วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 19:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 20:24
โพสต์: 43

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญหาที่ถามเนี่ย ถ้าจะรู้คำตอบ ผมว่าบวชเลยดีกว่านะ ผมอยากจะตอบให้แต่ถ้าตอบนี่นานมากจะลองตอบนิดๆหน่อยๆดูนะ
1 สีตามพระวินัย สิงคิยวรรณ ผ้าที่มีสีเหมือนเปลวไฟ แต่จริงๆมีสีแบบแก่นขนุน ผ้าที่ย้อมด้วยเปลือกไม้ที่มีรสฝาดใช้ได้หมด
2 ทำไมพระโกนหัว ในสมัยพุทธกาลการโกนหัวถือว่าเป็นแบบคนจันทาลหรือคนที่ไม่มีอะไรแล้ว คือที่สุดของคนที่ถือว่าไม่ดี คือถือตามชั้นวรรณะว่าต่ำสุด พระพุทธเจ้าพระองค์ประสงค์จะล้มเลิกการถือวรรณะของคนพระองค์จึงทำเป็นแบบอย่าง โดยการโกนผมออกซะ (แม้พระพุทธเจ้าจะเกิดในวรรณะกษัตริย์ก็ตาม)
3 ทำไมพระพุทธเจ้าไม่มาเกิดใหม่ เพราะพระองค์ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ไม่มีอนุสัยคือเครื่องปรุงแต่ให้เกิดใหม่ได้ แต่จะมีพระโพธิสัตว์ลงมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ตลอด แต่ต้องให้หมดยุคศาสนาของพรุพุทธเจ้าพระองค์นี้ก่อน
4 ทำไมในวัดมีงาน มีดนตรีในวัด คือว่าคงไปขอยืมใช้สถานที่วัดมั้ง ตามปกติ ไม่สมควร แต่โดยมากก็เห็นแก่การสอดคล้องของสังคม ก็อนุโลมกันไป แต่การมีดนตรีไม่ใช่ส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธ
5 ทำไมวันพระมีหลายวัน การที่มีวันพระนี่ จริงๆมาจากคำว่าวันธัมมัสวนะ คือวันสมควรแก่การฟังธรรม ที่มาคือในครั้งพุทธกาล พวกเดียรถีย์นอกศาสนามีการประชุมกันทุกกึ่งเดือน(15วัน)บ้าง เจ็ดวันบ้าง เพื่อซักซ้อมคำสอนของต้น บรรดาพระภิกษุเราเห็นว่าดีก็อาศัยหลักการอันนี้มาทำ หรือง่ายๆว่าการประชุมกันทุกกึ่งเดือนหรือเจ็ดวันนี่เป็นธรรมเนียมปกติของคนสมัยนั้นแล้วก็ได้ ที่นี้พุทธบริษัท หรือบรรดาญาติโยมเห็นเป้นโอกาส ก็เลยถือเอาวันนั้นเป้นวันฟังธรรมหรือวันทำบุญ
6 พระไม่ใส่กางเกงในนี่สงเคราะห์ตามวินัย หรือเรียกว่าทำตามวินัยด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า เพราะว่ามีข้อห้าของพระว่า ห้ามทรัดทรงสวมใส่ การประดับ การตกแต่ง พระในกาลก่อนที่สมัยนู้น ไม่มี กกน อยู่แล้วก็แล้วไป พอปัจจุบัน มีกกน ท่านก็ไม่ใส่ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าและพระเถระสมัยก่อน
7 ทำไมผู้ชายต้องบวชพระ อันนี้ไม่จำเป็นว่าต้องบวช ไม่มีข้อบัญญัติในพระศาสนา แต่ว่าประเพณีเราและเรื่องราวในศาสนาเราสนับสนุนให้ครั้งนึงในชีวิตควรบวชพระ
8 ทำไมพระพุทธเจ้าต้องปรินิพพาน ก็พระองค์บรรลุพระอรหันต์แล้วก็นิพพานดิ

9 ศาสนาใดแทนศาสนาพุทธ เมื่อศาสนาพุทธเสื่อมลง ไม่มีศาสนาไหนแทนศาสนใดๆในโลกนี้ สุดแท้แต่คนจะนับถือ
10 ทำไมต้องโยนเหรียญลงหลุมนิมิต อันนี้ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าการโยนเหรียญลงหลุมนิมิต หรือรอบพระพุทธบาท หรือว่าพระพุทธรูปศักสิทธ์ที่เรานับถือนั้น เป้นการบูชาด้วยเงิน หมายถึงเราบูชาสิ่งเคารพนั้นๆ ด้วยเงิน จะสังเกตได้ว่า มีการขุดได้เงินหรือทองตามโบราณสถาน ตามกรุพระเครื่อง ก็เป็นเช่นนี้ตามโบราณแหละ

เอาไป10ข้อก่อนนะ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2010, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าวังทอง

พูดจาถึงพระถึงเจ้า สำรวมกิริยามารยาท หน่อย
พูดจาหยาบคายไม่สมกับเป็นปวงชนผู้เจริญแล้ว ช่างน่าขายหน้าสิ้นดี
คำพูดจาที่ลงมาช่างน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด โปรดนำไปปรับปรุงตัวเองด้วย

ระวังบาปจะกินหัว


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2008, 10:45
โพสต์: 14


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบนะครับ

ผมไม่ใช่อาจารย์หรอกครับ
เป็นรุ่นพี่ ม.6
บางคำถามผมก็ตอบได้ แต่อยากฟังความคิดเห็นจากคนอื่นบ้าง


ขอบคุณครับ โมทนาครับผม


โพสต์ เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 12:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
ขอตอบแบบอธิบายไม่ได้แยกตอบเป็นข้อๆ อ่านแล้วลองเอาไปคิดว่าจะไปบอกนักเรียนแบบไหนค่ะ...
:b12:
...ความสงสัยในเด็กเป็นเรื่องปกติ...ความคิดเด็กเห็นเพียงด้านเดียวเหมือนมองภาพวาด...
...เด็กเขามองเห็นภาพแบบตรงๆราบเรียบ...แต่ผู้ใหญ่มองเห็นภาพในแนว3มิติ...
...ผู้ใหญ่มองกว้างกว่า...ต้องอธิบายให้เขารู้เหตุผล...ไม่งั้นเขาจะมีอคติและจำไปแบบผิดๆ...
...ตอบไม่มีเหตุผลเด็กอาจหมดศรัทธาในพุทธศาสนา...แล้วก็เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นก็ได้...
:b13:
...ตั้งแต่เกิดมาในทะเบียนบ้านก็ระบุว่านับถือศาสนาพุทธ...ทุกอย่างในโลกมนุษย์ต้องมีการสมมติ...
...จะต้องมีการตั้งชื่อไม่ว่าจะเป็นชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ต่างๆ...ตั้งชื่อเอาไว้ใช้สื่อสารกัน...
...คนหรือมนุษย์สื่อสารด้วยการพูดออกเสียง...ตามแต่ว่าอยู่ประเทศอะไรก็จะมีภาษาที่ใช้สื่อสาร...
...อย่างเช่นในประเทศไทยก็ยังใช้ภาษาในการสื่อสารที่เป็นภาษาพูดต่างกัน ได้แก่ ภาษาอีสาน...
...ภาษาอู้คำเมืองของทางภาคเหนือ ภาษาเหน่อๆของคนไทยหลายๆที่ยังแตกต่างกันมีเยอะเลย...
:b27:
...ตัวนักเรียนเองยังพูดได้มากกว่า 1 ภาษา...อย่างน้อยก็ 2 ภาษาคือไทยกับอังกฤษ...บางโรงเรียน...
...มีหลักสูตรสอนภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน และอื่น...ใครพูดได้หลายภาษาก็ติดต่อกับต่างชาติต่างภาษา...
...โดยเฉพาะถ้าใครอยากเรียนมากกว่า 2 ภาษาต้องบวชเรียน...ได้เล่าเรียนหลากหลายภาษา...
...ได้แก่ ภาษาไทย-อังกฤษ-บาลี-สันสกฤต...เป็นต้น...เป็นคนไทยบวชเรียนเก่งตั้งหลายภาษา...
...เวลาพระสวดก็จะสามารถแปลได้ว่าหมายความว่าอะไร...สนใจอยากออกมาบวชเรียนหรือยัง...
:b16:
...ศาสนาพุทธที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ...คนไทยและอีกหลายชาติก็มีคนนับถือพุทธ...มีหลายนิกาย...
...แต่ละนิกายเขาก็มีหลักยึดถือและแนวทางปฏิบัติต่างๆกันไป...ในจีนกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์...
...กราบแบบยืนแล้วนั่งแล้วนอนคว่ำลำตัวราบกับพื้น...(ส่วนเท้า 2 เข่า 2 ศอก 2 หน้าผาก1 ลำตัว 1 )
...คนไทยยังกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ (ใช้ส่วนของร่างกายจรดพื้น 5 ส่วนหน้าผาก1 ศอก 2เข่า 2)
:b31:
...คนไทยกราบแบบครั้งพุทธกาลคือเบญจางคประดิษฐ์...ทำการคุกเข่าพนมมือกราบ 3 ครั้ง...
...กราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์...ยืนพนมมือแล้วคุกเข่าแล้วคว่ำนอนกราบแล้วลุกขึ้นยืนนับ 1 ครั้ง...
...ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขากราบแต่ละทีต้องยืนแล้วลงไปนอนราบกี่ครั้ง...เหนื่อยน่าดูว่าไหม...
:b9:
...การแต่งกายก็เป็นการสื่อสารชนิดหนึ่งให้เราทราบเป็นสัญลักษณ์ว่าถ้าแต่งแบบนี้เรียกว่าพระ...
...เรียกว่ามีเครื่องแบบ...มองเห็นจะได้เรียกไม่ผิด...ตำรวจ พยาบาล หมอ ทหาร ครู นักเรียน อื่นๆ...
...ถ้าแต่งเหมือนกันหมดก็แยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นอาชีพอะไร...จะดูได้แค่อายุมากหรือน้อย...
...ถ้าไม่มีชื่อให้เรียกหรือมีแค่ชื่อเดียวว่ามนุษย์...มันก็จำกันไม่ได้...นักเรียนก็ยังมีชื่อให้เรียก...
...คนก็มีชื่อเล่นกับชื่อจริง...พระที่ท่านเข้ามาบวชก็ต้องมีฉายาใหม่...เพราะเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า...
:b20:
...เป็นครูสอนธรรมะคือสอนศาสนาแทนพระพุทธเจ้า...ก็ต้องตั้งชื่อให้สมควรแก่สมณเพศ...
...พระท่านเป็นครู...ผู้คนที่เข้าไปพบพระจึงเรียกขานกันหลายอย่าง เช่น ท่านอาจารย์ พระอาจารย์...
...ครูบา ท่านพ่อ หลวงพ่อ หลวงพี่ หลวงตา หลวงลุง หลวงน้า พี่เณร เป็นการเคารพเพศนักบวช...
...เพราะถือว่าอยู่ในเพศบรรพชิต...มีคุณธรรมประจำเพศสูงกว่าคนปกติทั่วไป...แม้พระมหากษัตริย์...
...พระองค์ยังทรงกราบนมัสการพระรัตนตรัย คือกราบพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์...
:b1:
...นอกจากการแต่งกายแล้ว...การโกนผม โกนหนวด โกนคิ้ว...เป็นการสละสิ่งไม่จำเป็นในชีวิตออกไป...
...ชีวิตของพระต้องประหยัด/ง่าย...ไม่มีผม ขน หนวดเคราให้เป็นภาระเช่นต้องสระผมมีน้ำมันใส่ผม...
...ต้องมีครีมโกนหนวดสารพัดที่ทำให้ต้องมีการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย...ฉันน้อย นอนน้อย ทำความเพียรให้มาก...
...พระมีเงินเดือนนะ...พระพุทธเจ้าตั้งเงินเดือนให้พระทุกรูปแล้ว...ให้วันละ 1 บาตรคือการบิณฑบาต...
...ออกบิณฑบาตรหามาด้วยลำแข้งตนเอง...ผู้คนที่มีจิตใจบุญทึ่ตื่นเช้ามารอใส่บาตรพระมีถมไป...
...แค่วันละบาตรก็มากพอแล้ว...มีเวลาในการฉันก่อนเที่ยงฉันอาหารได้ทั้งข้าวปลาอาหารและน้ำ...
:b22:
...ส่วนเวลาหลังเที่ยงไปแล้วฉันได้เฉพาะที่เป็นน้ำๆ(น้ำปานะ)...และไม่มีการให้เก็บสะสมไว้ค้างคืน...
...การรับประเคนอาหารก็ถือว่าผู้ที่นำมาถวายได้ให้และต้องรับโดยสำรวมต้องกระทำโดยเปิดเผย...
...คือได้รับมาฉันโดยไม่ได้ขโมยมา...การถวายสิ่งของพระ...กรุณาอย่านำอาหารไปถวายหลังเที่ยง...
...การมีศีลและข้อวัตรต่างๆมากมายทำให้ไม่สามารถหุงหาอาหารได้เอง...แค่ตัดต้นไม้ก็ผิดศีลแล้ว...
...คือการตัดต้นไม้เป็นการทำลายสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่มาอยู่อาศัยในต้นไม้นั้น...ทำให้สัตว์เดือดร้อน...
:b31:
...ขอพักยกก่อนค่อยมาอธิบายต่อ...
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 09 ก.พ. 2010, 12:32, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b13:
...ลองนั่งนึกดูว่าตัวเองชอบมองคนที่แต่งตัวโป๊ๆไหม...ผู้หญิงยังมองเลย...แล้วผู้ชายจะเหลือเลอะ...
:b1:
...พระสงฆ์หรือนักบวชในประเทศไทยถือศีล 227 ข้อ...อยู่ประจำที่วัดและออกธุดงค์...
...เดินทางออกประกาศศาสนา...และปฏิบัติตนเพื่อแสวงหาที่วิเวกตามป่าเขาค้นหาทางพ้นทุกข์...
...อย่าลืมว่าพระสงฆ์ที่ออกบวช...ก่อนบวชก็เป็นมนุษย์...มนุษย์ทุกคนมีความโลภ โกรธ หลงในใจ...
...ออกบวชเพื่อละกิเลสความโลภ โกรธ หลง ในจิตใจตนเอง...ท่านพยายามจะละให้ได้...
...แต่คนที่เข้าไปพึ่งพระก็หากิเลสไปสุมให้ท่านไม่หยุด...เช่นให้เงินท่านมากๆทำให้ท่านยิ่งละโลภไม่ได้
:b3:
...มนุษย์ผู้ชายกับผู้หญิงโดยปกติมีสัญชาตญาณมนษย์เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์...การได้เห็นผู้หญิง...
...ก็ทำให้พระท่านตบะแตกได้...ยิ่งผู้หญิงสมัยนี้นุ่งน้อยห่มน้อยแบบตัดไม่เสร็จ...เห็นนมเห็นก้น...
...ยั่วกิเลสพระ...จนพระทำผิดศีลธรรม(แค่ศีล5 ก็ไม่ผ่านไม่ต้องถึง 227ข้อ)ก็ต้องถูกศึกมากมาย...
...มนุษย์ชอบความสะดวกสบายเลยคิดว่าต้องทำบุญให้พระสุขสบาย...ก็ถวายสิ่งอำนวยสะดวกกันใหญ่
...โดยหารู้ไม่ว่า...กำลังสร้างกิเลสเข้าไปสุมในจิตใจมนุษย์ในเพศนักบวชเข้าให้แล้ว...เพราะยังไม่สิ้นกิเลส
...ถ้าเป็นพระที่สิ้นกิเลสแล้ว...สิ่งอำนวยความสะดวกก็เป็นไปเพื่อรักษาร่างกายท่านให้ใช้งานได้นานขึ้น
:b12:
...ในโลกมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ไม่จะชาติใด...ภาษาใดก็ตาม...
...ทุกคนอยากเกิดมาสวย รวย เก่ง ฉลาด ไม่มีใครอยากเกิดมาจนและโง่...
...ทุกคนอยากเกิดมาสะดวกสบายมีสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตกันทุกคน...
...โดยพื้นฐานของจิตใจทุกชีวิตมีการกิน การนอน การขับถ่ายและการสืบพันธุ์...
...มนุษย์ส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตตามสัญชาตญาณ...และมีการเอารัดเอาเปรียบกัน...
:b6:
...ศาสนาพุทธสอนว่าตายแล้วไม่สูญ...ตายแล้วเกิดวนเวียนเป็นวัฎจักรใน 31 ภพภูมิ...
...ส่วนจะได้ไปอยู่ที่แห่งใดใน 31 ภพภูมินี้...ขึ้นอยู่กับกรรมคือการกระทำของมนุษย์...
...ทำดีได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ทำให้มีความสุข...ทำไม่ดีได้ไปอยู่ในภพภูมิที่มีความลำบาก...
...คำสอนคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้รู้ได้เห็นมาแล้วคือบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพานมี...
...การจะรู้และเห็นเหมือนพระองค์ได้...ต้องลงมือกระทำในสิ่งที่ท่านพระองค์บอกให้ทำ...
:b20:
...พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนมนุษย์ทุกคนให้ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส...
...โลกมนุษย์เป็นเพียง 1 ภพภูมิในหลักการเวียนว่ายตายเกิดของสิ่งมีชีวิตทั้ง 31 ภพภูมิ...
...โลกมนุษย์ในยุคศาสนาของพระสมณโคดมมีอายุไม่ยาวนัก...แค่ร้อยปีเท่านั้น...
...อายุของศาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์...มีความสั้น-ยาวต่างกัน...
...ตามการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ 4 อสงไขย, 8 อสงไขย,16 อสงไขย...
...พระโคดมก่อนตรัสรู้บพเพ็ญบารมี 4 อสงไขยกับแสนมหากัป...
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=18&t=26751
:b8:
...คือยุคปัจจุบันนี้มีอายุศาสนา 5000ปี มนุษย์ส่วนใหญ่อายุไม่เกินร้อยปีอย่างมาก 1 กัป (120 ปี)
...สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกก็คือสิ่งที่พระองค์ได้รู้เห็นจากการปฏิบัติ...
...พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์อัจฉริยะ...ที่ปฏิบัติตนเองจนได้รู้ที่มาของการเกิดตายวนเวียนเป็นวัฏฏะวน...
...ไตรภพ 3 รวม 31 ภพภูมิ...ที่มองเห็นด้วยตาเปล่า...ตาเนื้อของมนุษย์ทั่วไปมี 2 ภพภูมิ...
...คือมนุษย์กับสัตว์เดรัจฉาน...ที่เหลืออี 29 ภพภูมิต้องปฏิบัติตามคำสอนถึงจะเห็นได้ด้วยตาใจ...
:b23:
:b42: :b42: :b42: :b42: :b42:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 09 ก.พ. 2010, 13:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
ตอบทำไมพระพุทธเจ้าไม่มาเกิดใหม่
...มนุษย์ทุกคนมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เวนแม้แต่พระพุทธเจ้าสมณโคดมก็อายุ 80 ปี...
...การปฏิบัติตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สามารถหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด...
...ผู้ที่ปฏิบัติจนได้บรรลุธรรมมี 4 ขั้น คือพระโสดาบัน พระสกิทาคา พระอนาคามี พระอรหันต์
:b20:
...นับเรียงตัวบุรุษได้ 8 บุคคลคือผู้ที่ปฏิบัติได้ขั้นต่างๆ 8 ขั้น...1.ปฏิบัติตามแนวทางพระโสดาบัน
...2.ปฏิบัติบรรลุพระโสดาบัน 3.ปฏิบัติตามแนวทางพระสกิทาคามี 4.ปฏิบัติบรรลุพระสกิทาคามี...
...5.ปฏิบัติตามแนวทางพระอนาคามี 6.ปฏิบัติบรรลุพระอนาคามี 7.ปฏิบัติตามแนวทางพระอรหันต์
...8.ปฏิบัติบรรลุอรหันต์...การบรรลุธรรมแต่ละขั้นเปรียบเทียบได้กับการยกของในเด็กกับผู้ใหญ่...
...ของชิ้นเดียวกันเด็กยกไม่ขึ้นแต่ผู้ใหญ่ยกขึ้น...พระโสดาบันก็ละกิเลสได้ตามกำลังของตน...
:b20:
...ส่วนพระอรหันต์ก็คือผู้ใหญ่ที่ละกิเลสได้หมดสิ้นคือยกของที่เด็กยกไม่ขึ้นนั้นได้อย่างง่ายดาย...
...กิเลสในจิตใจพระอรหันต์ยังอยู่ครบในร่างกายคือขันธ์ของท่านไม่ได้หายไปไหน...ที่ท่านละได้...
...คือท่านควบคุมไม่ให้กิเลสแสดงตัวออกมาได้ทุกอาการ...กลายเป็นจับกิเลสได้แล้ววางมันลง...
:b8:
...ท่านวางการกระทำที่ออกมาจากจิตที่คิดในทางอกุศล...จึงเกิดการสร้างจิตที่เป็นกุศลตลอดเวลา...
...ตามทันอารมณ์และความคิดได้ตลอดเวลาด้วยความมีสติสัมปชัญญะ...พิจารณาโลกว่างเปล่า...
...ไม่มีตัวตน เรา เขา เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...ดังนั้นจิตใจท่านจึงไม่ทุกข์ไปตามร่างกาย...
...ร่างกายก็เป็นไปตามโลกมนุษย์ทั่วไปมีการยืน เดิน นั่ง นอน ขับถ่าย เป็นปกติ ไม่ยึติดในร่างกาย...
...ท่านพ้นความทุกข์จากจิตใจที่รู้เท่าทันกิเลส...คือจิตใจท่านเป็นอิสระแล้ว...เมื่อสิ้นอายุขัย...
...ในร่างมนุษย์นี้แล้วก็ไม่ก่อสร้างภพชาติ...ไม่ต้องมาเวียนว่ายตามเกิดตามกรรมอีกแล้ว...
...การตรัสรู้ธรรมทำให้เข้าถึงพระนิพพานได้บรรลุนิพพานตั้งแต่ยังมีลมหายใจกลายเป็นพระอรหันต์...
...แดนนิพพาน...ที่หลวงตามหาบัวเรียกคือเมืองพอ...พอทุกอย่าง...ท่านไม่เอาอะไรไปด้วยทั้งนั้น...
...พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมสิ้นอาสาวะกิเลสแล้วเมื่อทำการกิริยาตายลงจึงเรียกว่าปรินิพพาน...
:b20:
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 09 ก.พ. 2010, 16:58, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
ตอบ
ข้อ4. ทำไมในวัดมีงานดนตรีตอนกลางคืน
...ผู้ที่จัดให้มีงานบุญ...ส่วนใหญ่ก็คือกรรมการวัด...ก็มีทั้งผู้ใหญ่บ้านและลูกบ้าน...
...พื้นฐานการกระทำของคนก็ทำอะไรที่ตอบสนองความต้องการที่มีกิเลสในจิตใจ
...จริงๆแล้วการจัดงานรื่นเริงน่ะ...มันเป็นการรบกวนความสงบของวัดในยามวิกาล...
...ก็สังคมมนุษย์เขาชอบแบบนั้น...ลองพระสงฆ์ไปห้ามแล้วจะได้ค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์จากไหนกัน
:b8:
ข้อ5. ทำไมวันพระมีหลายวัน
...มีไว้เพื่อให้มนุษย์ที่ทำมาหากินได้เสียสละเวลามาปฏิบัติจิตใจตนเอง...
...คือได้เข้าวัดทำบุญ ทาน รักษาศีล...
:b16:
7. ทำไมผู้ชายต้องบวชพระ
...ทุกคนบวชได้หมด...ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ หญิง ชาย เรียกว่าการบวชใจคือการทำจิตใจตนเอง...
...เพราะการปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติจิตใจตนเองให้พ้นจากความทุกข์ที่ตนเองสร้างขึ้นและคาดหวังไว้...
...จากความไม่รู้(อวิชชา) ความหลง(เข้าใจผิดว่ายึดติดว่าร่างกายนี้เป็นตัวตนของเราของเขา)...
...ปัจจุบันมีเพศนักบวชที่เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าให้ผู้คนเคารพบูชาคือพระภิกษุเท่านั้นตามประเพณี...
...ผู้ที่จะบวชต้องเป็นชายเพราะปัจจุบันไม่มีภิกษุณีเหมือนครั้งพุทธกาล...ภิกษุจึงบวชหญิงไม่ได้
...หญิงและชายไม่แตะต้องกัน...การที่ชายออกบวชก่อนแต่งงานจึงเป็นประเพณีสืบทอดกันมา...
...เพื่อทดแทนคุณพ่อแม่...พ่อแม่ก็หวังว่าจะได้เห็นชายผ้าเหลืองที่ลูกตนเองได้ออกบวช...
...เพราะพอออกเรือนไปแล้วภาระมากจะให้มาบวชคงยาก...จริงๆคนยุคปัจจุบันเข้าใจผิดนิดหน่อย...
:b3:
...จริงๆการที่ลูกชายได้ออกบวช...นี่แหละคืออุบายที่เป็นแนวทางให้คนรู้จักเข้าวัดทำบุญ...
...เพราะบางคนลูกไม่บวชก็ไม่เข้าวัดทำบุญ...ให้พากันเข้าใจใหม่ซะ...ให้พาสังขารตัวเอง...
...เข้าวัดทำบุญตั้งแต่ตอนยังมีลมหายใจกันเถอะนะ...อย่ารอให้หมดลมแล้วเขาหามไปส่งวัด...
...แล้วก็มีคนมาเคาะโลงบอกว่ารับศีลนะพ่อนะแม่นะ...ไม่รู้ไปเกิดที่ไหนแล้ว...ลุกมาทำก็ไม่ได้...
...ร่างก็เอาไปเผาไฟไม่รู้ร้อนหนาวเจ็บปวด...ให้เอาไปนอนกอดมีใครเอาไหมล่ะจ๊ะ...คิดดูที...
:b6:
ข้อ11. ทำไมต้องเอาเหรียญใส่ปากศพ
...เขาเอาไว้เป็นคติสอนพวกที่โลภมากทั้งหลายว่าตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้...อย่าโลภมาก...
:b11:
ข้อ8.ทำไมพระพุทธเจ้าต้องปรินิพพาน (บอกว่าปรินิพพานแปลว่าตาย)
...พระพุทธเจ้ามีร่างกายเหมือนมนุษย์ทั่วไป...พอหมดสภาพใช้งานไม่ได้วิญญาณออกจากร่างแล้ว...
...ก็เอาไปทำเป็นอาหารเหมือนเนื้อหมูไก่ไม่ได้มีแต่ต้องเอาไปเผาไฟ...หรือว่าจะกินเนื้อมนุษย์ล่ะ...
:b8:
:b44: :b44: :b44: :b44: :b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 09 ก.พ. 2010, 17:06, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
9. ศาสนาใดแทนศาสนาพุทธเมื่อศาสนาพุทธเสื่อมลง
...ไม่มีศาสนาใดทดแทนกันได้...เมื่อไม่มีผู้ปฏิบัติสืบทอดต่อๆกัน...ศาสนาก็เสื่อมไปจากจิตใจคน...
...คนน่ะมี...ไม่ปฏิบัติศาสนาก็เสื่อมไปจากจิตใจเท่านั้น...สัจธรรมของคำสอนมีครบไม่สูญไปไหน...
...ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามคำสอนอยู่...ตราบนั้นพระอรหันต์ก็ไม่สูญไปจากโลก...
:b20:
13. ทำไมพระไม่ฉันภัตราหารเย็น
...เพราะทำให้ไม่สะดวกต่อการปฏิบัติธรรมของผู้ทรงศีล...กินน้อยนอนน้อยเพียรฆ่ากิเลส...
...กินมาก...ง่วงมาก...อิ่มมาก...อ้วนเหมือนหมู...หลับไม่รู้เรื่อง...หนังท้องตึงหนังตาหย่อน...
:b9: :b32: :b13:
14. ทำไมเราต้องไปทำบุญที่วัด(ทำบุญคือทำแล้วสุขใจทำที่ไหนก็ได้แต่วัดมีพร้อมให้เราทุกอย่าง)
...วัดเป็นสถานที่สะดวกต่อการปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา และมีผู้รับที่ส่งถึงผู้มีพระคุณที่ตายไปแล้ว...
...ไม่ไปท่านก็เดินมารับบิณฑบาตที่หน้าบ้าน...ก็รู้จักตื่นแต่เช้าตรู่หุงหาอาหารมาใส่บาตรซิจ๊ะ...
...ถ้าคนที่เข้าใจการปฏิบัติธรรมอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้เพราะเป็นการวัดจิตใจว่าทำดีพร้อมแล้วหรือยัง...
...เตรียมเสบียงไว้เดินทางท่องเที่ยวในวัฏสงสารหรือยัง...คนที่ไปวัดแต่จิตใจไม่เข้าถึงสัจธรรม...
...คือตระเวนไปปฏิบัติธรรมที่วัดมาเป็นร้อยๆครั้ง...แต่ทำใจให้ละทุกข์ในตนไม่ได้ยังเที่ยวด่าลูกหลาน...
...เรียกว่ายังแก้ทุกข์ให้ตนเองไม่ได้...แถมยังไปเพิ่มทุกข์ให้ลูกหลานอีก...ท่านว่าทำแบบนี้ไม่ได้บุญ...
:b4:
:b53: :b53: :b53: :b53: :b53:


โพสต์ เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 16:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b16:
16. ทำไมเข้าพรรษา พระต้องตีหลองตอนเย็น
...ปกติที่วัดท่านก็มีการตีกลองทุกเช้า-เย็นให้พระ-เณรเตรียมตัวนะ...ทำวัตรเช้า-เย็น
...ทำความเพียรก่อนออกบิณฑบาต...ก่อนฉัน...เรียกประชุมสงฆ์-หมู่คณะที่มาปฏิบัติธรรม เป็นต้น...
:b8:
17. ทำไมต้องทำวัตรเช้า – เย็น
...เป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณเคารพบูชาพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า...
...และระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง...เป็นการสร้างที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ...
...ได้บุญด้วย...แผ่อุทิศบุญให้ญาติได้...ประหยัดไม่เสียตังค์...ทะไมไม่ชอบทำกันล่ะ...
:b1:
18. ทำไมวัดต้องมีศาลา
...มนุษย์น่ะตายง่าย อ่อนแอกว่าสัตว์ต่างๆที่เขาอาศัยอยู่ในป่า มนุษย์ต้องมีเสื้อผ้าใส่...
...เพื่อป้องกันร่างกายให้มีชีวิตอยูรอดได้ยืนยาวขึ้น...การทนร้อน ทนหนาวมากๆไม่ได้...
...จึงจำเป็นต้องสร้างศาลาไว้เป็นสถานที่สำหรับให้มนุษย์ได้อาศัยหลบแดด ฝน หนาว...
...สัตว์ป่าเขาอยู่ในป่า...เขาอยู่ได้...เจ็บป่วยไม่ต้องไปหาหมอก็หายเองได้..ไม่ก็ตายไปเลย...
:b14:
19. โลกนี้มีผีไหม
...สิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า...เราจะไปคิดว่าไม่มีก็ไม่ได้...เหมือนเชื้อโรคยังใช้กล้องส่องได้...
...ด้วยกล้องจุลทรรศน์...คลื่นวิทยุ...ถ้ามีวิทยุก็ยังฟังเพลงได้ตั้งหลายช่อง...ทีวีมีหลายช่อง...
...ถ้าไม่มีเครื่องรับคือโทรทัศน์...เราก็ไม่ได้ดูเท่ากับมองไม่เห็น...เหมือนกับผีเราไม่มีคลื่นรับว่าไม่มีไม่ได้...
...พระพุทธเจ้าท่านมีคลื่นรับตั้ง 31 ช่อง...ตามนุษย์เรารับได้ 2 ช่องจึงเห็นแค่มนุษย์กับสัตว์เดรัจฉาน...
...เปรตมีตั้ง 13 ชนิด...สัตว์นรกอีกมากมายก่ายกอง...อย่าคิดว่านรกจะเต็มไม่มีที่ว่างให้เข้าไปอยู่...
...เพราะนรกกว่า450แดนมีไว้ขังสัตว์นรกประเภทต่างๆไม่อัดไม่อั้น...ขยายได้อัตโนมัติตามกรรมที่คนทำชั่วไว้...
:b5:
20. ทำบุญแล้วได้บุญจริงหรือเปล่า
...จริง ทำกับอะไรก็ได้ทั้งนั้นเช่นทำกับหมา แมว หมู คน พระ เป็นต้น...
...ท้าวสักกเทวราช...สมัยเป็นมาณพสร้างทาง...ถางป่าให้ร่มรื่น...สร้างศาลา...
...ไว้ให้คนพักยังได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เลย...บุญคือความดีจะมากหรือน้อย...
...จะหาโอกาสตอบสนองคือทดแทนให้ผู้กระทำเสมอ...ไม่ว่าจะบุญหรือบาปตามให้ผลแน่นอน...
:b6:
21. ทำไมทำบุญต้องมีอาหารคาว – หวาน
...เขาเรียกว่าเป็นอามิสบูชาให้สิ่งของ...เป็นการให้ทานได้บุญน้อยกว่าการรักษาศีล...
...การให้ทานและการรักษาศีลยังได้บุญน้อยกว่าการเจริญสติภาวนา...
...นั่งสมาธิไม่เสียตังค์...แต่มนุษย์ไม่ค่อยชอบทำเพราะมันทำยากกว่าอย่างอื่น...
:b12:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 11 ก.พ. 2010, 09:45, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...มีข้อเตือนสติมนุษย์อีกข้อนึง...
...ทำไมเขาถึงเอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ...
...ให้เวลาคิด...ติ๊กตอกๆๆๆๆๆ...หมดเวลา...
...เป็นอุทาหรณ์สอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า...
:b6:
...คนที่จิตใจไม่ใสสะอาดเหมือนน้ำมะพร้าว...
...ล้างด้วยน้ำที่ใสยังไงก็ล้างแค่ภายนอก...
...ถ้าไม่ทำจิตใจให้ใสเปรียบกับน้ำมะพร้าวที่ใสนี้...
...ตายแล้วไม่พ้นต้องกลับมาเกิดใหม่...
:b16:
:b35: :b35: :b35: :b35: :b35:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 09 ก.พ. 2010, 16:39, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...ตาลปัตรในงานสวดอภิธรรมศพท่านจะใช้คำเหล่านี้...
...มีความหมายทำนองนี้...
:b12:
...ไปไม่กลับ คือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ผู้บริสุทธิ์สิ้นกิเลสอาสาวะ ตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีก...
:b8:
...หลับไม่ตื่น คือมนุษย์ที่หลับไหลไม่ยอมตื่น ไม่แสวงหาทางดับทุกข์และความหลงผิดในจิตใจ...
...เกิดกี่ครั้งแม้ได้ความเป็นมนุษย์ จะเกิดกี่ชาติก็ย่อมเป็นผู้หลับไหลไปตลอดกาล...
:b6:
...ฟื้นไม่มี คือ มนุษย์ที่เกิดมาแล้วควรสร้างคุณงามความดีประดับจิตใจ...ตายแล้วร่างกายนี้...
...จะติดตามไปตอนตายแล้วไม่ได้...จะให้ฟื้นขึ้นมาทำความดีนั้นเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป...
:b27:
...หนีไม่พ้น คือ มนุษย์ผู้ไม่เห็นภัยในวัฏสงสาร...ไม่ดิ้นรนเอาตัวรอดภัยจากการเกิด...
...ตายแล้วหนีไม่พ้นต้องกลับมาเวียนว่ายเกิดอีก...
:b13:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสต์ เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 23:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:
เจ้าวังทอง

พูดจาถึงพระถึงเจ้า สำรวมกิริยามารยาท หน่อย
พูดจาหยาบคายไม่สมกับเป็นปวงชนผู้เจริญแล้ว ช่างน่าขายหน้าสิ้นดี
คำพูดจาที่ลงมาช่างน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด โปรดนำไปปรับปรุงตัวเองด้วย

ระวังบาปจะกินหัว

ผมก็เป็นพระนะคับ ถ้าใครได้ยินพวกผี อสูรกาย เทวดา มันด่าพวกบรรพชิต มันด่าหยาบๆคายๆออกมาหมด แบบแม่ค้าด่ากันในตลาดนั้นเลย อันนี้สำหรับพวกบรรพชิตที่ชอบผิดพระวินัยเป็นอาจิณ
แต่ถ้าบรรพชิต ที่สำรวมดีรักษาศีลพระวินัยได้ยิ่งยวดแล้ว พวกผี อสรูกาย เทวดา จะกล่าวคำว่า พระองค์นี้น่าเลื่อมใส สาธุ สาธุ ขอบคุณคัที่เป็นห่วงผมกลัวผมจะได้บาป ไม่ต้องห่วงหรอกคับ ผมปิดอบายภูมิเรียบร้อยแล้วคับ


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าวังทอง เขียน:
kanalove เขียน:
เจ้าวังทอง

พูดจาถึงพระถึงเจ้า สำรวมกิริยามารยาท หน่อย
พูดจาหยาบคายไม่สมกับเป็นปวงชนผู้เจริญแล้ว ช่างน่าขายหน้าสิ้นดี
คำพูดจาที่ลงมาช่างน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด โปรดนำไปปรับปรุงตัวเองด้วย

ระวังบาปจะกินหัว

ผมก็เป็นพระนะคับ ถ้าใครได้ยินพวกผี อสูรกาย เทวดา มันด่าพวกบรรพชิต มันด่าหยาบๆคายๆออกมาหมด แบบแม่ค้าด่ากันในตลาดนั้นเลย อันนี้สำหรับพวกบรรพชิตที่ชอบผิดพระวินัยเป็นอาจิณ
แต่ถ้าบรรพชิต ที่สำรวมดีรักษาศีลพระวินัยได้ยิ่งยวดแล้ว พวกผี อสรูกาย เทวดา จะกล่าวคำว่า พระองค์นี้น่าเลื่อมใส สาธุ สาธุ ขอบคุณคัที่เป็นห่วงผมกลัวผมจะได้บาป ไม่ต้องห่วงหรอกคับ ผมปิดอบายภูมิเรียบร้อยแล้วคับ

อะไรที่ทำให้ท่านคิดว่าปิดอบายภูมิได้

แล้วที่ว่าเป็นพระเนี่ย เรื่องจริงหรือเปล่า


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
วัฏสงสาร ๓๑ ภพภูมิ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=27452
:b12:
...พระสงฆ์ถือศีล 227 ข้อ สามเณรถือศีล 10 ข้อ ต่างกันอย่างมาก...
...ในครั้งพุทธกาล...ยุคที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่...ไม่ได้มีศีลกำกับ...
...พอเริ่มมีผู้คนเข้ามาบวชมากขึ้น...มีการทำผิดต่างๆ...จึงกำหนดข้อห้ามมิให้กระทำ...
...และเพื่อเป็นการป้องกันการออกมาบวชเพื่อหวังลาภสักการะต่างๆ...จึงมีศีลข้อห้ามขึ้นมาดังกล่าว...
:b16:
...มีคนทั่วไปถือศีล5ข้อ(พิจารณาเอาเองว่าตัวเองทำครบหรือไม่), ชีผ้าขาว(พราหมณ์)แม่ชีศีล8ข้อ,...
...สามเณรถือศีล10ข้อ,ภิกษุถือศีล227ข้อ,ภิกษุณีถือศีล311ข้อ...ผู้บวชภิกษุณีจึงน้อยลงจนหมดไป...
...และเนื่องจากไม่มีพระอุปัชฌาย์ที่เป็นภิกษุณี...ในปัจจุบันจึงไม่มีการบวชพระภิกษุณีให้เห็นไงล่ะ...
...ไม่ว่าจะถือศีลกี่มากข้อก็ตาม...พื้นฐานก็คือต้องมีศีล5ครบสมบูรณ์...ทานศีลภาวนาจึงจะมีผลมาก...
:b8:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 11 ก.พ. 2010, 10:09, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b8:
ข้อ52.ทำไมต้องสวดมนต์
...การสวดมนต์ไหว้พระเป็นวิธีการชำระล้างจิตใจให้สะอาด...ร่างกายสกปรกก็ยังต้องอาบน้ำทุกวัน...
...เป็นการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง...ต้องสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน...ต้องฝึกจนเป็นนิสัย...
...หลังสวดมนต์และหลังทำบุญที่วัดต้องมีการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ญาติของเราอนุโมทนา...
...การแผ่เมตตาบางครั้งกำลังของจิตเราที่ส่งมันไม่ถึงผู้รับ...
...การกรวดน้ำเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้...ให้มีพยานยืนยันการส่งบุญ...
...บางคนเขาวางปั้นข้าวเหนียวไว้ด้วย...เป็นการฝากส่งบุญ...
...พระแม่โพสพ...พระแม่คงคา...พระแม่ธรณี...ส่งข่าวถึงผู้รับ...
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=27809
:b12:
...หลังสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนควรนั่งสมาธิถ้าหัดใหม่ทำอย่างน้อยวันละ 5 นาทีฝึกให้เป็นนิสัย...
...การทำบุญ...ให้ทาน...รักษาศีล...ทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ด้วยกายวาจาใจ ทั้งก่อน-ขณะ-หลังทำ...
...การทำจิตใจให้ผ่องใสคือการซักฟอกจิตใจที่มืดมิดปิดตาด้วยอวิชชาที่กิเลสห่อหุ้มจิตเอาไว้...
...ทำได้หลายวิธี เช่น การทำสมาธิภาวนา การเดินจงกรม การฟังธรรม เป็นต้น...การนั่งสมาธิ...
...ที่เรียกว่าปฏิบัติกรรมฐาน...ฐานที่ตั้งแห่งงานทางธรรมก็คือกายและจิตเรา...ทำให้สงบระงับ...
...ก็คือการปฏิบัติธรรมในทางพุทธศาสนาทำได้ 2วิธีคือ1.สมถกรรมฐานและ2.วิปัสสนากรรมฐาน...
:b6:
...เพื่อให้จิตมั่นคง...มีกำลังเพื่อต่อสู้กับกิเลส...จิตที่ฟุ้งซ่านไม่สงบระงับจะทำให้ไม่เห็นตามจริง...
...เมื่อจิตสงบตั้งมั่น...ไม่ให้ลดละทำความเพียรฆ่ากิเลสด้วยการวิปัสสนากรรมฐาน...พอสติรู้ตัว...
...สัมปชัญญะระลึกรู้จิตที่ปกปิดด้วยอวิชชา...(ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อันไหนสะอาด สวยงาม)...
...สัมปชัญญะจะทำให้เกิดปัญญา...อันนี้ต้องหมั่นพิจารณาบ่อยๆให้จิตไม่ยินดีในร่างกายตนเอง...
...จิตต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าของ...จิตรู้เนื้อรู้ตัวเกิดศรัทธามั่นคงเมื่อไหร่...จิตย่อมผ่องใส...
:b8:
...เทศน์ขององค์หลวงตามหาบัว...ท่านให้ข้อคิดว่าธรรมเป็นน้ำสะอาดชะล้างจิต...
...ธรรมของพระพุทธเจ้ามีไว้ฆ่ากิเลสและท่านเอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาสอน...
...ท่านยังย้ำอีกว่าอานิสงส์ของการฟังพระธรรมเทศนา มี 5 อย่าง...
1. ได้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยได้ยิน
2. สิ่งที่ได้ยินมาแล้วเข้าใจชัดเจนขึ้น
3. ทำให้หายสงสัย
4. ย่อมทำความเห็นให้ตรง
5. จิตผู้ฟังย่อมผ่องใส
...ฉะนั้น...ควรฝึกหัดฟังพระธรรมเทศนาให้บ่อยๆ...จะได้มีความรู้และได้ธรรมเข้าสู่จิตใจ...วันหยุด...
...ควรไปทำบุญที่วัดเพราะทำให้เรามีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระสงฆ์ที่วัดที่เราไปอีกด้วย...
:b16:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 11 ก.พ. 2010, 10:57, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร