วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 13:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 62, 63, 64, 65, 66, 67, 68 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูอยากเรียนถามพอ.เกี่ยวกับปัญหาในชีวิตประจำวันค่ะ คือหนูมีเพื่อนบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านหนูนิสัยแย่มากค่ะ

1. เค้าชอบปาขยะลงมาแถวหน้าบ้านหนู เช่น พวกมวนบุหรี่ คอตต้อนบัทใช้แล้ว เศษกระดาษ หนูเคยแกล้งโยนกลับไปบ้านเค้าตอนหัวค่ำ พอรุ่งเช้า เค้ายิ่งโยนบุหรี่ลงมาเพิ่มอีก 5 มวนเหมือนจะแกล้งเลยค่ะ

2. ชอบเปิดเพลงเสียงดังมาก ขนาดหนูปิดประตูบ้านหมดแล้ว ก็ยังได้ยิน และเปิดตั้งแต่ 5 โมงยัน 3 ทุ่ม แล้วก็มาเปิดอีกทีตอนเช้า บ้านแถวนี้ก็ไม่มีใครว่าเค้านะคะ ไม่รู้เพราะกลัวกันหรือเปล่า

3. เวลาหนูไปกวาดขยะหน้าบ้าน ชอบเปิดหน้าต่างออกมาดูแถมสูบบุหรี่มองมาแบบไม่เกรงใจ น่ากลัวมากค่ะ
เราควรทำอย่างไรคะ แก้ปัญหาอย่างไรดีค่ะ เพราะหนูเพิ่งย้ายมา เพื่อนบ้านเป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ แต่อยู่แบบนี้ก็อึดอัดน่ะค่ะ

กราบขอบคุณท่านอาจารย์มากค่ะ และขออนุโมทนาในบุญกุศลทั้งหลายที่ท่านอาจารย์ได้ทำมานะคะ

คำตอบ
จากคำที่บอกเล่าไปในข้อ (๑),(๒),(๓) นับว่าเป็นโชคดีของผู้ถามปัญหา ที่จะได้มีโอกาสชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดสิ้นไปในชาติปัจจุบัน ดูวิธีบริหารหนี้เวรกรรมใน web site ข้อ 728 หรือในหนังสือสนทนาภาษาธรรม เล่ม ๑๑ ข้อ ๗๘

อนึ่ง ผู้ใดเห็นถูกย่อมเห็นว่า คนที่ขว้างปาขยะมาลงที่หน้าบ้าน เขาเป็นครูสอนเราว่า อย่าได้ประพฤติแบบเขา เพราะเป็นการสร้างหนี้เวรกรรมกับผู้อื่น มองให้ออกว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณ ที่ทำให้เราได้สร้างขันติบารมี ทำให้เราได้สร้างเมตตาบารมี (ให้อภัยเขา) ทำให้เราได้สร้างปัญญาบารมี (เห็นถูกตามธรรม) ฯลฯ หากเข้าใจและเข้าถึงคำแนะนำที่บอกมานี้ได้ จะรู้ซึ้งในบุญคุณของเขา พร้อมจะยกมือไหว้เขาได้อย่างสนิทใจ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า "ทัศ", "อสงไขย", "กัป", "มหากัป" แต่ละคำนี้ มีระยะเวลาเท่ากับกี่ปีมนุษย์

คำตอบ
คำว่า ทัศ หมายถึง ครบ หรือ ถ้วน

คำว่า อสงไขย หมายถึง มากจนนับไม่ถ้วน หรือเท่ากับ ๑๐ ล้านยกกำลัง ๒๐

คำว่า กัป หรือ มหากัป มีความหมายเป็นอย่างเดียวกัน หมายถึง หน่วยของเวลาที่ยาวนาน นับจำนวนไม่ถ้วน

ถามว่า : คำเหล่านี้มีระยะเวลาเท่ากับกี่ปีมนุษย์

ตอบว่า : มีบารมีครบ เช่น ครบ ๓๐ ทัศ คือ บารมี ๑๐ + อุปบารมี ๑๐ + ปรมัตถบารมี ๑๐ รวมเท่ากับ ๓๐ ทัศ

ส่วนคำว่า อสงไขย หมายถึง ตั้งตัวเลข ๑ ไว้หน้าแล้วตามด้วยเลข ๐ อีกหนึ่งร้อยสี่สิบตัว เรียกจำนวนเช่นนี้ว่า หนึ่ง อสงไขยปี และทุกหนึ่งร้อยปี ลดลงไปหนึ่งปี ลดลงไปเรื่อยๆ จนถึงต่ำสุดสิบปี แล้วทุกหนึ่งร้อยปี เพิ่มขึ้นหนึ่งปี เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงหนึ่งอสงไขย หนึ่งรอบการลดและการเพิ่ม เรียกว่า หนึ่งอันตรกัป หนึ่งอสงไขยกัปมีอยู่ ๖๔ อันตรกัป หนึ่งกัปมี ๔ อสงไขยกัป ฉะนั้น ๑ กัปเท่ากับ ๖๔ อันตรกัป คูณด้วย ๔ อสงไขย หรือเท่ากับ ๒๕๖ อันตรกัปนั่นเอง ..... กี่ปีมนุษย์ล่ะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะนี้หนูอายุ 24 ปีค่ะ กำลังจะจบปริญญาตรี(ทันตะ) หนูเป็นคนกรุงเทพ และครอบครัวค่อนข้างอบอุ่นมาก ไม่มีปัญหาอะไรในชีวิตเลยค่ะ หนูเป็นคนที่ค่อนข้างสนใจเรื่องปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่อยู่มัธยมปลายเพราะเคย ไปเข้าคอสของยุวพุทธิกสมาคม แล้วก็ไปฝึกแนวยุบหนอพองหนอที่วัดที่ต่างจังหวัดบ้างบ้างช่วงปิดเทอม และพยายามฝึกการดูจิตตามแบบพระอาจารย์ปราโมทย์บ้างค่ะ แต่การปฏิบัติของหนูไม่ค่อยก้าวหน้ามากนักอาจเป็นเพราะหนูปฏิบัติไม่ค่อยต่อ เนื่องพอกลับมาบ้านไม่ค่อยได้ปฏิบัติตาม หนูติดทางโลกมาก ชอบเล่นอินเตอร์เนต ชอบทำเบเกอรี ชอบดูทีวี หนูมีคำถามอยากอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. หนูเป็นคนที่วิตกจริตและก็ขี้เหงามากเลยค่ะ อย่างเช่นตอนนี้ที่หนูไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดกับเพื่อนหนูรู้สึกเบื่อและคิด ถึงบ้านมากๆ เหมือนมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา หนูก็พยายามที่จะรู้ความรู้สึก เช่น เบื่อ เหงา อยากกลับบ้าน คิดถึงครอบครัว ไปตลอดค่ะ ซึ่งมันเหมือนกับตอนที่หนูไปปฏิบัติที่วัดค่ะ เวลาไปประมาณ 7 วันหนูจะรู้สึกทุรนทุราย อยากกลับบ้าน แต่หนูก็จะชอบไปค่ะ(อยากจะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงค่ะ) อยากทราบหนูจะแก้นิสัยตัวเองอย่างไรดีคะ เนื่องจากว่าเดือนเมษายนนี้หนูต้องออกไปใช้ทุนต่างจังหวัดคนเดียว หนูกลัวจิตใจตัวเองว่าจะต้องทุกข์ใจมากค่ะ

2. หนูมักจะชอบอ่านหนังสือธรรมะ และหนังสือมักจะสอนถึงการพลัดพลาก เราต้องฝึกใจให้ได้ ทำให้บางเวลาหนูจะรู้สึกกลัวถ้าเกิดพ่อแม่เป็นอะไรไปหนูจะต้องเสียใจขนาดไหน หนูจะรู้สึกเครียดมากเลยค่ะ ซึ่งตัวหนูไม่ค่อยชอบสังสรรค์หรือออกไปเที่ยวไหนกับเพื่อน ไม่มีแฟน กลัวว่าตอนแก่จะทำยังงัยดี หนูเลยกลัวจะเป็นโรคประสาทค่ะ หนูควรทำอย่างไรดีคะ ถ้าหากหนูจะหางานอดิเรกทำจะถึอว่าหนูหนีความจริงที่รึเปล่าคะอาจารย์(หนูมัก รู้สึกว่าเราต้องฝึกคิดแบบนี้บ้างเพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก)

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(๑) ผู้ถามปัญหาเป็นทุกข์ เพราะเอาจิตไปผูกติดอยู่กับตาที่เห็น หูที่ได้ยิน ลิ้นที่สัมผัสรส ฯลฯ หรือคือกามสุข - กามทุกข์ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ หากประสงค์จะพ้นไปจากความเบื่อ ความเหงา ความเศร้า ความอยากกลับบ้าน ฯลฯ ต้องดับที่ต้นเหตุ แล้วดูสิว่าความทุกข์หายไปจริงไหม หยุดเล่นอินเตอร์เนต หยุดทำเบเกอรี่ หยุดดูละครดูเกมโชว์ทางทีวี แล้วหันไปเล่นกีฬาที่ตนถนัด สวดมนต์ก่อนนอน เจริญอานาปานสติหลังสวดมนต์ แล้วปัญหาที่ถามจะหมดไปแน่นอน .... จะพิสูจน์ไหมล่ะ

(๒) การเอาใจไปติดอยู่กับกาลเวลาข้างหน้าหรือกาลเวลาที่ผ่านไปแล้ว เป็นเหตุนำสู่ความวิตกกังวล ความกลัว ความเป็นโรคจิต โรคประสาท ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีกำลังของสติอ่อนเช่นนั้น ตรงกันข้ามผู้ใดเอาจิตติดอยู่กับเรื่องที่เป็นปัจจุบัน ปรากฏการณ์ทางลบดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นกับผู้มีสติเช่นนี้ ฉะนั้นเมื่อผู้ถามปัญหาประสงค์ไม่ให้พฤติกรรมติดลบเกิดขึ้น ต้องสวดมนต์ก่อนนอน แล้วเจริญอานาปานสติหลังสวดมนต์อยู่เสมอ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าน้อมรับคำสอนของท่านอ.มาใส่ตนพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองและ พยามยามแก้ปัญหาธรรมอยู่ภายในเรื่อยมา ข้าพเจ้าเป็นคนเขลานัก ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือธรรมมะหรือเรียนธรรมะใด ๆ แต่ไม่รู้เป็นอะไรขอบฟังวิทยุธรรมะถ้ามีโอกาส หากท่านอ.เมตตาขอเรียนถามท่านอ.โปรดเมตตาชีแนะต่อไปด้วย

เมื่อไม่นานมานี้ ก่อนไปวัดข้าพเจ้าฝันว่าพบภิกษุรูปหนึ่งไม่เห็นหน้า แต่ใจนึกรู้ว่าคือหลวงพ่อลีวัดอโศการาม ถือหนังสือมาสองเล่มเป็นเล่มบาง ๆ ไม่หนา แล้วเอาหนังสือเล่มหนึ่งมอบให้ข้าพเจ้า

ต่อมาข้าพเจ้าได้ไปวัดอโศการามครั้งแรก โดยบังเอิญพบหลวงพ่อทองสอนสมาธิให้กับลูกศิษย์ มีผู้พาข้าพเจ้าไปนั่งสมาธิ ข้าพเจ้าใช้สูดลมหายใจประมาณสี่ถึงห้าครั้งจิตก็เริ่มเข้าสู่สมาธิ จากนั้นก็เริ่มพิจารณาจิตตามที่หลวงพ่อทองกำลังสอนพิจารณาอสุภะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ถนัด และไม่เคยได้เรื่องกับเขาเลย เพียงแต่เมื่อพิจารณาตามแล้วจิตจะดิ่งเป็นสมาธิแน่นขึ้นนิ่งขึ้นแข็งขึ้น เมื่อจิตนิ่งได้เรื่องแล้ว ทุกข์เวทนาเบื้องต้นดับลง จากนันข้าพเจ้าเห็นจิตตามดูจิตข้าพเจ้าจึงไม่ฝืน ปล่อยพิจารณาตามสภาวะธรรมเห็นหัวหรือแก่นสภาวะธรรมของตัวคิด ตัวกิเลสโดยเฉพาะฝ่ายลบฝ่ายไม่ดีฝ่ายทุกข์อย่างชัดเจนแล้วดับเอง ส่วนสภาวะธรรมฝ่ายดีเห็นกิเสล ปรุงแต่งแล้วพยายามยึดไว้ แต่จิตก็พยายามที่จะไม่ยึด ก็ยิ่งยึดทำไม่ได้ จากนั้นมองเห็นทุกข์เวทนาเป็นเพียงสภาวะธรรมหนึ่งแล้วดับไปเกิดติดต่อแล้ว ดับ แต่เมื่อดับแล้วกิเลสตัวสุขเข้าแทรกกลางจิตยึดไว้ จิตจึงเริ่มถอนจากการพิจารณาสภาวะธรรมทุกข์เวทนา ข้างในมันรู้(ไม่ใช่รู้โดยสมมุติ) ว่านีคือทุกข์แต่แฝงมาในรูปสุขล่อลวงจิตให้ไปยึด แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาโจทก้ข้อนี้ได้สักที ขณะนั้นหลวงพ่อทองได้พูดขึ้นมาว่ามันคือตัณหา จิตของข้าพเจ้าวิ่งลงไปพิจารณาเองทันทีและเห็นสภาวะธรรมที่ภาษาโลกเรียกว่า ตัณหา แล้วพิจารณาเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นมาจากที่นี้นี่เอง แต่มองเท่าใดก็เห็นเพียงมันตั้งสว่างอยู่ ไม่เห็นมันเกิดดับเหมือนสภาวะธรรมอื่นเลยและก็ยังคงอยู่อย่างนั้น และเห็นมันนี่เองที่เป็นตัวต้นตอการปรุงแต่งทุกอย่าง และมันเป็นสิ่งที่ละเอียดกว่าอันอื่นที่พบมา เห็นมันปรุงแต่งเป็นชอบและยึด เห็นมันปรุงแต่งเป็นทุกข์ไม่ชอบยึดเจ็บปวด เมื่อดูสภาวะมันไปเรื่อยๆ ก็เห็นสภาวะธรรมฝ่ายดีเช่นสุขชอบเป็นเพียงสภาวะธรรมแล้วดับเหมือนกับฝ่ายไม่ ดีเลย เห็นการสืบต่อสลับกันจนตามดูสภาวะธรรมไม่ทัน ขาดสติ แล้วมันก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามายีดปรุงแต่งทีละน้อยโดยอาศัยการขาดสติทุกขณะจิต และเริ่มยึดไว้เหมือนเดิม จึงพยายามสู้สุดกำลัง ขณะนั้นหลวงพ่อทองบอกว่าอย่าไปอยากทั้งอยากดีและอยากไม่ดี จิตวิ่งดิ่งลงเองไปพิจารณาเห็นสภาวะธรรมของตัณหา เห็นหัวมันไม่ไปยึดทั้งสภาวะธรรมที่จะนำไปปรุงแต่งเป็นดีและไม่ดี ขณะกำลังพิจารณาหัวมันอยู่น้น อีกส่วนหนึ่งทีขาดสติและความสงสัยในสภาวะธรรมที่ปรุงเป็นเวทนาก็ค่อยๆฟูขึ้น มากลายเป็นกิเสล เป็นเวทนาแรงกล้า พยายามช่วยนายของมัน เราจึงตั้งใจว่าให้มันตายไปเลยให้มันตายตรงนี้ไปเลย เอาชีวิตเป็นพุทธบูชา นั่งฟัดกับมันอยู่อย่างนั้น แต่คำสอนของหลวงพ่อทองรู้สึกเลยว่ามีพลังมาก เหมือนดาบคม ๆ เสริมกำลังให้เราวิ่งเข้าไปจะตัดตัณหาให้ได้ รู้สึกข้างในเหมือนจะขาดจะขาดแล้ว แต่พอดีเราไม่เคยไปนังรู้สึกว่าเขาเลิกนั่งกันหมดแล้ว เกรงจะเป็นการรบกวนการพักผ่อนของหลวงพ่อ จึงตัดใจออกจากสมาธิ

สงสัยเลยเล่าถามหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกข้าพเจ้าว่าวันหลังให้ตั้งถามมันไปว่ามันคืออะไรอย่างไรแล้ว พิจารณา แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าพิจารณาอยู่คือรูปนามสิ่งที่ไม่มีตัวตน จึงว่าให้พิจารณาอสุภะ เมื่อเห็นอสุภะแล้วมันจะจึงมาบรรจบกันกับกับสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นรู้อยู่นี้ จึงจะดับตัณหาความอยากได้ ข้าพเจ้าจึงเร่งพิจารณาเช่นนั้น แต่จิตเคยพิจารณาดูไปถึงตัวกิเลสเลยมันตั้งท่าแต่จะดับลูกเดียว พิจารณาอยู่นานจึงค่อยๆเป็นสมาธิล้วน ๆ จิตนิ่งแล้วดับลงเหมือนตกภวังค์แต่ก็ละเอียดขึ้น หลวงพ่อจึงบอกให้ดูความละเอียดของมันกว้างยาวลึก เราเลยใช้อุบายนี้ไปพิจารณาดูหัวตัณหาและอยากด้วย ได้แค่นันกลับมาใช้ชิวิตทางโลกก็แทบไม่ได้ทำ แต่โดยเหตุพิจรณาเพียงสมาธิเหมือนหินทับหญ้าจริง ๆ พอประสบกระทบกับวิบากคนที่ไม่ดีทางโลกมาก ๆ กิเลสทางโลกมันจึงฟุ้งถึงขนาดคิดจะหาปืนเอาไปยิงคน จึงเร่งเดินจงกรมและพยายามข่มดับ ประมาณสองวัน หัวรุ่งวันที่สองฝันเห็นนิมิต จึงเดินจงกรมขณะเดินได้มีสิ่งผุดขึ้นในใจว่าเรารับเพียงวิบากความเสียหาย เกียติศักดิ์ศรีชื่อเสียงซึ่งอย่างมากแค่ตาย แต่ค่ามันเทียบไม่ได้เลยหากเราไปก่อกรรมทำร้ายผู้อื่นให้เขาต้องประสบ เคราะห์กรรม ทนเอาจนกว่าวิบากจะผ่านพ้น

หลังจากนั้นพิจารณาไปเรื่อยๆตามโอกาสขณะทำงาน บางครั้งขึ้เกียจทำงานก็จะตั้งจิตแล้วให้ผู้รู้ทำงานแทนโดยมีสติตามบ้างไม่ มีสติตามบ้าง เมื่อใช้สติตามดูผู้รู้มาก ๆ รู้สึกกายกับจิตมันแยกจากกันทำงาน กายก็สักแต่ว่ากาย ทำการงานสักแต่ว่าทำไม่มีตัวจิตมาปรุงเมือมีอะไรสมควรคิดทำขณะนั้น จิตก็จะผุดขึนมาเองแล้วก็ดับ ส่วนใจมันก็เป็นอยู่ของมันตามปกติตามดูเห็นเป็นเพียงสภาวะธรรมที่ ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ผสมปรุงแต่งเป็นกิเสลบ้าง ซึ่งมันเหมือนมีกล่องหรือห้องขังมันเอาไว้ เห็นมันดิ้นดิ้นดิ้นอยู่ในกล่องหรือห้องขังนั้น ใช้ผู้รู้ดูมันเฉย ๆ กัดฟันฟัดกับมันไม่ยอมเปิดประตูให้มันโดยใช้ผู้รู้ตามดูแต่หัว ๆ รู้สึกสะใจมากแต่ต้องใจเด็ด แต่มันก็วิ่งขึ้น ๆ ลงๆ หากธรรมมะอ่อนข้างในก็จะวิ่งออกมารวมกับกายเป็นปุถุชนปกติ ทุกข์มากทุกข์มันทั้งสุขทุกขเลย

ขอเรียนถามท่านอ.ดังนี้

1 สิ่งที่ข้าพเจ้าประสบถูกทางหรือไม่ และตอนนี้ข้าพเจ้าใช้ตัวผู้รู้ทำงานแทนทั้งกายและใจ โดยใช้สติตามดูตัวผู้รู้อีกต่อหนึ่ง จะเห็นเพียงหัวๆ เพียงแค่นั้นถูกต้องไหม ทำไมผู้รู้ตามพร้อมกันทีเดียวได้ด้วยทั้งกายและใจ และต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตข้าพเจ้าอีก อีกไกลแค่ไหน

2 ทำไมข้าพเจ้าถึงรู้สึกเป็นปัจจังตังว่าตนอยู่ตรงไหนแล้ว ถูกหรือหรือผิดทาง และกำลังจะไปถึงตรงไหน สิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือเท็จกันแน่ และเราจะตรวจสอบตัวเองได้อย่างไรว่าถูกต้องแล้ว

3 ทำไมสภาวะจิตที่ตอนสมาธิล้วน ๆ อย่างเดียวมันถึงได้ร้ายกาจขนาดนั้น จิตตกเป็นปุถุชนทุกข์มากเต็มด้วยรักโกรธหลง คิดทำร้ายแก้แค้นผู้อื่น

4 ทำไมข้าพเจ้าตอนสมาธิสติปัญญาขึ้น จะเห็นชัดว่าขณะแม้เดินยืนนั่งหยิบคิดพูดมองสัมผัสมองเห็นว่าเกิดกิเลสตัวใด และเห็นต้นตอว่าสร้างมาจากตัณหาซึ่งก็มาจากความอยาก

5 ถ้าภาวนาพุทโธพิจารณาอสุภะข้าพเจ้าจะมีโอกาสได้อสุภะหรือกสินไหม อีกไกลแค่ไหน

7 เมื่อสมาธิปัญญาอ่อนลงทำไมมันจิตกับกายวิ่งจับไปผสมกันอีกขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่อย่างนี้

8 หากตัณหาดับเสียแล้วผู้รู้จะดับด้วยหรือไม่ หากดับตามข้าพเจ้าคงแย่ และจะใช้ผู้รู้ทำงานทางโลกที่ต้องใช้ความคิดความทรงจำที่เรียนที่ทำงานใน อาชีพที่ต้องใช้ความคิดสมองมาก ๆ ได้หรือไม่ จะกลายเป็นคนโง่ คนขี้ลืม เอ๋อ หรือถ้าทำงานเป็นผู้รักษากฏหมายต้องลาออกจากราชการหรือไม่

9 หากถ้าตัณหาดับคงอยู่แต่อวิชชาจะให้อวิชชาทรงตัวอยู่อย่างนั้นไปก่อนหรือไม่

10 หากสมมุติว่าขณะนี้ข้าพเจ้ามีคนรัก จึงอยากเรียนถามว่าระหว่างความสุขในความรักทางโลกกับความสุขสงบจากตัณหาที่ ดับลงแล้วมันต่างกันอย่างไร หากเทียบอัตราส่วนกันแล้วต่างกันมากแค่ไหน

11 เรียนท่านอ.ตามตรงข้าพเจ้ารู้สึกงงไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าทั้ง หมดทุกอย่างเลย ขอถามท่านอ.ตรง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของข้าพเจ้า ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจ แสวงหา หรืออยากได้อะไรทางนี้ถึงอย่างนี้เลย เหมือนเส้นทางนี้ถูกบังคับเลย และขอถามอย่างเพ้อเจ้อว่า มันเกี่ยวกับความฝันของมารดาของข้าพเจ้าตอนตั้งท้องข้าพเจ้า หรือไม่ว่าฝันเห็นพระศรีอริยเมตไตรย์ มีอุณาโลมที่สวยงามมาก มารดาข้าพเจ้าจึงปืนขึ้นไปหยิบลงมา อุณาโลมก็กลายเป็นเหมือนรูปกิ่งก้านสาขาของต้นโพธิ์ คล้ายกับสัญญลักษณ์ของธนาคารไทยพาณิชย์ แต่มารดาบอกว่าสวนงามกว่ามาก

ข้าพเจ้าขอกราบขออภัย ที่ถามยาวมากเป็นภาระกับท่านเป็นอย่างยิ่ง ขอท่านอ.ช่วยตอบชี้แนะศิษย์ด้วย เพราะหมดทั้งชีวิตศิษย์แล้ว และอาจจะหมดคำถามถามท่านอ.ต่อไปแล้ว ศิษย์ขอกราบระลึกถึงคุณท่านเสมอ

คำตอบ
(๑) ประสบการณ์ที่บอกเล่าไปถูกทางแล้ว แต่ยังแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ตัวที่ทำให้เป็นปัญหาคือ ตัณหาหรือคือตัวอยากรู้ หากไม่เอาตัณหามาพิจารณากฎไตรลักษณ์ ปัญหาอันเนื่องมาจากตัณหาก็ไม่สามารถแก้ไขให้หมดไปได้

(๒) ผู้ใดปฏิบัติธรรมถูกทาง ย่อมเห็นทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิตเป็นอนัตตา ทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตน จิตที่เห็นแจ้งจึงปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน แล้วจิตจึงจะเป็นอิสระจากสิ่งที่เข้ากระทบได้ การปฏิบัติธรรมที่ถูกทางจึงมีความอิสระของจิตเป็นเครื่องชี้วัด

(๓) เป็นเรื่องปกติธรรมดาของจิตที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส จึงเกิดการปรุงแต่งอารมณ์ติดลบ (อารมณ์ขยะ) ให้เกิดขึ้น

(๔) เห็นกิเลสแต่ดับกิเลสไม่ลง เพราะจิตมีความเห็นผิด จึงคิดผิดว่า ต้นตอของปัญหาเกิดมาจากตัณหา แท้จริงแล้วผู้เห็นถูกจึงคิดถูกว่า ต้นตอของการเกิดขึ้นของกิเลสทั้งปวง มาจากอวิชชานั่นเอง

(๕) การภาวนาพุท-โธ เป็นการเอาหนึ่งในอนุสติ ๑๐ มาเป็นองค์บริกรรม หรือจูงจิตให้เป็นสมาธิ
การพิจารณาอสุภะ เป็นการเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในอสุภะ ๑๐ มาเป็นองค์บริกรรมฯ
การพิจารณากสิณ เป็นการเอาวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งในกสิณ ๑๐ มาเป็นองค์บริกรรมฯ

ฉะนั้นผู้เลือกบริกรรมอย่างใด แล้วทำให้จิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ การเอากรรมฐานเช่นนั้นมาเป็นองค์บริกรรมย่อมถูกต้อง และหากป้องกันตัณหา (อีกไกลแค่ไหน) ไม่ให้เข้ามามีอำนาจเหนือใจได้ ความสำเร็จในการพัฒนาจิตจึงจะเกิดขึ้นได้

(๖) ไม่มี จึงไม่ต้องตอบ

(๗) คำว่า “ สมาธิ ” หมายถึง ความตั้งมั่นของจิต คำว่า “ ปัญญา ” หมายถึง ความรู้เข้าใจชัดเจน ดังนั้นคำทั้งสองจึงไม่เหมือนกัน และเมื่อสติมีกำลังอ่อน ปัญญามีกำลังอ่อน ความชุลมุนพัลวันระหว่างจิตกับกาย จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา

(๘) ตัณหาดับไม่ทำให้ผู้รู้ดับ แม้อวิชชาดับแต่กายยังคงอยู่ ผู้รู้ก็มิได้ดับตามไปด้วย ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องลาออกจากราชการ เว้นไว้แต่ว่าร่างกายเสื่อมจนจิตใช้งานไม่ได้ หรือจำเป็นต้องออกจากงานตามกติกาที่สังคมได้กำหนดไว้

(๙) หากผู้ถามปัญหายังมีความอยากที่จะเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ต้องรักษาอวิชชาให้คงอยู่ไว้กับจิต ตรงกันข้ามประสงค์นำพาชีวิตให้พ้นไปจากความทุกข์ ต้องกำจัดอวิชชาให้หมดไปและเมื่อใดที่รูปดับ นามดับ ความทุกข์ ย่อมหมดไปแน่นอน

(๑๐) “ ความสุข ” หมายถึง ความสบาย ความสำราญ ความปราศจากโรค ดังนั้นความรักทางโลกเกือบทั้งหมดมีตัณหาเป็นกำลังสนับสนุน จึงเป็นความรักที่มีสุข-ทุกข์ระคนกัน หากตัณหามีกำลังมาก ความทุกข์ย่อมมีมากกว่าความสุข หากตัณหามีกำลังน้อย ความสุขย่อมมีมากกว่าความทุกข์ หากตัณหาหมดไปความสุขย่อมมีมาก ความทุกข์ที่เกิดจากตัณหาเป็นต้นเหตุย่อมไม่มี แต่ความทุกข์ที่เกิดจาก ชาติ-ชรา-พยาธิ-มรณะ ยังคงมีอยู่หากชีวิตยังเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่กับโลก

(๑๑) ผู้ใดพัฒนาเฉพาะปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) จนถึงระดับสูงสุดแล้ว จะยังไม่เข้าถึงความจริง (เหตุผล) ในระดับที่อยู่เหนือประสาทสัมผัสได้ ความคิดไม่ออกเพราะยุ่งยากซับซ้อน (งง) ความสงสัย ความไม่แน่ใจ (ฉงน) จึงได้เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่หากผู้ใดพัฒนาปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) ให้เกิดขึ้นกับจิตตัวเองได้แล้ว ผู้นั้นย่อมรู้ เห็น เข้าใจ สิ่งต่างๆถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) แล้วความงง ความฉงน จะไม่เกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบพระคุณที่ท่านสละเวลาตอบปัญหาและชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ถูกตรง หนูขอกราบขออภัยท่านอาจารย์เนื่องด้วยบางคำตอบของท่านอาจารย์ที่กล่าวถึง สิ่งถูกต้อง แต่หนูรู้สึกไม่พอใจ แต่เมื่อทบทวนและวิเคราะห์ก็รู้ว่าตัวเองไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งที่รู้สึก เช่นนั้น ซึ่งตอนนี้รู้สึกละอายใจและมีความผิดมากที่คิดเช่นนั้น จึงใคร่ขออภัยท่านอาจารย์ โปรดให้อภัยหนูด้วยค่ะ และจะปฏิบัติตามที่ท่านอาจารย์ได้ชี้แนะชี้นำ ตอนนี้จิตใจหนูผ่องใสขึ้น เวลาเห็นใครทำไม่ดีต่อหนู หนูก็มองเขาด้วยความเข้าใจในความเป็นคนเช่นเรา ไม่คิดโกรธกลับแล้วค่ะ หนูมีเรื่องใคร่รบกวนท่านอาจารย์ดังนี้

1. คุณพ่อหนูป่วยมานาน เราก็พยายามดูแลท่านอย่างดีที่สุด ระยะหลังดูท่านเหนื่อยมากขึ้น ซึมๆกว่าเดิม หนูก็ยังดูแลท่านเหมือนเดิม ถ้าหนูสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรมให้เป็นประจำทุกวันเท่าที่ทำได้ แล้วอุทิศให้พ่อหนู และอธิฐานให้ท่านแข็งแรงขี้น หรือถ้าถึงเวลาที่ท่านจะจากไปขอให้ท่านไปอย่างสงบและไปสู่สุคติ หนูสามารถทำได้ไหมค่ะ

2. ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี มีโจรเพิ่มมากขี้น หนูระวังตัวมากขึ้นและปฏิบัติธรรมดูกายดูใจเท่าที่ไม่เผลอไม่หลงในแต่ละวัน ให้ทานเช่น ส่งเงินไปให้ผู้ที่เคยทำคุณประโยชน์ให้ปวงชน และ บุคคลที่ยากไร้ โดยส่งตามกำลังที่หนูทำได้ จะส่งผลให้หนูปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายบ้างไหมค่ะ

3. หนูพยายามหาเวลาเข้าปฏิบัติธรรมเช่น เข้าวิปัสนากรรมฐานของคุณแม่สิริ กรินชัย และ หาเวลาหาทางเข้าปฏิบัติธรรมในช่วงที่ว่างจากการงานและว่างจากดูแลพ่อ ทุกๆปี เท่าที่โอกาสอำนวย หนูจะสะสมบารมี สะสมความตั้งใจเข้าไปดวงจิต และนำไปสู่ภพหน้าได้หรือไม่ หนูอธิษฐานถ้าหนูต้องไปอยู่ภพใดๆหรือมีบุญเกิดเป็นคนอีก ขอให้หนูระลึกและมีความตั้งใจปฏิบัติธรรมอีกตั้งแต่อายุยังน้อยๆ และได้เกิดเป็นผู้ชาย บวช เรียนศึกษาธรรมมะไปตลอดชีวิต ทำอย่างไรให้หนูได้เป็นเช่นที่ตั้งใจไว้ค่ะ

4. หนูคบกับผู้ชายคนหนึ่งค่ะก่อนที่จะเข้าสนใจในการปฏิบัติธรรม และได้สัญญาว่าจะแต่งงานกับเขา มาตอนนี้หนูศึกษาธรรม รู้สึกว่าการมีครอบครัวเป็นการมีบ่วงมากขึ้น หนูได้บอกเขา เขาก็ยินดีที่หนูสนใจธรรมะทั้งที่เขานับถือคนละศาสนากับหนู เขามีลูกชายติดมา 1 คน แต่เขาบอกว่าถึงแม้แต่งงานกันก็ยังปฏิบัติธรรมได้และเขาสนับสนุนที่หนูจะ เข้าปฏิบัติธรรมทุกๆครั้งที่หนูมีโอกาส หนูรู้ว่าเป็นชีวิตที่หนูต้องตัดสินเลือกแนวทางของตัวเอง แต่ใคร่ขอคำแนะนำท่านอาจารย์ค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาค่ะ

คำตอบ

อโหสิทุกเรื่อง ทุกภพชาติที่เคยมีเวรต่อกัน นับแต่นี้ไป ไม่มีเวรกรรมใดที่จะถ่วงความก้าวหน้าของชีวิตอีกต่อไป

(๑) ตามที่บอกเล่าไปสามารถประพฤติได้ และจะดียิ่งขึ้นหลังจากปฏิบัติธรรมแล้วควรบอกให้ท่านรับรู้ว่า ลูกได้อุทิศบุญใหญ่ให้พ่อและอธิษฐานให้พ่อแข็งแรง หากท่านอนุโมทนาในสิ่งที่ลูกอุทิศให้ ท่านจึงจะได้รับอานิสงค์แห่งบุญนั้น และดีที่สุดหากลูกหาเทปหรือซีดีธรรมะ บทสวดมนต์ ไปเปิดให้ท่านฟังเบาๆ พอได้ยิน เมื่อจิตจดจ่ออยู่กับธรรมะอยู่กับเสียงสวดมนต์และหลุดออกจากร่างไป จิตจะโคจรไปได้ร่างอยู่อาศัยใหม่ในสุคติภพ

(๒) ผู้ใดมีบุญคุ้มรักษา ผู้นั้นย่อมปลอดจากภัยอันเกิดจากโจรผู้ร้าย การให้ทานเป็นบุญ หลังให้ทานแล้วควรอธิษฐานให้ตนเองแคล้วคลาดจากภัยที่เกิดจากโจรผู้ร้าย และดียิ่งขึ้นก่อนนอนสวดมนต์สรรเสริญพระรัตนตรัย แล้วสวดต่อด้วยบทมนต์โมร ปริตร สวดก่อนนอนและหลังจากตื่นนอนทุกวัน แล้วภัยอันเนื่องมาจากผู้คิดร้ายก็จะไม่เกิดขึ้นกับผู้สวดมนต์

(๓) การปฏิบัติกรรมฐานเป็นบุญใหญ่สุด เพราะส่งผลถึงพระนิพพานได้ นอกจากนี้บุญยังเป็นทรัพย์ภายในที่ติดตามข้ามภพชาติได้ และคนมีบุญจะเกิดอยู่ในสุคติภพเท่านั้น พลังของศีลผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรมาเกิดเป็นมนุษย์ นอกจากอธิษฐานเกิดเป็นเพศชายแล้ว ยังต้องอธิษฐานให้มีความสมบูรณ์ในเพศ (ไม่เป็นกระเทย) ได้ปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย และต้องไม่ลืมอธิษฐานด้วยว่าให้บรรลุธรรมที่ปฏิบัตินั้นด้วย

(๔) ก่อนจะตัดสินใจอย่างไร ควรมีข้อมูลพื้นฐานด้วยการพิจารณาถึงพุทธวจนะที่ว่า สามีหรือภรรยาเป็นบ่วงผูกมือ ลูกเป็นบ่วงผูกคอ ทรัพย์เป็นบ่วงผูกขา การไม่มีบ่วงผูกมัด ย่อมมีอิสระในการปฏิบัติธรรม และเข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่ามีเครื่องผูกมัด เมื่อรู้ดั่งนี้แล้ว ผู้ถามปัญหาจะหาสามีมาเป็นบ่วงผูกมือ จะเอาลูกเลี้ยงมาเป็นบ่วงผูกคอ หรือไม่เอาบ่วงใดๆมาผูกมัดตนเองให้ขาดอิสรภาพ ย่อมเลือกได้ดังใจปรารถนา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีคำถามเกี่ยวกับตัวเองครับ ซึ่งติดกับผมมาตั้งแต่เด็ก ผมเป็นคนไม่ชอบการห้อยพระใดๆ ทั้งสิน ยิ่งมีหลายๆ องค์ ยิ่งไม่ชอบ ไม่อยากเข้าใกล้
พอโตขึ้นมา ยังอะลุ้มอล่วยได้บ้าง และกับบางคนที่ห้อยพระ ผมกลับไม่รู้สึกรังเกียจหรืออยากหนีห่างแต่ประการใด จนนึกว่าอาการหายไปแล้ว
แต่อาการก็กลับมา เมื่อไม่สัปดาห์ก่อน ผมต้องอยู่ร่วมห้องกับพี่คนหนึ่ง ซึ่งห้อยพระหลายองค์ และมีสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระแต่ผมไม่ทราบว่าคืออะไรอยู่บนสร้อย พอผมเห็น ผมรู้สึกไม่ชอบมากๆ และถึงกับสะอิดสะเอียนทนไม่ได้ ต้องย้ายห้องออกมา และถ้าเลี่ยงได้ ก็จะไม่ไปพบเจอพี่คนดังกล่าวเลย ทั้งที่เท่าที่พบเจอ พี่เขาเป็นคนนิสัยดี แต่ผมกลับยิ่งไม่อยากเจอมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ไม่ต้องอยู่ร่วมห้องเดียวกันก็ตาม ก่อนหน้าที่จะย้ายออกมาผมได้พยายามกำหนดให้ตัวเองรู้ตัวว่าไม่ชอบ รังเกียจ กำหนดความอยากย้ายออก และทุกสิ่งเท่าที่จะนึกออก แต่สุดท้ายก็ทนไม่ได้ ต้องออกมา ในทางกลับกัน ต่อหน้าพระพุทธรูป ผมกลับชอบนั่งหน้าพระพุทธรูป รู้สึกจิตใจสงบมาก ไม่รู้สึกเหมือนพระเครื่องแต่ประการใด

ผมไม่ทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ผมควรแก้ไขอย่างไร หากความรู้สึกลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกควรทำอย่างไร และเป็นความผิดปกติมากหรือไม่

ขอบคุณครับ

คำตอบ
เรื่องที่บอกเล่าไปเกิดขึ้นเพราะ ความแตกต่างอย่างมากระหว่างผู้มีปัญญาเห็นถูกกับผู้มีปัญญาเห็นผิด เมื่อโคจรมาอยู่ด้วยกันจึงเข้ากันไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้มีสภาวะของจิตเป็นเช่นนี้ จากมุมมองของคนที่รู้ไม่จริง ย่อมเห็นว่าเป็นความผิดปกติ แต่คนรู้จริงมองเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเป็นเช่นนั้น ในครั้งพุทธกาลพระพุทธะได้ตรัสกับภิกษุที่อยู่แวดล้อมว่า “ ภิกษุ เธอจงดูนั่น ผู้ที่ชอบเล่นฤทธิ์ย่อมรวมกับกลุ่มของพระมหาโมคคัลลานะ ผู้ที่ชอบทางวินัยย่อมรวมอยู่ในกลุ่มของพระอุบาลี ผู้ที่ชอบในทางปัญญาย่อมรวมอยู่ในกลุ่มของพระสารีบุตร ”

ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติที่น้ำและน้ำมันเข้ากันได้ชั่วคราว ในที่สุดต้องแยกกันอยู่ จึงไม่จำเป็นต้องแก้อย่างใด ขอเพียงแต่พัฒนาปัญญาเห็นถูกให้เกิดขึ้นได้ในทุกเรื่อง นั่นแหละดีที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากดิฉันทำงานที่ต้องมีการบริการเครื่องดื่ม(แอลกอฮอร์)ให้ตามที่ ลูกค้าขอ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ (ประมาณพนักงานเสริฟ) อยากเรียนถามท่านอาจารย์ค่ะว่า

1. จะเกิดวิบากกรรมอะไรบ้างจากผลของกรรมนี้

2. ถือว่าผิดศีลห้ามั้ย? ...คือหนูตั้งใจว่าจะรักษาศีลห้าค่ะ

3. หากเป็นอกุศลกรรมและมีวิบากไม่ดี...
มีวิธีไหน/ควรทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดหรือลดวิบากกรรมนี้ ได้
อยากขอทราบวิธีแก้ไขและหลีกเลี่ยงจากอกุศลกรรมที่อาจจะเกิดนี้อย่าง ละเอียดค่ะ

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(๑) อกุศลวิบากที่จะเกิดขึ้นกับผู้ให้บริการเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์คือ ทำให้เป็นผู้ขาดสติสัมปชัญญะ เมื่อใดที่บาปให้ผล อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้ และหากบาปให้ผลในขณะจิตหลุดจากร่างคือตาย พลังของบาปย่อมผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิได้

(๒) เป็นจำเลยบาปที่สองของการประพฤติทุศีลข้อห้า

(๓) หากยังจำเป็นต้องประกอบอาชีพนี้ ต้องบริหารจัดการหนี้เวรกรรม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ถ้าหนูสวดมนต์ตอนเช้า - เย็น ในขณะนั่งรถไปทำงานหรือกลับบ้านจะเหมาะสมหรือไม่ และ ควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อเวลาจำกัด

2. แต่ก่อนนี้หนูเคยปฏิบัติธรรมโดยการบวชชีพราหมณ์ 2 ครั้งเท่านั้น เมื่อกลับมาอยู่ทางโลกก็ไม่ได้ปฏิบัติจริงจังอะไร แต่ตอนนี้หนูกลับเริ่มคิดจะปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังแล้ว แต่ทราบว่าขั้นแรกต้องรักษาศีล 5 ให้ได้ก่อน ซึ่งก็จะเริ่มที่จะบังคับใจให้อยู่ในศีลบ้างแล้ว หนูมาทางที่ถูกต้องแล้วใช่หรือไม่ (แต่ก็มีศีลขาดบ้าง ก็ตรงที่การพูดจาเพ้อเจ้อ พูดเรื่องคนอื่น)

กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(๑) เป็นผู้นั่งรถ (ไม่เป็นผู้ขับรถ) สามารถสวดมนต์ได้ แต่ต้องมีใจจดจ่ออยู่กับบทมนต์ และหากรู้ความหมายของบทสวดมนต์นั้นได้ อานิสงค์จากการสวดมนต์จะยิ่งมีมากขึ้น

(๒) แม้ศีลจะขาดไปก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงมรรคผลแห่งการปฏิบัติ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ถูกทาง ต้องปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมคือ สิ่งใดให้งดเว้นต้องไม่ประพฤติ สิ่งใดให้ปฏิบัติต้องทำ สิ่งใดให้ทำก่อนต้องปฏิบัติให้เกิดผลได้ก่อน สิ่งใดให้ทำทีหลังต้องปฏิบัติทีหลัง ด้วยเหตุนี้ ศีลจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน ศีล ๕ ต้องไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ศีลที่ปฏิบัติได้เช่นนี้ จึงเป็นศีลที่นำไปสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต ดังนั้นพึงแก้ไขวาจาเพ้อเจ้อด้วยการพูดเดรัจฉานกถา เช่น พูดเรื่องพระราชา เรื่องโจรขโมย เรื่องกองทัพ เรื่องการรบพุ่ง เรื่องการรุมทำร้าย เรื่องความดำรงตำแหน่งที่ไม่สง่างาม เรื่องการใส่เสื้อมีสีแดงในวันตรุษจีน ใส่เสื้อดำในงานเผาศพ เรื่องกล่าวผรุสวาจาให้ร้ายผู้อื่น ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้ ผู้ใดประพฤติแล้วด้วยวาจาย่อมปฏิบัติธรรมได้แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ ด้วยเหตุมีจิตฟุ้ง มีบาปสั่งสมอยู่ในจิต ตายแล้วมีโอกาสไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิอีกด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่ของผมมีคำถามที่อยากจะถามดร.สนอง ครับ
คือว่าแม่ผมจะซื้อบ้านมือ2 เป็นทาวเฮ้าว์ ซึ้งอยู่ตรงข้ามบ้านของผมเลย บ้านเลขที่ 32 แม่กับพ่ออยากได้ เลยเอาบ้านเลขที่ไปถามพระ,หมอดู
แล้วเค้าบอกว่าบ้านเลขที่นี้ไม่ดี ถ้าซื้อแล้วไปอยู๋ที่บ้านนี้ คนในบ้านจะทะเลาะกัน เป็นบ้านอมทุกข์ (แต่คนครอบครัวok)

และมีอีกหนึ่งหลังเป็นทาวเฮ้าว์บ้านเลขที่ 36 ไปถามหมอดู เค้าบอกว่าดี แต่พ่อกับแม่ก็ชอบ (แต่พวกน้องๆ ไม่ชอบ)

อยากถามอาจารย์ดร.สนองว่า
1.บ้านเลขที่มันมีผลต่อวิถีชีวิตคนหรือไม่(ว่าถ้าอยู๋บ้านเลขที่นี้แล้วจะ รวย ,จน,ไม่ดี)(ถ้าคนในบ้านไม่ได้มีสติกล้าแข็ง) หรือควรเลือกบ้านที่ทุกคนชอบดีกว่า และถ้าเป็นอาจารย์จะเลือกอันไหนครับ ช่วยเลือกให้หน่อยครับ

2.แม่ทำธุรกิจตกแต่งภายใน ผ้าม่าน วอล์เปเปอร์ มู่ลี่ แม่อยากถามว่า ควรจะทำบุญอะไรให้มีงาน มีลูกค้าเข้าเยอะๆ และทำบุญอะไรให้เรารวย

3.พ่อป่วย ควรทำบุญอะไร ถึงจะทำให้มีสุขภาพดี (ถวายจะรักษาโรค ได้มั้ย)

4.การบริจาคทรัพย์เป็นทาน คือการเอาเงินสดไปบริจาคใช่มั้ยครับ (และเมื่อบุญส่งผลเราก็จะมีเงินสดบ้าง)

ขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยสละเวลามาช่วยเหลือครับ

คำตอบ
(๑) ชาวพุทธที่มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม ย่อมเชื่อในพุทธวจนะว่า คน จะดีหรือชั่ว มิได้เป็นไปตามคำพูดที่ออกจากปากของคน แต่การกระทำของบุคคลนั่นแหละที่เป็นเหตุทำให้เป็นคนดีหรือเป็นคนชั่วได้ ดัง นั้นคนจะเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี มีสุขหรือมีทุกข์ มิได้อยู่ที่บ้านเลขที่ แต่อยู่ที่การกระทำของผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านนั้น ผู้ใดใช้สติสัมปชัญญะส่องนำทางให้กับชีวิต พฤติกรรมที่แสดงออกย่อมดีงาม ผู้ใดมีเมตตาจะไม่ทะเลาะกับคนอื่น ผู้ใดมีศีลคุมใจ และแสวงหาความสุขจากจิตสงบ แสวงหาความสุขจากจิตเป็นอิสระ ฯลฯ ผู้มีคุณลักษณะดังนี้ จะเข้าอยู่อาศัยในบ้านหลังใด ย่อมมีแต่ความสุขความเจริญฝ่ายเดียว

(๒) ผู้ใดมีศีลคุมใจและหมั่นให้ทรัพย์เป็นทานอยู่เสมอ ผู้นั้นย่อมมีโภคทรัพย์ไม่ขาดมือ และหากประสงค์ให้มีงานทำอยู่เสมอ มีผู้มาใช้บริการในธุรกิจที่ทำอยู่เสมอ ต้องทำให้ตัวเองเป็นผู้มีดวงดี ด้วยการรักษาศีล ๕ ประพฤติตนเป็นผู้ให้วัตถุเป็นทานอยู่เสมอ อาทิให้โลงบรรจุศพเป็นทานอยู่เสมอ ให้การติดตั้งผ้าม่าน วอล์เปเปอร์ มูลี่ กับอาคารหรือศาลาของวัดที่มีผู้มาใช้บริการ และสุดท้ายบำเพ็ญจิตตภาวนาด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วต่อด้วยเจริญอานาปานสติ แล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ การประพฤติเช่นนี้เป็นเหตุทำให้ผู้ประพฤติมีดวงดี (ชะตาดี) ผู้มีบุญผู้มีดวงดีย่อมสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา

(๓) เหตุที่ทำให้เจ็บป่วยมีอยู่สี่อย่างคือ ออกกำลังไม่สม่ำเสมอ เพียรมากเกินไป ฤดูกาลเปลี่ยน และโรคกรรมที่เกิดจากการประพฤติเบียดเบียน สามเหตุแรกรักษาได้ง่าย ด้วยการใช้ความรู้ทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบัน ส่วนโรคที่เกิดจากการประพฤติเบียดเบียน จะรักษาให้หายได้ต้องบริหารจัดการหนี้เวรกรรม ตามคำแนะนำที่กล่าวไว้ใน web site ข้อ 728 หรือ ในสนทนาภาษาธรรม เล่ม ๑๑ ข้อ ๗๘

(๔) ผู้ใดปรารถนามีทรัพย์ ต้องให้ทรัพย์เป็นทานอยู่เสมอ เมื่อใดบุญให้ผล การเป็นผู้มีทรัพย์ย่อมเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันพยายามปฏิบัติสมาธิเพื่อความสิ้นไปแห่งภพทั้งหลาย แต่ดิฉันรู้ตัวว่าเป็นคนบุญน้อย การทำสมาธิไม่ค่อยคืบหน้า แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดดิฉันจะไม่ท้อถอยชาตินี้ถ้าทำไม่ทันก็จะตั้งใจทำไปอีก ทุกชาติไป ดิฉ้นมีคำถามที่เกิดจากการนั่งสมาธิรบกวนถามอาจารย์เพื่อเป็นความรู้ประดับ ปัญญาตัวเองเพียง 1 ข้อ ดังนี้

ในระหว่างที่ดิฉันนั่งทำสมาธิอยู่ดิฉันเพ่งความรู้สึกไปที่บริเวณข้อ มือตั้งใจจะวิจัยลงไปถึงอวัยวะภายในในบริเวณนั้น เพราะดิฉันมีอาการปวดข้อมือเป็นประจำอยู่แล้ว คิดว่าถ้ารู้จักสิ่งที่เรียกกว่า
" ข้อมือ" ดีแล้ว คงไม่สนใจกับอาการปวดอีก สักพักโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากที่ถอนความสนใจออกมาจากตรงนั้นแล้ว กำหนดรู้ทั่วไปเป็นปกติอยู่ มีความรู้สึกว่ามีความร้อนพุ่งออกมาจากฝ่ามือ เป็นความรู้สึกชัดมากจนรู้สึกได้ รู้สึกร้อนกว่าอุณหภูมิร่างกายปกติ ดิฉันทราบว่าสิ่งนี้ไม่เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายในการบรรลุธรรม แต่ด้วยความอยากรู้จึงขอรบกวนเรียนถามท่านอาจารย์เพื่อประดับความรู้ ดิฉันคิดว่าความร้อนอันนี้เกิดจากการที่ดิฉัน " เพ่ง" พิจารณาร่างกายมากไปหรือเปล่าคะ เกินความพอดี กลัวว่าตัวเองจะทำอะไรผิดไป เพราะสิ่งนี้ไม่เคยเกิดกับดิฉันมาก่อน เลยรีบเรียนปรึกษาดิฉันไม่อยากเสียเวลาเวียนทำสิ่งผิดซ้ำไปมาโดยไม่รู้ตัว ค่ะ

ขอกราบขอพระคุณอาจารย์ที่สละเวลา ขออนุโมทนาค่ะ

คำตอบ
ผู้มีความเห็นผิดย่อมคิดว่า ตัวเองเป็นผู้มีบุญน้อย ผู้มีความเห็นถูกเห็นว่า การประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อยู่ เสมอ ผู้ใดประพฤติย่อมมีบุญเก็บสั่งสมอยู่ในจิต บุญสามารถเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่จิตระลึกได้ในบุญกิริยาวัตถุที่ตนประพฤติแล้ว

อนึ่งความร้อนที่เกิดจากการเพ่งร่างกายส่วนที่เป็นข้อมือ แล้วมีความร้อนถูกปล่อยออกจากฝ่ามือ เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการใช้พลังของสมาธิไปในทางที่ถูกทางโลก แต่เป็นการใช้พลังสมาธิที่ผิดไปจากธรรมที่นำสู่การเกิดของปัญญาเห็นแจ้ง ที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ในขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้นจิดได้จดจ่ออยู่กับการพอง-ยุบของหน้า ทองโดยตลอด
ระยะเวลาที่ใช้ในการนั่งสมาธินั้นก็ประมาณตั้งแต่ครี่งชั่วโมงถึงหนึ่งชัว โมง ในหนึ่งวันก็จะนั่ง 2-3 ครั้ง ช่วง 4-5 ทุ่ม และ ตี 4-5 ของทุกวัน แต่ก็ไม่เคยเห็นนิมิตใดๆ เพราะกลัวว่าจิตจะพิจารณาออกนอกกาย ก็เลยจดจอที่หน้าท้องตลอด อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติได้อย่างถูกต้องไหมครับ

2.ในช่วงเวลาปลายๆของการนั่งสมาธิจะเกิดทุกข์เวทนามาก คือ
จะปวดที่บริเวณก้นอันเนื่องมาจากการกดทับเป็นเวลานานๆ แต่อาการปวดจะเกิดเป็นจังหวะ คือ
ปวดบ้างไม่ปวดบ้าง ถามอาจารย์ว่าจะพิจารณาอาการปวดดี หรือกำหนดยุบหนอ พองหนอดีครับ

3.ในการนั่งสมาธินั้นไม่ว่าจะครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง
อารมณ์จะสึกโล่งเฉยๆไม่เคยเห็นนิมิตโดๆเลย แต่มีอยู่คืนหนึ่ง
ก่อนนอนผมพิจารณาสังขารโดยดูที่มือเห็นว่าไม่สวยไม่งามนั่งพิจารณาอยู่ ประมาณ 2-3 นาทีแล้วก็
นอน เวลานอนก็ใช้จิดดูอาการเคลื่อนไหวของร่างกายและก็กำหนดยุบหนอพองหนอ
ในช่วงเวลาคล้ายครึ่งหลับครึ่งตื่น มีอาการคล้ายกับจิตหล่นวูบอยู่ในสภาวะควบคุมไม่ได้
แล้วก็เห็นดวงไฟกลมสีขาวดวงหนึ่งลอยอยู่ด้านหน้า หลังจากนั้นก็มีอาการเหมือนตัวลอยขึ้น
แต่ตั้งใจไม่ลืมตาแล้วกำหนดอารมณ์ว่าเห็นหนอๆ อยู่ประมาณครึ่งนาที
อาการตัวลอยก็หมดไปดวงไฟสีขาวก็ไม่มี
มารู้สึกตัวอีกครั้งก็จับอาการยุบพองของหน้าทองได้ก็เลยพิจารณาอาการยุบพอง ต่อ
ขอถามอาจารย์ว่าความรู้สึกดังกล่าวเป็นเพราะเหตุผลใด ทำไมไม่เกิดตอนนั่งสมาธิบ้าง

ขอรบกวนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ในการไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยครับ
ด้วยความเคารพและครัธทาอย่างสูง

คำตอบ
(๑) ผู้ใดไม่ส่งจิตออกนอกกาย แต่เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับอาการพอง-ยุบของผนังหน้าท้อง เรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ถูกทาง เมื่อจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วนำพลังสมาธิไปพัฒนาให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ การประพฤติเช่นนี้เรียกว่า ปฏิบัติถูกตรงตามธรรม

(๒) อาการปวดที่ก้น เป็นเวทนาที่เกิดขึ้นจากการกดทับ ต้องกำหนดว่า ปวดหนอๆๆๆ ไปเรื่อยๆ จนอาการปวดที่ก้นหายไป แล้วจึงดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม ประพฤติเช่นนี้เป็นเหตุทำให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น

(๓) จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ มิได้เกิดจากการนั่งภาวนาเพียงอย่างเดียว อิริยาบถอื่นที่เป็นปัจจุบัน ยังทำให้จิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ อาการจิตหล่นวูบ เป็นดวงไฟสีขาวลอยอยู่ข้างหน้า อาการตัวลอย ฯลฯ เหล่านี้เป็นวิปัสนูปกิเลส เป็นสิ่งขัดขวางการเกิดของปัญญาเห็นแจ้ง ผู้รู้จึงกำจัดกิเลสด้วยการกำหนดว่า วูบหนอๆๆๆ กำหนดว่า เห็น หนอๆๆๆ กำหนดว่า ลอยหนอๆๆๆ จนอาการดังกล่าวหายไป แล้วให้ดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม แล้วโอกาสพัฒนาจิตไปสู่การเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ย่อมเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีปัญหาคือ เรื่องของการนอน คือ นอนไม่หลับ มีปัญหาตั้งแต่ช่วงตอนอายุ 35 ปัจจุบันอายุ 54 บางทีนอนตี3-4 กว่าจะหลับ ลึกๆนั่งๆอยู่อย่างนั้น และก็เดินไปเดินมา ทรมานเหลือเกิน จะทำอย่างไรดี

มีคำถามอยากจะถามคือ
1.ต้องทำบุญอะไรถึงจะช่วยได้ และหาย
2.สาเหตุที่นอนไม่หลับมาจากอะไรค่ะ กรรมเก่าที่ทำอะไรเอาไว้หรือเปล่า และจะแก้ไขอย่างไรดี
3.ดิฉันค้าขาย ควรทำบุญอย่างไรการค้าจึงจะดี ให้มีลูกค้าเยอะ
ขอบคุณ ดร.สนองมากค่ะ

คำตอบ
(๑) ต้องทำบุญใหญ่ คือ จิตตภาวนาแล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ ปัญหาจึงจะหมดไปได้

(๒) เหตุตรงที่ทำให้นอนไม่หลับคือ การขาดสติ เมื่อใดพัฒนาจิตตามวิธีสมถภาวนา จนจิตมีสติคุม อาการนอนไม่หลับจึงจะหายไปได้

(๓) ต้องประพฤติตนให้มีศีล ๕ คุมใจ หรือทำดวงให้ดีด้วยการประพฤติทาน ศีล ภาวนาอยู่เสมอ แล้วจะทำให้การค้าขายดี มีลูกค้ามาก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เคยได้ยินมาว่าการตักบาตรพระที่ออกจากนิโรธกรรมนั้นเป็นบุญใหญ่ แต่จะได้บุญใหญ่นั้นก็แต่เฉพาะผู้ที่ใส่บาตรเป็นคนแรกเท่านั้น ผมเลยไม่แน่ใจว่า ถ้ามีผู้ไปต่อคิวใส่บาตรพระท่านเป็นร้อยๆคนจะได้อานิสงค์บุญใหญ่เท่ากับคน ที่ใส่คนแรกหรือไม่ครับ และถ้าเราไม่ว่างจะเดินทางไปที่วัดที่เชียงใหม่ จะบริจาคโดยโอนเงินเป็นเจ้าภาพโรงเจในงานตักบาตรพระที่ออกจากนิโรธกรรมร่วม กับชมรมกัณยาณธรรม จะได้อนิสงค์เท่ากับเราไปร่วมตักบาตรเองหรือไม่ครับ

2. การเก็บกระดูกของคุณแม่ไว้บูชา จะทำให้วิญญานท่านยังวนเวียนอยู่กับกระดูกหรือไม่ครับ บางท่านก็แนะนำว่าควรจะนำกระดูกคุณแม่ใส่ไว้ใต้ฐานพระพุทธรูป (พระพุทธชินราช) แล้วถวายให้วัด บางท่านก็แนะนำให้ลอยอังคารในแม่น้ำไปทั้งหมดเลย ส่วนพระพุทธรูปก็ถวายวัดไปโดยไม่ต้องใส่กระดูก ไม่ทราบว่าอย่างไหนจะเป็นผลดีกับคุณแม่และลูกๆมากกว่ากันครับ

3. การใส่บาตรให้กับคุณแม่ซึ่งพึ่งเสียชีวิตไป มีบางท่านบอกว่าคุณแม่อาจจะไม่ได้รับเพราะท่านอาจจะอยู่ในที่ๆรับไม่ได้ การใส่บาตรจะมีผู้ที่ได้รับก็ต่อเมื่อให้กับเปรตบางประเภทเท่านั้น ไม่ทราบว่าเป็นความจริงเพียงใดครับ เพราะเวลาผมใส่บาตรก็จะอุทิศให้กับคุณแม่อยู่เสมอครับ

ขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาของอาจารย์เป็นอย่างยิ่งครับ

คำตอบ
(๑) คนแรกที่ใส่บาตรได้บุญมากที่สุด คนที่ใส่บาตรถัดๆไปได้บุญรองลงมา ส่วนคนร่วมบริจาคทั้งโรงทาน จะได้อานิสงส์แห่งทานมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความศรัทธาก่อนบริจาค ขณะบริจาคตั้งใจ บริจาคแล้วสบายใจ หากสามปัจจัยมีกำลังมาก บุญที่เกิดจากการบริจาคฯ ย่อมมีมาก หากสามปัจจัยของผู้บริจาคมีกำลังน้อย ผู้บริจาคย่อมได้บุญน้อย

(๒) คนหลงเอาจิตไปเป็นทาสของวัตถุ (กระดูก) จึงหลงว่ากระดูกเป็นของตัว เมื่อถึงวาระที่ต้องทิ้งขันธ์ลาโลก จิตวิญญาณจะวนเวียนเฝ้าอยู่แต่กระดูกของตัว โคจรไปไหนได้ไม่ไกลด้วยยังมีจิตผูกพันอยู่กับกระดูก ตรงกันข้ามผู้เห็นถูก เห็นว่าสรรพสิ่งมีเกิดขึ้นแล้วดับไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อสรรพสิ่งหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา สรรพสิ่งจึงไม่ใช่ตัวตน จิตที่เห็นถูกจึงปล่อยวางสรรพสิ่ง แล้วจิตมีอิสระต่อสรรพสิ่งรวมถึงกระดูก ซึ่งเป็นวัตถุของธรรมชาติที่ต้องคืนกลับสู่ธรรมชาติดั้งเดิม ฉะนั้นปัญหาของผู้เป็นลูกจึงอยู่ที่ว่า เป็นผู้มีความเห็นถูกหรือเห็นผิด ถ้าเห็นถูกก็นำกระดูกส่งคืนกลับสู่ธรรมชาติ ถ้าเห็นผิดก็นำกระดูกไปใส่ไว้ใต้ฐานของพระพุทธรูป ส่วนผู้เป็นแม่ที่ล่วงลับต้องเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวของท่านเอง ไม่มีใครเลือกแทนใครได้

(๓) ถูกของผู้ที่พูด แต่ผู้มีประสบการณ์รู้ว่า จิตวิญญาณที่โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพภูมิที่สามารถสื่อถึงกันได้ เมื่อรับรู้ว่ามีผู้อุทิศบุญให้ แล้วตัวเองมาอนุโมทนาบุญ ผู้ที่ตายไปเป็นสัตว์เดรัจฉานยังสามารถมารับอาหารเป็นทาน (บุญ) ได้ ผู้ที่ตายไปเป็นสัมภเวสียังสามารถรับบุญได้ พุทธมารดาที่ไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ยังลงมารับธรรมทาน (บุญ) จากพระพุทธะที่ขึ้นไปโปรดอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 15:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุบันผมทราบว่าตัวเองได้ผิดศีลข้อสามจากชาติที่ผ่านมาเนื่องจากว่าใน ชาตินี้ส่งผลให้เป้นคนรักร่วมเพศ จึงมีคำถามที่สงสัยและต้องการคำตอบครับ

1.ถ้าผมตั้งจิตอธิษฐานขอให้ชาติต่อไปอีก 9 ชาติบรรลุนิพพาน ต้องทำเหตุใดให้ได้ถึงผลบ้างครับ

2.จากผลกรรมข้อกาเม ทำให้ในชาตินี้ผิดหวังเรื่องของความรักมาตลอด และรู้สึกทรมานใจทุกครั้งที่จะเริ่มมีความรัก
จะทำอย่างไรให้กรรมนี้เบาบาง จนหมดสิ้นไปครับ

3.ถ้าผมตั้งจิตอธิษฐานขอให้ชาตินี้ ถ้าจะมีคู่ครอง ขอให้คนนั้นเป็นคนที่มุ่งใฝ่ในธรรมและตั้งมั่นที่จะไปสู่นิพพานด้วยกัน ไม่เช่นนั้นก็ขอให้ไม่ได้เจอคนที่จะมาทำให้ทุกข์ทรมานเรื่องของความรักอีก เป็นการสมควรหรือไม่ครับ

4.ทกครั้งที่นั่งสมาธิ รู้สึกว่าเป็นสมาธิมาก แต่ยังกำหนดจิตตามอารมณ์ไม่ค่อยทัน บางทีนั่งไปพอมีสติก็มักแวบคิดไปจนฟุ้งซ่านอีก พอกลับมามีสติก็เป็นอีก พยายามกำหนดให้เท่าทันอารมณ์ แต่ยังตามไม่ค่อยทัน มีวิธีใดที่จะตามอารมณ์ตนเองให้ทันบ้างครับ

5. เป็นคนที่อารมณ์ร้อนและร้าย ถ้ารู้สึกว่าไม่พอใจใครมักจะต้องมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นเสมอ ซึ่งมาเสียใจในภายหลังทุกที
จะทำอย่างไรให้ความเป้นคนเจ้าอารมณ์ถูกสติควบคุมไม่ให้ทำเช่นนั้นได้บ้าง ครับ

ขอขอบคุณครับ

คำตอบ
(๑) เหตุที่ต้องทำคือ ประพฤติตนให้มีศีล ๘ คุมใจ บำเพ็ญทานอยู่เสมอ และเจริญจิตตภาวนา (สมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา) อยู่บ่อยๆ แล้วสิ่งที่ปรารถนาย่อมเข้าถึงได้

(๒) หนี้เวรกรรมจะหมดสิ้นไปต้องบริหารจัดการให้ถูกตรง ดูคำตอบจาก web site ข้อ 728 หรือ สนทนาภาษาธรรมเล่ม ๑๑ ข้อ ๗๘

(๓) ผู้ใดประสงค์นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ (นิพพาน) ต้องสร้างมหาทาน เช่น ทำอาหารเลี้ยงพระสงฆ์นานเจ็ดวัน ถวายทานแด่สงฆ์หรือหมู่สงฆ์ที่ทรงคุณธรรมสูง หรือถวายทานเป็นคนแรกจากสงฆ์ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ ฯลฯ เสร็จแล้วอธิษฐานให้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม และนำสู่การพ้นทุกข์ได้ หลังจากอธิษฐานแล้ว ต้องประพฤติตนให้เป็นผู้มีทาน ศีล ภาวนาอยู่เสมอ เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว สิ่งที่ตนปรารถนาย่อมเข้าถึงได้ ฉะนั้นปรารถนามีคู่ครอง (กามสุข) จึงสวนทางกับความปรารถนาเข้าถึงนิพพาน (วิมุตติสุข) จึงไม่ควรทำ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 03:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ลูกสาวของกระผมคนเล็ก ป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง กระทำวิบากกรรมใดมา และ จะช่วยผ่อนกรรมอย่างไรบ้าง ขออาจารย์กรุณาเมตตา ชี้ทางสว่างให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด

2. กรรมฐาน 40 มี กสิณ เป็นต้น เวลาจะพิจารณา ต้องทำอย่างไร หรือ ใช้เพ่งน้ำ เพ่งไฟ เเล้วจะเริ่มต้นอย่างไรครับ ขออาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยเถิด

3. การพิจารณาอสุภะ คิดมโนภาพเห็นเป็นของไม่งาม แต่เป็นปัญญาเพียงภายนอกเท่านั้น ทำอย่างไรถึงจะเกิดความเบื่อหน่าย เพราะที่ตาเห็นจิตก็ปรุงแต่ง บางครั้งก็พยายามควบคุมอยู่บ้าง จะปฎิบัติอย่างไร เพื่อให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง

สุดท้ายกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง ที่โปรดเมตตากระผม หากชีวิตนี้มีบุญเก่าบ้าง คงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ท่านบ้างคนหนึ่ง หากผิดประการใด ขอท่านอาจารย์โปรดอโหสิกรรม ด้วยครับ

คำตอบ
(๑) เนื้องอกในสมอง เหตุแท้จริงเกิดจากประพฤติทุศีลข้อแรกมาก่อน เมื่อกรรมตามทันผู้กระทำกรรมจึงต้องรับอกุศลวิบากนั้น การบริหารนี้เวรกรรมจึงควรกระทำให้หนี้กรรมหมดสิ้นไป โปรดดูคำตอบจาก web site ข้อ 728 หรือ สนทนาภาษาธรรมเล่ม ๑๑ ข้อ ๗๘

(๒) ก่อนอื่นต้องนำศีล ๕ มาคุมใจให้ได้ก่อน แล้วจึงเอากสิณน้ำ กสิณไฟมาเป็นองค์บริกรรม จนกระทั่งจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ การบริกรรมจึงจะประสบผลสำเร็จ

(๓) การพิจารณาอสุภะ เหมาะกับคนที่มีราคจริต หากเอาของจริงมาพิจารณาไม่ได้ ควรเอารูปถ่ายของศพที่อยู่ในสภาพต่างๆกัน (ศพที่เน่าพอง ศพที่มีสีเขียวคล้ำ ศพที่มีน้ำเหลืองไหล ศพที่ขาดกลางตัว ศพที่ถูกสัตว์กัดกิน ศพที่มีมือเท้าศีรษะขาด ศพที่ถูกสับเป็นท่อนๆ ศพที่มีเลือดไหลอาบ ศพที่มีหนอนชอนไช หรือศพที่เหลือแต่โครงกระดูก) มาพิจารณาดูบ่อยๆ แล้วจะทำให้จิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ เหมือนกับดูจากศพจริง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 62, 63, 64, 65, 66, 67, 68 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร