วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 11:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 20:24
โพสต์: 5

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็น เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี
ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงว่า การจุติ
ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง

จงดูภาพมนุษย์ว่า มนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน
เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์
ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์
มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวังทุกอย่าง ต้องใช้แรงงาน

แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความ ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด
ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้าและมีความปรารถนาสมหวัง
ก็หมายความ ถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด
ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ความเป็นทิพย์อย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา
จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ตลอดสมัย

ทั้งนี้เพราะอะไร
เพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี
ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องจุติ คือ ตาย

แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่าเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด
แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้า ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก
จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย"

(พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย
อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ในหนามาก
เป็นอันว่าทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้
แล้วก็ดูตัวเอง เวลานั้นร่างกายของตัวเองก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน
ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)

"ภิกขุเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์)
และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย
อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตาย จิตใจนึกถึงบุญก่อน
จึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่า ท่านจุติเมื่อไร

โน่น..นรก (ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด)
ท่านทั้งหลายจะต้องพุ่งหลาวลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป
กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา
และมาเป็นคนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่
ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ได้

ฉะนั้น เมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดีพรหมก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพาน
ระหว่างมนุษย์กับนิพพาน เป็นอันว่า ท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน
ท่านทั้งหลายจงดูนั่น นิพพาน"

(ท่านยกมือชี้ขึ้นให้ดูพระนิพพาน
เวลานั้นเทวดา นางฟ้า กับ พรหม ทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกัน เห็นพระนิพพาน
ไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้วแพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว
พระอรหันต์ทั้งหลายที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหน มีความเข้าใจหมด รู้หมด เห็นหมด
แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคต ก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)

"ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมี
คราวนี้ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์
เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม
เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว
และการไปนิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นสำคัญ

สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว
ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก
ที่มีความเป็นห่วง ก็เป็นห่วงเทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์
นั่นหมายความ จะมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์
ยังมีความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อน
อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพพาน นั่นคือ

จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่เป็นของที่ไม่แน่นอน
เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง

เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดี
ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่า ท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม
ถ้าจิตใจของท่านมีความศรัทธา มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์
ก็เป็นอาการขั้นที่สอง ที่ท่านจะไปนิพพานได้

หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลายจงทรงศีลให้บริสุทธิ์
จะเป็น ศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม กรรมบถ ศีล ๑๐ ก็ตาม ศีล ๒๒๗ ก็ตาม"
(พอท่านพูดถึงศีล ๒๒๗ ก็คิดในใจว่า เทวดาจะไปบวชที่ไหน

ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์)
มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก
มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่างๆ
มนุษย์มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด
สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้ว
จะเป็นทรัพย์สิน ยังไงก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์ เราก็หมดสิทธิ

อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นเป็นที่หวงแหน
คนภายนอกเข้าไม่ได้ เข้าได้แต่คนภายใน
แต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้วกลับไปเกิดเป็นคน
หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิม
ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตนั้นเลย
ทั้งๆ ที่เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ

นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้
ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวัน
เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือ เงิน
ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน
(ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)
จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมาย ความเป็นมนุษย์
เห็นว่าโลกมนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว
มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย
ในการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุด

และจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป
เพราะเทวดา นางฟ้า กับพรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน

เมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา
ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไป
ตั้งใจไว้เสมอว่า
เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
แล้วก็เราจะต้องจุติในวันข้างหน้า


ใครได้อ่านก็ขอให้ตั้งใจปฎิบัตินะครับ ผมคนนึงที่กำลังตั้งใจครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 03:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาสาธุค่ะ คุณลูกศิษย์หลวงปู่ปาน

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 03:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เคยฟังจากเทปมาแล้ว..แต่อ่านอีกก็ยังแช่มชื่นใจเสมอ

ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 03:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
:b8: เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
แล้วก็เราจะต้องจุติในวันข้างหน้า :b8:


ทำยังไงพระไตรสรณคมน์จะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ :b8:
ทำยังไงศีลจะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ :b8:

:b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร