ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
เบื้องหลังการทรงปลงอายุสังขาร (อ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=87&t=65983 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 16 ส.ค. 2025, 17:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | เบื้องหลังการทรงปลงอายุสังขาร (อ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก) |
เบื้องหลังการทรงปลงอายุสังขาร ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต วันนี้ขอพูดถึงข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของพระพุทธองค์ ๒ เรื่อง คือ เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธประสงค์ไปดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินารา กับเรื่องเกี่ยวกับผลกรรมในอดีตของพระพุทธองค์ ขอว่าตามลำดับ (ถ้าไม่จบก็ขอต่อในตอนหน้า) ๑. เรื่องที่หนึ่ง เบื้องหลังพระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร (คือตัดสินพระทัยเสด็จดับขันธปรินิพพาน) ณ ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี แคว้นวัชชี แล้วพระพุทธองค์ตรัสเรียกประชุมสงฆ์ ณ อุปัฏฐานศาลา (โรงธรรม) ตรัสสอนให้หมั่นเจริญธรรมที่จะทำให้พรหมจรรย์ดำรงอยู่ได้นาน อันได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อินทรีย์ ๔ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ธรรมะเหล่านี้เนื้อหาว่าอย่างไรบ้าง อยากทราบให้เปิดพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ดูก็แล้วกัน รุ่งเช้า พระพุทธองค์เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองไพศาลี มีพระอานนท์พุทธอนุชาตามเสด็จ ขณะเสด็จออกจากเมืองไพศาลีทรงยืนเอี้ยวพระศอหันไปทอดพระเนตรเมืองไพศาลี ตรัสกับพระอานนท์ว่า การเห็นเมืองไพศาลีครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ชาวพุทธเรียกอาการทอดพระเนตรนี้ว่า นาคาวโลก (การเหลียวดูแบบพญาช้าง, การมองอย่างช้างเหลียวหลัง) ต่อมาชาวพุทธได้สร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นอนุสรณ์ขึ้นชื่อว่า พระพุทธรูปปางนาคาวโลก จากนั้นก็เสด็จไปยังภัณฑุคาม อัมพคาม ชัมพุคาม และโภคนคร ตามลำดับ จากโภคนครก็เสด็จต่อไปยังเมืองปาวา เสวยสูกรมัททวะของนายจุนทะแล้วพระอาการประชวรกำเริบ ทรงข่มทุกขเวทนาไว้ เสด็จต่อไปยังเมืองกุสินารา อันเป็นสถานที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระอานนท์ซึ่งตามเสด็จพระพุทธองค์ตลอดทาง ได้กราบทูลให้พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานที่เมืองใหญ่อื่นๆ เช่น เมืองราชคฤห์ เมืองโกสัมพี เมืองสาวัตถี แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์มีพุทธประสงค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินาราเป็นการเฉพาะ เมื่อกราบทูลถามเหตุผล เหตุผลที่พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ ฟังดูไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง อาจจะมีเหตุผลอื่นลึกๆ อยู่ในคำตอบนั้นก็ได้ คือพระองค์ตรัสว่า ที่ไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา เพราะเมืองกุสินาราในอดีตกาลยาวนานโพ้นเป็นเมืองใหญ่ อานนท์ เธออย่ากลัวอย่างนี้ว่ากุสินาราเป็นเมืองเล็กเมืองดอน เมืองกิ่ง แต่ปางก่อนพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่า มหาสุทัสสนะ ผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เมืองกุสินารานี้มีนามว่า กุสาวดี เป็นราชธานีของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ มีความยาวด้านบูรพาและประจิม ๑๒ โยชน์ โดยกว้างด้านทักษิณและอุดร ๗ โยชน์ กุสาวดีเป็นราชธานีที่มั่งคั่ง มีผู้คนแน่นหนา มีภักษาหาได้ง่าย สรุปแล้วเหตุผลที่ทรงมุ่งมั่นจะไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารานี้ให้ได้เพราะเมืองนี้ในอดีตเป็นเมืองใหญ่เป็นที่ประทับของพระเจ้าจักรพรรดิ ฟังดูแล้วไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง ถ้าเอาความยิ่งใหญ่ในอดีตตัดสิน เมืองอื่นๆ ในอดีตก็คงจะใหญ่เหมือนกัน และบางเมืองยิ่งใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบันมายาวนาน เช่นเมืองพาราณสีก็น่าจะอยู่ในเกณฑ์ หรือถ้าเห็นว่าเมืองพาราณสีเป็นฐานที่มั่นของพราหมณ์ เมืองอย่างเมืองไพศาลีก็ยิ่งใหญ่มายาวนาน และเหมาะที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ![]() เมื่อพระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร คือตัดสินพระทัยจะเสด็จดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินาราแล้ว รุ่งเช้า พระพุทธองค์เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองไพศาลี มีพระอานนท์พุทธอนุชาตามเสด็จ ขณะเสด็จออกจากเมืองไพศาลี ทรงยืนเอี้ยวพระศอหันไปทอดพระเนตรเมืองไพศาลี ตรัสกับพระอานนท์ว่า การเห็นเมืองไพศาลีครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 16 ส.ค. 2025, 17:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | เบื้องหลังการทรงปลงอายุสังขาร (อ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก) |
![]() พระยาสวัสสวดีมารทูลอาราธนาให้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ![]() ![]() ![]() ผมก็คิดเล่นๆ (อย่าซีเรียสนะครับ) ว่าพระพุทธองค์ทรงมีพุทธประสงค์อย่างอื่นที่มุ่งหน้าไปปรินิพพานที่เมืองกุสินาราแน่นอน ที่ตรัสบอกพระอานนท์ว่า เมืองกุสินาราเคยเป็นเมืองใหญ่ในอดีตก็เพื่อจะปลอบพระอานนท์ ที่อยากให้พระองค์ไปปรินิพพานที่เมืองใหญ่ๆ ไม่ควรปรินิพพานที่เมืองเล็กเช่นเมืองกุสินารา พูดง่ายๆ ก็คือ อย่าน้อยใจเลยว่าพระองค์ปรินิพพานในเมืองเล็ก ไม่สมพระเกียรติ กุสินาราถึงจะเล็กในปัจจุบัน ในอดีตก็เป็นเมืองใหญ่เหมือนกัน เหตุผลที่แท้จริงน่าจะเป็นดังนี้ ๑. เพื่อทรงสงเคราะห์พระประยุรญาติที่เมืองกุสินารา ในพุทธประวัติไม่บอกชัดดอกว่าเมืองกุสินาราเป็นพระญาติวงศ์ของพระพุทธองค์ แต่ผู้รู้หลายท่านแสดงความเห็นว่า พวกมัลลกษัตริย์น่าเป็นเผ่าศากยะหรือสืบมาจากเผ่าศากยะ เพราะมีระบบการปกครองและจารีตประเพณีเหมือนๆ กับพวกศากยะ ถ้าข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริง ก็ไม่แปลกที่พระพุทธองค์จะ “ต้อง” เสด็จไปปรินิพพานที่เมืองของพวกเขา เพื่อทรงสงเคราะห์พวกเขาในวาระสุดท้ายของพระพุทธองค์ ในพุทธจริยา ๓ ประการนั้น จริยาทั้ง ๒ คือ โลกกัตถจริยา (ทำประโยชน์แก่ชาวโลก) พุทธัตถจริยา (ทำประโยชน์ในฐานะทรงเป็นพระพุทธเจ้า) พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญมาสมบูรณ์แล้ว แต่ญาตัตถจริยา (ทรงสงเคราะห์ญาติ) ยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะเสด็จไปโปรดพระญาติเมืองกุสินารา การเสด็จไปดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินารา จึงเป็นการสงเคราะห์ประยุรญาติของพระพุทธองค์นั้นเอง พระญาติฝ่ายศากยวงศ์และโลกิยวงศ์ พระองค์ก็ทรงสงเคราะห์มาหมดแล้ว ยังเหลือแต่พระญาติที่เมืองกุสินารา ซึ่งจะต้องทรงสงเคราะห์เป็นครั้งสุดท้าย เหล่ามัลลกษัตริย์จะได้มีโอกาสถวายพุทธบูชา ด้วยการจัดงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ และได้ทำบุญกิริยาอย่างอื่น เช่น ถวายทานแก่พระสงฆ์จำนวนมากที่หลั่งไหลมาในงานนี้ เมืองเล็กๆ แต่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระย่อมมีความสำคัญ และเป็นที่เกรงขามของเมืองใหญ่ๆ ไม่บันเบา เพราะต่างก็รู้ว่า กุสินารา เป็นเมืองที่พระพุทธองค์ทรงเลือกแล้ว ๒. อีกเหตุผลหนึ่ง ถ้าพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในเมืองใหญ่ เช่น เมืองราชคฤห์ เมืองสาวัตถี กษัตริย์เมืองใหญ่นั้นๆ จะต้องถือสิทธิ์เป็นเจ้าของพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์เพียงผู้เดียว เมืองอื่นที่เคารพนับถือพระพุทธองค์ หรือที่เป็นพระประยุรญาติของพระองค์คงไม่มีโอกาสได้ส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปบูชาแน่นอน แต่เมื่อพระองค์ไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา ซึ่งเป็นเมืองเล็กโอกาสที่พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์จะได้รับการแจกแบ่งไปยังเมืองต่างๆ เพื่อสักการบูชาย่อมมีความเป็นไปได้มาก และเป็นไปได้ง่าย เพราะเมืองเล็กย่อมไม่สามารถขัดขืน หรือหวงพระบรมสารีริกธาตุไว้สำหรับตนแต่ฝ่ายเดียว การเสด็จไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา จึงไม่เป็นเพียงเพื่อสงเคราะห์เหล่ามัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราเท่านั้น ยังได้สงเคราะห์เมืองใหญ่น้อยอื่นๆ อีกด้วย ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็ขอยืมพังเพยไทยมาพูดว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวนั้นแล ข้อสังเกตของผมฟังได้ไหมครับ ฟังไม่ได้ก็ไม่ต้องฟัง ลืมๆ ไปเสีย ส่วนประเด็นที่สองเอาไว้พูดถึงคราวหน้าก็แล้วกัน ![]() ![]() ![]() ![]() ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต หน้า ๑๔-๑๗ ![]() ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38913 ![]() ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=44336 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=87&t=65950 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |