วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 09:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ส.ค. 2009, 13:02
โพสต์: 6

ชื่อเล่น: เด็กดื้อ ตาใส^^
อายุ: 23

 ข้อมูลส่วนตัว


คือดิชั้นมีความสงสัยอยู่ข้อหนึ่งอะคะ คิดยังไงก็คิดไม่ออก คือพระพุทธศาสนาพยายามสอนให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่น ในความเป็นตัวตน ทำให้คิดไปว่าการที่มนุษย์เราพยายามตั้งทฤษฎีต่างๆขึ้นมาทางวิทยาศาสตร์ก็ตามหรือทางปรัชญาก็ตามมันเป็นการพยายามยัดเยียดตัวตนต่างๆให้สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่หรอ อย่างเช่นเค้าบอกว่าสสารทุกอย่างประกอบไปด้วยอะตอม ในที่นี้ความเป็นตัวตนที่ถูกยัดเหยียดก็คืออะตอม แต่คราวนี้ตัวตนอันนี้กลับมีประโยชน์มากมายเหลือหลายต่อมนุษย์โลก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เลยทำให้คิดไปว่าการเปลี่ยนแปลงบางครั้งมันก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ไปในทางที่ดีแต่ก็เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาสอนว่าต่อให้ดียังไงสักวันมันก็ต้องเสื่อม เลยทำให้คิดว่าแล้วถ้าโลกนี้มีแต่พระอรหันต์ละ มีแต่ผู้ที่หลุดพ้นละ มันจะเป็นอย่างไร แบบไหน แล้วโลกนี้มันจะเกิดการพัฒนาหรือ แล้วมันจะดีจริงหรือ นี่คือข้อสงสัยของดิชั้นคะ ที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ เมื่อไม่สามารถตอบตัวเองได้จึงไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นฟังถึงหลักพระพุทธศาสนาที่แท้จริงได้อย่างเต็มปาก รบกวนผู้รู้ด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าคะ tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะถือว่าโลกเที่ยง โลกเป็นที่สุด จึงยึดติดในโลก

โลกไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบแล้วนำมาบอกพวกเรา ไม่ได้บัญญัติขึ้นมา โลกมีอายุที่ต้องแตก ดวงอาทิตย์มีอายุที่ต้องดับ จักรวาลยังมีอายุที่จะกลายเป็นฝุ่นผง ไม่สามารถดำรงค์อยู่ได้นาน

กามนั้นมีคุณน้อยมีโทษมาก เป็นเหตุของทุกข์ทั้งมวล เป็นเหตุของการเวียนว่ายตายกิด โลภะ โทสะ โมหะ ก็ไม่ใช่เรา เป็นเครื่องมือพัฒนาการของมารที่ประสงค์ให้เราอยู่ในโลก อยู่ในอณาจักรของมาร รูปที่สวย เสียงที่ไพเราะ รสที่น่าพึงพอใจ กายสัมผัสที่นุ่มนวล กลิ่นอันน่าภิรมณ์ การคิดถึงเรื่องสวยงาม ก็ยังคงเป็นเป็นเครื่องมือพัฒนาการของมาร

มีตอนหนึงมารพูดกับพระพุทธองค์ว่า
ข้าแต่พระสมณะ จักษุเป็นของเราแท้ รูปก็เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแก่จักษุสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ โสตเป็นของเรา เสียงเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ โสตสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ จมูกเป็นของเรา กลิ่นเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ฆานสัมผัส ก็เป็นของเรา ท่านจะ หนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ลิ้นเป็นของเรา รสเป็นของเรา อายตนะคือ วิญญาณอันเกิดแต่ชิวหาสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ กายเป็นของเรา โผฏฐัพพะเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่กาย สัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ใจเป็นของเรา ธรรมารมณ์เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่มโนสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ฯ

นิพพานเป็นภาวะ ไม่ใช่การดับหายไป เป็นการกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ไม่ตาย ไม่ทุกข์ เป็นภาวะที่พ้นจากโลกของมาร

คนเราเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ได้ พระพุทธองค์ตรัสว่า คนเราเกิดมาเป็นคนนั้น ไม่เคยเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน ไม่เคยเป็นญาติพี่น้องกัน นั้นไม่มี เพื่อแสดงให้เห็นว่าวงจรเวียนว่ายตายเกิด ที่เรียกว่า สงสารวัฏรนั้นยาวนานเพียงใด

ผู้ที่เชื่อว่าตายแล้วสูญ โลกนี้เที่ยง ฯ เรียกว่ามีความคิดเห็นที่ผิดจากความเป็นจริง ถ้าไปยึดมั่นถือมั่น ก็คือ ทิฏฐิวิบัติ ไม่สามารถจะเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้

เมื่อพอใจจะอยู่ในโลก ก็เรียกว่า เลือกเดินสาย โลกียะ
เมื่อพอใจจะก้าวพ้นโลก ก็เรียกว่า เลือกสาย โลกุตตร

ความต้องการสูงสุดของคนเราในจิตเบื้องลึกก็คือการพ้นทุกข์ คือนิพพาน ผู้ที่ยังถูกมารครอบงำความคิดอยู่ ก็ยังพอใจกับโลกอยู่ เพราะยังไม่รู้สิ้นในทุกข์ ไม่รู้สิ้นในเหตุของทุกข์ ไม่รู้สิ้นในการดับทุกข์ เพราะม่ได้สดับรับฟังธรรมจากสัตตบุรุษ จึงยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปนับชาติไม่ถ้วน

ขอให้เจริญในธรรม :b8:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 07 ก.ย. 2009, 11:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


another side เขียน:
คือดิชั้นมีความสงสัยอยู่ข้อหนึ่งอะคะ คิดยังไงก็คิดไม่ออก คือพระพุทธศาสนาพยายามสอนให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่น ในความเป็นตัวตน

พระพุทธองค์ ทรงสอน ให้รู้ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และทางให้เข้าถึงความดับทุกข์



อ้างคำพูด:
ทำให้คิดไปว่าการที่มนุษย์เราพยายามตั้งทฤษฎีต่างๆขึ้นมาทางวิทยาศาสตร์ก็ตามหรือทางปรัชญาก็ตามมันเป็นการพยายามยัดเยียดตัวตนต่างๆให้สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่หรอ อย่างเช่นเค้าบอกว่าสสารทุกอย่างประกอบไปด้วยอะตอม ในที่นี้ความเป็นตัวตนที่ถูกยัดเหยียดก็คืออะตอม แต่คราวนี้ตัวตนอันนี้กลับมีประโยชน์มากมายเหลือหลายต่อมนุษย์โลก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เลยทำให้คิดไปว่าการเปลี่ยนแปลงบางครั้งมันก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ไปในทางที่ดีแต่ก็เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาสอนว่าต่อให้ดียังไงสักวันมันก็ต้องเสื่อม เลยทำให้คิดว่าแล้วถ้าโลกนี้มีแต่พระอรหันต์ละ มีแต่ผู้ที่หลุดพ้นละ มันจะเป็นอย่างไร แบบไหน แล้วโลกนี้มันจะเกิดการพัฒนาหรือ แล้วมันจะดีจริงหรือ


ความรู้ทางโลกียะ ก็มี
ความรู้ทางโลกุตตระ ก็มี
ความรู้ที่จำเป็นต่อ ความดับทุกข์ และทางให้เข้าถึงความดับทุกข์ จึงเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ เป็นพรหมจรรย์ ความรู้อื่นใด ไม่มีประโยชน์ต่อการตรัสรู้เลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:12
โพสต์: 37

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีตน = มีโลก = มีทุกข์
รู้ตน = รู้โลก = รู้ทุกข์
วางตน = วางโลก = วางทุกข์
ไม่มีตน = ไม่ติดโลก = พ้นทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คือพระพุทธศาสนาพยายามสอนให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่น ในความเป็นตัวตน


ท่านสอนให้"เรา"คลายความติดยึดใน"เรา" และของ "เรา" ..ไม่ใช่ไปเพ่งเล็ง"สิ่งภายนอก"ครับ เพราะความยึดมั่นเป็นอุปาทานที่เกิดในใจเรา ไม่ได้เกิดเพราะทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หรือทางปรัชญาไปยัดเยียดอะไรๆที่ไหน..

เพราะเราและของเรานั่นเองจึงมีตัณหามานะทิฏฐิตามมา..จึงได้เกิดปัญหาทะเลาะวิวาทกันในบรรดาสรรพสัตว์ ..แม้ในทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หรือทางปรัชญาที่ว่าถูกแท้แน่นอนแล้ว พอเวลาผ่านไป ก็มีทฤษฎีใหม่ๆออกมาลบล้างยังหาข้อสิ้นสุดนิรันดร์กาลไม่ได้ มีแต่การถกเถียงกันไม่หยุดด้วยอำนาจตัณหามานะทิฏฐิ ที่มีรากเหง้ามาจากความยึดมั่นหรืออุปาทานนั่นเอง..จริงใหม?

เมื่อหมดความยึดมั่นจาก"เรา"ได้ ตัณหามานะทิฏฐิก็ไม่มีที่อาศัย จึงได้ฐานะแห่งความเป็นพระอรหันต์ ความเดือดร้อนประดามีด้วยอำนาจตัณหามานะทิฏฐิ จะมีมาแต่ใหน? พระอรหันต์ไม่ทุ่มเถียงทะเลาะวิวาทกับใคร ไม่อวดเบ่งว่าเก่งกว่าใครไม่ทำในสิ่งอันไร้สาระทั้งหลาย มีแต่เกื้อกูลสรรพสัตว์ด้วยจิตปราศจากอคติใดๆ แม้เพียงการได้เห็น ก็นับว่าเป็นบุญตาชั้นเลิศแล้วมิพักต้องกล่่าวถึงการได้ฟังธรรมจากท่านหรือทำทานกับท่านอันจะยังอานิสงค์นับประมาณมิได้มาสู่ตน

อ้างคำพูด:
เลยทำให้คิดไปว่าการเปลี่ยนแปลงบางครั้งมันก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ไปในทางที่ ดี


ครับ"บางครั้ง"ดี แปลว่าบ่อยครั้งที่ไม่ดี ถามว่าที่ว่าดีนั้นดีจริงหรือไม่? ดูเถิด คนได้พัฒนาเครื่องอำนวยความสะดวกสารพัด บัดนี้เราสบายกันดีโดยถ้วนหน้าใหมครับ? เรากำลังผจญอะไรบ้างจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ การผลาญทรัพยากรจนต้องเกิดสงครามแย่งชิงกันไม่หยุดหย่อน นี่คือผลดีหรือร้ายกันเล่า..? :b5: :b10: เราได้ยินว่ามีการค้นพบวิธีรักษาโรคใหม่ๆทันสมัยมากๆ แต่จนบัดนี้เราเคยได้ยินใหมว่าคนที่ได้รับการรักษามีอายุยืนเกิน๑๐๐ปี..? การณ์กลับปรากฏว่าได้พบคนอายุยืนในถิ่นที่ห่างไกลจากความเจริญเป็นส่วนใหญ่ :b14: ฯลฯ


อ้างคำพูด:
แต่ก็เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาสอนว่าต่อให้ดียังไงสักวันมันก็ต้องเสื่อม เลยทำให้คิดว่าแล้วถ้าโลกนี้มีแต่พระอรหันต์ละ มีแต่ผู้ที่หลุดพ้นละ มันจะเป็นอย่างไร แบบไหน แล้วโลกนี้มันจะเกิดการพัฒนาหรือ แล้วมันจะดีจริงหรือ


พุทธศาสนาสอนแต่สิ่งที่เป็นความจริงแท้ๆ
ว่าทุกสิ่งมีความเปลี่ยนแปลงไม่สามารถคงที่ได้ถาวร เพราะสิ่งทั้งปวงอาศัยปัจจัยหลายอย่างมาประชุมกัน หาได้มีสิ่งใดเกิดได้ลอยๆหรือบังเอิญปิ๊งอุบัติขึ้นหรือปรากฏด้วยฤทธิ์เสกเป่าของพระเจ้าเทพพรหมที่ใหนไม่ เพราะทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยงผันแปรอยู่ตลอดเวลา การที่เราเข้าไปยึดถือด้วยความไม่รู้ว่าเขาไม่เที่ยงจึงทำให้ทุกข์โทมนัสอยู่ร่ำไป เอาง่ายๆ เวลาเราเจ็บป่วย ทุกข์ใหม? ทุกข์ทั้งกายด้วยโรคและทุกข์ทั้งใจที่คิดว่าเฮ้ย ตรูทำไมต้องป่วยด้วย ก็เมื่อชั่วโมงที่แล้วมานยังดีอยู่นี่!! เคยคิดได้บ้างใหมว่า เออ นี่ไงของจริง ถูกแล้ว มันดีได้มันก็ป่วยได้ แน่ะพอรับความจริง ทุกข์ทางใจก็หมดไป ก็มีแต่ทุกข์ทางกายให้รักษากันไปเพื่อคลายทุกข์

ส่วนความคิดเลยเถิดไปว่า แล้วถ้าโลกนี้มีแต่พระอรหันต์ละ มีแต่ผู้ที่หลุดพ้นละ มันจะเป็นอย่างไร แบบไหน..นั้น เป็นการงานของความฟุ้งซ่าน เสียเวลาเพราะไม่สามารถเป็นความจริงได้ด้วยประการทั้งปวง นอกจากเสียเวลาแล้วอาจมีโทษแก่สุขภาพจิตได้ ควรรีบระงับความฟุ้งซ่านนี้เสียโดยเร็ว เพราะหากจุติจิตเกิดในขณะฟุ้งนี้ ทุคติย่อมเป็นที่หวังได้ ..แต่เมื่อสงสัยก็พออนุมานคำตอบได้ว่าเมื่อโลกมีแต่พระอรหันต์แล้วนั่นคือสภาวะแห่งการพัฒนาแบบบูรณาการคือเข้าถึงความบริบูรณ์แห่งการพัฒนาที่ไม่มีการพัฒนาใดๆแบบโลกๆที่จะเทียบได้อีก...เปรียบเทียบเหมือนว่า หากเราเรียนจบขั้นด็อกเตอร์แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเรียนอะไรๆเพิ่มขึ้นไปอีกเพราะ ตำแหน่งเหนือด็อกเตอร์ไม่มีอีกแล้ว..


อ้างคำพูด:
นี่คือข้อสงสัยของดิชั้นคะ ที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ เมื่อไม่สามารถตอบตัวเองได้จึงไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นฟังถึงหลักพระพุทธ ศาสนาที่แท้จริงได้อย่างเต็มปาก รบกวนผู้รู้ด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าคะ


นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว การหาคำตอบใดๆในเรื่องนี้ด้วยตนเองย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นได้ เราทั้งหลายต้องอาศัยคำสอนของพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้ามาตอบข้อสงสัยเท่านั้น

เวลานี้คำสอนยังมีอยู่ เราได้ดีแล้วที่ได้เกิดมาเป็นคน อยู่ในประเทศไทย มีพระไตรปิฎก พระสงฆ์สุปฏิปัณโนและกัลยาณมิตรในที่นี้ จึงพึงศึกษาพระธรรมเพื่อเป็นเหตุปัจจัยแก่ปัญญาสามารถตอบคำถามต่างๆที่ตนสงสัยทั้งยังสามารถช่วยแก้ไขทุกข์ของตนเองได้ทั้งในปัจจุบันและภพต่อๆไปครับ

ขออภัยที่เข้ามาตอบในฐานะสมาชิก ไม่ใช่"ผู้รู้"ดังคาดหมายครับ

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ส.ค. 2009, 13:02
โพสต์: 6

ชื่อเล่น: เด็กดื้อ ตาใส^^
อายุ: 23

 ข้อมูลส่วนตัว


ง่า ขอบคุนสำหรับทุกๆคำตอบนะคะ
แต่มันก้อยังไม่เข้าใจอยู่ดี
สงสัยอำนาจของกิเลสมันจะยังเยอะอยู่
แต่ความเหนที่ว่าภาวะที่จะมีแต่ผู้หลุดพ้นนั้นเป็นความฟุ้งซ่านดิชั้นว่าออกจะใจแคบไปหน่อยนะคะ
อะไรคือความเป็นไปได้ และอะไรคือความเป็นไปไม่ได้คะ
คนเรามีสิทธิ์ที่จะคิดและสงสัยนะคะ
เพราะในเมื่อมันยังมีข้อสงสัยอยู่
จะให้ศรัทธาหรือเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์คงเป็นไปไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นมันจะกลายเป็นเชื่อเพราะถูกสอนมาให้เชื่อหรือเปล่าคะ กลายเป็นเชื่อเพราะโมหะหรือเปล่า
ก่อนหน้านี้ดิชั้นมีข้อโต้แย้งมากมายเกี่ยวกับแนวคิดทางพระพุทธศาสนา
แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบจากหนังสือธรรมะทั่วไปเลย
จนมาได้อ่านหนังสือของท่านพระพุทธทาส ท่านสามารถตอบคำถามที่ดิชั้นสงสัยได้โดยปราศจากข้อกังขาใดๆเลยตอบโดยอาศัยหลักของเหตุผลจนทำให้คนที่กิเลสหนาอย่างดิชั้นพอจะเข้าใจถึงพุทธศาสนาที่แท้จริงขึ้นมาบ้าง มันจึงนำมาซึ่งความศรัทธาในหลักธรรมคำสอน
แต่ก็นะคะ ที่ดิชั้นยังไม่รู้อาจเพราะการศึกษาน้อยไปจริงๆนั่นละคะ
ดิชั้นคิดว่ามันเป็นทางลัดที่จะถามผู้รู้
โดยไม่พยายามหาคำตอบด้วยตัวเอง
ไม่เป็นไรคะ ดิชั้นจะศึกษาให้มากขึ้น
ขอบคุณสำหรับทุกๆความคิดเห็นนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 17:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แต่ความเหนที่ว่าภาวะที่จะมีแต่ผู้หลุดพ้นนั้นเป็นความฟุ้งซ่านดิชั้นว่าออกจะใจแคบไปหน่อยนะคะ


กราบขออภัยครับ ที่ทำให้รู้สึกไม่ชอบใจ :b8: ที่ตอบมาเช่นนั้น ด้วยอาศัยสภาวะทางจิตเป็นตัวกำหนดเท่านั้น ทั้งต้องการชี้โทษจากการสงสัยในลักษณะที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาปัญญา (ทางธรรม)เพื่อประโยชน์แก่ธารณชนโดยรวมนะครับ

โปรดอภัยอย่าได้ เคืองโกรธกันนะครับ :b12: :b8: :b48: :b41:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 07 ก.ย. 2009, 17:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 18:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าได้อ่านพุทธประวัติ คือประวัติของพระพุทธเจ้า

ก็จะเข้าใจมากขึ้นว่า ในโลกนี้ คนจะบรรลุพระอรหันต์ได้ทั้งหมดหรือไม่

และเพราะอะไร เป็นตัวกำหนด การบรรลุและไม่บรรลุธรรม หรือทำไมว่า บรรลุธรรมได้ตามกำลังของตัวเองเท่านั้น

ลองหาอ่านดูครับ เพราะว่ามีคำตอบอยู่ครบแล้วครับในพุทธประวัติ

cool

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธองค์เผยแพร่ธรรมะหลักๆเป็นสองสาย คือ ทางสายกลางนำมาซึ่งความหลุดพ้น และ ทางโลกที่สอนให้ทำตนเป็นคนดีมีคุณภาพค่ะ แต่ธรรมะเป็นหนึ่งเดียวนะคะ

พุทธศาสนา สอนให้ไม่ยึดติดกิเลสค่ะ และเมื่อเราเข้าใจว่า "ไม่ยึดติดกับกิเลส" คืออะไร เราจะรู้ว่า ตัวเรานั้น ไม่มีตัวตน กิเลสนั่นแหละค่ะที่เป็นต้นเหตุแห่งสมมติทั้งหลาย

ไม่มีใครหรืออะไรยัดเยียดให้เราได้ค่ะ เราเท่านั้นยัดเยียดให้ตัวเอง แต่ เราเป็นมนุษย์ ย่อมมีกิเลส และวิทยาการต่างๆ สนองกิเลสให้เรา สิ่งที่ควรทำคือ คัดสรรสิ่งดีๆยัดเยียดตัวเอง โดยใช้หลักธรรมเป็นบรรทัดฐานค่ะ สรุปทางโลก-เทคโนโลยีมีคุณและโทษ เราๆต้องตรองด้วยสติ สมอง แต่ทางที่ดีที่สุดคือ ตรองด้วยปัญญาค่ะ พระพุทธองค์สอนมานานแล้ว ศีล สมาธิ แล้วก็ถึงปัญญาค่ะ

สิ่งทุกสิ่ง ในสามโลก มีเกิด ก็มีดับ เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่เคยแน่นอน แต่[การเปลี่ยนแปลง]เป็นสิ่งดี ถ้านำไปใช้ให้ดี อย่างไรก็ตาม ทางธรรม สิ่งที่ประเสริฐสุดๆ คือ ธรรมะ และ นิพพาน

พุทธศาสนาสอนให้ เข้าใจ การเปลี่ยนแปลง และเมื่อเข้าใจ ก็จะอยู่กับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างถูกวิธีค่ะ

โลกนี้มีแต่พระอรหันต์ เป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นสัจธรรม ในเมื่อมีกิเลสครอบงำ แล้วจะเป็นไปได้ยังไง

แต่...ทุกคนเป็นอรหันต์ได้ค่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา จะทำให้รู้ว่า จะเป็นอรหันต์ ต้องทำอย่างไร และจุฬาภินันท์คิดว่า ถ้าคนเป็นอรหันต์ได้ทั้งหมด เมื่อนั้นโลกไม่ต้องการการพัฒนาใดๆอีกแล้ว แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะนี่คือสัจธรรม

ธรรมะลึกซึ้งเหลือเกินค่ะ แต่เมื่อรู้และเข้าใจ ธรรมะจะไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าจะยาก ก็เพราะความลึกซึ้งทำให้อธิบายยาก ธรรมะเหมือนวงกลม สัมพันธ์กันทั้งหมด มีตรรกะทุกแง่ คนจะเข้าใจได้ มีเพียงวิธีเดียวคือ ศีล สมาธิ และปัญญาค่ะ

ศาสนาก็คือศาสนา เป็นนามธรรมที่แท้ ตอบได้เต็มปากค่ะว่าเข้าถึงได้ อธิบายก็ได้ สำคัญอยู่ที่ คนจะเข้าใจหรือเปล่า

ถ้าจะอธิบายก็ได้ประมาณนี้แหละค่ะ จุฬาภินันท์ไม่หวังว่าใครจะเข้าใจ เพราะการเข้าใจได้ ต้องปฏิบัติเท่านั้นค่ะ


แก้ไขล่าสุดโดย คนไร้สาระ เมื่อ 08 ก.ย. 2009, 05:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


แยกเป็น

ทางโลก

กับ

ทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


another side เขียน:
คือดิชั้นมีความสงสัยอยู่ข้อหนึ่งอะคะ คิดยังไงก็คิดไม่ออก คือพระพุทธศาสนาพยายามสอนให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่น ในความเป็นตัวตน ทำให้คิดไปว่าการที่มนุษย์เราพยายามตั้งทฤษฎีต่างๆขึ้นมาทางวิทยาศาสตร์ก็ตามหรือทางปรัชญาก็ตามมันเป็นการพยายามยัดเยียดตัวตนต่างๆให้สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่หรอ อย่างเช่นเค้าบอกว่าสสารทุกอย่างประกอบไปด้วยอะตอม ในที่นี้ความเป็นตัวตนที่ถูกยัดเหยียดก็คืออะตอม แต่คราวนี้ตัวตนอันนี้กลับมีประโยชน์มากมายเหลือหลายต่อมนุษย์โลก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เลยทำให้คิดไปว่าการเปลี่ยนแปลงบางครั้งมันก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ไปในทางที่ดีแต่ก็เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาสอนว่าต่อให้ดียังไงสักวันมันก็ต้องเสื่อม เลยทำให้คิดว่าแล้วถ้าโลกนี้มีแต่พระอรหันต์ละ มีแต่ผู้ที่หลุดพ้นละ มันจะเป็นอย่างไร แบบไหน แล้วโลกนี้มันจะเกิดการพัฒนาหรือ แล้วมันจะดีจริงหรือ นี่คือข้อสงสัยของดิชั้นคะ ที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ เมื่อไม่สามารถตอบตัวเองได้จึงไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นฟังถึงหลักพระพุทธศาสนาที่แท้จริงได้อย่างเต็มปาก รบกวนผู้รู้ด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าคะ tongue


คุณขอรับ คุณเข้าใจผิดแล้วขอรับ สิ่งที่คุณได้เรียนรู้และเกิดความเข้าใจมานั้น ผิดขอรับ ผิดอย่างร้ายแรงขอรับ
พระพุทธศาสนา ไม่ได้พยายามสอนให้บุคคล ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน แต่
"พุทธศาสนา สอนให้มนุษย์ทั้งหลายได้รู้ถึง หลักความจริงในทุกเรื่อง นับตั้งแต่ สรีระร่างกายของเราเป็นต้นไป ทฤษฎีต่างๆไม่ว่าจะเป็นหลักวิชาการใดใดก็ตาม ที่มีอยู่ ล้วนมีรากฐานมาจากพุทธศาสนา
หมายความว่าพุทธศาสนา ได้สอนหลักวิชาการต่างๆไว้อย่างครบถ้วน หากผู้เล่าเรียน หรือผู้ศึกษาในหลักธรรมทางพุทธศาสนา มีความรู้ มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ก็จะพบว่า หลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนา มีหลักวิชาการด้านต่างๆอยู่อย่างครบถ้วน ศัพท์ภาษาทางหลักวิชาการด้านต่างๆ บ้างยังต้องนำเอาหลักภาษาทางพุทธศาสนานำไปใช้ เพราะคำเหล่านั้นมีในพุทธศาสนามาก่อนที่จะมี วิชชาการต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น
"ปฏิสนธิ " คำว่า ปฏิสนธิ มีในพุทธศาสนา ก่อนที่จะมีหลักวิชาวิทยาศาสตร์ และหลักการแพทย์แผนใหม่
ปฏิสนธิ จะเริ่มขึ้น ก็ต่อเมื่อ มีเซลล์ สองเซลล์ (อะตอมหลายชนิด รวมกันเป็นโมเลกุล ,โมเลกุลรวมกันเป็นเซลล์) ผสมกัน หรือรวมกัน แล้วเกิดเป็นเซลล์ตัวใหม่ นี้เรียกว่า ปฏิสนธิ

ในทางพุทธศาสนา ไม่เรียกว่า เซลล์ แต่เรียกว่า จิตวิญญาณ หรือดวงจิต กล่าวนคือ เมื่อ จิตวิญญาณ สองดวง หรือดวงจิตสองดวง ผสมรวมกัน เกิดเป็นดวงจิตใหม่ขึ้นอมา เรียกว่า ปฏิสนธิ อย่างนี้เป็นต้น

ความเข้าใจผิดของคุณ จากการที่ได้รับการเรียนรู้มาผิดๆ จึงทำให้เกิดความเข้าใจที่เบี่ยงเบนจากหลักความเป็นจริง หากโลกทั้งโลก มีแต่พระอรหันต์ (ยังไม่สำเร็จนิพพาน) โลกทั้งโลก ก็ดำเนิน กิจกรรรมไปตามปกตินี้แหละขอรับ เพราะการบรรลุ หรือสำเร็จอรห้นต์ ก็เป็นเพียง บุคคลเหล่านั้น สามรรถขจัดอาสวะแห่งกิเลสให้ออกจากร่างกายได้ การดำเนินขีวิตของบุคคลเหล่านั้น ก็เป็นไปตามปกติ มีอาชีพต่างๆ มีบุคคลากรต่างๆ ฯลฯ ไม่ได้ผิดแปลกแตกต่างๆจากปัจจุบันเท่าไหร่ดอกคุณขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 21:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ส.ค. 2009, 13:02
โพสต์: 6

ชื่อเล่น: เด็กดื้อ ตาใส^^
อายุ: 23

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณอีกครั้งนะคะ สำหรับความพยายามจะอธิบายให้คนที่มีกิเลสหนาอย่างดิชั้น
เข้าใจถึงหลักที่แท้ :b8:
และขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับคำตอบของคุณBuddha
เพราะดิชั้นรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่ตั้งอยู่ในความจริง
และสัมผัสได้มากที่สุดแล้วคะ :b27:
ไม่ได้หมายความว่าคำตอบอื่นไม่ดีนะคะ
เพียงแต่อาจจะลึกซึ้งเกินไปจนดิชั้นยังเข้าไม่ถึงนะคะ :b23:
ส่วนความเข้าใจที่ว่าคุณจะคิดว่าดิชั้นเข้าใจผิดหรืออะไรก็ตามนั้น
ดิชั้นก็ขอน้อมรับนะคะ :b17: แต่ดิชั้นว่าดิชั้นรู้ตัวนะคะ ว่าเข้าใจอะไรและคิดอย่างไร
เพียงแต่ไม่สามารถตอบคนอื่นได้เวลาที่มีใครถามเท่านั้นละคะ
เพราะดิชั้นก็ถือได้ว่ายังเป็นวัยรุ่นอยู่นะคะ :b18: ในการที่จะอธิบายหลักของพระพุทธศาสนา
ให้เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเข้าใจนั้นมันก็ยากหน่อยละคะ
เพราะพุทธศาสนาก็เป็นหนึ่งในความไม่เที่ยง คือมีการเปลี่ยนแปลงตามที่ท่านพระพุทธทาสท่านกล่าว
เดี๋ยวนี้"พุทธศาสนาเนื้องอก"นั้นเยอะนะคะ การแยกจากของจริงมันจึงเป็นเรื่องยาก :b11:
วัยรุ่นต้องการเหตุผลนะคะ
ถ้าคนที่ไม่ได้สนใจทางนี้จริงก็จะสัมผัสได้แค่พระพุทธศาสนาที่ผิวเผินคือได้แค่เปลือกของพระพุทธศาสนาเค้าจะไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่าทำไมการทำบุญ :b48: การรักษาศีล :b48:
ถึงจะทำให้เราเป็นคนดี
เพราะไม่มีหนังสือธรรมะทั่วๆไปเล่มไหนอธิบายถึงเหตุผล
ว่าทำไม บอกเพียงแต่ว่าทำอะไร แล้วได้อย่างไร
หลักธรรมจึงเป็นเหมือนเรื่องของคนแก่ไปสำหรับพวกเรา
แต่เมื่อดิชั้นคิดว่าไม่ใช่จึงพยายามอธิบายนะคะ :b41:

นี่ละคะที่มาของคำถามนี้ เพราะดิชั้นไม่สามารถตอบเค้าได้ :b20:
ว่าหากทั้งโลกมีแต่ผู้หลุดพ้นแล้วนั้น :b10:
โลกจะเป็นอย่างไร หยุดนิ่งหรือ ไม่พัฒนาหรือ :b10: :b10: :b10:
แก่นที่แท้จริงที่ดิชั้นอยากได้นั้นคือคำตอบของคุณ Buddha นี่ละคะ
ขอบคุณมากๆนะคะ



ส่วนคุณ -dd- ดิชั้นไม่ถือโทษโกรธเคืองหรอกคะ
การพยายามอธิบายคำตอบนับว่าต้องขอบคุณมากกว่า
แค่อยากอธิบายให้ฟังว่าทำไมความคิดฟุ้งซ่านนี้ถึงเกิดขึ้น :b16:
มันเป็นเพราะความต้องการที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้นะคะ
ในเมื่อพุทธศาสนาสอนความจริงก็ต้องสามารถอธิบายทุกอย่างได้ด้วยเหตุผล
ดิชั้นแค่คิดแบบนี้นะคะ
:b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ส.ค. 2009, 13:02
โพสต์: 6

ชื่อเล่น: เด็กดื้อ ตาใส^^
อายุ: 23

 ข้อมูลส่วนตัว


ดีใจจังที่ได้ถาม
สบายใจจังที่ได้รู้
ขอบคุณเว็บบอร์ดดีๆ
และสมาชิกรวมถึงท่านผู้รู้
ผู้ใจดีทุกๆคนนะคะ


ยังมีคำถามที่สงสัยอีกเยอะคะ
ไว้ว่างๆจะมาขอความรู้ใหม่นะคะ smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2009, 01:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านคำถาม ที่คุณบอกว่ามีข้อสงสัยอยู่ ข้อหนึ่ง หรือก็คือ หนึ่งข้อ
แต่อ่านไปอ่านไปก็รู้สึกเหมือนจะมีอยู่หลายข้อ

ข้อแรกที่ถามว่า...........การที่มนุษย์พยายามคิดค้น ทฤษฎีต่างๆทั้งทางวิทยาศาสตร์บ้าง
ทางปรัชญาบ้าง คือการพยายามยัดเยียดความเป็นตัวตนให้กับสิ่งเหล่านั้นมิใช่หรือ

ข้อนี้ขอตอบว่า.....มนุษย์ไม่ได้ไปสร้างความเป็นตัวตนให้กับสิ่งที่ได้พยายามคิดค้น
เพราะสิ่งที่ค้นพบ ก็เป็นสิ่งมีอยู่จริง เพียงแต่ถูกนำไปสวมเข้ากับสมมุติบัญญัติ
เพื่อจะใช้ในการสื่อสาร ในการระบุ ในการเรียกชื่อว่าคืออะไรๆ

ซึ่งจริงแล้วก็แค่มนุษย์ไปค้นเจอ แล้วตั้งชื่อให้เพื่อกำกับไว้เท่านั้นเอง เพราะสิ่งทั้งปวง
ที่ค้นพบมันก็มีอยู่จริง แต่ยังไม่มีชื่อเรียก และการเพิ่มเติมสมมุติบัญญัติเข้าไป
ก็ไม่ใช่หมายถึงมนุษย์ไปยัดเยียดอัตตาให้กับธรรมชาติ แต่เป็นการทำเครื่องหมาย
กำกับไว้ในสิ่งที่มีอยู่แล้วบนผืนธรรมชาติ

การใส่สมมุติบัญญัติลงไป ในตัวสภาพธรรม ที่มีอยู่จริง โดยความเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
และการสำคัญมั่นหมาย ต่อตัวสภาพธรรม โดยความเป็นตัวตน สัตว์บุคคลเราเขา
นั้นเป็นคนละส่วนกัน และเป็นคนละอย่างกัน

การไม่ยึดถือในสมมุติบัญญัติที่สวมใส่ลงไปในสังขารธรรมทั้งหลายนี้ก็อย่างหนึ่ง
การไม่ยึดถือ ต่อตัวสังขารธรรมทั้งปวงเหล่านั้นโดยความเป็นตัวตนนี้ก็อย่างหนึ่ง

โดยความเป็นจริง มนุษย์ไม่ได้ไปยัดเยียดความเป็นตัวตนให้กับธรรมชาติ
แต่มนุษย์พร้อมจะเกิดความยึดมั่นถือมั่นต่อสรรพสิ่งในธรรมชาติอย่างเป็นตัวตนต่างหาก


เพราะธรรมชาติของมนุษย์ มักจะเกิดความเพลิน จนลืมนึกถึงตัวกฏของธรรมชาติตามที่เป็นจริง
ซึ่งแฝงประจำอยู่กับทุกสังขารธรรม ว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยง บังคับไม่ได้ และไม่ใช่ตน
เมื่อผ่านวันคืนด้วยการเกลือกกลั้วชีวิตอยู่กับสิ่งไม่แน่นอน แต่กลับไม่สังวรระวังต่อความ
ไม่แน่นอนของสิ่งที่ตนไปเกี่ยวข้อง ชีวิตของผู้นั้นก็จะถูกลากกระชากจูงให้ขึ้นลงตาม
สิ่งไม่แน่นอนทั้งหลาย เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ คละเคล้าอย่างแนบเนียน จนดูเป็นปกติ
ธรรมดา และหมดเปลืองวันเวลาไปกับสิ่งไม่แน่นอน จวบจนวันตาย โดยไม่ได้อะไรติด
ตัวไปแม้สักสิ่งสักอัน และชีวิตก็จะหมุนเวียนว่ายเวียน อยู่บนสุขที่ไม่จีรังอย่างไม่จบสิ้น
จนกว่าวันหนึ่งได้มาพบว่า สุขอย่างโลกๆที่ต้องอิงสิ่งไม่เที่ยงมาบันดาลให้ ยังเป็นสุข
ที่ไม่ดีพอ เพราะเมื่อได้มาก็หมดไป ได้มาหมดไป หาความบริบูรณ์ไม่ได้สักที
เมื่อนั้นก็จะเกิดความคิดที่จะมองหาอมตะธรรม ในขอบแห่งพุทธศาสนา


พุทธศาสนา ได้ค้นพบแนวทางซึ่งเป็นแนวทางเฉพาะ สำหรับคนที่ต้องการพ้นทุกข์
อย่างแท้จริงโดยเฉพาะ ซึ่งแนวทางนั้น เป็นการละวางทุกอย่างจนไม่เหลือสิ่งที่จะวาง
เมื่อวางทุกอย่างได้หมด อมตะธรรมซึ่งพ้นเกิดตายจึงมีได้แก่ผู้หลุดพ้น


ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ศาสนาที่ขวางการพัฒนาของโลก และสังคม
แต่เป็นศาสนา ที่เป็นประหนึ่งทางเลือก สำหรับคนบางคนที่ต้องการสิ่งที่ต่างออกไป
จากสิ่งที่โลกนั้นมีให้ เมื่อต้องการอมตะธรรมของพุทธศาสนา เขาก็จะเลือกเดินเข้ามา
ศึกษาแนววิธีซึ่งเปิดกว้างไว้แล้วสำหรับทุกคน ส่วนใครที่ยังใฝ่ในสุขอย่างโลกๆก็พัฒนาสุข
อย่างโลกๆกันไป แสวงหาสุขอย่างโลกๆกันไป

คนไหนที่เขาเลือกที่จะแสวงหาสุขจากอมตะธรรม เขาก็จะเลือกเดินตามแนวทางที่ละสละโลก


คนไหนทียังไม่ปรารถนาจะละสละโลก แต่ต้องการแค่สุขจากกามคุณ ก็อยู่ตามวิถีของ
โลกไปตามเดิม พัฒนากามคุณ พัฒนาคุณภาพชีวิตไปเรื่อยๆ เมื่อเบื่อหรืออิ่มต่อ
เส้นทางนี้ ก็สามารถจะเลือกเปลี่ยนไปเดินตามเส้นทางอย่างพุทธได้ในภายหลัง


จะเห็นว่าพุทธไม่ได้ไปทำให้บ้านเมืองไม่พัฒนาที่ตรงไหน เพราะพุทธเป็นแค่ทางเลือกหนึ่ง
ที่แยกมาต่างหาก สำหรับ รอผู้อิ่มโลก เบื่อโลก และผู้ต้องการแสวงหาอมตะธรรม


โลกเป็นเรื่องของการแสวงหาความสุข โดยการพัฒนาวัตถุ ให้ประณีตวิจิตรเจริญก้าวหน้า

พุทธศาสนา เป็นเรื่องของการแสวงหาความสุข โดยการพัฒนาเนื้อตัวชีวิต
ให้ถึงพร้อมด้วยความ สะอาด สว่าง และสงบ จนเป็นชีวิตที่บริบูรณ์เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม


และถ้าโลกนี้มีแต่พระอรหันต์ โลกนี้ก็คงสงบสุข กันซะที

และวัตถุทั้งหลายก็จะกลายเป็นส่วนเฟ้อส่วนเกิน ไม่จำเป็นอีกต่อไปที่จะไปสร้างสรรค์
อะไรใหม่ๆขึ้นมาทำไม เพราะพระอรหันต์ท่านคงไม่ต้องการอะไรมากมายเหมือนอย่างชาวโลก

และภายหลังจากพระอรหันต์ทั้งโลกปรินิพพานกันหมดแล้ว คนก็หมดโลก เมื่อนั้น
สัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ ก็จะได้กลายเป็นจ้าวโลกขึ้นมาแทน เมื่อนั้นโลกมนุษย์
ก็จะกลายเป็นเป็นโลกของเดรัจฉาน

และต่อมาเดรัจฉานก็ค่อยพัฒนาจนมาเป็นมนุษย์ และก็..............ฯลฯ

:b6: :b23: :b23:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2009, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ส.ค. 2009, 13:02
โพสต์: 6

ชื่อเล่น: เด็กดื้อ ตาใส^^
อายุ: 23

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณคุณ บัวศกล ด้วยนะคะ
ที่มาตบความเข้าใจให้แน่นยิ่งขึ้น
คือดิชั้นก็มีความคิดเหมือนทุกคนนั่นละคะ
ว่าพุทธศาสนาไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์
เพียงแต่หาเหตุผลอธิบายให้คนอื่นหรือแม้แต่ตัวเองเข้าใจไม่ได้ว่าทำไม
(เข้าใจน่ะพอได้คะ แต่ไม่เข้าใจอย่างแตกฉานถึงขนาดที่ว่าสามารถยืนยันได้ว่ามันเป็นความจริง ประมาณนั้น)แค่นั้นละคะ
เพราะดิชั้นก็เป็นอีกคนนะคะที่เชื่อในหลักธรรม
และแน่นอนอยากให้คนอื่นเชื่อเช่นกัน
เพราะงั้นจึงพยายามหาเหตุผลมาอธิบายให้เค้าฟังว่า
พุทธศาสนาไม่ใช่แค่เรื่องของการสวดมนต์ ไหว้พระ เข้าวัดทำบุญ
แค่นั้นแต่ตรงข้ามกลับเป็นเรื่องใกล้ตัวสะจนเรามองไม่เห็นต่างหาก
และยังทันสมัยอยู่เสมอตลอดกาลด้วย เนื่องจากเป็นเรื่องของความจริง
แต่สมัยนี้ส่วนใหญ่ชอบอธิบายพุทธศาสนาไปในทางของนามธรรมนะคะ
มันจึงเป็นการเข้าถึงได้ยากสักหน่อยสำหรับคนทั่วไป คนที่ไม่ได้หวังซึ่งนิพพาน
แค่อยากอยู่แบบเท่าทันกิเลส หรือมองทุกอย่างให้ออกตามที่มันเป็นแค่นั้นละคะ



ป.ล. รู้สึกดีจริงๆนะคะที่มีเวบนี้ มันทำให้รู้ว่าอย่างน้อยในสังคมนี้ก็ไม่ได้มีแต่"ตัวกู-ของกู" ^^


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร