วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 21:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เอาออกมาแล้วจะเอาไปไว้ไหนดีล่ะครับ
เอามาประกาศให้เกิดอิระสภาพ เอามาใว้บนโต๊ะหนังสือ เอาไปไว้ในที่ที่มีคนมาอ่านมาศึกษา เอาสาระของความเป็นพุทธคือพระธรรมไปเก็บไว้ในตัวคนให้ได้

เออ ... นี่เจออีกดอก สาวกของพระพุทธเจ้า ไม่บัญญัติอะไรขึ้นมาใหม่ ไม่ยกเลิกบัญญัติที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้แล้ว

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ใหนก็ว่าโดนว่าเพ้อเจ้อแล้ว ขอเพ้ออีกสักเรื่อง

พระสุปัตติปันโน แต่ ไม่ใช่ พระอุชุปัตติปันโน

เป็นที่น่าเสียดายและน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งว่า อดีต และปัจจุบัน มีพระที่บวชถูกธรรมวินัยจำนวนหนึ่ง (ซึ่งปกติการบวชถูกต้องตามธรรมวินัยในสมัยนี้เกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะพระสุปัตติปันโนเหลือน้อย) สามารถรักษาศีลได้ไม่ถึงกับปราชิก ไปเรียนและไปปฏิบัติในทางที่มิใช่พระศาสดาทรงบอกไว้ ด้วยความประมาท ความเข้าใจผิด

เรื่องเคยมีมาแล้ว พวกฤาษีพุทธ คือ ชาวบ้าน อุบาสกอุบาสิกา ที่ไปฝึกวิชาฤาษี สำเร็จเป็นฤาษี มีฤทธิ์ แต่นับถือพระพุทธเจ้า จนชาวบ้านและผู้ปกครองแผ่นดินในสมัยนั้นนับถือ ได้รับการยกย่องเป็นนักบวชผู้มีฤทธิ์ เป็นฤาษีประจำเมือง

ฤาษีพวกนี้ สร้างสำนักอยู่ตามป่าเขา ลักษณะสำนักไม่แตกต่างอะไรกับวัด เพราะฤาษีพวกนี้นับถือพุทธ ชอบทำเครื่องลางของขลัง ทำพระเครื่อง ทำพระพุทธรูป

เวลาผ่านไป ยุคคฤาษีถึงคราวเสื่อม จากที่เคยมีฤาษีเป็นพันๆ ตน เรียกว่า เป็นดงฤาษี ปัจจุบัน เหลือเพียงสำนักใหญ่โต กับคำภีร์ เข้าของเครื่องใช้ สำนักเล็กๆ ก็อยู่ตามป่าเขาห่างไกล

พวกพระธุดงค์เดินทางไปพบ คิดว่าเป็นวัดเก่าวัดแก่ วัดร้าง ก็เข้าไปจำวัด พบคำภีร์โบราณจำนวนมาก ก็เอามาอ่าน เอามาศึกษา เอามาเรียน เอามาฝึก เอามาประกาศต่อว่า พบคำสอนที่สูญหาย ...

กลายเป็นว่า พระไปฝึกวิชาฤาษี เป็นพระฤาษี มีฤทธิ์ มีคนนับถือมาก มีคนรู้จักมาก ตัวท่านเองไปเกิดเป็นพรหม จะกลับมาบอกใครก็ไม่ได้ ไม่มีใครได้ยิน คุยได้แต่กับพวกเดียวกันเอง รอวันที่จะหมดบุญกลับมาเกิดเป็นคนใหม่

ทั้งพระ ทั้งฆราวาส พากันไปฝึกวิชาฤาษีกันเยอะ เพราะเข้าใจว่า นี่เป็นทางที่ถูก ที่ใช่ เป็นทางที่พระปฏิบัติ .... พากันทิ้งพระศาสดา พากันเดินทางออกนอกศาสนา ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ... เอวัง

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 20 มี.ค. 2010, 11:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 11:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
เอาออกมาแล้วจะเอาไปไว้ไหนดีล่ะครับ
เอามาประกาศให้เกิดอิระสภาพ เอามาใว้บนโต๊ะหนังสือ เอาไปไว้ในที่ที่มีคนมาอ่านมาศึกษา เอาสาระของความเป็นพุทธคือพระธรรมไปเก็บไว้ในตัวคนให้ได้


ก็ลองไปขอยืมอ่านก่อนดีไหมครับ
ผมคิดว่า คนรักษากุญแจเขาคงจะรีบไขให้เลย

กระผมคิดว่า ยุคนี้แล้ว
ไม่มีความยากลำบากแต่ประการใด
ในการหาอ่านพระไตรปิฏก

ที่ทราบกันว่า พระพุทธเจ้าให้พระธรรมเป้นศาสดาเมื่อำพระองค์ล่วงลับไปแล้ว
ก็อย่าลืมว่า ตอนทีตรัสนั้น หรือแม้กระทั่งตอนที่พระองค์เสด็จดับขันธ์
ก็ยังไม่มีการจารึกพระไตรปิฏกขึ้นมานะ
ศาสดาที่พระองค์ฝากให้แทนพระองค์นั้นไม่มีรูปร่างหรือจารึก

แสดงว่าที่ถูกขังอยู่นี้ เป็นแค่พระธรรมเวอร์ชั่นจารึก
เป็นพระศาสดาในรูปธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
จะปล่อยจะขังก็ไม่มีประโยชน์

ต่อให้พิมพ์แจกไปทุกบ้าน มีกันคนละชุดเลย
ก็ไม่พ้นวิสัยชาวพุทธจะทำให้เกิดขึ้นได้

แต่ถามว่า การที่จะศึกษาพระธรรม
ตกลงมันอยู่ที่หนังสือ หรืออยู่ที่คนเรียน
คนอยากเรียนนะ ผมว่าไม่มีข้ออ้างเลยในการจะหาอ่าน
หาง่ายมาก

พูดตรงๆ ผมเห็นวัดไหนๆเขาก็มีให้อ่านนะ
ผมยังไม่เคยเจอที่ไหนที่ขออ่านพระไตรปิฏกแล้วไม่ให้อ่าน
มีแต่จะยกให้ทั้งชุดทั้งตู้เลยนะ ถ้ามีปัญญาเอา จะเอาแล้ว
แต่ขอบอกว่าชอบเวอร์ชั่นคอมพิวเตอร์มากกว่า
Search ได้ / รวดเร็ว / ไม่ต้องเก็บรักษาอะไรยากเลย /


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุที่ต้องมีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ก็เพราะศาสนาถึงความเสื่อมลงจุดหนึ่ง หากศาสนามั่นคงจริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องเขี่ยนเป็นเล่ม แปลว่า ถ้าศาสนาถึงความเจริญอีกครั้ง พระไตรปิฏกที่เป็นรูปเล่ม ก็ไม่จำเป็น เพราะมันไปฝังแน่นในสาวกทุกคนดีแล้ว ไปทางใหน เวลาพูดถึงพระธรรม ทุกคนก็พูดเป็นอย่างเดียวกันหมด

สัจจะ มีสิ่งเดียว ไม่มีสอง

ถ้าไม่มีพระไตรปิฏกที่เป็นรูปเล่ม สมัยพระเจ้าอโศกฯ ป่านฉะนี้ศาสนาพุทธหายไปนานแล้ว ซึ่งความจริงก็คือ ศาสนารุ่งเรืองอยู่จริงๆ แค่ ๒-๓๐๐ ปี เท่านั้นเอง จากนั้นก็กระท่อนกระแท่นมาจนถึงราวๆ พ.ศ. ๙๔๕ ที่พุทธศาสนาถึงกับหายไปจากประเทศอินเดียโดยเด็ดขาด

พระนาคเสนว่า เป็นเพราะเกิดมีภิกษุณี ศาสนาจึงรุ่งเรืองอยู่ได้แค่ ๑๐๐๐ ปี

พระไตรปิฏกเขาก็ให้อ่านกันทุกวัดแหละ ที่เป็น Digital file ก็ได้ หาอ่านได้ง่ายกว่าเดิมเยอะจริงๆ อย่างที่ท่านว่านั่นแหละ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ ไม่มีใครอ่านจนจบเป็นเรื่องเป็นราว โดยเฉพาะพระภิษุ ก็เหมือนกับ น.ศ. มช. สอบเข้าไปได้แล้ว เป็นนักเรียนจริงๆ ไม่ได้ปลอม แต่เรียนไม่จบ แถมไปเรียนวิชาอะไรก็ไม่รู้ รุ่นพี่บอกว่าไปเจอที่หลังเขา ระเบียบอะไรที่ มช. กำหนด พี่แกไม่ทำตามซักอย่าง แต่ยัง(ด้าน)ใส่ชุดนักศึกษา แล้วยังมาตั้งสำนักสอนติวเข้มอีก ทำตัวเป็นมหาโจรปล้นเขากิน ก็ลองนึกดูก็แล้วกัน คนมาเรียนก็ยิ่งไม่รู้ ... ดูไม่จืด

บ่นเพ้อเจ้อไป ไม่ได้ให้ไปทำอะไรใคร บาปใครบาปท่าน แค่อยากจะเพ้อเจ้อต่อไปว่า ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้เท่านั้นเอง ... ที่เหลือก็ตัวใครตัวท่าน

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หลงประเด็นแล้วท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
พุทธแท้ๆ จะกลับมาเจริญรุ่งเรืองเหมือนครั้นสมัยพุทธกาลได้หรือมั้ยน้อ ...... :b6:


การพึงรำพันอย่านี้ในส่วนตัวขอกล่าวว่าเป็นการรำพึ่งรำพัน เพ้อเจอ มันเนื่องด้วยตัณหาอุปทานของตัวเองที่จะให้เป็นแบบนั้น อย่างนั้น อย่างนี้ หลากหลายลีลาของตัณหาอุปทานของตัวเอง

หากเป็นการพำพึ่งรำพัน มันอัศจรรย์ในธรรมะ มรรคผล นิพพาน เช่น คนนอนหลับมาทั้งชีวิต หลายภพหลายชาติ ได้ตื่นแล้วหนอ หรือ ของที่ปิดอยู่ได้เปิดขึ้นแล้วหนอ ของที่คว่ำอยู่ได้หงายขึ้นแล้วหนอ อย่างนี้จะไม่มีว่าจะเจริญรุ่งเรืองหรือไม่อย่างใด จะได้รู้ว่ามันมีอยู่แล้ว และนั้นละเป็นนิมิตหมายที่มงคลอย่างยิ่งที่ได้พบพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หลงประเด็นแล้วท่าน
หลงยังงัยท่าน พาเข้าประเด็นหน่อย ไม่ต้องเปลืองอักขระพญัญชนะมาก เอาเนื้อๆ เน้นๆ สั้นๆ

อ้างคำพูด:
หากเป็นการพำพึ่งรำพัน มันอัศจรรย์ในธรรมะ มรรคผล นิพพาน..
ไม่เข้าใจ มีอธิบายแบบภาษาชาวบ้านธรรมดาๆ พอฟังได้บ้างมั้ย ...

มรรผล ไม่มีอะไรมันอัศจรรย์ล้ำลึกอะไรหรอก ค่อยๆ เดินไป ถ้าถูกทาง วันหนึ่งมันก็ถึง ถ้าผิดทาง หลงทาง ก็แค่เสียชาติเกิดไปหนึ่งชาติ :b38:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 20 มี.ค. 2010, 17:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:


อ้างคำพูด:
หากเป็นการพำพึ่งรำพัน มันอัศจรรย์ในธรรมะ มรรคผล นิพพาน..
ไม่เข้าใจ มีอธิบายแบบภาษาชาวบ้านธรรมดาๆ พอฟังได้บ้างมั้ย ...

มรรผล ไม่มีอะไรมันอัศจรรย์ล้ำลึกอะไรหรอก ค่อยๆ เดินไป ถ้าถูกทาง วันหนึ่งมันก็ถึง ถ้าผิดทาง หลงทาง ก็แค่เสียชาติเกิดไปหนึ่งชาติ :b38:


เหอๆ มรรผล ไม่มีอะไรมันอัศจรรย์ล้ำลึกอะไรหรอก? ค่อยๆ เดินไป ถ้าถูกทาง วันหนึ่งมันก็ถึง ?

หากเปรียบแล้วนักปฏิบัติธรรม ผู้บำเพ็ญ ผู้ศึกษาธรรมะ เหมือนกับ ผู้ที่พายเรือ อาศัยเรือ ข้ามห้วงน้ำอยู่ ที่ต่างก็มีจุดหมายคือฝั่ง หรือ พระนิพพาน หากไม่มีการตรัสรู้ขององค์พุทธะที่ความเป็นอัศจรรย์ขององค์พระพุทธเจ้า(อโหพุทโธ) คำดำรัสตรัสสอนที่ชี้ให้ทางให้สรรพสัตว์ลุล่วงตามได้นั้นก็เป็นอัศจรรย์ในคำสอนนั้น(อโหธัมโม) และในส่วนบุคคลที่รู้ตามธรรมนั้นและเป็นหน่อเนื้อหาบุญทั้งหลาย นี้ก็เป็นอัศจรรย์ในพระสงฆ์(อโหสังโฆ) ในการบำเพ็ญของสาวก หรือของผู้บำเพ็ญทั่วไป หรือผู้ไม่บำเพ็ญ หากไม่มี ไม่รู้ ไม่ได้สดับรับฟังในสิ่งที่เป็นสัจธรรม อริสัจแล้ว ย่อมเป็นการบำเพ็ญที่มุ่งเอา มุ่งเข้าถึง พยยายามไปให้ถึง ที่ไม่แคล้ว 31ภูมิ ที่เรียกว่าสังสารวัฎ ที่วนไปวนมาอยู่นาน และที่แล้วใหญ่คือผู้บำเพ็ญที่ ทนงตนว่าเป็นผู้รู้แล้วว่าค่อยๆ เดินไป ถ้าถูกทาง วันหนึ่งมันก็ถึง ซึ่งเปรียบประดุจว่าพายอยู่อ่าง หรือขึ้นถึงฝั่งแล้วแต่ก็ยังแบกเรือและพายอยู่ล้ำไป โดยตั้งปราถณาต้องมีสักวัน ต้องมีสักวัน ร้องเพลงของ
ก็อตไปเลย ต้องถึงสักวันอยู่อย่างนั้น โดยเอาตัวเองว่าต้องถึง แต่ในความเป็นจริง ในสิ่งที่มีอยู่เองแล้ว ธรรมะทั้ง ทั้งปวงเป็นอนัตตา อนิจจัง ทุกขัง วาง ว่าง ไม่ยึดเกาะเอาได้ มันจึงเป็นการสวนทางกับการดำรัสตรัสสอนของท่าน ให้ยุติเหตุ ยุติสมุจทัย ที่เป็นไปเพื่อละอัตตาตน คลายจากการยึดติด พ้นทุกข์ ฉะนั้นการที่จะถึงด้วยตนเองนั้นย่อมมีในมหาบารมี ในพระโพธิสัตว์ มหาโพธสัตว์ ที่จะตรัสเองเป็นองค์พระพุทธเจ้า และปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น นอกนั้นมีแต่รู้แล้วดับตามท่านเท่านั้น อย่าทนงตนไปนักเลย


แก้ไขล่าสุดโดย yodchaw เมื่อ 20 มี.ค. 2010, 20:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ... คุยเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่า(หว่า)

มรรค แปลว่า ทาง

เดินทางถูก เรียก สัมมามรรค

เดินทางผิด เรียก มิจฉามรรค

ธรรมะ คือธรรมชาติ คือความจริง พอเข้าถึงความจริง มันก็ไม่มีอะไร มันก็เป็นธรรมดา

มรรค ๔ ผล ๔ ก็เป็นสภาวะธรรม ก็คือธรรมชาติ ก็คือความเป็นธรรมดา

บรรลุธรรม อาศัยความเพียร ความไม่ประมาท เป็นหลัก มีปัญญาและศัรทรา เป็นกำลัง

ไปด้วยยานอันประเสริฐนี้ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นพลขับ

เอ้า ... ถามหน่อย วาง ว่าง ที่ท่านว่า หมายถึงอะไร แล้วทำอย่างไรจะให้วางได้ ทำอย่างไรถึงจะทำให้ว่างได้ :b38:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
เอ... คุยเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่า(หว่า)

เอ้า ... ถามหน่อย วาง ว่าง ที่ท่านว่า หมายถึงอะไร แล้วทำอย่างไรจะให้วางได้ ทำอย่างไรถึงจะทำให้ว่างได้ :b38:


ตอนแรกก็คิดเช่นเดียวกับท่านละว่าเรื่องเดียวกันหรือเปล่า แต่มันเรื่องเดียวกันละท่าน มรรค ผล อะไรก็เป็นธรรมะ เป็นพระธรรม คำสอนละท่าน หรือท่านว่าไง? เกิดขึ้นมาลอยๆ? ที่ศึกษาอยู่นี้เป็นมรดกทางธรรมะของท่าน ของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ พระอริยสงฆ์

ส่วนเรื่องวาง ว่างขอตอบตามกำลัง ตามภูมิธรรม ลีมิตการกล่าวธรรมะมีน้อย ข้าน้อยต้องขออภัย
ข้าน้อยยังเป็นผู้ศึกษาอยู่

นิพพาน ไม่จัดว่าเป็นอะไร ไม่เป็นเมือง ไม่เป็นชั้น ไม่เป็นชาติ หรืออนัตตา ปภัสร อยู่เองแล้ว จึงไม่อาจจะสำเร็จได้ด้วยการมุ่งหรือแสวงหาได้ ที่จะว่าง หรือที่จะนิพพานยิ่งพูดไปมากก็ไม่ตรงต่อความเป็นจริง ในสิ่งที่จะพูดได้คือการสร้างเหตุ การปฏิบัติ การดำเนิน การทรงอยู่ ที่เป็นการรักษาตัวตนอยู่ที่เรียกว่ากรรมซ้อนธรรม ที่ทำให้ปิดบังความเป็นจริง ที่ทำให้มันเลยความเป็นจริง และ ยุติกรรม ยุติเหตุ สรุปที่สุดของการวางคือไม่มีตัวตนที่จะวาง วางอยู่เองแล้ว คือเข้าใจตามแล้วดับตาม ไม่ใช่ปฏิบัติตามที่มันจะวางจริง ว่างจริง
สำคัญสิ่งนี้ต้องมาพร้อมความเคารพอ่อนน้อม ที่จะรับฟัง หรือพิสูจน์ว่าสิ่งท่านกล่าวมันจริงหรือไม่

ขอเชิญศึกษาธรรมบรรลุฉลับพลัน จบโลก จบธรรม จบกรรม การปฏิบัติ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม จ.เลย ที่บอร์ดสนทนาทั่วไปขอรับ หรือ http://www.rombodhidharma.com/

ขอให้ท่านมีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
หลงยังงัยท่าน พาเข้าประเด็นหน่อย ไม่ต้องเปลืองอักขระพญัญชนะมาก เอาเนื้อๆ เน้นๆ สั้นๆ


เอาตรงๆนะ

ข้าพเจ้า เพลียยยยยยย
ไม่ไหวจะเคลีย อ่อนเพลียจะอธิบาย
จุ๊บๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
นิพพาน ไม่จัดว่าเป็นอะไร ไม่เป็นเมือง ไม่เป็นชั้น ...
ก็นี่แหละน้า... นิพพานเลี้ยวขวา พากันเลี้ยวซ้ายไปหมด แล้วมาบอกว่า นิพพานล้ำลึก เป็นธรรมซ้อนธรรม ฯ มองเป็นเรื่องวิเศษพิศดาร เอามาบอกกันเป็นนิทานปรัมปรา

นิพพานก็ธรรมชาติย่างหนึ่ง มันมีอยู่ของมันอย่างนั้น ลักษณะของความจริง ก็คือ พอใครรู้ถึงความจริง ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อ๋อ ... แค่นี้เอง พอตอนไม่รู้นี่ ... มืดตื้อ

ตาบอดพากันจูงมือเดินไป มีแต่คำถามไม่มีเฉลย ... มือตื้อ

อ้างคำพูด:
ข้าพเจ้า เพลียยยยยยย
เห็นนิพพานแล้วมาบอกกันบ้างเน้อ :b28:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 23:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ดู..ชื่อกระทู้..หน่อยซิคุณอาหยาม :b12: :b12:

เขา..รำพึงรำพัน..อยู่นะท่าน :b32:

หยุดรำพัน..เมื่อไร..เดียวก็ดีเองแหละ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


สติปัญญา หรือการเจริญสติปัญญา หมายถึง การฝึกปฏิบัติที่จะทำให้สติระลึกหรือดึงเอาปัญญาขึ้นมาเสมอๆ

สติเป็นเจตสิกที่ทำงานเป็นปกติ ไม่สามารถเจริญได้ หน้าที่ของสติเจตสิกคือ ระลึก หรือ อ่านข้อมูลความจำเก่าในความจำของคน (สัญญา) มารายงานให้เราทราบ เพราะฉะนั้น การเจริญสติจริงๆ แล้วไม่มี

การที่จะทำให้สติระลึกถึงปัญญาได้ ต้องมีปัญญา หรือ ความคิดเห็นที่ถูกต้องบันทึกหรือจัดเก็บไว้ในความจำก่อน เพราะฉะนั้น การที่จะเกิดสติปัญญาได้ ก็คือ ต้องสะสมปัญญา แล้วสติก็จะดึงเอาปัญญาขึ้นมาได้ หากต้องการให้สติดึงแต่ปัญาขึ้นมา ต้องมีปัญญาเก็บไว้ในสัญญามากๆ (อ่าน คิด ทำ)

ในทางพุทธศาสนา การเจริญสติปัญญา หมายถึงเฉพาะปัญญาที่ดับทุกข์ได้เท่านั้น คือ การเห็นความจริง คือ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น คงอยู่ ดับไป เกิดจากเหตุปัจจัยมารวมกันชั่วคราว ไม่มีตัวตนเป็นของตน ไม่สามารถบังคับบัญญาได้ ... :b38:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งหนึ่ง เคยมีมาแล้ว มีผึ้งตัวหนึ่ง บินเข้ามาเจอผูงแมลงวันในโลกไซเบอร์ ผึ้งตัวนี้คอยมองหาว่า จะพอมีผึ้ง หรือว่าที่ผึ้งอยู่แถวๆ นั้นบ้างหรือเปล่าหนอ ... จนเวลาผ่านไปกว่าปี ความจริงจึงปรากฏแก่ผึ้งตัวนั้นว่า ...

ธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จริงๆ นั้นง่าย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์คือผู้ที่เฉลยปัญหาที่หาคำตอบได้ยากที่สุด คือ ทำอย่างไรจะไม่ตาย แต่สิ่งที่ยาก กลับเป็นการพาคนเข้าถึงความจริง วิธีบุญวิธีบาปอันพยากรณ์ยากนี้ เป็นสิ่งที่ประมาณไม่ได้ การที่บุคคลมีบุญบารมีและปัญญามีไม่เพียงพอ จะเข้าถึงความจริงนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลย

... และแล้ว ผึ้งตัวนั้นก็บินจากไป :b42:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร