ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
วันอัฏฐมีบูชา วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=86&t=53713 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 08 มิ.ย. 2012, 07:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | วันอัฏฐมีบูชา วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า |
วันอัฏฐมีบูชา
วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า ตรงกับวันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ หรือ เดือน ๗ (ปีที่มีอธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองหน) หลังจากเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ๘ วัน คือหลังจาก “วันวิสาขบูชา” แล้ว ๘ วันนั่นเอง ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวเนื่องต่อจาก “วันวิสาขบูชา” “วันอัฏฐมีบูชา” เป็นวันที่ชาวพุทธต้องสูญเสีย พระพุทธสรีระแห่งองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาสักการะอย่างสูงยิ่ง เราชาวพุทธควรใช้วันนี้เป็นวันแสดงธรรมสังเวช อัปปมาทธรรม (ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความไม่ประมาทมัวเมาในอารมณ์ทั้งปวง) ทำจิตใจให้สงบน้อมระลึกถึงพระพุทธคุณอันหาประมาณมิได้ ให้สำเร็จเป็นพุทธานุสสติภาวนามัยกุศลด้วยเถิด นอกจากนี้แล้ว วันนี้ยังเป็น...วันคล้ายวันที่พระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา สิ้นพระชนม์ หลังประสูติเจ้าชายสิทธัตถะ และเป็น...วันคล้ายวันที่พระพุทธองค์ทรงประทับเสวยวิมุตติสุข ณ พระแท่นวัชรอาสน์ หรือโพธิบัลลังก์ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตลอด ๗ วัน หลังจากตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอีกด้วย ![]() ![]() ![]() ![]() หลังจากพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว เหล่าภิกษุสงฆ์ เทพเทวดา พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ ได้ถวายการสักการะพระพุทธสรีระ พวกเจ้ามัลลกษัตริย์จัดบูชาด้วยของหอม ดอกไม้ และเครื่องดนตรีทุกชนิดที่มีอยู่ในเมืองกุสินาราตลอด ๗ วัน แล้วให้พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ระดับหัวหน้า (มัลลปาโมกข์) ๘ องค์ สระสรงเกล้า นุ่งห่มผ้าใหม่ แล้วอัญเชิญพระพุทธสรีระ ไปทางทิศตะวันออกของพระนครเพื่อถวายพระเพลิง พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ถามถึงวิธีปฏิบัติพระพุทธสรีระกับ “พระอานนท์เถระ” แล้วทำตามคำของพระอานนท์เถระนั้น คือ ห่อพระพุทธสรีระด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี แล้วใช้ผ้าใหม่ห่อทับอีก ทำเช่นนี้จนหมดผ้า ๕๐๐ คู่ แล้วอัญเชิญประดิษฐานลงในหีบทองที่เต็มไปด้วยนํ้ามันหอม แล้วทำจิตกาธาน (อ่านว่า จิต-ตะ-กา-ธาน แปลว่า เชิงตะกอน) ด้วยดอกไม้จันทน์ และของหอมทุกชนิด จากนั้นให้พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ระดับหัวหน้า (มัลลปาโมกข์) ๔ องค์ พยายามจุดไฟที่เชิงตะกอน แต่ก็ไม่อาจให้ไฟติดได้ จึงสอบถามสาเหตุ “พระอนุรุทธะเถระ” แจ้งว่า “เพราะเทวดามีความประสงค์ให้รอ พระมหากัสสปเถระและหมู่ภิกษุใหญ่ ๕๐๐ รูป ผู้กำลังเดินทางจากเมืองปาวามาสู่เมืองกุสินารานี้ เพื่อมาถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระบรมศาสดาเสียก่อน ไฟก็จะลุกไหม้” ก็เทวดาเหล่านั้นเคยเป็นโยมอุปัฏฐากของพระเถระ และพระสาวกผู้ใหญ่มาก่อนในอดีต จึงไม่ยินดีที่ไม่เห็นพระมหากัสสปเถระอยู่ในพิธี ครั้งนั้นพระมหากัสสปเถระและหมู่ภิกษุใหญ่ ๕๐๐ รูป กำลังเดินทางจากเมืองปาวาจะไปยังเมืองกุสินารา เพื่อเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ระหว่างทางได้แวะพักร้อนที่ร่มไม้ ขณะที่กำลังนั่งพักอยู่นั้น ได้มีอาชีวกะ (พราหมณ์) ผู้หนึ่งถือ “ดอกมณฑารพ” ที่ผูกติดกับกิ่งไม้ต่างร่ม เดินสวนทางมา พระมหากัสสปเถระได้เห็นก็ทราบว่ามีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น ดอกมณฑารพนี้มีเพียงในเทวโลกแดนสวรรค์ ไม่มีในเมืองมนุษย์ การที่มีดอกไม้นี้อยู่แสดงว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับพระบรมศาสดา พระมหากัสสปเถระจึงถามอาชีวกะ (พราหมณ์) นั้นว่า ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับพระบรมศาสดาบ้างหรือไม่ อาชีวกะ (พราหมณ์) นั้นตอบว่า... พระสมณโคดมได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปล่วงเจ็ดวันแล้ว ดอกไม้นี้ข้าพเจ้าได้เก็บมาจากบริเวณที่เสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น เมื่อพระมหากัสสปเถระและหมู่ภิกษุใหญ่เดินทางมาถึง สถานที่ถวายพระเพลิง “มกุฏพันธนเจดีย์” เมืองกุสินาราแล้ว ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณรอบเชิงตะกอน ๓ รอบ พระมหากัสสปเถระเปิดผ้าทางพระบาทแล้ว ถวายบังคมพระบาททั้งสองด้วยเศียรเกล้าแล้วอธิษฐานว่า “ขอพระยุคลบาทของพระองค์ที่มีลักษณะเป็นจักร อันประกอบด้วยซี่พันซี่ ขอจงชำแรกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ พร้อมทั้งสำลี ไม้จันทน์ ออกเป็นช่อง ประดิษฐานเหนือเศียรเกล้าของข้าพระองค์ด้วยเถิด” เมื่ออธิษฐานเสร็จ ก็บังเกิดความอัศจรรย์ พระยุคลบาทก็แหวกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ออกมา โผล่พ้นปลายหีบทองพระบรมศพ เพื่อประทานให้นมัสการเป็นพิเศษแก่พระเถระ พระเถระจับพระยุคลบาทไว้และน้อมนมัสการเหนือเศียรเกล้าของตน เมื่อพระเถระและหมู่ภิกษุใหญ่ ๕๐๐ รูปถวายบังคมแล้ว ฝ่าพระยุคลบาทก็เข้าประดิษฐานในที่เดิม ครั้นแล้วเปลวเพลิงก็ลุกโพลงท่วม พระพุทธสรีระของพระบรมศาสดาด้วยอำนาจของเทวดา เมื่อเพลิงใกล้จะดับ ก็มีท่อน้ำไหลหลั่งลงมาจากอากาศ และมีน้ำพุ่งขึ้นจากกองไม้สาละ ดับไฟที่ยังเหลืออยู่นั้น พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ก็ประพรม “พระบรมสารีริกธาตุ” ด้วยของหอม ๔ ชนิด รอบๆ บริเวณก็โปรยข้าวตอกเป็นต้น แล้วจัดกองกำลังอารักขา จัดทำสัตติบัญชร (ซี่กรงทำด้วยหอก) เพื่อป้องกันภัย แล้วให้ขึงเพดานผ้าไว้เบื้องบน ห้อยพวงของหอม พวงมาลัย พวงแก้ว ให้ล้อมม่านและเสื่อลำแพนไว้ทั้งสองข้าง ตั้งแต่มกุฏพันธนเจดีย์จนถึงศาลาด้านล่าง ให้ติดเพดานไว้เบื้องบน ตลอดทางติดธง ๕ สีโดยรอบ ให้ตั้งต้นกล้วย และหม้อน้ำ พร้อมกับตามประทีปมีด้ามไว้ตามถนนทุกสาย พวกเจ้ามัลลกษัตริย์นำพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายวางลงในรางทอง แล้วอัญเชิญไว้บนคอช้าง นำพระบรมสารีริกธาตุเข้าพระนคร ประดิษฐานไว้บนบัลลังก์ที่ทำด้วยรัตนะ ๗ อย่าง กั้นเศวตรฉัตรไว้เบื้องบน แล้วจัดกองกำลังอารักขา จากนั้นจัดเหล่าช้างเรียงลำดับกระพองต่อกันล้อมไว้ พ้นจากเหล่าช้างก็เป็นเหล่าม้าเรียงลำดับคอต่อกัน จากนั้นเป็นเหล่ารถ เหล่าราบ รอบนอกสุดเป็นทหารธนูล้อมอยู่ พวกเจ้ามัลลกษัตริย์จัดฉลองพระบรมสารีริกธาตุตลอด ๗ วัน “มกุฏพันธนเจดีย์” ตั้งอยู่ห่างจาก “มหาปรินิพพานสถูป” ไปทางด้านทิศตะวันออก ๑ กิโลเมตร เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า คนท้องถิ่นเรียกว่า “รามภาร์-กา-ดีลา” หรือ รัมภาร์สถูป เดิมทีเป็นเชิงตะกอนไม้จันทร์หอม หลังจากที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว ก็ได้สร้างพระสถูปครอบลง ต่อมาก็ได้ถูกรุกรานทำลายเหลือแต่ซากปรักหักพัง ภายหลังได้ถูกขุดค้นพบเป็นซากกองอิฐพระสถูปขนาดใหญ่ ดังที่เห็นในปัจจุบัน พระสถูปนี้วัดโดยรอบฐานได้ ๔๖.๑๔ เมตร และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๗.๑๘ เมตร อย่างไรก็ตาม ตามหลักฐานก็เป็นที่ชัดเจนว่านั่นคือ สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า หรือมกุฏพันธนเจดีย์ตามที่ชาวพุทธเรียกชื่อกัน ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้เข้ามาบูรณะซ่อมแซมไว้อย่างดี ![]() มกุฏพันธนเจดีย์ เมืองกุสินารา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า ใน “วันอัฏฐมีบูชา” ซึ่งตรงกับวันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ หรือเดือน ๗ (ปีที่มีอธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองหน) หลังจากเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ๘ วัน คือหลังจาก “วันวิสาขบูชา” แล้ว ๘ วันนั่นเอง คนท้องถิ่นเรียก “มกุฏพันธนเจดีย์” ว่า “รามภาร์-กา-ดีลา” หรือ รัมภาร์สถูป ![]() ภาพเขียน..พระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ![]() ภาพเขียน..พิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า ![]() ![]() ![]() พร้อมคำบรรยายโดยสังเขป จำนวน ๘๑ ภาพ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=39272 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 08 มิ.ย. 2012, 07:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันอัฏฐมีบูชา วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า |
![]() พระมหากัสสปะ ประธานในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วถึงวันที่เจ็ด ครั้งนั้น “พระมหากัสสปะ” พร้อมด้วยภิกษุบริวารหมู่ใหญ่ ๕๐๐ รูป กำลังเดินทางจากเมืองปาวา จะไปยังเมืองกุสินาราเพื่อเข้าเฝ้าองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ระหว่างทางได้แวะพักร้อนที่ร่มไม้ ขณะที่กำลังนั่งพักอยู่นั้น ได้มีอาชีวกะ (พราหมณ์) ผู้หนึ่งถือ “ดอกมณฑารพ” ที่ผูกติดกับกิ่งไม้ต่างร่ม เดินสวนทางมา พระเถระคิดว่า ดอกมณฑารพปกติจะมีก็แต่ในแดนสวรรค์ จะมีในโลกมนุษย์ก็ต่อเมื่อผู้มีฤทธิ์บางท่านแผลงฤทธิ์ หรือเมื่อพระสัพพัญญูโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา เป็นต้น แต่วันนี้ผู้มีฤทธิ์ใดๆ ก็ไม่ได้แสดงฤทธิ์ พระบรมศาสดาของเราก็ไม่ได้เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา มิใช่เวลาที่ทรงประสูติ ทั้งวันนี้พระองค์ก็มิได้ทรงตรัสรู้ ไม่ได้ประกาศพระธรรมจักร ไม่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ยมกปาฏิหาริย์ ไม่ได้เสด็จลงจากเทวโลก ไม่ได้ทรงปลงอายุสังขาร แต่พระบรมศาสดาของเราทรงพระชรา คงจะเสด็จดับขันธปรินิพพานเสียเป็นแน่แล้ว เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว พระมหากัสสปะท่านจึงได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง เข้าไปหาอาชีวกะ (พราหมณ์) ผู้นั้น ถามว่า ท่านทราบข่าวพระบรมศาสดาของเราบ้างหรือไม่ อาชีวะ (พราหมณ์) จึงตอบว่า พระสมณโคดมได้เสด็จดับขันธปรินิพพานได้เจ็ดวันเช้าวันนี้ ดอกไม้นี้ข้าพเจ้าได้เก็บมาจากบริเวณที่เสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น บรรดาภิกษุที่เดินทางมาพร้อมกับพระมหาเถระ ภิกษุพวกที่ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล ต่างก็โศกเศร้าคร่ำครวญ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา รำพันถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ส่วนภิกษุที่บรรลุอรหัตผลแล้ว มีสติสัมปชัญญะ ปลงธรรมสังเวชถึงความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลาย ในกลุ่มภิกษุที่ยังไม่บรรลุพระอรหัตผลนั้น มีพระภิกษุปุถุชนรูปหนึ่งชื่อว่า พระสุภัททะ ซึ่งบวชเมื่อแก่และและมีใจอาฆาตพระพุทธองค์มาแต่เดิม ได้เที่ยวกล่าวแก่ภิกษุทั้งหลายว่าพวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พวกเราจะสบายแล้ว ด้วยเมื่อพระมหาสมณะยังอยู่นั้น ก็ได้คอบห้ามพวกเราอยู่ว่า สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ บัดนี้ พวกเราปรารถนาจะทำสิ่งใด ก็จะกระทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาจะทำสิ่งใด ก็จะไม่กระทำสิ่งนั้น “พระมหากัสสปะ” ฟังคำที่พระสุภัททะ ได้เที่ยวพูดกับหมู่ภิกษุเหล่านั้นแล้ว ท่านก็เกิดธรรมสังเวช ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเพิ่งจะปรินิพพานได้เพียง ๗ วัน พระบรมศพก็ยังอยู่ เสี้ยนหนามศาสนาอันใหญ่เกิดขึ้นเร็วถึงปานนี้ พระศาสนาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำมาด้วยทุกข์ยากนี้ถ้าปล่อยให้คนบาปเหล่านี้เติบโตและได้คนบาปอื่นมาเป็นพรรคพวก ก็อาจจะทำพระพุทธศาสนาให้เสื่อมถอยได้ ถ้าเราจะให้ขับไล่พระชั่วองค์นี้ไป ผู้คนทั้งหลายก็จะพากันตำหนิโทษเราว่า พระศาสดาปรินิพพานไปยังไม่ทันไร พระบรมศพของพระสมณโคดมยังคงอยู่ เหล่าสาวกก็เกิดวิวาทกันเสียแล้ว เพราะฉะนั้น เราควรอดกลั้นไว้ก่อน พระธรรมที่ทรงแสดงแล้วนั้น เปรียบเหมือนดอกไม้ทั้งหลายที่เมื่อต้องลมก็ย่อมกระจัดกระจายไป ฉันใด สิกขาบทในวินัยก็จะพินาศ ธรรมในพระสูตรก็จะพินาศ ธรรมในพระอภิธรรมก็จะพินาศ ด้วยอำนาจของบุคคลชั่วเช่นนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราจะต้องสังคายนาธรรมวินัย เพื่อให้พระธรรมนี้ พระวินัยนี้ มั่นคงเหมือนดอกไม้ที่ผูกไว้ด้วยด้ายเหนียว ในอดีต เหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จต้อนรับเราตลอดทาง ๓ คาวุต (๓๐๐ เส้น) และทรงประทานอุปสมบทด้วยโอวาท ๓ ประการ ทรงประทานเปลี่ยนจีวรจากพระวรกายกับจีวรเก่าของเรา ตรัสทรงยกย่องว่าเราเป็นกายสักขี (มีวิหารธรรมเสมอด้วยพระองค์) ทรงมอบความเป็นสกลศาสนทายาท ก็เพื่อประโยชน์ว่าเราจะทำสังคายนาพระธรรมและพระวินัย เพื่อให้พระศาสนามั่นคงและแพร่หลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า กัสสปะผู้นี้จักเป็นผู้ดำรงวงศ์พระสัทธรรมของเรา จึงทรงอนุเคราะห์เรา ด้วยการอนุเคราะห์ที่ไม่ทรงกระทำแก่ผู้อื่นโดยทั่วไปนี้ เปรียบเหมือนพระราชาทรงอนุเคราะห์พระราชโอรสผู้ดำรงวงศ์ตระกูล ด้วยทรงมอบเกราะและพระราชอิสริยยศมิใช่หรือ เรานั้นจะมีหนี้อื่นอะไรเล่า จึงควรจักทำความอุตสาหะให้เกิดแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อช่วยกันสังคายนาธรรมและวินัย การแสดงออกของพระสุภัททะ ทำให้พระมหากัสสปะได้ถือเป็นเหตุสำคัญกระทำปฐมสังคายนาพระธรรมวินัย ทางด้านคณะสงฆ์และเจ้ามัลลกษัตริย์ ผู้ครองเมืองกุสินารา ได้ทำพิธีสักการบูชาพระบรมศพพระพุทธเจ้าเป็นเวลาถึง ๖ วัน ในวันที่ ๗ จึงเชิญพระบรมศพเป็นขบวนไปทางทิศเหนือของเมือง ผ่านใจกลางเมือง แล้วเชิญพระบรมศพไปมกุฏพันธนเจดีย์ ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเมือง เพื่อถวายพระเพลิง วันที่กำหนดจะถวายพระเพลิงนั้น ตรงกับวันแรม ๘ คํ่า เดือน ๖ ซึ่งทุกวันนี้ทางเมืองไทยเราถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง เรียกว่า “วันอัฏฐมีบูชา” พระบรมศพพระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ในหีบทองที่เต็มไปด้วยนํ้ามันหอม ตั้งอยู่บน จิตกาธาน (อ่านว่า จิต-ตะ-กา-ธาน แปลว่า เชิงตะกอน) ที่ทำด้วยไม้หอมหลายชนิด ครั้นได้เวลา มัลลปาโมกข์ (หมายถึงเจ้ามัลลกษัตริย์ระดับหัวหน้า) ๔ องค์ ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้จุดเพลิง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มิอาจทำให้เพลิงติดได้ พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราจึงได้ถามพระอนุรุทธะ ว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้มัลลปาโมกข์ทั้ง ๔ องค์นี้ มิอาจทำให้ไฟติดได้ พระอนุรุทธเถระ ตอบว่า เป็นความประสงค์ของพวกเทวดา ที่ทราบว่า “ท่านพระมหากัสสปเถระ” พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป กำลังเดินทางไกลจากเมืองปาวามาสู่เมืองกุสินารานี้ จิตกาธานของพระผู้มีพระภาคจะยังไม่สามารถติดไฟขึ้นได้ จนกว่า “ท่านพระมหากัสสปเถระ” จะถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยมือของตน ในอรรถกถา กล่าวว่า เทวดาเหล่านั้นเป็นอุปัฏฐากในอดีตของพระมหาเถระนั่นเอง เพราะมีจิตเลื่อมใสในพระมหากัสสปเถระ อุปัฏฐากเหล่านั้นก็ไปบังเกิดในสวรรค์ ในครั้งนี้เหล่าเทวดาเหล่านี้ไม่เห็นพระเถระในสมาคมผู้ร่วมกระทำพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระนั้น ก็พากันคิดว่า พระมหาเถระประจำตระกูลของพวกเราไปเสียที่ไหนหนอ ก็เห็นท่านเดินอยู่ระหว่างทาง จึงพากันอธิษฐานว่าเมื่อพระเถระประจำตระกูลของพวกเรายังไม่ได้ถวายบังคมพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอจิตกาธานอย่าเพิ่งติดไฟ ดังนี้ ครั้นเมื่อ “ท่านพระมหากัสสปเถระ” พร้อมหมู่ภิกษุมาถึง จึงได้เข้าไปถึงมกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ในเมืองกุสินารา เมื่อถึงจิตกาธานของพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วกระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณจิตกาธาน ๓ รอบ แล้วเปิดทางพระบาท ถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า เหล่าภิกษุ ๕๐๐ รูป เหล่านั้น ก็กระทำเช่นเดียวกัน เมื่อท่านพระมหากัสสปเถระและภิกษุ ๕๐๐ รูปนั้นถวายบังคมแล้ว จิตกาธานของพระผู้มีพระภาคก็มีเพลิงลุกโพลงขึ้นเอง เมื่อพระสรีระของพระผู้มีพระภาคถูกไฟไหม้แล้ว ท่อน้ำก็ไหลหลั่งมาจากอากาศและจากไม้สาละดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาค พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคด้วยน้ำหอมล้วนๆ แล้วเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานไว้ที่สันคารศาลา คือ หอประชุมกลางเมือง รอบหอประชุมนั้นจัดทหารถืออาวุธพร้อมสรรพคอยพิทักษ์รักษา และทำสักการบูชาด้วยฟ้อนรำ ดนตรีประโคมขับ และดอกไม้นาๆ ประการ และมีนักขัตฤกษ์เอิกเกริกกึกก้อง ฉลองถึง ๗ วันเป็นกำหนด ![]() ในคัมภีร์พระสาวกนิพพาน กล่าวว่า “พระมหากัสสปะ” เมื่อทำหน้าที่เป็นประธานในการทำปฐมสังคายนาแล้ว ได้พักอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ดำรงอยู่ถึง ๑๒๐ ปี ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ๑ วัน ท่านได้ตรวจดูอายุสังขารของท่านแล้วทราบว่าจะอยู่ได้อีกเพียงวันเดียวเท่านั้น ท่านจึงประชุมบรรดาภิกษุผู้เป็นศิษย์ของท่าน แล้วให้โอวาทเป็นครั้งสุดท้าย สั่งสอนภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนมิให้เสียใจกับการจากไปของท่าน ให้พยายามทำความเพียรและอย่าประมาท แล้วพระเถระก็เข้าไปถวายพระพรลาพระเจ้าอชาตศัตรู จากนั้นท่านได้พาหมู่ภิกษุไปยังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต แสดงอิทธิปาฏิหาริยิ์ และให้โอวาทแก่พุทธบริษัท แล้วอธิษฐานจิตขอให้ภูเขาทั้ง ๓ ลูกมารวมเป็นลูกเดียวกัน ให้ปรากฏเป็นห้องหับอยู่ภายในภูผาอุปมาดังห้องที่ไสยาสน์ ซึ่งในภูเขาทั้ง ๓ ลูกนั้นมีภูเขาเวภารบรรพต สถานที่ทำปฐมสังคายนา รวมอยู่ด้วย จากนั้นท่านจึงเข้าไปสู่ที่ไสยาสน์ระหว่างภูเขาทั้ง ๓ ลูก แล้วก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ณ ที่นั้น ท่านยังอธิษฐานขอให้สรีระสังขารของท่านยังคงสภาพเดิมไม่สูญสลาย จนกระทั่งพระศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า (พระศรีอาริย์) ซึ่งพระองค์จะพาหมู่ภิกษุสงฆ์มายังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต แล้วยกสรีระสังขารของ “พระมหากัสสปะ” วางบนพระหัตถ์ขวา ชูขึ้นประกาศสรรเสริญคุณของพระเถระแล้ว เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) ก็จะเกิดขึ้นเผาสรีระสังขารของท่านบนฝ่าพระหัตถ์ของพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า (พระศรีอาริย์) นั้น ![]() ![]() ![]() พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์ (สมาน พรหมอยู่/กัลยาณธัมโม), พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๕๔๔ (๑๘. พระมหากัสสปเถระ เอตทัคคะในทางผู้ทรงธุดงค์) ![]() ![]() ![]() “ดอกมณฑารพ” ดอกไม้ทิพย์แห่งสวรรค์ ที่ไม่มีในโลกมนุษย์ และจะปรากฏเฉพาะตอนที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้า เช่น ประสูติ, ตรัสรู้, ปลงอายุสังขาร, ดับขันธปรินิพพาน, วันจาตุรงคสันนิบาต, วันที่ทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตนสูตร และวันที่เสด็จลงจากเทวโลก หรือผู้มีฤทธิ์บางท่านแผลงฤทธิ์ เป็นต้น ซึ่งเทพเทวดาจะบันดาลให้ “ดอกมณฑารพ” ตกลงมาจากเทวโลก ![]() ![]() ![]() ![]() http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7539 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=17&t=19556 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=45500 |
เจ้าของ: | JANDHRA [ 08 มิ.ย. 2012, 09:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ นี้ เป็น “วันอัฏฐมีบูชา” |
..
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 09 มิ.ย. 2012, 09:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันอัฏฐมีบูชา วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า |
![]() ![]() ณ วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง บ้านทุ่งยั้ง ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ในระหว่างวันจันทร์ที่ ๔-วันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ หลังจากได้เล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนานในวันสงกรานต์ที่ผ่านมากันถ้วนหน้าแล้ว ก็มาถึงวันสำคัญยิ่งของผู้นับถือพระพุทธศาสนา นั่นก็คือ “วันวิสาขบูชา” ที่แม้แต่องค์การสหประชาชาติยังยกย่องและประกาศให้เป็นวันสำคัญสากลโลก สำหรับในประเทศไทยได้มีประเพณีหนึ่งอันเกี่ยวเนื่องกับวันวิสาขบูชา แต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักหรือแพร่หลายในหมู่พุทธศาสนิกชนนัก นั่นก็คือประเพณี “วันอัฏฐมีบูชา” “วันอัฏฐมีบูชา” หมายถึง การบูชาพระพุทธเจ้าในวันแรม ๘ ค่ำ แห่งเดือนวิสาขะ เดือน ๖ (หรือเดือน ๗ ในปีที่มีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน) ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามพุทธประวัติกล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ ป่าสาละ เมืองกุสินารา ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เจ้ามัลลกษัตริย์ ผู้ครองนครกุสินารา ได้ทำพิธีสักการบูชาพระบรมศพพระพุทธองค์เป็นเวลา ๗ วัน ครั้นถึงวันที่ ๘ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ จึงได้อัญเชิญพระบรมศพไปถวายพระเพลิง ณ มกุฏพันธนเจดีย์ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง วันนี้เองจึงเรียกว่า “วันอัฏฐมีบูชา” ความเป็นมาของประเพณีการจำลองพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้าในบ้านเรานั้น พบว่าเคยมีมานานแล้ว แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเริ่มขึ้นในสมัยใด ในปัจจุบันประเพณีนี้ได้รับการสนับสนุนจากทางหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน โดยจัดเป็นงาน “วันอัฏฐมีบูชารำลึก เมืองทุ่งยั้ง” สถานที่ที่จัดงานพิธีนี้อย่างยิ่งใหญ่จนเป็นที่รู้จักกันดี ก็คือ วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง บ้านทุ่งยั้ง ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() พระอธิการวรกูล ธมฺมทินโน เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง กล่าวว่า วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง ได้ร่วมกับ อบจ.อุตรดิตถ์, เทศบาลตำบลทุ่งยั้ง, กระทรวงวัฒนธรรม, ททท., อำเภอลับแล และจังหวัดอุตรดิตถ์ จัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชา และงานอัฏฐมีบูชา (ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้าจำลอง) ประจำปี ๒๕๕๕ เพื่อสืบสานงานประเพณีท้องถิ่นสำคัญของชาวอุตรดิตถ์ ที่มีการจัดงานสืบต่อกันมาช้านานถึง ๕๒ ปีแล้ว ในระหว่างวันจันทร์ที่ ๔-วันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ถึง วันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ รวม ๙ วัน ณ วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง วันอัฏฐมีบูชารำลึก เมืองทุ่งยั้งแห่งนี้ เดิมเป็นงานประเพณีที่ชาวตำบลทุ่งยั้งได้ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะศรัทธาในพระพุทธศาสนา ประกอบกับที่วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้งแห่งนี้ มี “พระธาตุเจดีย์” ทรงระฆังสมัยกรุงสุโขทัย ฐานสี่เหลี่ยมกว้าง-ยาว ๒๒.๒๐ เมตร สูง ๒๕ เมตร ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระนลาฎ (หน้าผาก) ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหลังวิหารของวัด ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อหลักเมือง” หรือ “หลวงพ่อประธานเฒ่า” พระคู่เมืองอันเป็นที่เคารพสักการะของชาวตำบลทุ่งยั้งมายาวนาน ใน “วันวิสาขบูชา” มีพิธีเวียนเทียนรอบพระธาตุเจดีย์ และในวันสุดท้ายมีพิธีการแสดงสมมติขั้นตอนการถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า ตามขั้นตอนในพิธีที่กล่าวไว้ในพุทธประวัติตามลำดับ คือ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานในวันวิสาขบูชา จะมีการสร้างพระพุทธเจ้าจำลองสานด้วยไม้ไผ่บรรจุในโลงแก้วจำลอง แล้วอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่ศาลาการเปรียญของวัด เพื่อประกอบพิธีทำบุญ ถวายสังฆทาน และสวดพระอภิธรรม ตั้งแต่วันแรกไปจนถึง “วันอัฏฐมีบูชา” ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองทุ่งยั้ง แห่งนี้ จะได้รับการสมมติว่าเป็นเมืองกุสินารา ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ที่วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง จ.อุตรดิตถ์ จะถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ก่อนถึงวันงานที่ยิ่งใหญ่นี้ มีการสร้างพระบรมศพจำลองของพระพุทธเจ้าในพระอิริยาบถ “ไสยาสน์” ด้วยไม้ไผ่สาน พอกด้วยปูนปลาสเตอร์ผสมกระดาษ ห่มพระวรกายด้วยจีวรสีเหลือง ยาว ๙ ศอก ประดิษฐานอยู่ภายใต้พระเมรุมาศที่สร้างขึ้นอย่างสวยงาม สีแดงสลับเหลือง ด้วยฝีมือช่างอาวุโสชาวเมืองลับแล ![]() ![]() ![]() ![]() พิธีการสำคัญจะเริ่มขึ้นในวันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ซึ่งตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ ในช่วงกลางวันจะมีพิธีสงฆ์ การทำบุญตักบาตร พิธีการถวายสลากภัต การสวดพระอภิธรรม เมื่อถึงเวลาค่ำประมาณ ๒๐.๐๐ น. จะเริ่มพิธีการจำลองถวายพระเพลิงพระบรมศพของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการแสดงแสงสีเสียงอย่างยิ่งใหญ่สวยงาม บรรดาชาวเมืองทุ่งยั้งจะได้รับการสมมติว่าเป็นชาวเมืองกุสินาราในสมัยพุทธกาล ต่างถือดอกไม้ธูปเทียนเข้าร่วมพิธี ภายในงานจะมีโฆษกบรรยายพุทธประวัติในช่วงที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน และการถวายพระเพลิงพระบรมศพ มีผู้แสดงเป็นพราหมณ์-เทวดาตั้งขบวนมาถวายความเคารพ พร้อมอุบาสกอุบาสิกา และบุคคลผู้ที่ขาดไม่ได้ ก็คือ “พระมหากัสสปะ” ผู้ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตั้งพระทัยไว้ว่า หาก “พระมหากัสสปะ” ยังไม่มาถวายความเคารพพระบรมศพ พระเพลิงก็จะไม่ไหม้เลย ดังนั้น เมื่อพระสงฆ์ผู้สมมติเป็นพระมหากัสสปะมาเคารพพระบรมศพพระพุทธเจ้าจำลองแล้ว พระบรมศพจำลองจะเกิดไฟลุกท่วมขึ้นทันที พลุหลายหลากสีจะถูกจุดทะยานขึ้นเต็มท้องฟ้าอย่างงดงาม ขณะที่เพลิงซึ่งไหม้พระสรีระจำลองของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอดลงทีละน้อย...ก็เป็นอันเสร็จพิธี ผู้เข้าร่วมงานจะได้เห็นเหตุอัศจรรย์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาล ซึ่งได้จำลองมาให้ชมในครั้งนี้ด้วย จนเสร็จสิ้นพิธีแล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นบรรจุในพระบรมธาตุ ปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้กับบริเวณจัดงาน ด้วยเทคนิคแสงสีเสียงประกอบ ซึ่งผู้เข้าร่วมงานจะได้มีโอกาสร่วมพิธีทุกขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถวายดอกบัวเป็นพุทธบูชาก่อนการถวายพระเพลิง นับได้ว่าเป็นบุญอันยิ่งใหญ่สำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน ในงานจัดให้มีกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมแก่เยาวชน การแข่งขันตอบปัญหาทางพุทธศาสนา การประกวดโต๊ะหมู่บูชา การประกวดวาดภาพวันวิสาขบูชา การทำบุญตักบาตร พิธีถวายพระอภิธรรม ฟังเทศน์ฟังธรรม และพิธีการจำลองการถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ซึ่งเป็นในลักษณะการแสดงประกอบแสง สี เสียง อย่างยิ่งใหญ่งดงามตระการตา สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง โทร. ๐๕๔-๘๑๖-๖๕๒, ๐๘๔-๔๙๓-๙๙๗๒, ททท. สำนักงานแพร่ โทร. ๐๕๔-๕๒๑-๑๑๘, ๐๕๔-๕๒๑-๑๒๗ ![]() ![]() วิหาร วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อหลักเมือง” หรือ “หลวงพ่อประธานเฒ่า” พระคู่เมืองอันเป็นที่เคารพสักการะของชาวตำบลทุ่งยั้งมายาวนาน ![]() ที่มาของข้อมูล : หนังสือพิมพ์ข่าวสดออนไลน์ ที่มาของรูปภาพ : http://www.utdclub.com ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=45500 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 09 มิ.ย. 2012, 09:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ นี้ เป็น “วันอัฏฐมีบูชา” |
![]() ขอเชิญร่วมงานบุญประเพณี “วันอัฏฐมีบูชา” ณ วัดใหม่สุคนธาราม ต.วัดละมุด อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ในวันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้าจำลอง (วันอัฏฐมีบูชา) หรือชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่าประเพณีเผาศพพระพุทธเจ้าจำลอง ซึ่งพุทธศาสนิกชน ต.วัดละมุด อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม จัดสืบทอดกันมายาวนานกว่า ๑๐๐ ปีแล้ว เพื่อมุ่งหวังให้เป็นเครื่องเตือนสติพุทธศาสนิกชนได้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ อันเป็นหลักแหล่งการประพฤติปฏิบัติที่เกื้อกูลขนบธรรมเนียมประเพณี รวมทั้งเพื่อรักษาประเพณีทางพระพุทธศาสนาที่ดีงามให้คงอยู่กับชุมชนท้องถิ่นสืบไป การจัดงาน “วันอัฏฐมีบูชา” มีกำหนดจัดหลังงาน “วันวิสาขบูชา” ๘ วัน หรือตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ (หรือเดือน ๗ ในปีที่มีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน) โดยในปีนี้กำหนดจัดขึ้นในวันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งตรงกับวันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา อาทิเช่น การถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ การแห่พระบรมศพพระพุทธเจ้าจำลอง การกระทำทักษิณาวรรต เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา เป็นต้น การจัดขบวนแห่จำลองเหตุการณ์เกี่ยวกับพุทธประวัติ นรกภูมิและวิถีชีวิตไทย ที่แสดงให้เห็นถึงผู้ที่กระทำผิดศีลจะได้รับกรรมตอบสนองในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นความทุกข์ทรมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อต้องการย้ำเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ไปร่วมงานได้เกิดสติคำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ และมีความเกรงกลัวที่จะกระทำบาป นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมีการแสดงมหรสพ การละเล่นและการจุดพลุตะไล และดอกไม้ไฟถวายเป็นพุทธบูชาด้วย พิธีกรรมของการถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า จะเริ่มตั้งแต่ตอนเช้าของวันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ชาวบ้านช่วยกันตักบาตรและถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ณ วัดใหม่สุคนธาราม จ.นครปฐม จนกระทั่งถึงช่วงบ่ายมีการจำลองพิธีอัญเชิญพระบรมศพพระพุทธเจ้าไปยังพระเมรุมาศ โดยพราหมณ์ เทวดา นางฟ้า พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชน จากศาลาการเปรียญเดินทักษิณาวรรตพระเมรุมาศ ๓ รอบ ต่อจากนั้นจึงได้อัญเชิญพระบรมศพพระพุทธเจ้าไปประดิษฐานยังแท่นพระเมรุมาศ (จำลอง) ซึ่งพระเมรุมาศ เป็นลักษณะสี่เสาทรงสูงแบบโบราณ ที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยการแทงหยวก ประดับด้วยผ้าแพรพรรณ และจัดโต๊ะหมู่บูชาไว้ด้านหน้าของพระเมรุมาศ เพื่อให้พระสงฆ์ พุทธศาสนิกชน และผู้เลื่อมใสศรัทธาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สักการบูชาพระบรมศพ เวลา ๑๔.๐๐ น. จะมีขบวนแห่เกี่ยวกับพุทธประวัติ นรกภูมิ และวิถีชีวิตไทย จากหมู่บ้านต่างๆ จำนวน ๙ ขบวน เคลื่อนจากหมู่บ้านมายังวัดใหม่สุคนธาราม ขบวนที่ ๑ การแสดงรำลึกประวัติศาสตร์ตอนสมเด็จพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ขบวนที่ ๒ พุทธประวัติตอนประสูติ ขบวนที่ ๓ พุทธประวัติตอน นายขมังธนูได้รับว่าจ้างจากพระเทวทัต ให้ไปปลงพระชนม์พระพุทธองค์ ตอนที่ ๔ พุทธประวัติตอนโสตถิยะเกิดความเลื่อมใส ถวายฟ่อนหญ้าคา พระองค์ทรงรับและใช้ปูลาดใต้ร่มโพธิบัลลังก์ ขบวนที่ ๕ พุทธประวัติตอนเสด็จออกบรรพชา โดยมีนายฉันนะ เป็นผู้ผูกม้ากัณฐกะให้ใช้ในการเดินทาง ขบวนที่ ๖ พุทธประวัติตอนพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาทรมานพระวรกาย ขบวนที่ ๗ พุทธประวัติตอนเทวดาแสดงนิรมิตพิณบรรเลงถวาย ขบวนที่ ๘ และ ๙ พุทธประวัติตอนนางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส และตอนบำเพ็ญทุกรกิริยา เมื่อขบวนแห่ถึงวัดแล้ว เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. จะเริ่มพิธีสงฆ์ โดยพระสงฆ์ที่อยู่บริเวณพิธีจะร่วมกันสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ เมื่อสวดจบแล้วประธานฝ่ายสงฆ์และประธานฝ่ายฆราวาส นำดอกบัวและธูปเทียนไปถวายหน้าพระบรมศพ ต่อจากนั้นผู้มาร่วมพิธีจะทยอยนำดอกบัว ธูปเทียนไปถวายหน้าพระบรมศพ และชาวบ้านในแต่ละขบวนจะเดินออกบริเวณพิธีเพื่อไปจุดพลุตะไล และดอกไม้ไฟเพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ถือเป็นเสร็จพิธี โดยในช่วงกลางคืนจะมีมหรสพพื้นบ้าน ดนตรีไทย และการละเล่นที่ชาวบ้านแต่ละหมู่บ้านส่งมาร่วมแสดง ซึ่งนับเป็นงานบุญประเพณีที่พุทธศาสนิกชนจะได้ช่วยกันอนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่สืบไป ![]() ![]() ที่มาของข้อมูล : หนังสือพิมพ์ข่าวสดออนไลน์ |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 09 มิ.ย. 2012, 16:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ นี้ เป็น “วันอัฏฐมีบูชา” |
![]() พระพุทธรูปปางปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา สถานที่ปรินิพพาน รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย วัดป่างิ้ว ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ กำหนดจัดงาน “วันอัฏฐมีบูชา” ในวันจันทร์ที่ ๑๑-วันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ วัดป่างิ้ว ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ กำหนดจัดงาน “วันอัฏฐมีบูชา” หรือวันถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันจันทร์ที่ ๑๑-วันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ นี้ “วันอัฏฐมีบูชา” วันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ (หรือเดือน ๗ ในปีที่มีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน) ในปีนี้กำหนดตรงกับวันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ วันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ เป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา ถือเป็นวันที่ตรงกับวันถวายพระเพลิงพระบรมพุทธสรีระ เป็นวันที่ชาวพุทธต้องสูญเสียพระบรมพุทธสรีระแห่งองค์พระบรมศาสดาซึ่งเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงยิ่ง และเป็นวันที่แสดงธรรมสังเวช ระลึกถึงพระพุทธคุณให้สำเร็จเป็นพุทธานุสสติภาวนามัยกุศล ในการจัดงานมีพระสงฆ์รวมพิธีจำนวนมากกว่า ๔๐๐ รูป จำลองเหตุการณ์ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระพระพุทธเจ้า ผสมผสานกับจารีตประเพณีพื้นบ้าน มีการแห่ขบวนเครื่องสักการะมาถวาย ซึ่งประชาชนในพื้นที่และต่างจังหวัดที่ศรัทธาทางวัดมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยขบวนแห่เครื่องสักการะการจัดงานวันอัฏฐมีบูชา ประจำปี ๒๕๕๕ ได้มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุน พร้อมกันนี้ สถาบันการศึกษา ได้ให้ความสำคัญแจ้งความประสงค์มาร่วมงาน เพื่อให้เยาวชนนักเรียนนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ เข้ามาศึกษาประวัติพระพุทธศาสนา และปลูกจิตสำนึกเยาวชนให้เข้าวัดปฏิบัติธรรมให้มากยิ่งขึ้นด้วย สำหรับพิธีกรรมทางศาสนาในงาน ประกอบไปด้วย พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์สมโภชน้ำศักดิ์สิทธิ์, พระมหานาค สวดพระคาถาพุทธาภิเษกสมโภช ในวันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน พระราชาคณะจำนวน ๙ รูป เจริญพระพุทธมนต์สืบชะตาหลวง, ทอดผ้าป่ามหากุศล เวลา ๑๔.๐๐ น. ประกอบพิธิอัฏฐมีบูชา ![]() หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายวัน ออนไลน์ ![]() วัดอโศการาม บ้านนาแม่ขาว ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ขอเชิญพุทธศาสนิกชนทุกท่าน ร่วมเวียนเทียนเนื่องใน “วันอัฏฐมีบูชา” วันอังคาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ ณ พระธุตังคเจดีย์ วัดอโศการาม เริ่มเวียนเทียนตั้งแต่เวลา ๒ ทุ่มเป็นต้นไป หลังจากพระภิกษุสวดมนต์ ทำวัตรเย็น เสร็จเรียบร้อยแล้ว • แผนที่วัดอโศการาม • http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=2002 ![]() fb. ลูกศิษย์ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม |
เจ้าของ: | kallayapuechngam [ 21 พ.ค. 2014, 12:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันอัฏฐมีบูชา วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Duangtip [ 05 มิ.ย. 2015, 15:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันอัฏฐมีบูชา วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ดาราวรรณ [ 28 พ.ค. 2016, 15:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันอัฏฐมีบูชา วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า |
กราบสาธุๆๆ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Supatorn [ 18 พ.ค. 2017, 02:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันอัฏฐมีบูชา วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า |
อนุโมทนาสาธุค่ะ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | น้องพลอย [ 21 พ.ค. 2019, 14:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วันอัฏฐมีบูชา วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า |
![]() ![]() ![]() ![]() วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า หลังจากเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ๘ วัน เหตุการณ์ต่อเนื่องจาก “วันอัฏฐมีบูชา” โทณพราหมณ์ แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนเท่าๆ กัน แล้วมอบให้ผู้ครองนครทั้ง ๘ นำไปสักการบูชาที่บ้านเมืองของตน |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |