วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 04:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 09:00
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คือ ตอนนี้ ดิฉัน มีปํญหาที่ยังเกิด คำถาม ในตัวเองว่า การศึกษานั้นจะช่วย ทำให้ ดิฉัน มีความสุข อย่างแท้ จริงอย่างงั้นหรือ เนื่องจาก ว่า ดิฉัน เป็น คนที่เรียน ไม่ค่อยรู้เรื่อง อย่างคนอื่นเค้า และ ดิฉัน คิดเสมอ ว่า เวลาที่ดิฉันไปเรียน นั้น มัน ทำไม ไม่มีความสุขเลย ถ้าหลักความจริง คือ คนอื่นๆ เค้าก้อยากมีการศึกษาที่ดีแต่ถ้า ในเมื่อเราได้ลงมือกระทำแล้ว แต่มันก้ยัง แย้ง อยู่ในใจ ของดิฉันเสมอ เพราะ ดิฉัน ไม่เห็น จะมีความสุข ตรงไหนเลย ที่ได้มานั่งเรียน พี่ๆ ของดิฉันก้อยากให้เรียน ทุกคน รอบข้างก็อยากให้ดิฉันจบมา ได้รับปริญญา แต่ ดิฉัน คิดว่า ถ้าเราไม่มีใบปริญญาแต่ ก้ไม่ได้หมายความว่า เราจะเป็นคนไม่ดี เพราะ คนอื่นๆ มักจะมองดูภายนอก ว่า การศึกษาเป็นอย่างไร การแต่งตัวเป็นอย่างไร และอีกหลายๆสิ่งที่คนจะมองแค่เปลือก นอก..ดิฉันคิดว่า ..แค่ เราอยู่กับสิ่งที่เรารัก และทำมันให้ดีที่สุด และเราก็ไม่เดือดร้อนคนอื่น ก็น่าจะ เป็นสิ่งที่มีความสุขได้อย่างแท้จริง แต่ ทำไม คนถึงมองว่า การศึกษา ทำให้เราเป็น คนที่ดี ทั้งที่ บางคน ไม่ได้รำเรียนมาแต่ เค้าก้เป้นคนดีมีน้ำใจ และไม่เคยเอารัดเอาเปรียบใคร แต่บางคนที่มีการศึกษาสูงส่งกลับทำตัวต่ำช้าก็มากมาย..ดิฉันว่า มันก้แค่ เป็นเครื่องมือ วัด คน เหมือนคนที่มี ยศ มีตำแหน่งก้เท่านั้นเอง แต่ ความเป็นจริง คนเรา ความดีต่างหากที่จะอยู่กับเราได้นาน..ดิฉัน อาจจะ คิดอะไรๆแบบโง่ๆที่ไม่อยากเรียน แต่ ดิฉัน ก็รู้สึกพ้นทุกข์เสมอ..ที่ดิฉันเป็นคนไม่ยึดติดอะไร ..ความพลาดส่วนหนึ่งคือ การที่ดิฉันคิดไปเรียน ในสิ่งที่ไม่ถนัดด้วยกระมังดิฉันรู้ว่า ต่อไปดิฉันคงไม่ไปเป็นลูกน้องใคร และดิฉันเอง อยากจะมีแค่ธุรกิจเล็กๆที่พอเพียง ไม่ใช่ต้องคอยไปนั่งบนหน้าคอมพ์ หรือ ต้องมาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ใคร..ทุกวันนี้ ดิฉันก็ ได้เลือกที่จะอยู่กับสิ่งที่ดิฉันรัก และดิฉันก้เอาเวลาที่ดิฉันนั่งทุกใจเรื่องเรียน มาทำให้มันดีที่สุด..ดิฉัน คิดว่า การที่เราไม่เบียดเบียนใคร และไม่ได้ทำให้ใครต้องเดือดเนื้อร้อนใจ มีก็ใช้ ไม่มีก้ไม่ต้องไปดิ้นรน เป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉัน ไม่ได้มองว่าอนาคตดิฉันจะต้องได้ใบปริญญามาอยู่ที่ฝาบ้านเลย ..ท่านผู้ที่ได้อ่าน เรื่อง ของดิฉัน โปรดแสดงความคิดเห็นให้ดิฉันด้วยนะคะ ..ถือว่าช่วยเปิดทางส่องแสงให้กับชีวิตน้อยๆ ด้วย..ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 09:52
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถูกต้องครับการที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่สิ่งที่ต้องคิดคือว่าเรายังอยู่ในสังคมครับ

เราเป็นส่วนนึงของสังคมบางอย่างต้องตามสังคมครับ เช่น สังคมทุกวันนี้ถ้าใครอ่านหนังสือไม่ออก

อยู่ในสังคมลำบากครับทำให้เราต้องมีการศึกษาบ้างเพื่อให้อยู่ในสังคมได้ สังคมต้องการใบปริญญาครับ

เพื่อที่จะเอาไปสมัครงาน ถ้ามีโอกาศเรียนได้ก็เรียนไปเถอะครับ เรายังอยู่ในสังคม สิ่งที่ป้องกันเราจาก

ความชั่วตามที่พระท่านว่าไว้คือ ศีล ครับ ลองดูนะครับพระมีศีลมาก ได้นั่งสูงกว่าทุกคนเดินไปไหน

มีแต่คนนับถือ ลองถือศีลดูนะครับ แล้วอะไรน่าจะดีขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



มองอีกแง่นะครับ

โคลงโลกนิติ (ครรลองชาวโลก) ว่า

ปฐมํ ปราชเย สิปฺปํ ทุติยํ ปราชเย ธนํ
ตติยํ ปราชเย ธมฺมํ จตุตถํ กึ กริสฺสติ.
ปางน้อยสำเหนียกรู้ เรียนคุณ
ครั้นใหญ่ย่อมหาทุน ทรัพย์ไว้
เมื่อกลางแก่แสวงบุญ ธรรมชอบ
ยามหง่อมทำใดได้ แต่ล้วนอนิจจัง


...........ข้อนี้ บัณฑิต ท่านกล่าวถึง ความเหมาะสม ตั้งแต่การเริ่มต้นไปจนถึง การสิ้นสุดของชีวิต มนุษย์ในโลกนี้มีอายุขัย ประมาณ ๘๐ ปี
เมื่อแบ่งวัยออกเป็น ๔ วัย ก็จะได้วัยละ ๒๐ ปี
ปฐมวัย ตั้งแต่แรกเกิด จนถึงอายุ ๒๐ ปี ควรศึกษาหาความรู้ใส่ตัว ให้มาก อย่ายอมแพ้
ทุติยวัย ตั้งแต่อายุ ๒๑-๔๐ ปี ควรประกอบสัมมาอาชีพ ให้เหลือเพื่อเก็บออมเอาไว้
ตติยวัย ตั้งแต่อายุ ๔๑-๖๐ ปี ควรบำเพ็ญบุญกุศล แสวงหาความหลุดพ้น จากทุกข์ในสงสารวัฏฏ์


...........ถ้าไม่ทำสิ่งที่ควรแก่วัยอย่างนี้ ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อถึงจตุตถวัย ตั้งแต่อายุ ๖๑-๘๐ ปี ร่างกายก็ร่วงโรย หมดกำลัง สติปัญญา ก็เสื่อมถอย ครั้นจะใช้เวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในบั้นปลายของชีวิต กระเสือกกระสนเล่าเรียนหาความรู้ หาทรัพย์ หรือ ประพฤติปฏิบัติธรรม ก็คงไม่ทันกาลแล้ว จึงควรตระหนักให้มาก แล้วบริหารตนให้ควรแก่วัย จึงจะเกิดประโยชน์สุงสุด
**********
พยตฺต ปุตฺต กิมาลโส อยฺยตฺโต ภารหารโก
พฺยตฺตโก ปูชิโต โลเก พฺยตฺตปุตฺตา ทิเน ทิเน
ลูกเอ๋ย จงอย่าเกียจคร้าน จงตั้งใจเรียน คนไม่มีวิชาความรู้ จะต้องแบกหามทำงานหนัก
ในโลกนี้ เขาเคารพนับถือผู้มีวิชาความรู้ ลูกเอ๋ย จงหมั่นหาวิชาความรู้ทุก ๆ วันเถิด


อาพ่ออย่าเกียจคร้าน จงเพียร
ถ่อยเกียจเสมอเกวียน ท่านใช้
ศิลปศาสตร์วิทยาเรียน เลื่องโลก นับแฮ
จงพ่อเรียนรู้ไว้ ใหญ่แล้วเป็นคุณ


คนมีความรู้หาเลี้ยงชีพโดยใช้สติ ใช้ปัญญา

ส่วนคนไม่มีความรู้ต้องใช้แรงกาย เป็นทาสรับใช้ผู้อื่น
หาเลี้ยงชีพ ด้วยการรับจ้างแบกหาม เหน็ดหนื่อยแทบประดาตาย
ก็ได้ทรัพย์มาเพียงเล็กน้อย พอประทังชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น
ถูกเขาดูหมิ่น ดูแคลน และ เหยียดหยาม จะไปสู่สังคมใด ก็ไม่องอาจสง่าผ่าเผย



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 12:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 16:29
โพสต์: 13

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การศึกษามีไว้เป็นทุน สิ่งที่ได้มา มันมากกว่าปริญญาติดข้างฝาบ้านน๊า ^^

ไหนๆ ยังไงก็ต้องเสียเวลาไปเรียนแล้ว ระหว่างที่เสียเวลา เราก็รับเอาความรู้นั้นไว้เท่าที่ทำได้ ดีไหมค๊ะ แบบว่ามาเรียนแล้วเสียเวลาดีนัก เก็บมันไว้ซะเรย อย่าได้ยอมๆ อิอิ >.<

ปล. ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณทำธุรกิจอะไร และเรียนสาขาไหน แต่ ฮะแน่ :b16: ..มองในแง่ของผลประโยชน์ จะเป็นไปได้ไหม ถ้าเราเกิดปิ๊งไอเดียร์ เอาเรื่องที่เราได้ศึกษาไม่มากก็น้อยมาประยุกต์กับธุรกิจ เป็นธุรกิจแปลกใหม่สร้างกำไรและความภาคภูมิใจในไอเดียร์ใสๆ ของเราได้อีก :b17: :b17: เท่ห์ที่สุด

:b53: :b53: :b53:
ให้กำลังใจ


แก้ไขล่าสุดโดย Nymphs เมื่อ 21 มี.ค. 2010, 12:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่คนเค้าอยากให้เราเรียนไม่ใช่ว่า เรียนแล้วจะเป็นคนดี หรือมีความสุข แต่การเรียนระดับปริญญา
เป็นเหมือนการเพิ่มโอกาสให้กับผู้คน สำหรับคนที่ไม่มีทรัพย์สินหรือมรดก ที่พ่อแม่ทิ้งไว้ ไม่มีสวนยาง
หลายร้อยไร่ การที่จะอยู่รอดได้ก็ต้องมีงาน สำหรับประเทศไทย การสมัครงาน วุฒิปริญญาตรี สามารถ
ให้โอกาสในการหางาน มากกว่าวุฒิ มัธยมศึกษา แต่นั่นมันก็คือเมื่อก่อน เมื่อคนแห่กันไปเอาปริญญา
ของที่มีมาก ก็มีคุณค่าน้อยลง ใครๆ ก็จบปริญญาตรี คนจึงแสวงหาการศึกษาระดับที่สูงขึ้น เช่นปริญญาโท แต่คนในสังคมหลายคนที่ไม่ได้จบการศึกษาขั้นสูง ประสบความสำเร็จมากมาย เช่นบิลเกต เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ ทิ้งโอกาสในการเรียนปริญญาที่ฮาร์วาร์ด มหาลัยชั้นนำระดับโลก ตอนนี้มีสินทรัพย์มากเป็นอันดับ 1 ของโลก มีลูกน้องที่จบด็อกเตอร์มากมาย ถ้าไม่อยากเรียนก็ไม่เป็นไร ชีวิตเราเรามีสิทธิ์เลือก ขอให้หาช่องทางการทำมาหากินของตัวเองให้เจอ เอาใจช่วยครับ

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 14:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกมุมมอง ปริญญาเป็นสมมุติ บัญญุติขึ้นทางโลก ทางฝ่ายโลกเขาคิดว่ายิ่งเรียนสูงยิ่งเพิ่มเกรด เพิ่มศักดิ์ศรี เกียรติยศ แก่ครอบครัว วงษ์ตระกูล หรือการได้ตำแหน่ง หน้าที่การงาน เงินที่สูงขึ้นไป แต่ปริญญาในทางธรรม ทางจิตวิญญาน การยอมรับหรือไม่มีแม้แต่ใครพูดถึงในกระทรวงศึกษาฯ สติปัญญาทางโลกเปรียบไม่ได้กับผู้มีสติ ปัญญาในทางธรรม เพราะฉะนั้น ผู้มีการศึกษาสูงๆ ถึงขั้นปริญญาเอกเมื่อชีวิตถึงวิกฤตก็ยังไม่มีปัญญาแก้ปัญหาได้ ถึงขั้นทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายก็มีมาแล้วมากมาย แต่ในทางธรรม ผู้มีสติ ปัญญา หรือผู้ฝึกสติ ย่อมอยู่ได้โดย ปราศจาก เกียรติ ยศ ตำแหน่ง ทรัพย์ภายนอก อยู่อย่างมีความสุขทั้งทางกาย และใจ ถอยหลังกลับมาสู่ธรรมเถิด เทคโนโลยีที่เขาไปไกลกว่านอกโลก หรือที่เราเรียกโลกาวิ อะไรนะ..มันสร้างมาหลอก หลอก มาทำลายธรรมชาติ ทำลายทรัพยากรโลกที่สร้างเรามาจนใกล้จะสูญสิ้นไปหมดแล้ว เบียดเบียนกันเอง เบียดเบียนธรรมชาติ จนไม่มีแม้แต่ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ ลูกศิษ เอาเศรษฐกิจเป็นหลัก นับหน้าถือตาด้วยลาภ ยศ กลับมาเถิดนะ อย่าห่วงเรื่องเรียนสูงๆ เพื่อเอาวุฒิหรืออะไรบางอย่างที่หลอกๆ ไม่ใช่ของจริง กลับมาสู่ธรรม ทาน ศีล ภาวนา มาเรียนรู้ด้านจิตวิญญานบ้าง เสริมสร้างสติ ปัญญาทางธรรม ไม่หลอกตัวเองแต่เป็นของจริง ที่ชาวพุทธทุกท่านต้องศึกษาและปฏิบัติ เป็นของจริงไม่ใช่ของเทียมที่พระพุทธเจ้าประทานมา... บางที่ถ้าเราเพียงได้อยู่ใกล้คนที่เรารัก ได้ดูแล พ่อ แม่ พี่น้อง ญาติมิตร สามี ภรรยา ลูก มี่ธรรมเป็นที่พึ่งทางใจ อยู่แบบพอเพียง ไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าหาปริญญาใด แค่นี้ก็มีความสุข มีกุศล หาความสุขใดมาเปรียบไม่มีแล้ว.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 16:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าตรัสว่า" พาหุสัจจัญจะ "=การศึกษา ศิลปวิทยาให้มาก เป็นมงคลแก่ชีวิต.. ... ใครจะรู้ดีกว่าพระพุทธเจ้าในโลกนี้ย่อมไม่มี..ดังนั้นหากการเรียนมากเป็นสิ่งไม่ดีแล้ว พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงตรัสคำนี้แน่ คำใดที่พระพุทธเจ้าตรัสย่อมเป็นสิ่งที่"จริงแท้"ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่น.. :b44: :b51: :b53: ..

การเล่าเรียนเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อการประกอบอาชีพเลี้ยงตนต่อไป....เมื่อพึ่งตนเองได้เมื่อใดก็เรียกว่า"ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน" ในระดับหนึ่ง.... ตราบใดที่ยังต้องเป็น"ภาระ"ให้คนอื่น จะเป็นคนพ่อแม่พี่น้องญาติหรือสังคมก็ตาม.. เพื่อความอยู่รอดของตน.. ตราบนั้นก็ได้ชื่อว่า"ทำความเดือดร้อน"ให้คนอื่นร่ำไป..ยกเว้นว่าตนเห็นภัยในสังสารวัฏต้องการขัดเกลากิเลสด้วยการถือเพศ"ผู้ขอ"คือนักบวช นี้เป็นเรื่องที่ดีมากน่าสนับสนุน แต่ไม่ใช่ไปบวชเพราะหากินไม่เป็น อยากสบาย มีปัญหาฯลฯ นี้ย่อมพาตนไปนรกได้ง่ายในภพต่อไปเพราะการบริโภคของชาวบ้านด้วยอาการหลอกลวงเช่นนี้ย่อมมีแต่ติดหนี้เอนกอนันต์ พระพุทธองค์ทรงเตือนว่า"กินเหล็กที่ร้อนแดงยังดีกว่า เพราะไม่ต้องไปนรก"...

การเรียนใดๆในโลกไม่ได้มีความมุ่งหมายเพื่อการเป็นคนดี แต่มุ่งให้อ่านออกเขียนได้คิดเป็น..เพื่อการอยู่ในสังคมได้อย่างไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ... ไม่มีวิชาใดในโลกที่สอนให้ใครไม่ติดยึดในตนเองหรือไม่โลภไม่มีมานะ...การเรียนบางอย่างสอนวิธีฆ่า บางอย่างสอนให้้ใช้กลวิธีหลอกลวงชาวบ้าน บางอย่างสนับสนุนการทำสิ่งเสพติดมอมเมาให้คนติด..มีการเรียนบางอย่างสอนให้รักษาคนเจ็บป่วย บางอย่างสอนวิธีรักษาสิ่งแวดล้อม หรือแก้ไขสภาพแวดล้อมที่เสีย....แต่ก็ไม่ได้สอนให้ใครเป็นคนดีในการทำงานนั้น เรื่องการเป็นคนดีนั้นเกิดจากอุปนิสสัยของแต่ละคนที่สั่งสมมา ๑ เกิดจากความฉลาดคิด ๑ เกิดจากการคบกัลยาณมิตร ๑ ดังนั้น แม้แต่คนที่เรียนธรรมะอยู่ แต่ไม่ฉลาดคิดก็ทำชั่วได้เท่าๆกับคนอื่นๆ..โดยสรุปคือการเป็นคนดีหรือชั่วไม่ได้อยู่ที่การเรียนในที่ใหนๆ...แต่ขึ้นกับ
"ใจ"ของแต่ละคนเท่านั้น...
:b46: :b47: :b48:

การงานที่ไม่ต้องใช้แรงกายมาก ต้องอาศัยการเรียนรู้ในระดับสูง เพราะความสลับซับซ้อนกลไกของงานมีมากกว่างานที่ต้องใช้แรงงานอย่างเดียว เรียกว่าใช้สมองมากกว่่าแรงกาย...

ส่วนการงานที่ต้องใช้แรงงานมากไม่ต้องเรียนอะไรมาก แต่ก็ต้องเรียนจาก"คำสั่ง"หรือ"ดูเอา"ก็พอทำได้เรียกว่ากลุ่มผู้ใช้แรงงานหรือ"กรรมกร"

ความแตกต่างของ ๒ กลุ่มนี้คือรายได้กับปัจจัย๔ แต่ไม่ต่างโดยความ"ดีหรือชั่ว"..ส่วนเรื่องเกียรติหน้าตาเป็นเรื่องที่แต่ละคนสร้างขึ้นมาเอง เราผู้เกี่ยวข้องหากไม่ใส่ใจเมื่อถูกกระทบก็ไม่เดือดร้อน..คนที่ไม่เดือดร้อนเพราะเหตุแห่งเกีรยติหน้าตามีอยู่ในกลุ่มพระอรหันต์เท่านั้น เพราะท่านกำจัดกิเลสคือ"มานะ"ได้หมดสิ้นแล้ว นอกนั้นไม่อยู่ในฐานะที่จะไม่ทุรนทุรายเพราะเหตุแห่งเกียรติหน้าตาได้อย่างแท้จริง...

..เราจะเลือกอะไรเล่า? ...

ในโลกนี้ กลุ่มคนที่ได้เรียนถึงระดับมหาวิทยาลัยมีไม่ถึง ๑% ..เราเป็นคนพิเศษในกลุ่มเล็กๆนี้ด้วยอำนาจบุญ..พิจารณาดูว่า ที่ไม่ชอบใจการเรียนนี้เพราะความเกียจคร้านหรือเห็นว่ามีสิ่งอื่นใดที่เป็นประโยชน์กว่า... หากไม่ชอบใจเพราะวิชาที่เรียนอยู่ก็พึงเลือกเรียนสิ่งที่สนใจ หรือออกมาเรียนรู้อาชีพด้วยการฝึกหัด ก็ได้ชื่อว่าเป็นการเรียนเช่นกัน...

ประโยชน์มี ๓ อย่างคือ ๑. ประโยชน์ โลกนี้ คือการพึ่งตนเองได้ ๒. ประโยชน์โลกหน้า คือการเกื้อกูลคนอื่น มีพ่อแม่ญาติ เป็นต้น ตลอดถึงบุญยกิริยาทุกชนิด ๓. ประโยชน์ อย่างยิ่ง คือการถึงพระรัตนตรัยการประพฤติศีลและเจริญวิปัสสนา..

ขอให้พบทางเลือกที่ถูกต้องครับ

:b46: :b48: :b54: :b54: :b54: :b48: :b47: :b46:

อ้างคำพูด:
ดิฉัน คิดว่า การที่เราไม่เบียดเบียนใคร และไม่ได้ทำให้ใครต้องเดือดเนื้อร้อนใจ


ตรงนี้เห็นด้วยครับ.. :b4:

อ้างคำพูด:
มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ต้องไปดิ้นรน


ตรงนี้ฟังคล้ายความเกียจคร้านอย่างไรอยู่ หากเข้าใจว่านี้เป็นอาการปล่อยวางคงเข้าใจผิดมาก...คนที่ไม่มีแล้วไม่ดิ้นรนมีอยู่ได้เฉพาะในหมู่พระอรหันต์เท่านั้น เพราะท่านไม่ยินดีทั้งในความตายและการอยู่...ท่านทำกิจเสร็จแล้วจึงอยู่เหมือนคนที่ทำงานเสร็จแล้วรอรับค่าจ้างเท่านั้น...ส่วนปุถุชน แม้เมื่อหิวอยู่ย่อมไม่อาจเฉยอยู่ได้แน่ แต่ต้องดิ้นรนแม้ด้วยกิจที่จะทำให้ได้มาซึ่งอาหารนั่นเทียว..

ก็หากมีฐานะร่ำรวยจนล้นเหลือ ชาตินี้มีบุญมากจนไม่ต้องทำงานเลี้ยงตน คำปรารภข้างบนย่อมไม่เกิดขึ้นเพราะมั่นใจว่าความร่ำรวยย่อมมีอยู่คุ้มตนจนวันตาย...แต่แม้จะร่ำรวยล้นฟ้าก็ไม่หมายความว่าสิ่งนี้จะคงที่ตลอดไป ดังปรากฏมีมาแล้วในครั้งพุทธกาล...เรื่องบุตรเศรษฐีมีทรัพย์มาก..อ่านได้ที่นี่..

http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=21&p=9

จึงไม่พึงตั้งตนไว้โดยความเห็นที่ไม่ถูกต้องเช่นนี้ หากกล่าวแล้วทำได้จริง ก็ลองทดสอบดูว่าเมื่อเวลาไปเรียน หากทิ้งกระเป๋าตังค์ไว้ที่บ้าน เมื่อถึงเวลาอาหารแล้วหิว สามารถอดได้โดยไม่ออกปากยืมเงินใครๆมาซื้ออาหารกินได้หรือไม่..หากทำได้ หรือเริ่มฝึกทำอยู่ก็น่าจะสบายใจได้ว่า ชาตินี้..
อ้างคำพูด:
มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ต้องไปดิ้นรน
ได้จริงแท้แล้ว ย่อมสามารถเป็นผู้ขวนขวายน้อยด้วยความเป็นสุขยิ่งเทียว.. :b46: :b47: :b48: :b54:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 21 มี.ค. 2010, 17:16, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



เรียนไปเถิด ทำไปเถิด แล้ววันข้างหน้า เมื่อมองย้อนกลับมาจะขอบคุณกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านๆมา
เพราะสิ่งเหล่านี้คือ ครูชั้นดี จะไปหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เพราะเป็นการเรียนรู้จากตัวเราเอง

เมื่อก่อนเคยเป็นนะ สิ่งที่คุณนำมาเล่าสู่กันฟัง
ต้องเรียนในวิชาที่ไม่ถนัดเลย เพราะเกรดโดยรวม เรียนได้ เลยถูกบังคับให้เรียน
ในชีวิตของการเรียน ไม่เคยได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองถนัดหรือว่าชอบเลย
ไม่เคยได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบหรือถนัด มีแต่อยู่ในกรอบที่พ่อแม่ ขีดเส้นไว้ให้
ท่านวางอนาคตไว้ให้เสร็จสรรพว่าต้องเป็นอะไร

พอมาถึง ณ วันนี้ คำว่า " ขอบคุณ " มันยังไม่มีค่าพอที่จะกล่าวออกมาได้เลย
เพราะสิ่งที่ได้รับผลกลับมานั้น มันมีค่ามากกว่าคำว่า " ขอบคุณ " ใดๆในโลกนี้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 09:00
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณ...ทุกท่านเป็นอย่างสูงค่ะ ได้แง่คิดอะไรอีกเยอะเลย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นคนดีที่ไม่โง่นะ :b13:
เดี๋ยวไม่ทันคนเลวที่ฉลาด :b4:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 21:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าจะแนะนำ ให้กับคุณเป็นอย่างๆไป ตามประสบการณ์จริงของข้าพเจ้า คุณจะนำไปใช้ก็ได้ คุณจะนำไปคิดเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ แต่ไม่ปฏิบัติก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวคุณ เนื่องจากคุณเขียนมายาว ข้าพเจ้าจึงแยกตอบเป็นอย่างๆไป ดังนี้

เด็กมีปัญหาถาม......
คือ ตอนนี้ ดิฉัน มีปํญหาที่ยังเกิด คำถาม ในตัวเองว่า การศึกษานั้นจะช่วย ทำให้ ดิฉัน มีความสุข อย่างแท้ จริงอย่างงั้นหรือ

sriariya.......ตอบ
การศึกษาทุกชนิด ทุกเรื่อง ย่อมต้องทำให้ผู้ศึกษา มีความสุข อย่างแท้จริง อย่างแน่นอน แต่ความสุขที่เกิดจากการศึกษา ก็จะขึ้นอยู่กับ ความมุ่งหมายของเรื่องที่ศึกษา เช่น ถ้าคุณศึกษาเรื่อง การทำอาหาร และได้ลงมือทำ คุณก็จะเกิดความสุข จากการได้ทำอาหาร และได้ลิ้มรสรับประทานอาหารที่คุณได้ทำตามที่ได้ศึกษามา แต่ถ้าคุณศึกษาเรื่องการทำอาหารมา แต่ไมได้ลงมือทำอาหาร คุณจะมีความสุขหรือเกิดความสุขหรือไม่ คุณคิดเอาเองซิขอรับ

เด็กมีปัญหาถาม....
เนื่องจาก ว่า ดิฉัน เป็น คนที่เรียน ไม่ค่อยรู้เรื่อง อย่างคนอื่นเค้า และ ดิฉัน คิดเสมอ ว่า เวลาที่ดิฉันไปเรียน นั้น มัน ทำไม ไม่มีความสุขเลย ถ้าหลักความจริง คือ คนอื่นๆ เค้าก้อยากมีการศึกษาที่ดีแต่ถ้า ในเมื่อเราได้ลงมือกระทำแล้ว แต่มันก้ยัง แย้ง อยู่ในใจ ของดิฉันเสมอ เพราะ ดิฉัน ไม่เห็น จะมีความสุข ตรงไหนเลย ที่ได้มานั่งเรียน พี่ๆ ของดิฉันก้อยากให้เรียน ทุกคน รอบข้างก็อยากให้ดิฉันจบมา ได้รับปริญญา แต่ ดิฉัน คิดว่า ถ้าเราไม่มีใบปริญญาแต่ ก้ไม่ได้หมายความว่า เราจะเป็นคนไม่ดี เพราะ คนอื่นๆ มักจะมองดูภายนอก ว่า การศึกษาเป็นอย่างไร การแต่งตัวเป็นอย่างไร และอีกหลายๆสิ่งที่คนจะมองแค่เปลือก นอก..ดิฉันคิดว่า ..แค่ เราอยู่กับสิ่งที่เรารัก และทำมันให้ดีที่สุด และเราก็ไม่เดือดร้อนคนอื่น ก็น่าจะ เป็นสิ่งที่มีความสุขได้อย่างแท้จริง แต่ ทำไม คนถึงมองว่า การศึกษา ทำให้เราเป็น คนที่ดี ทั้งที่ บางคน ไม่ได้รำเรียนมาแต่ เค้าก้เป้นคนดีมีน้ำใจ และไม่เคยเอารัดเอาเปรียบใคร แต่บางคนที่มีการศึกษาสูงส่งกลับทำตัวต่ำช้าก็มากมาย..ดิฉันว่า มันก้แค่ เป็นเครื่องมือ วัด คน เหมือนคนที่มี ยศ มีตำแหน่งก้เท่านั้นเอง แต่ ความเป็นจริง คนเรา ความดีต่างหากที่จะอยู่กับเราได้นาน..ดิฉัน อาจจะ คิดอะไรๆแบบโง่ๆที่ไม่อยากเรียน แต่ ดิฉัน ก็รู้สึกพ้นทุกข์เสมอ..ที่ดิฉันเป็นคนไม่ยึดติดอะไร ..ความพลาดส่วนหนึ่งคือ การที่ดิฉันคิดไปเรียน ในสิ่งที่ไม่ถนัดด้วยกระมังดิฉันรู้ว่า ต่อไปดิฉันคงไม่ไปเป็นลูกน้องใคร และดิฉันเอง อยากจะมีแค่ธุรกิจเล็กๆที่พอเพียง ไม่ใช่ต้องคอยไปนั่งบนหน้าคอมพ์ หรือ ต้องมาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ใคร..ทุกวันนี้ ดิฉันก็ ได้เลือกที่จะอยู่กับสิ่งที่ดิฉันรัก และดิฉันก้เอาเวลาที่ดิฉันนั่งทุกใจเรื่องเรียน มาทำให้มันดีที่สุด..ดิฉัน คิดว่า การที่เราไม่เบียดเบียนใคร และไม่ได้ทำให้ใครต้องเดือดเนื้อร้อนใจ มีก็ใช้ ไม่มีก้ไม่ต้องไปดิ้นรน เป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉัน ไม่ได้มองว่าอนาคตดิฉันจะต้องได้ใบปริญญามาอยู่ที่ฝาบ้านเลย ..ท่านผู้ที่ได้อ่าน เรื่อง ของดิฉัน โปรดแสดงความคิดเห็นให้ดิฉันด้วยนะคะ ..ถือว่าช่วยเปิดทางส่องแสงให้กับชีวิตน้อยๆ ด้วย..ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง..

sriariya.......ตอบ
การที่คุณบอกว่าคุณเรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ก็เพราะคุณไม่มีความตั้งใจ ที่จะเรียน มัวแต่คิดฟุ้งเฟ้อเพ้อฝัน ก็เลยคิดไปว่า การเรียน การศึกษาหาความรู้ ไม่ก่อให้เกิดความสุข ความรู้ หรือการศึกษา ย่อมสร้างเสริมประสบการณ์ ย่อมสร้างความคิดหรือสร้างแนวทางหรือสร้างวิธีการในการดำรงชีวิตของตนเองให้เป็นปกติสุข หรือจะเรียกว่า การศึกษา สามารถสร้างความสุขให้กับคุณหรือใครก็ตามในอันที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างไม่ขัดสน ไม่เกิดความเบี่ยงเบนทางความคิด หรือพฤติกรรรม อย่างที่ตัวคุณกำลังเป็นอยู่
การได้เรียนหรือศึกษาจบปริญญา ผู้เรียนผู้ศึกษา ก็ย่อมได้รับความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องต่างๆ ตามหลักสูตรนั้นๆ สามรถนำมาประยุกต์ใช้ หรือสามารถใช้ได้โดยตรง ในอันที่จะดำเนินชีวิตตามการสังคมเป็นอยู่ร่วมกันของสังคมได้ จะเรียกว่า ดีเยี่ยม ตามกำลังสมองสติปัญญา อันเกิดจากความรู้ที่ได้ศึกษาหรือเล่าเรียนมา
การศึกษาสูงหรือต่ำ ในหลักสูตรต่างๆ ไม่ได้เป็นสิ่งหรือไม่ได้เป็นเครื่องวัด สภาพจิตใจ ว่าดีหรือไม่ดี สูงหรือต่ำ สภาพจิตใจจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับการได้รับการขัดเกลาทางสังคม นับตั้งแต่ กรรมพันธุ์ ไปจนถึง จารีต วัฒนธรรม และ ศาสนา ซึ่งแท้จริงแล้ว การได้รับการขัดเกลาทางสังคม ในด้านต่างๆ ก็คือ การศึกษา รูปแบบหนึ่งนั่นเอง และการศึกษาในทุกรูปแบบ ก็จะผสมผสานกันทำให้ตัวผู้ได้ศึกษา เกิดความสุข หากได้ลงมือกระทำ ดังที่ได้ยกตัวอย่างไปในคำตอบแรก
ความคิดของคุณ เป็นความคิดของคนที่อ่อนแอ ไม่สู้โลก ไม่มีความขยันหมั่นเพียร แต่ความคิดของคุณก็ไม่ผิดดอกขอรับ เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดและกระทำตามความคิดนั้นๆ
แต่คุณจงระลึกไว้อย่างหนึ่งว่า ตัวคุณเองกว่าจะเกิดมาได้ ก็ต้องใช้เวลา แม่ของคุณต้องอดทนต่อการอุ้มท้อง และในระหว่างอุ้มท้องคุณอยู่นั้น ก็ต้องทำระกำลำบาก ทั้งการปฏิบัติตัว การรับประทานอาหาร การนอน การเดิน การไปไหนมาไหน
สิ่งที่คุณถามมาทั้งหมด ไม่ใช่ปัญหาดอกขอรับ แต่คุณมีความคิดท้อแท้ เพราะไม่สมหวังตามที่คุณหวังไว้ ทำให้เกิดความเศร้ัาหมองในจิตใจ
ลองคิดใหม่ทำใหม่ ไม่มีคำว่าสายสำหรับการแก้ไขตัวเองดอกขอรับ แก้ไขได้ตลอด ผิดก็แก้ไขอีก จนกว่าจะดี


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 22 มี.ค. 2010, 20:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2010, 07:23
โพสต์: 5

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอออกความคิดเห็นอีกมุมมองนึงนะ ..โดยส่วนตัวก็เป็นคนที่เรียนไม่เก่งเลย ไม่มีสมาธิอีกต่างหาก แต่ก็พยายามเรียน คิดว่าชอบวิชาไหนก็ทำให้ดีที่สุด ที่ไม่ชอบก็พยายามให้ผ่านให้ได้ ตอนที่เรียนก็มีจุดมุ่งหมายกับงานที่ตัวเองอยากทำอยู่ตลอดเวลา เรียนไม่เก่งก็เลยรู้สึกว่าตัวเองคงทำงานร่วมกับหน่วยงานหรือ องค์กรใหญ่ๆไม่รุ่งแน่ๆเลย (และก็ไม่รุ่งจริงๆ) แต่ก็คิดว่าถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้ทำงานกับองค์กรใหญ่ๆ แต่ยังไงเราก็ต้องเรียนให้จบ เพราะคิดว่าวันนึงอาจต้องใช้ความรู้ในการศึกษา ถึงแม้ว่าเราไม่ได้ใช้ใบประกาศก็ตาม แล้วเมื่อมันผ่านจุดนั้นมา เราได้มาทำงานส่วนตัวเราก็ได้ใช้มันจริงๆ การศึกษาไม่ได้ให้แค่ความรู้เท่านั้น การศึกษา ให้เราแยกแยะได้ทั้งความดีและความเลว ให้สังคม ให้เพื่อน ให้ความคิดในอีกมุมทีเราไม่เคยรู้จัก บางทีความคิดบางมุมก็ได้มาจากเพื่อนๆ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนดีอยู่แล้วแต่ก็จำเป็นต้องเรียนค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 05:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตออกความเห็นนะครับ

จะพยายามไม่พูดอะไรให้มันเยิ่นเย้อมาก

คำสำคัญ = การที่เราดำรงตนอยู่ได้โดยที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและไม่เบียดเบียนตัวเอง

ดำรงตน หมายความว่า มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข
มีความสุขอย่างไร สุขของคฤหัสถ์มี ๔ อย่าง
1. อัตถิสุข สุขเกิดจากการมีทรัพย์ ความสุขสิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การทำงาน สร้างฐานะ เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์ (เงินทอง) อันจะบันดาลให้มีคามสุข

2. โภคสุข สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์ เมื่อมีทรัพย์ ต้องรู้จักใช้จ่ายบำรุงตนเอง ครอบครัว ให้พอเหมาะพอควร ไม่ตระหนี่เกินไป ไม่ฟุ่มเฟือยเกินไป คือ ไม่เกินตัว และให้มีเหลือเก็บไว้บ้าง

3. อนณสุข สุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้สิน เพราะฉะนั้น อย่าพยายามก่อหนี้ยืมสินผู้อื่น

4. อนวัชชสุข สุขเกิดจากการประกอบอาชีพสุจริต การทำงานหาเลี้ยงชีพ ต้องเป็นงานที่ต้องสุจริตไม่ผิดกฎหมาย ไม่สร้างความเดือดร้อนให้สังคม

ที่มา:http://share.psu.ac.th/blog/saowarat/3963

บางคนมองว่าไม่เห็นต้องศึกษาเล่าเรียนก็สามารถมีความสุขได้ อันนี้ขอกลับไปทางโลกหน่อย
อาจจะยากไปหน่อยสำหรับคนบางคน เป็นข้อความที่มีคนเคยโพสไว้ แต่มันอยู่ในบอดเกมส์

http://bbs.asiasoft.co.th/showthread.php?t=315461

สรุปใจความที่ได้นะ
พูดไว้ว่าแนวโน้มของการเพิ่มขึ้นประชากรไทยจะลดลง และจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของปี 2544
พบว่าผู้ที่จบเพียง ป.ตรี มีอัตราการว่างงาน 21.9 % แล้วนี่ผ่านมาถึงปี 2553 แล้ว
คนที่จบจากตรีไปหาโท หรือ โทไปหาเอกก็ลงมาทำงานกันแล้ว ซึ่งหมายความว่า คนที่จบ ป.ตรี
จะมีอัตราการว่างงานสูงขึ้น อีก ๑ สิ่งที่พึงสังเกตนะครับก็คือ ในปัจจุบันพบว่าการเข้าถึงทางด้านการศึกษาของประชากร มีอัตราเพิ่มขึ้นทุกปี นั่นหมายความว่า
จะมีคนจบ ป.ตรี ป.โท ป.เอก มากขึ้นในหลากหลายสาขาวิชา แล้วคนที่จบวุฒิไม่ถึง ป.ตรีคิดว่าอัตราการว่างงานจะเป็นเท่าไหร่ บางคนอาจคิดว่ายังไงคนทุกคนก็ต้องมีวันเกษียณแต่โปรดสังเกต
จากสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าประชากรไทยในช่วง อายุ 15-59 ปีมีประมาณ 45 ล้านคน
หมายความว่าการแทนที่ของการทำงานเป็นไปได้แต่ในภาวะการแข่งขันที่สูงลิบ

หากใครมีข้อสงสัย ขอให้ถามได้จะพยายามตอบ ผิดพลาดประการใดกระผมต้องขออโหสิกรรมด้วยครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron