่ถามก็เพราะว่าเกิดความกลัว ไม่ทราบว่าฆ่าใครมาแล้วบ้างในอดีตชาติ และชาติปัจจุบันก็เคยฆ่าสัตว์เหมือนกัน และถ้าปัจจุบันเลิกฆ่าสัตว์และตั้งหน้าตั้งตาปฎิบัติธรรม พอที่จะหนีพ้นวิบากกรรมเก่าเหล่านั้นได้บ้างหรือไม่ค่ะ ตอนนี้ดิฉันกำลังฝึกปฏิบัติธรรม ตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช โดยการดูจิตอยู่ค่ะ ก็ทำไปเรื่อยๆเนืองๆ ในชีวิตประจำวันเพราะว่ายังไม่ค่อยได้มีโอกาสไปปฎิบัติธรรมในสถานปฏิบัติ ธรรมอย่างจริงจัง และก็ใส่บาตรตอนเช้าอยู่ประจำ

2 ดิฉันปรารถนาให้พ่อและแม่ หันมาสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมบ้าง แต่ดิฉันปัญญาน้อย ก็อาศัยอ่านหรือเปิดเทปบรรยายธรรมให้ท่านฟัง ดูเหมือนท่านจะยังไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าที่ควร ดิฉันเคยท้อและเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้มาก แต่ก็ได้คำสอนของพระอาจารย์ปราโมทย์ ก็เลยคลายความทุกข์ได้บ้าง ดิฉันควรทำอย่างไรให้ท่านหันมาสนใจให้มากขึ้น เพราะสิ่งเดียวที่ดิฉันจะตอบแทนท่านได้เต็มที่ ในฐานะลูกก็คงจะมีทางนี้ทางเดียว

ขอรบกวนเท่านี้ก่อนนะคะ ขอกราบอนุโมทนาในเมตตาของท่าน ที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้พ้นจากทุกข์ค่ะ

คำตอบ
(๑) คนที่มีจิตค่อนข้างบริสุทธิ์ แล้วไปทำบาปให้เกิดขึ้น ผลของบาปที่ถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต จะถูกระลึกถึงได้ง่ายและถูกระลึกถึงได้มาก เมื่อใดที่กรรมให้ผล จึงให้ผลรุนแรงและให้ผลในปริมาณมากกว่าบาปที่ตนกระทำ

ปัจจุบันได้หยุดฆ่าสัตว์แล้ว ถือว่าเป็นการกระทำที่ดี เพราะไม่เติมเชื้อบาปให้เพิ่มมากขึ้น ผู้ถามปัญหาประสงค์หนีไปให้พ้นจากวิบากที่เกิดจากการฆ่า สามารถหนีได้ชั่วคราว ด้วยการพัฒนาใจให้มีศีลห้าอยู่เสมอ และบำเพ็ญทานอยู่เสมอ หรือประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ อยู่เสมอ หรือเจริญอานาปานสติจนจิตตั้งมั่นเป็นฌาน แล้วตายในขณะจิตทรงฌานจะไปเกิดเป็นพรหม หรือจิตทิ้งร่างในขณะมีสติคุมใจ ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้เป็นการกระทำที่สามารถหนีพ้นวิบากจากการฆ่าสัตว์ได้ชั่วคราว และจะดีที่สุด ต้องพัฒนาจิตจนสามารถปิดอบายภูมิได้ ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดสังโยชน์อย่างน้อยสามตัวแรก (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด จึงจะสามารถพ้นจากอกุศลวิบากที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ได้เป็นที่แน่นอน

(๒) เมื่อใดผู้ถามปัญหาพัฒนาตัวเอง ให้มีศีล มีธรรมคุ้มครองใจให้ได้ทุกขณะตื่น พฤติกรรมที่แสดงออกทางกาย วาจา ใจ ย่อมดีงาม ความศรัทธาของผู้อยู่ใกล้ย่อมเกิดขึ้น และหากพัฒนาจิตจนเข้าถึงอริยธรรมได้แล้ว ความศรัทธาของพ่อแม่จะเกิดขึ้นได้ง่าย แล้วพ่อแม่จะมีความเห็นถูก หันมาสนใจธรรมเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีปัญหาในชีวิตที่ทำให้ทุกข์ใจมาได้ 19 เดือนแล้ว
กราบขอคำแนะนำจากพระอาจารย์ด้วยคะ

หนูกับแฟนมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน อยู่กินกันมา 10 กว่าปีจนเมื่อ 19 เดือนที่แล้วเค้าไปมีคนใหม่ เราก็เลิกกัน แต่พอ 6 เดือนหลังเค้ากลับมาวนเวียนอีกแล้ว อยากขอเป็นเพื่อนกันอีก หนูขอร้องให้เค้าเลิกมาเค้าก็ไม่ฟัง หนูก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆๆ ฟุ้งซ่านมาก หนูอยากให้ตัวเองรักเค้าแบบเมตตา และเห็นหน้ากันได้โดยหนูไม่เจ็บแต่หนูทำไม่ได้

หนูพยายามที่จะแก้ปัญหาความเจ็บปวดด้วยการหันหน้าเข้าพึ่งพระธรรม เดิมทีก็ปฎิบัติอยู่บ้างแล้วคะ หนูพยายามปฎิบัติเพื่อให้จิตเดินทางสู่ความสงบ ซึ่งไม่ค่อยประสบผลนัก หรือเป็นเพราะผลกรรมเก่าที่หนูเป็นแบบนี้ ทำให้หนูไม่สามารถบรรลุ หรือ เข้าใจในธรรมของพระพุทธองค์ บางวันก็ท้อแต่ก็ยังเชื่อว่าน่าจะทำได้บ้าง หนูก็ทำไปรู้สึกมากบ้าง น้อยบ้างก็ทำไป อย่างน้อยขอให้มีสติสัมปัญชญะมากขึ้น แต่อาการหลงโกรธ หลงรัก มีมาก จนกระทั่งหนูคิดว่า หนูมาถูกหรือผิดทางกันแน่ ไม่มีบุญพอหรืออย่างไร ถึงปฎิบัติไม่ก้าวหน้า
หนูฝึกแบบรู้สึกตัว + ตามลมหายใจ (ตามที่พระอาจารย์ มานพ อุปสโม)

หนูเที่ยวไปฝึกกับครูบาอาจารย์ บางครั้งไปฝึกก็ครุ่นคิดแต่เรื่องเดิม ครั้งล่าสุด ฝึกกับพระอาจารย์มานพ รู้สึกปัจจุบันมากขึ้นแต่กลับมาบ้านทีไรก็เป็นเหมือนเดิม รู้สึกตัวน้อย หลงมาก หลงนาน รู้คะแต่หยุดไม่ได้

รบกวนขอคำแนะนำจากพระอาจารย์ ว่าหนูควรทำอย่างไรเพื่อให้ได้รับธรรมโอสถ แล้วพ้นจากการตกนรกทั้งเป็น ต้องทำบุญอย่างไรดีคะ หนูอยากบวชเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น (หนูเข้าใจว่าถ้าหนูอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งอิงอาศัยทางใจกับใคร)
การบวชน่าจะช่วยได้ให้หนูได้ฝึกติดต่อและต่อเนื่อง หนูเข้าใจผิดรึเปล่าคะ

ทุกวันนี้ทรมานมาก ผอมมาก กินได้น้อย นอนไม่ค่อยหลับ ฝันร้าย ทำงานทำการไม่ค่อยได้ เพราะว้าวุ่นใจตลอด สมาธิไม่มี บางวันก็อยากจบชีวิตซะที เป็นอาการของจิตที่ตก และจมอยู่อย่างนั้น ย้ำคิดย้ำทำ วนเวียนอยู่นั่น

ขอความเมตตาจากพระอาจารย์ชี้แนะทางพ้นจากทุกข์ให้หนูหน่อยคะ
ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง

คำตอบ
พุทธวจนะ “ สรรพสิ่งเกิดขึ้นย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด เมื่อเหตุดับสิ่งนั้นย่อมดับไปด้วย ”

ฉะนั้นผู้ถามปัญหาประสงค์แก้ไขสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับ ชีวิต ต้องหาเหตุให้พบและดับที่เหตุนั้น

สิ่งขัดใจเป็นต้นเหตุให้เกิดเป็นความโกรธ สิ่งขัดใจดับได้ต้องให้อภัยเป็นทาน ให้อภัยได้แล้วเมตตาจึงจะเกิดขึ้น ผู้ใดมีเมตตาผู้นั้นไม่มีความโกรธ

ความหลงคือรู้ไม่จริง คืออวิชชา ความหลงหมดไปได้ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาความหลงว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดความหลงเข้าสู่อนัตตา ความหลงจึงไม่ใช่ตัวตน จิตจะปล่อยวางความหลง แล้วว่างเป็นอุเบกขา ความหลงก็จะหมดไปจากใจได้

ปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้า มีเหตุมาจาก

๑. อกุศลวิบากตามให้ผล และจิตยังชดใช้หนี้เวรไม่หมด

๒. ศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์ และไม่เอาศีลมาคุมใจ

๓. ความเพียรในการปฏิบัติธรรมย่อหย่อน

๔. ไม่มีสัจจะคุมใจ

ผู้ใดดับเหตุทั้ง ๔ นี้ได้ การปฏิบัติธรรมได้ผลก้าวหน้าแน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ดิฉันเป็นคนกังวลไปในทุกๆเรื่อง สมองจึงคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอด ดิฉันไม่สามารถนั่งสมาธิแล้วทำจิตใจให้สงบได้ อีกอย่างคือดิฉันไม่เข้าใจคำบอกกล่าวของหลายคน ดิฉันพยายามจะถามหลายๆคนแล้วว่าเวลานั่งสมาธิแล้วให้คิดถึงสิ่งใด บางคนบอกให้ไม่ต้องคิดอะไรให้กำหนดลมหายใจแล้วรู้ว่าเราหายใจเข้า-ออก ดิฉันเลยสงสัยว่า ถ้าอย่างนั้นบางคนบอกว่านั่งสมาธิแล้วจิตว่างไปเลย คือไม่คิดถึงอะไรเลย(ที่ถือว่าเป็นขั้นสูงแล้ว) แล้วคนนั่งสมาธิเค้าจะถือว่ามีสมาธิอยู่หรือคะ มันไม่ใช่เป็นการจดจ่อกับสิ่งใด แล้วเราจะมีสติอยู่หรือคะ

2. การให้สัญญา หรือตั้งจิตมั่นปฏิญาณกับพระพุทธรูป ว่าเราจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ได้ แล้วในตอนหลังดิฉันไม่สามารถปฏิบัติได้ บางสิ่งดิฉันก็ลืมไป จะเป็นบาปหรือส่งผลอะไรต่อดิฉันไหมคะ แล้วมีทางแก้ไขไหมคะ (โดยเฉพาะบางสิ่งที่เราเคยให้สัญญาไปแล้ว แต่ลืมคำสัญญาไปนะคะ)

3. ดิฉันทำในหลายเรื่องที่ผิดศีล ทั้งๆที่รู้ว่าผิดแต่ดิฉันก็ยังทำ และดิฉันก็จะกังวลกับมันตลอด (อย่างที่บอกในข้างต้นแล้วว่าดิฉันเป็นคนที่ขี้กังวลมาก) ทั้งที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ฉันกลัวบาปมาก กลัวความเจ็บปวด ทุกวันนี้ดิฉันอยู่อย่างไม่มีความสุข จะกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอด ทั้งเรื่องการเรียน การเงินและอีกมากมาย ทั้งที่ดิฉันก็เรียนได้เกรดค่อนข้างดี ทางบ้านก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ดูเหมือนดิฉันจะยึดติดกับหลายๆสิ่งจนทำให้ใจเป็นทุกข์ ทั้งๆที่ดิฉันก็รู้ว่าตายไปแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ ดิฉันรู้ว่าใจคิดอย่างไร แต่ดูเหมือนจะบังคับให้ใจปล่อยวางไม่ได้สักที ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ เวลาฉันไปไหว้พระที่วัด ก็มักจะขอท่านให้ดิฉันสามารถเข้าถึงธรรมได้ เห็นธรรมได้ ปล่อยวางได้ แต่ดูเหมือนดิฉันก็ไม่สามารถบังคับใจตัวเองได้สักที และบางครั้งดิฉันเห็นคนอื่นทุกร้อน หรือมีเรื่องเศร้า แต่ใจดิฉันกับไม่ได้รู้สึกสงสาร บางครั้งก็คิดว่าไม่เห็นทุกข์เท่าไหร่เลย (ออกแนวไม่ใส่ใจ+ไม่สงสาร) ดิฉันรู้สึกว่าจิตใจตัวเองทำไมแย่เป็นอย่างนี้ แล้วดิฉันก็จะพยายามคิดว่า ถ้าเราเจอเรื่องอย่างนั้นมั่งจะต้องทุกข์มากๆๆๆ ทำให้บางครั้งดิฉันรู้สึกเกลียดตัวเองมากๆ ทุกครั้งที่เจอเรื่องแบบนี้แล้ว ดิฉันไม่สงสารดิฉันจะรู้สึกว่าตัวเองเลวร้ายมาก ทั้งๆที่ตอนเป็นเด็ก ดิฉันไม่ได้เป็นอย่างนี้เลย ดิฉันพยายามทำใจให้สงสารทุกครั้งที่เห็นความทุกข์ของผู้อื่น แต่จะเหมือนมีอีกใจที่ขัดแย้งว่าใจของดิฉันไม่ได้ทุกข์กับเรื่องเหล่านั้น เลย เลยอยากให้อาจารย์ช่วยบอกดิฉันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับดิฉัน และดิฉันควรทำอย่างไร จึงจะสามารถมีจิตใจที่ดีได้

สุดท้ายนี้หากไม่เป็นการรบกวนอาจารย์จนเกินไป

ขอบคุุณมากค่ะ

คำตอบ
(๑) ผู้ใดปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม ผลแห่งการปฏิบัติย่อมไม่เกิดขึ้น หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตตนเอง ให้มีศีล ๕ ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย และให้มีอยู่กับใจทุกขณะตื่นได้แล้ว การพัฒนาจิต (สมถกรรมฐาน) ให้เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ และพัฒนาจิต (วิปัสสนากรรมฐาน) ให้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย

(๒) การประพฤติตนเป็นคนไร้สัจจะ ถือว่าเป็นบาป ผู้ไม่มีสัจจะไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมขั้นสูงได้ ผู้ใดประสงค์แก้ปัญหาความไร้สัจจะให้หมดไป ต้องไปขอขมาต่อพระรัตนตรัยให้ยกโทษให้ และต้องไม่ประพฤติไร้สัจจะให้เกิดขึ้นอีก
(๓) ผู้ใดมีศีล ๕ บริสุทธิ์คุมใจ จิตย่อมเข้าถึงความตั้งมั่นได้ง่าย และผู้ใดหมั่นเจริญพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) อยู่เสมอ ความสงสารคิดช่วยเหลือผู้อื่นย่อมเข้าถึงความสำเร็จได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.เรื่องศีล ข้อ 3 ดิฉันมีสามีแล้ว แต่บางทีเจอคนถูกใจชอบแอบนำมาคิด หรือจินตนาการทางเพศ อยากทราบว่าถือว่าผิดศีลข้อ3และข้อ 3ในศีล 8 หรือไม่คะ

2. การมีลูกเป็นโรคสมาธิสั้น เพราะชาติที่แล้วดิฉันผิดศีลข้อ 5 ใช่หรือไม่คะ

3.ดิฉันนั่งสมาธิจนนิ่งแล้ว จะผลิกเข้าสู่วิปัสสนาได้อย่างไร ตอนนี้พอจิตสงบ ก็จะนำเหตุการณ์ต่างๆมาคิดตามกฎไตรลักษณ์ เช่นอาการเกิดดับของเหน็บชาที่เกิดขึ้นจริง อารมรณ์โกรธที่หายไป อารมรณ์ที่เกิดขึ้นทั้งวัน ดิฉันทำถูกต้องหรือผิดไปจากหลักกรรมฐานไหมคะ

รักและเคราพ/คนช่างสงสัย

คำตอบ
(๑) ที่บอกเล่าไป เป็นการประพฤติทุศีลข้อ ๓ ทางใจ เป็นมโนทุจริต ผิดทั้งศีล ๕ และผิดทั้งศีล ๘

(๒) เป็นไปได้

(๓) ผู้ใดมีจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วใช้จิตตามดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออารมณ์ดับไป (อนัตตา) จิตจะปล่อยวางอารมณ์ แล้วจิตว่างเข้าสู่ความเป็นอุเบกขา หากมีผลถูกตรงตามนี้ ถือว่า วิปัสสนาภาวนาดำเนินไปถูกต้อง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


- ถ้าหนูจะทำธุรกิจการค้าเกี่ยวกับการซื้อขายทองคำ ไม่ทราบว่า ธุรกิจนี้จะเป็นการสร้างผลกรรมไม่ดีประการใดบ้างหรือเปล่า หรือมีอานิสงฆ์อย่างไร เนื่องจากหนูเคยได้ยินมาว่า “ ทองคำ ” เป็นเสมือนทรัพย์ของแผ่นดิน อาจส่งผลกระทบให้คนทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทองคำนี้ มีชีวิตที่ไม่สงบสุข ที่หนูต้องการคำปรึกษาแนะนำนี้ หนูเพียงแต่ไม่ต้องการสร้างอกุศลเพิ่มขึ้นโดยไม่เจตนาค่ะ

สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านอาจารย์ ดร.สนอง สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัย อยู่เป็นที่พึ่ง เป็นแสงสว่างทางธรรมให้กับเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้ ให้นานเท่าที่จะนานได้ค่ะ และหนูขออนุโมทนาในทุกบุญกุศลที่ท่านอาจารย์สร้างด้วยนะคะ

ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

คำตอบ
ธุรกิจที่บอกเล่าไป ผู้ใดประพฤติแล้ว ย่อมนำจิตเข้าไปผูกติดเป็นทาสของวัตถุ ความหลงย่อมเกิดเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อนำตัวเข้าปฏิบัติธรรมแล้ว โอกาสพัฒนาจิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ตราบที่เหตุของความหลงยังไม่หยุดกระทำ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 70, 71, 72, 73, 74, 75, 76 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร