วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 00:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2009, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


บทความนี้ หลายๆ ท่านอาจคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา แต่ในทางที่เป็นจริงแล้วเกี่ยวข้องกับศาสนาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะศาสนาพุทธ เพราะสรรพสิ่งจะได้รับทุกข์ หรือความเดือนร้อน หรือจะหลุดพ้นจากความทุกข์ อยู่อย่างสุขสบาย ก็เพราะการระลึกนึกถึงและการคิด ดังนั้นจึงใคร่ขอความอนุเคราะห์จากผู้ดูแลได้เห็นแก่ประชาชนด้วยเถิดขอรับ

จังหวัด เชียงราย
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒

เรื่อง ข้อแนะนำ และติเตือน เกี่ยวกับการบริหารประเทศ
เรียน พณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทุกท่าน

สวัสดีครับ ทุกท่าน ข้าพเจ้าเคยได้เขียนจดหมายถึงพรรคประชาธิปัตย์หลายครั้ง จะว่าเป็นการระดมสมองจากประชาชนคนหนึ่ง ก็คงไม่ผิด ข้าพเจ้าเคยบอกกับท่านทั้งหลายไว้ว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้น แม้เป็นพรรคฝ่ายค้าน ก็ทำงานไม่เป็น พอเป็นรัฐบาล ก็จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน เพราะเหตุว่า ท่านทั้งหลาย ไม่ได้นำเอาความรู้ วิชาการที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา นำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารประเทศ ท่านทั้งหลายมัวแต่นึกถึงผลประโยชน์อะไรของพวกท่าน

ท่านทั้งหลาย เคยนำเอาหลักจิตวิทยามนุษย์ และหลักศาสนา มาใช้ประกอบในการบริหารประเทศบ้างไหม ท่านทั้งหลายเคยได้ลงไปสัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของประชาชนกันบ้างไหมว่า ประชาชนนั้น มีความเดือนร้อน มีความต้องการในสิ่งใดบ้าง

ตามหลักพุทธศาสนา มนุษย์ทั้งหลายย่อมมีความต้องการปัจจัยสี่ อันได้แก่ อาหาร, เครื่องนุ่งห่ม,ที่อยู่อาศัย, ยารักษาโรค เป็นความต้องการพื้นฐานที่จำเป็นที่สุด และเมื่อโลกวิวัฒนาการก้าวหน้า ก็มีปัจจัยอื่นๆ ในการดำรงชีพ ดำรงชีวิต เพิ่มขึ้น เช่น การขนส่ง สินค้าอุปโภคสาธารณะ และอุปโภคทั่วๆไป

การที่ท่านทั้งหลายขึ้นภาษี อะไรต่อมิอะไร โดยไม่ได้รู้เรื่องจิตวิทยามนุษย์ ไม่ได้รู้ว่า ประชาชนจะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น หรือลดลง ในการขึ้นภาษี มองแต่ได้ด้านเดียว ไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆที่ประกอบกัน ย่อมไม่นำมาซึ่งความสำเร็จ มีแต่จะล้มเหลว และเป็นการเอาเงินไปทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น "การฝึกอาชีพให้กับคนว่างงาน"

การฝึกอาชีพ เป็นสิ่งที่ดี แต่เป็นเพียงการมองด้านเดียว โดยไม่ดูสิ่งแวดล้อมอื่นๆ คนว่างงานมีอาชีพ พอประกอบอาชีพ แต่ไม่มีคนใช้บริการ เพราะไม่มีกำลังซื้อ ไม่มีกำลังเงินที่จะไปอุดหนุน เหล่าอาชีพต่างๆที่พวกท่านคิดฝันสร้างขึ้นมา มันก็เท่ากับสูญเปล่า เสียทั้งเงิน ประชาชนก็เดือดร้อน เหมือนเดิม ท่านทั้งหลาย เคยได้ไปสัมผัสความเดือนร้อนเหล่านั้น ด้วยตัวของท่านเองหรือไม่

เช่นเดียวกันกับ ร่างภาษีที่ดิน ในข้อ "ภาษีที่อยู่อาศัย" ท่านทั้งหลายเคยได้รู้ เคยได้ไปสัมผัสกับประชาชนที่เขามีที่อยู่อาศัยในที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ว่าประชาชนเหล่านั้น มีรายได้กี่มากน้อย ประชาชนเหล่านั้น มีรายจ่ายกี่มากน้อย ท่านทั้งหลายมองเพียงแต่อ้างเอาคนรวยที่อยู่ในกรุงเทพฯ หรือที่อื่นๆ เพียงน้อยนิดมาเป็นข้อกำหนดในการที่จะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เดือดร้อน

ท่านทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลาย ได้ลองคำนวณในรายรับของประชาชนส่วนใหญ่ ในแต่ละปี และคำนวณ รายจ่าย ของประชาชนเหล่านั้น ในแต่ละปี ว่า เขาเหล่านั้น มีรายรับเท่าไหร่ รายจ่าย เท่าไหร่
ถ้าท่านทั้งหลายยังดันทุรัง ที่จะนำเอาข้ออ้างแบบความคิดต่ำๆมาใช้เป็นเรื่องในการออก กฎหมายภาษีที่ดิน "เกี่ยวกับภาษีที่อยู่อาศัย" ท่านทั้งหลายลองใช้สมองคิดดูซิว่า ประชาชนจะชอบพวกท่าน หรือไม่ชอบพวกท่าน

ทำไมท่านทั้งหลาย ไม่นำเอา กฎหมายที่มีอยู่เดิม นำมาปรับปรุงให้สอดคล้องกับความเจริญและเศรษฐกิจของประเทศ เช่นปรับปรุง ภาษีเกี่ยวกับที่ดิน ให้เก็บเพิ่มจากเดิม 10 เปอร์เซ็น เพราะที่มีอยู่เดิม เก่าแก่มีมานาน จะดีกว่า เพราะเป็นการ พัฒนา ระบบภาษี แต่สิ่งที่พวกท่านกำลังทำอยู่มันเป็นการทำลาย ระบบนิเวศวิทยาของมนุษย์รูปแบบหนึ่ง ท่านทั้งหลายรู้หรือไม่

อนึ่ง ที่อยู่อาศัย หรือบ้านของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งหลายนั้น ย่อมมีความเก่าแก่ทรุดโทรมไปตามกาล ราคาของบ้านหรือที่อยู่อาศัย ย่อมต้องเสื่อมราคา คือมีราคาต่ำลง แล้วพวกท่านจะมีปัญญา คำนวณตามอายุของบ้านหรือที่อยู่อาศัยเหล่านั้นหรือไม่ ขอให้ใช้สมองสติปัญญาพิจารณาให้ดี

อีกประการหนึ่งที่สำคัญ บ้านและที่ดินสำหรับที่อยู่อาศัยเขาถือตามหลักพุทธศาสนาว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญ ในสมัยที่แล้วๆมา เขาจึงไม่ให้มีการจัดเก็บภาษี เพราะจะทำความเดือนร้อน ให้กับประชาชน และเกิดความยุ่งยากหลายๆอย่างตามมา

ประการสุดท้าย การคิด และการระลึกนึกถึง นั้น ย่อมสามารถสร้างความทุกข์ให้กับตนเองและผู้อื่นได้
แต่ การคิดและการระลึกนึกถึง ก็ย่อมสร้างความสุข ความหลุดพ้นให้กับตนเองและผู้อื่นได้เช่นกัน

ขอแสดงความนับถือ

จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2009, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับท่าน Buddha....กลับมาเร็วกว่าที่บอกไว้นะครับท่าน :b16: :b16:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2009, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในจักกวัตติสูตรแสดงการเกิดขึ้นแห่งอาชญากรรม และความชั่วร้ายเดือดร้อนต่างๆ (รวมๆ ก็คือความทุกข์) ในสังคมตามแนวปัจจยาการไว้ ดังนี้

(ผู้ปกครองประเทศ) ไม่จัดสรรปันทรัพย์ให้แก่หมู่ชนผู้ไร้ทรัพย์...=> ความยากจนระบาดทั่ว => อทินนาทานระบาดทั่ว => การใช้อาวุธระบาดทั่ว => ปาณาติบาต (การฆ่าฟันในหมู่มนุษย์) ระบาดทั่ว => มุสาวาทระบาด - การส่อเสียด - กาเมสุมิจฉาจาร- ผรุสวาทและสัมผัปปลาป - อภิชฌาและพยาบท - มิจฉาทิฏฐิ - อธรรมราคะ ความละโมบ มิจฉาธรรรม - ความไม่นับถือพ่อแม่สมณพราหมณ์ และการไม่เคารพนับถือกันตามฐานะ ระบาดทั่ว => อายุวรรณะเสื่อม ...

นี่คือตัวอย่างหนึ่ง เราสามารถนำตัวอย่างนี้ประยุกต์เข้ากับเรื่องอื่นเหตุอื่นๆ ที่เกิดขึ้นได้ ว่าล้วนเกิดแต่เหตุ อาศัยกันและกันเกิดทั้งนั้น การเมืองไม่ตัดขาดจากธรรม ธรรมไม่ได้ตัดขาดจากการเมืองเด็ดขาด

หากประเทศชาติประชาชนอยู่ดีกินดีมั่งคั่งพรั่งพร้อม ผู้ทรงศีลทรงธรรมผู้ใฝ่ธรรมก็อาศัยความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง นั่งพองหนอ ยุบหนอ ฯลฯ ซ้าย ย่าง หนอ ขวา ย่าง หนอ ฯลฯ
หรือ พุท - โธ เป็นต้น ได้โดยไม่ต้องระแวดระวังภยันตราย

แต่เมื่อบ้านเมืองวุ่นวายเกิดจลาจลประชาชนอดอยากเดือนร้อนวุ่นวาย ผู้ทรงศีลทรงธรรมผู้ใฝ่ธรรมเหล่านั้น จะนั่งภาวนาอยู่ท่ามกลางสิ่งนั้นๆ ได้ฤๅ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2009, 16:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: :b17: :b17:
ไหว้ครูกันแล้วววว......คู่เอกกำลังจะเริ่ม :b13: :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2009, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
:b17: :b17: :b17:
ไหว้ครูกันแล้วววว......คู่เอกกำลังจะเริ่ม :b13: :b13:


ยัง..งง..ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2009, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน Buddha กลับมาแล้ว :b12:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2009, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ประเทศไทย เป็นเมืองแห่งพุทธศาสนามาช้านาน ไม่ว่า การเมืองการปกครอง หรือแม้แต่การทำงานทุกชนิด รวมไปถึงการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน ก็ล้วนอาศัย และอิง หรือเชื่อมโยง ตามหลักพุทธศาสนา
นักการเมืองไทย มีความรู้ที่ได้เรียนมาตามตำรา แต่ไม่ได้มีความรู้ ตามหลักความเป็นจริง ทุกหลักวิชาการที่ได้เรียนมาล้วนสามารถนำมาเป็นเครื่องมือในการบริหาร หรือปกครอง ประเทศบ้านเมืองได้ และที่สำคัญคือหลักธรรมทางพุทธศาสนา เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเมืองการปกครอง หรือการบริหารงานทุกประเภท ขอเน้นย้ำว่า ทุกหลักวิชาการที่มีอยู่ล้วนสามารถนำมาเป็นเครื่องมือในการคิดสร้างนโยบาย หรือปฏิบัติงาน ฯลฯ ได้อย่างดียิ่ง

ตามหลักวิชา ประวัติศาสตร์

ผืนดินทุกตารางนิ้ว ของประเมือง ของชาติ หรือประเทศ ล้วนเป็น สมบัติของ เจ้าเหนือหัว ดังนั้นประชาชนจึงเรียก พระมหากษัตริย์ว่า "พระเจ้าแผ่นดิน" เพราะพระองค์ ทรงได้รักษา กอบกู้ และสร้าง อาณาเขต เป็นเมือง เป็นชาติ เป็นประเทศ
ดังนั้น แผ่นดินที่ประชาชนทุกอาศัยอยู่ หรือมีอยู่ ล้วนเป็นของพระเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้กับราษฎรทั้งสิ้น จึงไม่มีการเก็บภาษี หรือส่วยอันเกี่ยวกับที่ดินอันเป็นที่อยู่อาศัย
หากเป็นที่ไร่นาเทือกสวน ผู้ใดครอบครอง หรือทำกินอยู่ เมื่อได้ผลผลิต ย่อมต้องเสียภาษี หรือส่งส่วยให้กับ พระเจ้าแผ่นดิน หมายความว่า ที่ไร่นาเทือกสวน ต้องเสียภาษ๊ ตั้งแต่โบราณกาลนานนับ หลายร้อยปีผ่านมาแล้ว
ที่พระเจ้าแผ่นดิน ไม่เก็บส่วยที่ดินที่อยู่อาศัยของราษฏร ก็เพราะพระองค์ ทรง ทศพิธราชธรรม และเจริญสืบต่อกันมาจนถึงยุคปัจจุบัน
เอาแค่นี้ เพื่อให้พวกนักการเมืองได้รู้สึกสำนึกตัวซะบ้างว่า การบริหารประเทศ ไม่ใช่หวังแต่เพียงลาภยศ เก้าอี้ ตำแหน่ง โดยอาศัยเพียงความรู้ในด้านเดียว เพราะความรู้หรือหลักวิชาการ ต่างๆ ล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ตั้งแต่หลักวิชชชา ทางศาสนา ไปจนถึงหลักวิชชาการทั่วๆไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2009, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านน่าจะสอนเรื่อง
การครองเรือน กับการทานให้กับนักการเมืองบ้างนะครับ... :b1:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


การเมือง การศาสนา และหลักวิชาการด้านต่างๆ ล้วนมีความสัมพันธ์ เกี่ยวโยง เกี่ยวข้องกัน
อีกทั้ง หลักการเมืองการปกครอง หรือหลักวิชาการด้านต่างๆ ทั้งหลายที่มีอยู่นั้น ล้วนเป็นญาณ อันนับเข้าในวิปัสสนา กล่าวคือ การเมืองการปกครอง และหลักวิชาการด้านต่างๆ ล้วนเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ของหลักธรรมคำสอนทั้งสิ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นการเมืองการปกครอง หรือหลักวิชาการด้านต่างๆ ล้วนต้องมีการ คิด (ดำริ) ล้วนต้องมีการ นึกถึง(ระลึก) เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ฯลฯ อยู่แล้ว ไม่มีทางหลีกหนีพ้น มนุษย์จะคิด จะนึกถึงได้ ก็เกิดจากการครองเรือน เกิดจากการ ให้ (ทาน) แห่งการครองเรือนนั้นๆ รวมไปถึงเกิดจาก สรรพอาชีพ ที่มนุษย์ดำเนินกิจกรรมอยู่ ซึ่งล้วนย่อมเกิดการประพฤติปฏิบัติ ไปตามสรรพอาชีพ และการครองเรือนนั้นๆ การรู้คุณในสรรพสิ่ง และการเจรจาติดต่อสื่อสาร ก็ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในอันที่จะสร้างความรู้ ความเข้าใจ สร้างความสัมฤทธิ์ผลในอาชีพการงาน หรือสร้างความสัมฤทธิ์ผลแห่งการครองเรือนนั้นๆ
การสอนคน บางครั้งต้องอาศัยปัจจัยแห่งการงาน และการเงิน เพื่อให้คนเชื่อถือ คนจนจะไปสอนคนรวย หรือ คนจบชั้น ป.4 จะไปสอนคนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ให้เขาเชื่อคงทำได้ยาก เว้นแต่จะได้ทำให้เห็นว่า สิ่งที่ผู้ที่เรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หรือ คนจนนั้นๆ ได้กระทำอยู่ เป็นสิ่งดี เป็นสิ่งที่สามารถนำให้คนจนนั้นๆ อยู่ได้อย่างสบายใจ อยู่ได้อย่างพอเพียงพอดี เพราะมนุษย์ยึดติดใน ลาภ ยศ สรรเสริญ ทั้งๆที่พวกเขาน่าจะรู้ว่า ตายแล้วเอาไปด้วยไม่ได้ ตายแล้วเจ้าตัวไม่รู้อะไร มีแต่คนลืมเลือนไป ตามกาลเวลา แต่พวกเขาก็ยังใฝ่หา ซึ่งมันก็เป็นความจริงอย่างหนึ่งที่ว่า ไม่เงิน จะซื้ออะไรกินก็ไม่ได้ ไม่ทำงาน ไม่ขยัน ไม่มีความรู้ ไม่มีวิชาการต่างๆ จะไปนั่งขอทานเศษเงินเขา มือเท้าก็ยังมีครบ อะไรทำนองนี้
ดังนั้น จึงใคร่ขอบอกท่านทั้งหลายเอาไว้ว่า การเมือง การปกครอง หลักวิชาการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสายอาชีพ หรือสายวิชาการ ใดใดก็ตาม ล้วนเป็นส่วนรายละเอียดแห่ง หลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาทั้งสิ้น จะนับเป็นญาณเข้าในวิปัสสนาก็ได้ ซึ่งท่านทั้งหลายควรได้ระลึกไว้อย่างหนึ่งว่า ท่านทั้งหลายอยู่บนโลกมนุษย์ จะหลีกหนีความเป็นไปทางการสังคมเป็นอยู่ร่วมกันคงไม่ได้อย่างแน่นอน หลอกคนอื่นนั้นหลอกได้ แต่หลอกตัวเองหลอกไม่ได้ เพราะตัวเองนั้นรู้อยู่ว่า คิดหรือไม่คิด ระลึกหรือไม่ระลึก
หลายๆคนตัองไปศึกษา ในเรื่องของระบบการทำงานของสมองอันสัมพันธ์กับสรีระร่างกายส่วนอื่นๆ จะได้รู้ จะได้เข้าใจ บางคน บอกว่า ไม่ได้คิด แต่ความจริงคิด และระลึกไปโดยไม่รู้ตัวว่าได้คิด ต้องสังเกตและสนใจตัวเอง
การครองเรือนนั้น ต้องพิจารณาอย่างละเอียด เพราะไม่ใช่เรื่องกระจอกจิ๊บจ้อย หากคิดได้ ก็จะเข้าใจในตัวเองและผู้อื่น นั่นหมายความว่า ท่านบรรลุโสดาบันในระดับหนึ่งแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2009, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


หลักการศาสนา ล้วนเกี่ยวข้องกับการเมือง การปกครองมาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่ครั้งก่อนพุทธกาล ก็ยังมีหลักปรัชญา การเมืองการปกครอง จากศาสนาพราหมณ์ ในภูมิภาคซีกโลกแถบนี้
ในทางยุโรป ก็มีหลักปรัชญา การเมือง การปกครอง อันแปรเปลี่ยนมาจากพฤติกรรมของเทพเจ้า มาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ จนมาถึงสมัยกรุงโรม และเรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ความจริงแล้ว หลักการทางศาสนานั้น มีมานาน ตั้งแต่มนุษย์เริ่มก่อกำเนิดขึ้นบนโลกมนุษย์ แต่ศาสนาต่างๆเหล่านั้น อยู่ในรูปของเทพเจ้า ที่ผู้คนต่างเชื่อว่า ดลบันดาล ให้เป็นไป นับตั้งแต่สภาพลมฟ้าอากาศ จนถึง ชีวิตของมนุษย์ สัตว์ และพืช
ศาสนาที่มีต้นกำเนิดจากเทพเจ้า ก็ล้วนมีหลักธรรมคำสอน อันเกี่ยวข้องกับความเป็นผู้นำกลุ่ม ผู้นำบ้านเมือง ผู้นำประเทศ หรือหากจะกล่าวให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น ก็หมายความว่า หลักการเมือง การปกครอง ล้วนมีรากฐาน มาจากศาสนาทั้งสิ้น แล้วค่อยเปลี่ยนแปลง แก้ไขให้เข้ากับยุคสมัย ตามการสังคมเป็นอยู่ร่วมกันของมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า หลักธรรมทางศาสนา แท้จริงก็คือ หลักการเมืองการปกครอง อันได้อธิบายแยกแยะให้ได้รู้ซึ้งถึงความตัองการของมนุษย์ ในสังคมการเป็นอยู่ร่วมกัน ตามลักษณะภูมิประเทศ และลักษณะภูมิอากาศ และอธิบายแยกแยะให้ได้รู้ซึังถึงความต้องการของมนุษย์ตามลักษณะอาชีพ ในสังคมนั้นๆ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร