วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 06:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 65, 66, 67, 68, 69, 70, 71 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ทุกวันนี้มีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เมื่อเวลาที่ทำผิดศีลก็ไม่รู้ว่านั้นคือความผิดแต่อาจทำให้เกิดความสุขจาก การทำผิดศีล คำถามคือ บาปนี้จะเก็บไว้ในดวงจิตเค้าได้อย่างไร(ในเมื่อเค้าทำด้วยความสุขสมหวังเช่น เล่นพนันแล้วได้ หรือยิ่งเบียดเบียนเค้ายิ่งมีความสุขเพราะเห็นว่าตนเป็นฝ่ายได้ ฝ่ายกำไร แล้วเค้าก็ไม่คิดว่าบาป หรือเช่นคนที่ปล่อยกุ้นอกระบบคิดดอกสูงกว่าธนาคาร เค้าไม่คิดว่าบาปเค้าคิดว่าดีซะอีกเพราะเค้าได้ให้โอกาสกับบุคคลเหล่านั้น

2. คนที่เป็นเกย์คิงและควีนเป็นแฟนกันเป็นบาปไม๊ ถ้าทั้งคู่ยังไม่มีเจ้าของ แล้วถ้าคนเป็นพ่อแม่รับไม่ได้ที่เค้าไม่สมบูรณ์ทางเพศใครบาปคะ

3.ท่านเคยบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ขอเรียนถามว่า เป็นทุกเรื่องเลยเหรอคะ เช่นในชาตินี้จะมีการกระทำใหม่ที่เกิดขึ้นโดยไม่บังเอิงบ้างไม๊คะ เช่นเจอคนมาเบียดเบียน เจอคนใจร้าย เป็นการกระทำใหม่ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้เป็นกรรมเก่ามาก่อนไม๊คะ

4.การไปทำให้คนไม่พอใจจะทำให้เกิดบาปใช่ไม๊คะ แล้วถ้าเราเป็นฝ่ายถูกจนยอมไม่ได้ ต้องยอมเพื่อไม่ให้เกิดบาปเหรอคะ แล้วถ้าเราต้องอดทนไว้จะไม่เป็นการเบียดเบียนตัวเองเหรอคะ ขอช่วยชี้แนะเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันค่ะ

คำตอบ
(๑) ผู้ใด คิด พูด ทำ (พฤติกรรม) แล้ว ผลของการกระทำ จะถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณ เป็นสมบัติของตัวเอง พฤติกรรมดีให้ผลเป็นบุญ พฤติกรรมไม่ดี (เล่นพนัน ให้กู้นอกระบบโดยคิดดอกเบี้ยสูง) ให้ผลเป็นบาป ทั้งนี้เป็นไปตามกำหนดอันแน่นอนตายตัวของธรรมชาติ ที่เรียกว่า “ กฎ แห่งกรรม ” บุคคลใดไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เป็นเพราะบุคคลนั้นยังมีปัญญาเข้าไม่ถึงความจริง (เหตุผล) ในเรื่องนี้ ตรงกันข้าม บุคคลใดพัฒนาตนเองจนเข้าถึงปัญญาสูงสุดได้แล้ว ย่อมเข้าถึงความจริงว่า ทำดีต้องได้ดีแน่นอน ทำชั่ว (เล่นพนัน , ให้กู้นอกระบบฯ) ต้องได้รับผลชั่วแน่นอน เมื่อถึงเวลาที่กรรมให้ผล

(๒) เป็นบาปที่เกิดมาต้องรับอกุศลวิบากเป็นเกย์คิง , เกย์ควีน ผู้ถามปัญหาพูดว่า “ ทั้งคู่ยังไม่มีเจ้าของ ” เป็นการพูดไม่ตรงความจริง เพราะผู้ให้กำเนิดรูปนาม คือมีพ่อแม่เป็นเจ้าของ ด้วยเหตุที่พ่อแม่เคยมีส่วนร่วมในการประพฤติทุศีลข้อ ๓ มาก่อน จึงต้องรับผลทางอกุศลวิบากนั้นด้วย

(๓) ผู้ใดเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ผู้นั้นยอมรับโดยศิโรราบในพุทธวจนะที่ว่า “ ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธะตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นไว้ ... ฯ ”
ฉะนั้นผู้ตอบปัญหายืนยันว่า “ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ย่อมมาจากเหตุที่ทำให้เกิด ”

อนึ่งการต้องมาพบเจอกับคนเบียดเบียน พบเจอกับคนใจร้าย หากมิใช่โพธิสัตว์แล้ว ย่อมเป็นผลที่เกิดขึ้นจากเหตุที่เป็นอกุศลกรรมเก่าทั้งสิ้น ตรงกันข้ามผู้ที่ดำเนินชีวิตตามแนวพระโพธิสัตว์เท่านั้น ผลที่เกิดขึ้น จึงมิใช่เป็นเหตุมาจากอกุศลกรรมเก่า

(๔) ใช่แล้ว และใช่อีกแล้ว ถ้าผู้ถามปัญหาเชื่อในปัญญาของพระพุทธะ อนึ่งหากผู้ใดทำให้เราต้องอดทน ผู้เห็นถูกจะเห็นว่า ผู้ที่ทำให้เราต้องอดทนเป็นครูมีบุญคุณต่อเรา ที่ทำให้เราได้สร้างขันติบารมีนั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีลูกสาวคนหนึ่งมีปัญหาทางสมองค่ะ เพราะตอนอายุ 6 เดือน เกิดไปแพ้ยาที่หมอฉีดให้ และมีอาการชัก ตาค้าง นานหลายสิบนาที ตอนนั้นอาการรุนแรงมาก ต้องเข้า ICU ถึง 7 วัน แต่หลังจากนั้นก็หายเป็นปกติ แต่พอโตขึ้น เขาก็มีอาการคล้ายเด็กออทิสติก+สมาธิสั้นค่ะ ซุกซนมาก อยู่ไม่นิ่ง พูดได้บ้าง แต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เรียนหนังสือก็ไม่ค่อยทันเพื่อน (ตอนนี้กำลังจะขึ้น ป. 1)

ตั้งแต่มีลูกสาวคนนี้ ดิฉันก็ได้หันเหเข้ามาทางธรรมมากขึ้นๆๆ ตอนนี้พยายามสวดมนต์ และนั่งสมาธิเกือบทุกวัน วันละ 15-30 นาที และพยายามระลึกว่า กรรมใดหนอ ที่ทำให้เรามีลูกมีอาการเช่นนี้

เมื่อเร็วๆนี้ ได้ฟังคำของพี่สาว ซึ่งสนใจธรรมะเหมือนกัน เขาให้ข้อสังเกตว่า ดิฉันอาจจะเคย จาบจ้วง ล่วงเกิน ผู้มีศีลหรือผู้ทรงธรรมไว้ในอดีตชาติ (ชาตินี้มั่นใจว่าไม่เคยค่ะ)

สาเหตุที่เขาวิเคราะห์เช่นนี้ เนื่องจากสังเกตว่าดิฉันเป็นคน ชอบวิจารณ์คนอื่นๆ (หมายถึงคนดังๆในสังคมน่ะค่ะ) แม้ว่าจะวิจารณ์อย่างเป็นกลางก็ตาม..... เมื่อเร็วๆนี้ ดิฉันได้ฟังเรื่องลบๆของหลวงตาที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ก็นำมาเล่าต่อ (โดยไม่ได้ใส่ความเห็นของตัวเองเข้าไป) แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ

แต่พี่สาวก็ทักท้วงว่าไม่สมควร และว่าน่าจะเป็นจริตของดิฉันที่ติดมาตั้งแต่อดีตชาติ ที่ชอบทำเช่นนี้

จึงอยากเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1) เป็นไปได้หรือไม่ ที่ดิฉันมีกรรมเนื่องจากเคยไปละเมิดผู้มีศีลไว้ในอดีตชาติ ทำให้ต้องมีลูกมีปัญหาทางสมองในชาตินี้

2) แล้วเราจะขอขมากรรม หรือขออโหสิกรรมได้อย่างไร เพื่อให้กรรมเบาบางลง เนื่องจากเราสำนึกผิดแล้ว อีกทั้งไม่ทราบว่าเคยล่วงเกินผู้ใด

3) การที่เราได้ยินคนอื่นพูดเรื่องผู้มีศีลในทางลบ แล้วนำมาเล่าต่อ (โดยไม่มีเจตนาลบหลู่) จะเป็นบาปหรือไม่ เพราะเราได้ยินมาอย่างนั้นจริงๆ โดยไม่ได้เสริมเติมแต่งแต่อย่างใด

คำตอบ
(๑) การวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น แม้จะวิจารณ์เป็นกลาง ในทางโลกถือว่าเป็นเรื่องปรกติ แต่ในทางธรรมหมายถึงการมีโปรแกรมจิตติดลบ (บาป) ยังมีอยู่ในจิตของผู้วิจารณ์ การได้ยินได้ฟังเรื่องลบๆของบุคคลอื่น เช่นเรื่องของหลวงตาที่มีชื่อเสียง แล้วนำไปบอกต่อ ถือว่าผู้บอกเล่าเป็นจำเลยบาปที่กระจายบาปส่งต่อไปให้คนอื่น เมื่อบาปให้ผล ผู้ส่งต่อบาปจึงต้องเป็นผู้รับผลอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง

(๒) ผู้ใดสำนึกบาปได้ และประสงค์จะขอขมากรรมนั้นสามารถทำได้ แต่ผลของบาปจะถูกยกเลิกหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้ากรรมนายเวร หากเขายกโทษให้ อกุศลวิบากที่กำลังเสวยอยู่จะหมดไป และหากผู้ใดพัฒนาจิตตนเองจนบรรลุอริยธรรมสูงสุด แล้วดับรูปดับนามเข้านิพพาน อกุศลกรรมและกุศลกรรมที่เหลือทั้งหมด จะถูกยกเลิก (อโหสิ) ไปโดยปริยาย

(๓) การได้ยินได้ฟังเรื่องไม่ดี นับว่าเป็นบาปอยู่แล้ว และยังนำเรื่องไม่ดีของคนอื่นไปบอกเล่าต่อ แม้ไม่มีเจตนาลบหลู่ จะยิ่งมีบาปเพิ่มมากขึ้นแน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านค่ะ หนูทุกข์ใจที่มีปฏิสัมพันธ์กับคุณพ่อที่ไม่ดีเลยค่ะ พ่อหนูเวลาใจเย็นจะเป็นคนใจดี แต่เวลาที่ท่านใจร้อนขึ้นมาท่านจะตี เตะ แม่ แม่ท้องยังเตะเลย ความผิดคนอื่นแม่ต้องรับทุกเรื่อง มันฝั่งใจหนู ทำให้หนูรู้สึกเกลียดเค้าเพราะสงสารแม่หนูเอาตัวเค้ารับแทนแม่ตลอดพอเป็นหนู ท่านก็ไม่ตี แต่ท่านเป็นคนรับผิดชอบหน้าที่ดี ให้แม่ใช้เงินทองแบบสบายๆไม่มีห่วงเลย ตอนนี้ท่านแก่แล้วไม่ได้มีรายได้อย่างเก่า กลายเป็นแม่ต้องเลี้ยงพ่อแทน ท่านมีรายได้จากค่าเช่าบ้านประมาณหมื่นกว่าบาทแต่เงินนั้นท่านไม่เคยใช้ เพื่อความสุขของตัวเองและคนอื่นเลย ท่านจะเอาเงินนั้นไปจ้างคนงานมาซ่อมบ้านที่ไม่มีคนอยู่ตามที่ท่านพอใจ ไม่ยอมทิ้งของเลย ทั้งที่ซื้อยังถูกกว่า เก็บทุกอย่างจนบ้านมีแต่ขยะหนูไม่ชอบเลยค่ะ เช่นขวดยาคู้ กล่องเค็กที่ทิ้งแล้วก็ไปล้างมาเก็บ ทำแบบนี้มา 20ปีแล้วค่ะ พฤติกรรมอื่นๆของท่านที่ทำให้รู้สึกไม่ชอบคือ

1. ท่านชอบบอกไม่มีเงิน เพราะท่านเอาเงินไปจ้างคนงานทำเรื่องไร้สาระไปวันๆเช่นเอาขยะมาซ่อมทั้งๆที่ ไม่เหลือสภาพการใช้งานแล้ว เหมือนเอาเงินไปทิ้ง แต่ท่านบอกว่าเป็นงาน

2. ท่านชอบใช้ชีวิตแบบคนอนาถา เช่น เข้าห้องน้ำไม่เปิดไฟทำให้สกปรก ไม่กดน้ำทำให้เหม็นข้ามคืน ชอบเข้าไปยุ่งในครัวล้างจานด้วยน้ำเปล่าเท่านั้น ชอบเอาของเสียมากินแล้วยอมปวดท้องยอมท้องเสียแล้วค่อยมากินยาเอา ชอบเอาขวดน้ำพลาสติกมาใช้หลายๆครั้งหนูกลัวอันตรายบอกดีก็แล้วตะคอกก็แล้ว ท่านก็ไม่ยอมทิ้ง และที่สำคัญที่จะทำให้อยู่ร่วมกันไม่ได้ คือวันดีคืนดีเครียดอะไรไม่รู้ก็มาระเบิดที่บ้าน ตีลูกบ้าง จะตีแม่บ้าง (แม่หนูเป็นคนดีน่ะค่ะมีคุณธรรมด้วยหนูรักแม่มากๆๆ)

พฤติกรรมพวกนี้ต้องเห็นเป็นประจำ อยากให้พ่อใช้ชีวิตมีอนามัย เพื่อความสะอาดและสุขภาพที่ดีของตัวท่านเอง ต้องตะคอกท่านบ่อยๆเพื่อท่านไม่กินของเสีย ถ้าพูดดีๆไม่เคยได้ ใครเอาของเสียท่านไปทิ้งเป็นเรื่องเลยค่ะ

ลูกคนอื่นก็เป็นด้วยน่ะ ต้องตะคอกท่านถึงจะหยุด มันเลยเหมือนว่าการอยู่ใกล้ท่านทำให้มีโอกาสในการทำบาปมาก ท่านชอบพูดว่าทำกะพ่อแบบนี้บาป พี่หนูเลยตอบเค้าไปว่าใครอยู่ใกล้พ่อบาปทุกคนซึ่งหนูเห็นด้วยค่ะ

ขอท่านช่วยชี้แนะ วิธีการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับท่านโดยไม่บาปต้องทำไงคะ จักเป็นพระคุณยิ่งค่ะ

ตอนนี้ที่หนูทำอยู่คือ

1.ช่างแล้วเมื่อเตือนแล้วไม่ฟังก็ปล่อยจะไม่ตะคอกท่านอีก แต่เหมือนท่านจะมาหยอกมาเล่าให้ฟังว่าวันนี้เก็บของเสียในตู้เย็นอะไรมากิน บ้างให้ฟัง พอเราโมโหท่านจะหัวเราะมีความสุข หัวเราะเสียงดังถูกใจสุดๆเมื่อเราตะคอก กลับไป เหมือนมายั่วกัน

2.หลีกเลี่ยงการพูดคุย และยุ่งด้วยให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องสร้างบาปอีก

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
ผู้ถามปัญหาประสงค์อยู่ร่วมกับคนที่กำลังเสวยอกุศลวิบากอย่างเป็นปรกติ ต้องพัฒนาจิตตัวเองให้เป็นผู้มีขันติบารมีและเจริญพรหมวิหาร ๔ อยู่เสมอ จนคุณธรรมทั้งสองมีกำลังกล้าแข็งเหนือสิ่งกระทบที่เข้าทางทวารทั้งหก (หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ) ได้เมื่อใด แล้วจะรู้ว่าพ่อเป็นครูผู้มีอุปการคุณต่อผู้อยู่รอบข้าง ทำให้ผู้อยู่รอบข้างได้พัฒนาจิตตนเองให้มีคุณธรรมสูงยิ่งๆขึ้น และหากเมื่อใดผู้ถามปัญหาทำได้เช่นนี้แล้ว .... สาธุ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ได้รับการฝึกกรรมฐานแบบสติปัฐฐาน 4 ตอนนั่งสมาธิ ภาวนาในห้องกรรมฐานกับหมู่กลุ่มหรือแม้แต่คนเดียว เวทนาที่เกิดขึ้นแม้จะรุนแรง สามารถทนได้ง่าย สามารถวางอุเบกขาได้ แต่พอเวทนาที่เกิดในชีวิต เช่นปวดฟัน ปวดหัว ที่มีเวทนารุนแรง ไม่สามารถกำหนดได้ พยายามดู ๆ เรื่อยๆ แต่ก็ยอมแพ้ไม่สามารถวางอุเบกขาได้ ควรทำอย่างไร เราไม่สามารถแยกรูปกับนามได้เลย

2. ขอคำแนะนำในการดูจิต คอยดูจิตตัวเองตลอด เห็นจิตเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา ดีบ้าง เลวบ้าง เป็นไปสภาวะธรรม แต่บางครั้งรู้สึกว่า สภาวะจิตในบางกรณีมันไม่ดี ยกกรณีตัวอย่าง ดิฉันไม่ได้ชอบสัตว์เลี้ยง แต่มีเหตุจำเป็นที่ต้องเลี้ยง ต้องคอยหาข้าวหาน้ำให้มันกิน สังเกตุดูจิตตัวเองพบว่าไม่ได้ชอบสัตว์เลย รู้สึกไม่ถูกชะตากับมัน เมื่อเกิดสภาวะจิตอย่างนี้ ควรทำอย่างไร

กราบขอบพระคุณในคำแนะนำค่ะ

คำตอบ
(๑) เรื่องของทุกขเวทนาที่แสดงออกเป็นอาการปวดหัว ปวดฟันอย่างรุนแรง ผู้ใดพัฒนาจิตจนมีกำลังของสติกล้าแข็ง แล้วทำให้จิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) ที่เรียกว่าสมาธิในระดับฌาน เพียงแค่นำจิตเข้าถึงรูปฌานที่สี่ได้ จะมีอารมณ์ภายใน (อุเบกขา กับ เอกัคคตา) เท่านั้นที่เกิดขึ้น สิ่งกระทบภายนอกใดๆที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว ปวดฟัน จะไม่ปรากฏให้สัมผัสได้ เช่นเดียวกับขณะจิตตั้งมั่นอยู่ในฌาน การแยกรูปแยกนามไม่สามารถเกิดขึ้นได้

(๒) ผู้ใดให้อภัยเป็นทานกับทุกสิ่งที่เป็นเหตุข้องใจได้แล้ว เมตตาย่อมเกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของผู้ให้อภัย ผู้มีเมตตามีจิตพ้นไปจากความไม่ชอบใดๆ และเมตตายังส่งผลให้ผู้ปฏิบัติธรรม บรรลุมรรคผลแห่งธรรมได้ง่ายอีกด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อหลายปีก่อน ดิฉันจะสวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน และจะสวดครั้งละนาน ๆ ประมาณ 2 ช.ม.โดยจะกางหนังสือสวดมนต์ แล้วก็อ่านบทสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ ค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่นั่งสวดมนต์อยู่ตามปกติ ก็เห็นแสงสีทองเป็นเส้นยาวหมุนตัวม้วนลงมาตรงหน้า เป็นแสงที่สวยงามมาก ตอนนั้นตกใจมาก เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อหน้าต่อตา กลัวมากค่ะ ทำให้หยุดสวดทันที แล้วต่อมาก็ไม่กล้าสวดมนต์นาน ๆ อีก ไม่กล้าไปเล่าให้ใครฟังกลัวเขาไม่เชื่อค่ะ

ขอเรียนถามนะคะว่า แสงสีทองที่เห็นคืออะไรค่ะ ทำไมถึงเห็นได้ และควรจะปฏิบัติตัวยังไงต่อไปค่ะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

ด้วยความเคารพอาจารย์อย่างสูง

คำตอบ
สิ่งนั้นคือนิมิตที่ปรากฏขึ้นกับจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการสวดมนต์นั่นเอง ที่เห็นเป็นแสงสีทองได้เพราะความถี่คลื่นจิตมีความคงที่อยู่ในระดับที่ทำให้ นิมิตปรากฏ เมื่อเห็นนิมิตแล้วต้องบริกรรมคำว่า “ เห็นหนอ ๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่านิมิตจะหายไป แล้วดึงจิตกลับมาจดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ต่อไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีโอกาสได้เจอกับเพื่อนชายคนหนึ่ง ดิฉันมีความรู้สึกพอใจในตัวเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ(ทั้งที่หน้าตา บุคลิกไม่ไช่ลักษณะทั่วไปที่ดิฉันชอบ) ดิฉันทราบมาว่าเขามีแฟนแล้ว ในเบื้องต้นจึงตั้งใจว่าจะไม่ก่อกรรมใดใดที่ทำให้แฟนเขาเป็นทุกข์และไม่ต้อง การผิดศีลข้อ 3 พยายามประคองความสัมพันธ์ให้อยู่ในระดับเพื่อนกัน แต่สิ่งแวดล้อม สถานการณ์รอบข้าง และความรู้สึกภายในก็ผลักดันให้ต้องใกล้ชิดกันมากขึ้น จนสุดท้ายการวางตัวและการกระทำหลายอย่างของเรามันมากกว่าความเป็นเพื่อน (ทั้งที่ตอนอยู่กันสองคนเราต่างก็ย้ำกันเสมอว่าเราเป็นเพื่อนกัน) ดิฉันมาสังเกตุเอาภายหลังว่าตั้งแต่ชีวิตเราเริ่มโคจรเข้ามาใกล้กันก็เป็น ช่วงเวลาเดียวกับที่เขาประสบปัญหาสุขภาพมากขึ้น และคนที่ต้องคอยดูแล อำนวยความสะดวกต่างๆแก่เขาก็คือตัวดิฉันเอง (แต่ก็ไม่เคยมีเจตนาทำให้เขาคิดว่าความช่วยเหลือต่างๆมาจากความรักหรือความ ปรารถนาอย่างชาย หญิง ดิฉันจะย้ำกับเขาเสมอว่ามันเหมือนเป็นหน้าที่ที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าดิฉันต้อง มาเจอเขาเพื่อช่วยเหลือเขา )

ในเรื่องการดูแลและความช่วยเหลือต่างๆดิฉันทำด้วยความเต็มใจ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นทุกข์จากพฤติกรรมหลายๆอย่างของเขา (ที่ทำไปด้วยความไม่เจตนาให้ดิฉันเป็นทุกข์) เขาเป็นคนเจ้าชู้และดิฉันก็พยายามย้ำเตือนเขาเสมอว่าไม่ควรทำผิดต่อคนรักของ ตัวเอง แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเราเองที่ทำแบบนั้น ด้วยความรู้สึกผิด และไม่ต้องการให้ชีวิตของเราสองคนในภพชาติต่อๆไป ต้องมาประพฤติตนผิดศีลและสร้างกรรมไม่ดีต่อกันเช่นนี้อีก ดิฉันจึงเริ่มชักชวนเขาไปทำบุญ ไหว้พระ ตักบาตร ปฏิบัติวิปัสสนา ตอนนี้ดูเหมือนวิบากกรรมของเราจะเริ่มส่งกำลังน้อยลงแล้วค่ะ เขาต้องกลับไปอยู่กับแฟนเพื่อรักษาตัว มันก็ค่อนข้างลำบากใจสำหรับดิฉันในระยะแรก เนื่องจากความเคยชินที่เราต้องพบเจอพูดคุยกันเกือบทุกวัน แต่หลังจากคิดเสียว่ามันเป็นวิบากกรรมที่เราต้องเจอ ก็สบายใจมากขึ้น และพยายามสร้างกรรมใหม่ให้ดีเพื่ออนาคต

สิ่งที่อยากเรียนถามอาจารย์คือ
1) กรรมแบบไหนคะที่ทำให้เราสองคนต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้
2) ดิฉันควรอธิษฐานหรือทำอย่างไรให้กรรมไม่ดีต่างๆที่เขาเคยทำให้ดิฉันเป็น ทุกข์ไม่ติดไปกับตัวเขา ไม่อยากให้มาชดใช้กันไปมาอย่างนี้อีกแล้ว
3) ดิฉันอยากมีโอกาสได้ชักนำให้เขาได้ปฏิบัติธรรม ถือศีล อย่างตั้งใจ อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิตของเขา แต่ด้วยสถานการณ์รอบตัวและความเหมาะสมต่างๆมันไม่เอื้ออำนวย และคิดไปเองว่าคงต้องใช้กำลังบุญมากเอาการในการทำอย่างนั้น ดิฉันควรทำอย่างไรเพื่อเป็นทางลัดให้เจตนานี้เป็นจริงได้คะ

ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(๑) กรรมที่เคยอยู่ร่วมกันมาก่อน และกรรมที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาก่อน ส่งผลให้ต้องมาพบกับเหตุการณ์เช่นนี้

(๒) พระพุทธะไม่เคยสอนให้ไปแก้ปัญหาที่คนอื่น แต่สอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง หากผู้ถามปัญหาประสงค์ไม่มีหนี้เวรผูกพัน ต้องพัฒนาตัวเอง จนบรรลุความเป็นอนาคามีให้ได้ แล้วหนี้เวรกรรมที่เคยมีต่อกันย่อมโคจรห่างไกล และหมดไปเมื่อเข้าถึงอริยธรรมสูงสุดได้

(๓) ความประสงค์ของผู้ถามปัญหาจะบรรลุได้ ต้องสร้างมหาทานเช่น เลี้ยงพระเจ็ดวัน สร้างศาลาปฏิบัติธรรม นำคนทอดกฐิน ฯลฯ แล้วอธิษฐานในสิ่งที่ตนปรารถนา เมื่อใดเหตุปัจจัยลงตัว ความปรารถนาย่อมสัมฤทธิ์ผลได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ได้อ่านคำถามเกี่ยวกับการจาบจ้วงบุพการี และ ต้องกราบขอขมา ให้ท่านละเว้นโทษ ถ้าพ่อแม่สิ้นไปแล้ว ควรทำอย่างไร ในการปฏิบัตสมถและวิปัสสนากรรมฐาน และการประพฤติตนในบุญกริยาวัตถุ 10 ทุกครั้งที่ระลึกได้ ทุกครังที่มีการแผ่เมตตาให้บุพการีและครูบาอาจารย์ที่เราเคยล่วงเกิน เราจะส่งจิตไปขออโหสิกรรมด้วยได้หรือไม่ หรือควรทำอย่างไร

2. เคยทำงานบริษัทฯ และประพฤติตัวไม่ดี เช่นไปสาย ใช้โทรศัพท์บริษัทฯ คุยกับเพื่อน ใช้คอมบริษัทฯ พิมพ์จดหมายสมัครงาน หลังจากศึกษาธรรม รู้สึกถึงความด่างพร้อยของศีล จะแก้ไขได้อย่างไร อยากคิดเป็นเงินแล้วเอาไปคืน ก็ไม่ทราบบริษัทฯ จะว่าอย่างไร เคยเอาเงินเท่ากับสิ่งที่เราทำ (คิดว่าคงสามารถชดได้หมด) ส่งไปให้มูลนิธิช่วยเหลือคนตาบอด แล้วให้เขาออกเป็นใบเสร็จส่งไปให้บริษัทฯ ไม่ทราบจะช่วยไถ่โทษได้หรือไม่ ปัจจุบันมีบริษัทฯ ของตัวเอง รู้สึกว่าวิบากกรรมมันส่งผล ลูกน้องทำเช่นเดียวกับที่เราทำ คิดว่าดีเหมือนกัน เราได้ชดใช้กรรมที่ทำไว้

กราบเรียนถามมาด้วยความเคารพค่ะ สิ่งใดที่ดิฉันได้ล่วงเกินหรือทำไม่ถูก ดิฉันกราบขออโหสิกรรมด้วยค่ะ


คำตอบ
(๑) ทำบุญแล้วต้องอุทิศบุญให้ผู้ล่วงลับ พร้อมกับกล่าวขอขมาให้ผู้ล่วงลับเว้นโทษให้ย่อมทำได้ แต่จะได้ผลหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

การส่งจิตไปขออโหสิกรรม หากจิตของทั้งสองฝ่ายสามารถสื่อถึงกันได้ และผู้รับการสื่อยกโทษให้ การขออโหสิกรรมด้วยการส่งโทรจิตสามารถทำได้

(๒) บุคคลสามารถแก้ไขพฤติกรรมที่ทำให้ศีลด่างพร้อยได้ ด้วยการหยุดไม่ประพฤติเช่นนั้นอีก ผู้ประพฤติบาปด้วยทุศีลย่อมมีบาปเกิดขึ้นสั่งสมอยู่ในใจ การส่งเงินไปช่วยมูลนิธิฯ เป็นบุญ ผู้ประพฤติบุญย่อมมีบุญสั่งสมอยู่ในใจ ใจจึงมีทั้งบุญและบาปที่ให้ผล เมื่อใดผู้สั่งสมจึงต้องรับผลนั้น

ผู้ถามปัญหามีบริษัทเป็นของตัวเองขึ้นมา แล้วถูกลูกน้องในบริษัทประพฤติทุศีล เช่นเดียวกับที่ผู้ถามปัญหาเคยประพฤติมาก่อน นั่นแสดงว่าบาปให้ผลที่ตัวเองต้องยอมรับ และยอมชดใช้กรรมที่เคยทำไว้ (ดูคำตอบในหนังสือสนทนาภาษาธรรม เล่ม ๑๑ ข้อ ๗๘ หรือ website ข้อ 728 )

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้ซื้อบ้านมือสองที่เชียงใหม่ต่อจากคนที่ซื้อมาจากธนาคาร (บ้านหลุดจำนอง ) ตั้งจิตอธิฐานไว้ว่าจะตั้งศาลพระภุมิเจ้าที่ใหม่ก่อนเข้าไปอยู่ เริ่มเข้าไปปรับปรุงซ่อมแซมประมาณต้นมกรา จนถึงเมื่อสิ้นกุมภานี้ ช่างขุดดินบริเวณเสาหน้าประตูรั้วบ้าน จะเทพื้นปูกระเบื้อง พบหุ่นสองคู่ หันหน้าเข้าหากัน อีกคู่หันหลังชนกัน ช่างได้นำออกไปทิ้งนอกบ้านแล้ว ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อที่ครอบครัวดิฉันย้ายเข้าไปอยู่แล้ว เป็นศิริมงคล อยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข กราบเรียนขอคำแนะนำด้วยค่ะ จะย้ายเข้าไปอยู่ประมาณปลายเดือนมีนาคมค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
ประพฤติตนเป็นผู้บำเพ็ญทานอยู่เสมอ และรักษาศีล ๕ ให้อยู่กับใจเป็นปรกติ หรือสร้างบุญใหญ่ด้วยการปฏิบัติธรรม แล้วอุทิศบุญให้สรรพสัตว์ที่อยู่รอบข้าง แล้วการอยู่อาศัยจะเป็นไปอย่างสะดวกสบายและมีปรกติสุข

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อแรก หลังๆมาผมไม่ได้ใช้คำภาวนาใดๆเช่น ยุบ พอง แต่ใช้ดูลมหายใจอย่างเดียว แล้วใช้สติดูอารมณ์ที่มากระทบนั้นเป็นอุบายที่เหมาะกับจริตของผมหรือไม่ (พุทธจริต) แต่ผมสังเกตว่าก็สงบดีครับ และ เคยได้ยินอาจารย์บางท่านไม่ให้เดินจงกรม แล้วกำหนดคำบริกรรมว่าพุทโธ บอกว่าระวังจะบาป เนื่องจากกำหนดพุทโธที่เท้าเวลาเดิน แต่ผมบางครั้งมักกำหนดพุทโธ เนื่องจากคิดว่าขาและเท้าก็เป็นส่วนหนึ่งของธาตุสี่ ไม่ได้มองว่าของสูงหรือต่ำ และยังเป็นพุทธานุสสติ อีกด้วย ไม่ทราบว่ากระผมมีแนวคิดที่มิจฉาทิฎฐิหรือไม่ครับ

ข้อสอง เราจะน้อมมาสู่วิปัสสนากรรมฐานได้อย่างไร ที่ผมทำอยู่คือเข้าสู่อารมณ์ ญาณ ลึกแล้วถอยมาอุปจารสมาธิแล้ว พิจารณา ไตรลักษณ์ และ เราจะมีหลักในการพิจารณาอย่างไรว่า เรายกระดับจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญาณได้แล้วมิได้ใช้กำลังสมาธิข่มและระงับกิเลส ชั่วคราวไว้เท่านั้น เนื่องจากปัจจุบันนี้ ผมมองว่าเริ่มละ ลด กิเลสได้มากขึ้น และค้นพบตนเองว่า เกิดมาต้องการอะไร และ มุ่งมั่นในเรื่องการปฏิบัติธรรมมากครับ

จึงได้กราบรบกวนอาจารย์สนองได้โปรดเมตตาแนะนำด้วยครับ

กราบอนุโมทนาอย่างสูง


คำตอบ
(๑) เมื่อเปลี่ยนมาใช้วิธีดูลมเข้า-ออก แล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติสมถภาวนาได้ถูกทางเช่นกัน

อนึ่งเดินจงกรมด้วยการกำหนดพุทโธ แล้วทำให้จิตเป็นสมาธิได้ ไม่ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิในการเจริญสมถภาวนา

(๒) เมื่อใดที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ได้แล้ว ต้องนำจิตมาพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ (กาย เวทนา จิต ธรรม) ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดจิตเห็นแจ้งในกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นอนัตตาได้ ปัญญาเห็นแจ้งในฐานทั้งสี่ย่อมเกิดขึ้น แล้วจิตจะปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนได้และมีจิตว่างเป็นอิสระ จึงจะเรียกได้ว่าปฏิบัติวิปัสสนามาถูกตรงแนวทาง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีปัญหาครอบครัวคือสามีมีนิสัยชอบดื่มสุรา เข้าสังคม ใครชวนไปกินที่ไหนก็ไป กินจนความดันเลือดขึ้น พอหายดี ก็ไปกลับกินใหม่ ไม่สนใจเรื่องในครอบครัวและลูก ไม่ช่วยค่าเลี้ยงดู แต่บอกว่ารักลูกมาก ดิฉันทนมานานจนตัวเองย่ำแย่ พยายามสวดมนต์ ไหว้พระ บริจาคทาน บางครั้งก็สุดทน ตัดสินใจจะย้ายไปอยู่ที่อื่น เขาร้องไห้บอกว่าสงสารลูก ให้ลูกโตแล้วค่อยไป ดิฉันบอกว่าถ้าอยากให้อยู่ต้องเลิกทำตัวแบบเดิม ยิ่งอยู่ลูกยิ่งเห็นและรับรู้พฤติกรรมของพ่อ ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยตกลงกันแบบนี้หลายครั้ง แต่ดีได้ไม่นานก็เข้าสู่สภาพเดิม เขาไม่สามารถรักษาสัจจะ ครั้งนี้เลยบอกเขาไปว่า ให้ไปสาบานกับพระพุทธรูป หรืออะไรก็ได้ที่เขาเคารพนับถือ อาจารย์ว่าควรหรือไม่ จะให้เขากล่าวคำสาบานว่าอย่างไร หรือปล่อยเขาตามยถากรรม แล้วแต่ตัวเขา

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
พระพุทธะมิได้สอนพุทธบริษัทให้ประพฤติ “ สาบาน ” และมิได้สอนให้ไปแก้ปัญหาที่ใครผู้ใด แต่สอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ด้วยการพัฒนาตนเองให้เป็นที่พึ่งของตัวเองให้ได้ แล้วจะได้ไม่ต้องไปพึ่งผู้อื่นให้เป็นที่ผิดหวัง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะนี้หนูมีปัญหาทางจิตใจอยู่ในปัจจุบันคือ เวลามีคำพูดที่มากระทบอารมณ์ (ต่อว่าต่อขาน ตำหนิ) ทำให้เกิดอาการน้อยใจ เศร้าโศก น้ำตาคลอเบ้า เหมือนร้องไห้อยู่ตลอดเวลา (เป็นมานานมากแล้ว ตั้งแต่เด็ก) มันเจ็บปวดมากๆ พยายามกำหนดแล้วแต่ยิ่งกลับทำให้แย่กว่าเดิม หนูจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นกรรมเก่า หรือเป็นเพราะหนูยังอุปทานกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อยู่ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางแก้ไขด้วยค่ะ

ขอบพระคุณอย่างสูง

คำตอบ
ผู้ใดพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีเมตตา ด้วยการให้อภัยเป็นทานต่อผู้อื่นที่ทำให้ขัดใจได้ เมตตาย่อมเกิดขึ้นและมีอารมณ์สงบเย็น ยิ่งได้พัฒนาตนเองให้มีสติ (สมถภาวนา) และมีปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) ได้แล้ว ปัญหาที่บอกเล่าไปจะไม่เข้ามารบกวนใจให้เศร้าหมองได้อีก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พ่อเป็นคนอารมณ์ร้ายเเละรุนเเรงมาก บังคับทุกอย่าง(สาบานว่าเรื่องจริงทั้งหมดครับ)ผมจะทำยังไงดี ???? สุดจะทนเเล้วครับ

ผมมีปัญหาที่หนักใจ เเละไม่รู้จะทำยังไงดี ผมรู้สึกเคว้งคว้างมากๆ เลยขอความกรุณาเเนะนำวิธีจัดการกับปัญหานี้นะครับ

ครอบครัวผมมี 5 คนครับ พ่ออายุ 50 ปี เเม่ 40 ปี ผมพี่ชายคนโต อายุ 19 ปี เรียนอยู่เอเเบคปี 3 น้องสาวคนกลาง ม. 6 เเละน้องชายคนเล็ก ม. 4

พ่อผมตกงานมานานเเล้วครับ เคยเป็นเอเยนต์ทำเสื้อผ้าส่งออกกับฝรั่ง ต่อมาเจ้านายฝรั่งเค้ารวยมากเเละเเก่เเล้วเค้าเลยขายกิจการต่อให้คนอื่น พ่อผมก็เลยตกงานทันที เป็นเวลาประมาณ 10 กว่าปีได้เเล้วครับรู้สึกตั้งเเต่ ม.ต้นนะครับ ตอนนี้อยู่เงินอยู่ก้อนหนึ่งนะครับ พอเเค่ส่งผมเเค่เรียนจบปริญญาตรีนะครับ ตอนนี้เเม่ผมทำงานคนเดียวครับ เกี่ยวกับปักเสื้อผ้า รายได้น้อย ทุกวันผมคนโตต้องช่วยงานบ้านเเละงานธุรกิจทุกอย่างของเเม่ น้องผู้หญิง สามปีให้เค้าอ่านหนังสือเอนท์อย่างเดียว ไม่อยากให้เค้าเหนื่อย ส่วนผู้ชายคนเล็ก ไม่ยอมช่วยทำงานบ้านหรือตั้งใจเรียนเลย พ่อผมก็นั่งดูหุ้นกับข่าว ตลอดเวลา ไม่ยอมช่วยงานบ้านเเม้เเต่อย่างเดียว เเม่ผมก็ทำงานหนักมาก ผมก็ต้องไปช่วยเเม่ทำเเทน ส่วนน่องก็ให้เขาอ่านหนังสืออย่างเดียว เวลาวันไหน พ่อผมอารมณ์ไม่ดี ก็จะหาเรื่องเเม่ผม ด่าคำหยาบไอ้เ........เเละคำหยาบเเรงๆๆๆๆภาษาเเต้จิ๋ว ไม่ให้ผมรู้เรื่อง บางทีก็จะโยนงานธุรกิจและของของแม่ไปหน้าบ้านที่จอดรถ บางครั้งก็ไล่ออกจากบ้าน พูดว่า ออกไปเลย ไอ้สั …… เเล้วก็เวลาเเม่ผมทำงานเก็บเงินได้ พ่อก็สั่งว่าให้เค้าเป็นคนจัดการ เเละจะคอยเช็คบัญชีตลอด เวลาแม่ผมจะซื้ออะไรด้วยเงินของแม่ที่หามา เช่น เครื่องสำอาง ขนม กับข้าว เสื้อผ้า กระเป๋า พ่อจะคอยด่าและสั่งห้ามซื้อ ไม่งั้นจะตวาดหรือโยนของของแม่

บางครั้ง ผมเกือบทนไม่ไหวจะไปชกหน้าพ่อผม แต่แม่ห้ามเกือบเคยจะหนีออกจากบ้านแม่ก็ดึงไว้ ถ้าเเม่ผมไม่ยอมทำตาม พ่อจะตวาดเสียงดัง จนเดี๋ยวนี้รู้กันทั้งซอยนั้น เเม่ผมต้องเเอบหลบมา ร้องไห้ทุกครั้ง หลีกมีปากเสียงกันอย่างรุนเเรง ผมปวดหัวข้างเดียวทุกวัน กินยาพาราเซตามอลเป็นแพ็คๆ ต่อสัปดาห์ บางครั้งก็เปิดเสียงเพลงดังๆๆๆใส่หูไม่ให้ได้ยินเสียงตวาดของพ่อ

ผมทนไม่ได้ที่พ่อไม่เคารพสิทธิแม่เลย บังคับและใช้เหมือนทาส บางครั้งแม่ผมกลับมาจากทำงานอย่างหนัก ยังต้องกลับมาล้างจาน ซักผ้า ถูบ้านอีก ผมช่วยท่านไม่ได้เพราะบางทีติดสอบผมบอกให้เเม่เลิกกับพ่อหลายครั้งแต่แม่บอก ให้น้องสาวเอนท์เสร็จก่อนไม่อยากให้เค้าวิตกกังวลมากไปกว่านี้ น้องสาวผมขยังตั้งใจมากๆๆ เรียนพิเศษทุกวิชา ทุกคอรส์หมดไปหลายหมื่น เขาได้ที่หนึ่งในห้องทุกปีตั้งแต่ ม. 4 จริงๆอยากเข้าหมอมากๆๆๆ เพื่อจะได้ให้แม่สบายในอนาคต อ่านหนังสือถึงตี 2 ทุกคืน บางทีก็ป่วยจนต้องให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล บางครั้งง่วงจนฟุบหลับคาโต๊ะหนังสือ แต่หลังจากน้องผมไปสอบพื้นฐานแพทย์เมื่อ 11 พย 50 ที่ผ่านมาเค้าบอกว่าเค้าทำพลาดไปเยอะมากเค้า คงไม่ติดหมอแน่ๆๆ เลยเปลี่ยนใจไปเลือกทันต์แพทย์แทน

ผมไม่เคยอยากได้ทรัพย์สินอะไร แต่อยากได้ความอบอุ่น รักกัน ไม่ทะเลาะกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันแม้จะเผชิญปัญหาที่เลวร้ายซักแค่ไหน แต่ของผมมันไม่ใช่ ถ้าใครทำอะไรกลับมา พ่อ จะซ้ำเติม ตำหนิ ถ้าทำดี พ่อจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่เหมือนครอบครัวอื่นเค้าบ้างเลย บางครั้งเช่นกินข้าว เมื่อน้องสาวผมอิ่มแล้วจริงๆ แต่พ่อสั่งให้เก็บให้หมดหม้อ น้องผมไม่ยอมทำตามพ่อจะตวาดใส่อย่างแรง บางทีน้องสาวผมก็ร้องไห้ อีกทั้งยังเครียดจากการอ่านหนังสืออีก แต่พ่อผมไม่สนใจเวลา น้องสาวผมตั้งใจจะอ่านหนังสือ พอเจอพ่อตวาดใส่แม่ เค้าก็ร้องไห้ ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ พอน้องได้ที่หนึ่งในห้อง ได้ 3.9 พ่อก็เอาไปอวดญาติ เวลาเจอกัน

ผมกับแม่และน้องสาวทนชิวิตเหมือนกับเป็นนักโทษเคลื่อนที่ได้มา หลายสิบปี ถ้าน้องสอบเสร์จอยากให้แม่เลิกกับพ่อ มันถูกไหมครับที่ทำแบบนี้ น้อง 2 คนก็อยู่กับพ่อ เพราะท่านมีเงินเก็บ แล้วผมกับแม่ก็จะไปอยู่บ้านญาติแม่หรือหาห้องเช่าไป ก่อน และก็คงต้องออกจากเอแบคไปรามคำแหงเพราะคุณแม่มีเงินไม่เพียงสำหรับค่าเทอม ของเอแบค เทอมละ 5 หมื่นกว่าบาท แต่แม่บอกว่าพ่อเค้ายังไงก็ไม่ยอมเลิกหรอก เค้าจะกุมเงินทั้งหมดไว้ แม่เค้าก็ต้องฟ้องศาลครอบครัวเพียงหนทางเดียว ผมควรจะทำยังไงกับชิวิตดี ผมไม่รู้จะเดินไปทางไหนดีแล้ว อยู่มหาลัย ก็ไม่อยากไปสังสรรค์เข้ากิจกรรม party กับใครเมื่อผมคิดถึงเสียงตวาดในครอบครัว ทุกวันนี้รู้แต่ว่าตั้งใจให้ดีที่สุดเพื่อสุดที่รักและน้องสาวผม ส่วนน้องชายทุกๆวัน เค้าก็ไม่เคยสนใจ และก็ใช้เสียงดังแข่งกับพ่อตลอดเวลาและบางครั้งก็ทำให้ผม แม่และน้องสาวกลุ้มใจ เพราะพูดอะไรกับเค้าก็เถียงไม่หยุด

- ตอนนี้ น้องติด หมอ มศว เเล้วครับ เเต่พ่อก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนเลย ทำไมพ่อต้องทำร้ายกันเอง เหมือนตอนนี้มันหมดความเป็นครอบครัวไปเเล้ว

ทำไมหมดรักกันเเล้ว พ่อถึงไม่ยอมเลิก ผมเกลียดพ่อมากเลยรับ ขอโทษนะครับที่ผมคิดสิ่งๆชั่วๆนี้ คือเคยคิดอยากฆ่าพ่อทำร้ายจิตใจเเม่ ใช้งานเยี่ยงทาส ด่าคำหยาบคายมาก ทำให้เเม่เจ็บช้ำน้ำใจมาก เเละทำใหสุขภาพเเม่เสียอีกด้วย ทำไมพ่อทำเเบบนี้ ผมไม่มีกำลังใจจะเรียนหนังสือเลย ผมจะทำยังไงดีรับ ทำได้เเค่ทนให้ตายไปข้างหนึ่งหรือครับ ?

ผมจะทำยังไงดี ??? เนี่ยเป็นกรรมเก่าหรือครับ ???

กราบขออภัยเป็นอย่างสูงครับ ถ้าพูดจาไม่มีกาละเทศะ เเละ กราบขอบพระคุณอย่างสูงที่กรุณาเมตตาสละเวลาอ่านครับ

คำตอบ
เรื่องนี้เป็นวิบากของกรรมที่พ่อกับแม่ได้ผูกกันไว้ เมื่อกรรมให้ผล แม่จึงต้องชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น (ดูสนทนาภาษาธรรม เล่ม ๑๑ ข้อ ๗๘ หรือ website ข้อ 728 )

เมื่อใดผู้ถามปัญหาเข้าไปมีส่วนร่วมในกรรมอกุศลกรรมของพ่อแม่ ย่อมต้องมีส่วนได้รับอกุศลวิบากที่เกิดขึ้น ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาทำตัวเองให้เป็นเพียงผู้ดู โดยไม่เอาใจไม่มีส่วนร่วมในกรรมของพ่อแม่ ผู้ดูย่อมไม่ทุกข์ใจแน่นอน ผู้รู้จึงเสนอแนะให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ด้วยการพัฒนาจิตตัวเองให้มีสติและปัญญาเห็นถูก แล้วทำตัวเองให้เป็นเพียงผู้ดูได้เต็มร้อย ปัญหาที่เกิดจากละครกรรมที่พ่อแม่กำลังแสดงอยู่ ... หมดแน่นอน และด้วยเหตุที่ผู้ดูมีชีวิตเป็นของตัวเอง จงอย่าเสียเวลาไปกับเรื่องขยะชีวิตของคนอื่น จงมองไปข้างหน้า นำพาชีวิตไปสู่จุดหมายที่ดีงาม นี่แหละคนที่ฉลาดหรือผู้รู้เขามองและประพฤติกันอย่างนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่เราสามารถแยกแยะว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี และรู้ว่าควรคิดดี ทำดี พูดดี และต้องการทำแบบนั้น (หมายถึงความคิดดี ทำดี พูดดีค่ะ)
แต่ความคิดของเราก็คิดเอง.. หมายถึงคิดในสิ่งที่ไม่ต้องการให้ตนเองคิด คิดในสิ่งที่คิดแล้ว ตนเองก็ไม่ชอบ อย่างความคิดด้านลบทั้งหลาย... แต่ไม่สามารถห้ามความคิดนั้นได้ค่ะ

หนูขอถามว่า นั้นเป็นความคิดที่เป็นของเราหรือไม่คะ...คือหนูไม่ค่อยเข้าใจว่า..หากมัน เป็นความคิดที่เราคิด..ทำไมความคิดที่หนูมีถึงไม่ใช่ความคิดที่หนูต้องการ คะ.. และหนูไม่สามารถบังคับได้ค่ะ... และมีวิธีใดบ้างที่หนูสามารถทำความคิดในหัวให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการคะ

ขอบพระคุณอาจารณ์มากค่ะ

คำตอบ
เมื่อใดที่จิตขาดสติกำกับ ความคิดด้านลบที่ยังฝังอยู่ในจิตสำนึกของผู้คิดจึงได้แสดงออก หากไม่ประสงค์ให้ความคิดติดลบเกิดขึ้น ต้องพัฒนาจิตให้มีสติกำกับอยู่ทุกขณะตื่น ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญอานาปานสติ ด้วยการกำหนดลมเข้า-ออกว่า “ พุทโธ ๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ ตามกำหนดเวลาที่ตนมี และหลังจากนั้นต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ปฏิบัติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าความคิดที่เป็นอกุศลจะหมดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


- ทำไมทอดกฐิน สร้างศาลาปฏิบัติธรรม จึงเป็นมหาทาน
- การให้อภัยเป็นมหาทานด้วยรึเปล่าคะอาจารย์

หนูสบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ หลังจากทำความดีหนีบาปกรรมมาซักพักแล้ว
ขอบคุณอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
คำว่า มหาทาน หมายถึง ทานอันยิ่งใหญ่ เป็นทานที่ทำแล้วเกิดประโยชน์กับคนหมู่มาก หรือเกิดประโยชน์กับสาธารณะ เช่นอดีตของพระอินทร์ในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์มีชื่อว่า ฆฆมาณพ ได้ชักชวนสหายอีกสามสิบสองคน ประกอบการอันเป็นกุศล เช่น สร้างศาลาที่พักริมทางให้ผู้สัญจรพักอาศัย ทำถนนหนทางให้คนสัญจรไปมาสะดวก และยังได้ประพฤติกุศลธรรมอื่นๆอยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อตายแล้วตัวเองไปเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช พร้อมทั้งเทวบริวารผู้เป็นใหญ่อีกสามสิบสององค์อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้วยเหตุนี้การสร้างศาลาปฏิบัติธรรม หรือนำคณะทอดกฐินจึงเป็นการกระทำที่เกิดประโยชน์กับคนหมู่มาก จึงเรียกว่าเป็นมหาทานได้

ส่วนการให้อภัยเป็นทาน ผู้ให้อภัยย่อมมีเมตตาเกิดขึ้นเฉพาะตน มิได้เกิดกับคนหมู่มาก จึงไม่เรียกว่าเป็นมหาทาน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีเรื่องกราบเรียนขอคำแนะนำจากอาจารย์ค่ะ ก่อนอื่นหนูอยากบอกว่าหนูชื่นชมในตัวอาจารย์มากเลยคะและยิ่ง มาทราบว่า อาจารย์เป็นคนฉะเชิงเทราหนูก็ยิ่งดีใจลึก ๆ เข้าไปอีกค่ะ

ขออนุญาติเล่าเลยนะค่ะหนูเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ และหนูยึดหลักกตัญญูเป็นที่ตั้ง ตามสำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า การกตัญญู รู้คุณคน เป็นสิ่งที่ดี หนูได้เรียนและถูกปลูกฝั่ง จากโรงเรียนพุทธโสธร ที่เราจะได้เรียนกับพระอาจารย์ หรือแม้กระทั่งวันหยุดก็จะเป็นวันโกน วันพระ แทนวันเสาร์ - อาทิตย์ ขอเข้าเรื่องนะค่ะ หลักในการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่หนูได้พยายามทำตามคำสั่งสอน และหน้าที่ ที่บุตรต้องทำต่อบิดา - มารดา ไม่ว่าการเลี้ยงดู อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย หรือแม้ยามป่วยไข้ หนูจะจัดหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ตาม กำลังความสามารถของหนูเท่าที่จะทำได้

และตอนนี้สิ่งที่หนูพยายามคือทำให้พ่อแม่ได้เห็นธรรมด้วย หนูพยายามช่วยให้พ่อเลิกเหล้า ซึ่งพ่อได้ดื่มมาตั้งแต่อายุ 14 หนูไม่เคยอายที่พ่อหนูเป็นแค่คนขับรถรับจ้าง แต่หนูอายที่พ่อดื่มเหล้าจนติด ขาดสติ จนกลายเป็นคนทำอะไรที่หนูรับไม่ได้ ที่เขาทำร้ายจิตใจแม่ ด้วยการทำไม่ดีกับน้องที่พิการทางสมอง ที่เคยมีคนเอามาให้เลี้ยงเพราะเห็นพ่อแม่มีหนูคนเดียวอาจจะอยากมีลูกอีก ส่วนตัวหนูเอง ทำหน้าที่รับผิดชอบครอบครัวมาตั้งแต่จบมัธยมปลายชีวิตเดินผิดบ้างถูกบ้าง แต่หนูไม่อยากไปยึดกับอดีตแล้ว แต่ที่ทำผิดก็คิดแค่ว่าอยากจะเลี้ยงพ่อแม่ให้สบาย โดยจะไม่มีวันให้พ่อแม่หนูต้องไปมีชีวิตที่ลำบาก เหมือนในสกู๊ปชีวิต และสุดท้ายหนูก็ทำสำเร็จทุกอย่าง แต่สิ่งสุดท้ายที่ยังไม่สำเร็จเลย

จากการพยายามหลายปี ที่จะให้พ่อเลิกเหล้า เพราะหนูไม่อยากให้แม่ทุกข์ แม่จะไปไหนก็ไม่ได้เพราะต้องคอยดูน้อง บางที หนูอยากชวนแม่ไปปฏิบัตธรรมด้วย แม่ก็ไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกบอกใครไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบ ครัวของเรา เรื่องนี้มันกัดกินความรู้สึกมานานมาก และหนูก็รับไม่ได้กับพฤติกรรมของพ่อ รู้สึกผิดหวัง จนอยากจะกีดเอาเลือด คืนเขาไปแต่ ทีผ่านหนูได้หาวิธีหลาย ๆ วิธีที่จะทำให้เขาเลิก จากแรก ๆ หนูเคยรับพฤติกรรมพ่อไม่ได้จนหนูเกิดความห่างเหิน พูดเท่าที่จำเป็น แต่ก็มาคิดได้ว่าเราต้องให้อภัยพ่อได้เพราะพ่อเป็นพ่อ และเป็นผู้ให้ชีวิต โดยหนูคิดว่าอาจเป็นพราะหนูให้ความรักกับพ่อไม่พอ เพราะรักแต่แม่ หนูก็หันมาสนใจ มารักและให้กำลังใจพ่อให้เขาเลิกเหล้า ไม่ว่าจะกราบเท้าขอ หรือ พา ไปที่เลิกเหล้า ก็หยุดไปแล้วก็มาดื่มเหมือนเดิม หรือไม่จะเป็นการแผ่เมตตา ก็ได้ผลซักระยะแต่ก็มาเหมือนเดิม หรือว่าจะใช้ วิธีการซื้อของที่พ่ออยากได้(รถ) เพื่อแลกเปลี่ยนสุดท้ายก็เหมือนเดิม เท่าที่จำความได้พ่อหนูไม่เคยทำบุญ หรือแม้จะบวชให้ ย่าก็ไม่เคย หนูใช้วิธีการให้ขับรถส่งหนูไปวัด น้อยครั้งที่จะขี้นไปบนวัดด้วย จนกระทั่ง ณ วันนี้แม่หนูป่วยเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด หนูไม่อยากให้แม่ต้องมาเครียดกับสิ่งกดดันเหล่านี้ หนูยอมรับบางครั้งหนูทนไม่ไหวก็บ่นบ้างว่าบ้าง หนูไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะว่าความตายได้เข้ามาใกล้แม่แล้วหนูอยากให้แม่ เตรียมตัวก่อนวันนั้นจะมาถึง แต่หนูไม่รู้จะทำอย่างไรดี หนูคิดว่าจะให้พ่อไปอยู่ที่อื่น โดยหนูยังส่งเงินเลี้ยงดู แต่แม่กลัวว่าคนอื่นจะว่าหนูเป็นลูกอกตัญญู แค่พ่อดื่มเหล้าแค่นี้ทำไมต้องทำกับพ่อถึงขนาดนี้ เพราะเวลาพ่อหนูดื่มเหล้า พ่อไม่ไปทำเสียงดังที่ไหน ซึ่งชาวบ้านไม่เข้าใจ คิดว่าหนูกับแม้เข็มงวดเกินไปแต่ใครละจะรู้เท่ากับหนูและแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น กับเรา จนบางครั้ง ทำให้หนูกลัวว่าถ้าวันหนึ่งหนูมีลูกสาวแล้ว หนูจะปล่อยให้ลูกหนูอยู่ที่บ้านได้อย่างไรในเมื่อ ที่บ้านไม่ปลอดภัย หนูเข้าใจว่าทั้งหมดมันเป็นกรรมของครอบครัวเรา แต่ตอนนี้หนูรู้สึกเครียดหาทางออกไม่ได้เลยค่ะ

ขอรบกวน ท่านอาจารย์แนะนำหนูด้วยนะค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ ด้วยความเคารพอย่างสูง และขอให้อาจารย์มีสุขภาพที่แข็งแรงนะคะ

คำตอบ
เคยมีคนกล่าวว่า “ ไม่มีใครช่วยใครได้แท้จริง เว้นไว้แต่ว่าตัวเองนั่นแหละต้องช่วยตัวเอง ” ด้วยเหตุนี้ พระพุทธะจึงไม่แนะนำให้ใครผู้ใดไปแก้ปัญหาที่ผู้อื่น แต่แนะนำให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ฉะนั้นหากประสงค์ให้ปัญหาที่เกิด ขึ้นหมดไป ต้องพัฒนาตัวของผู้ถามปัญหาให้มีธรรมคุ้มครองใจ แล้วธรรมที่มีอยู่กับใจนั่นแหละ จะเป็นเครื่องคุ้มครองภัยมิให้เกิดขึ้น .... ทำไมไม่ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองล่ะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 65, 66, 67, 68, 69, 70, 71 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร