ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
จากพุทธคยาถึงสารนาถ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=85&t=62078 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | น้องพลอย [ 25 พ.ค. 2022, 12:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | จากพุทธคยาถึงสารนาถ |
![]() จากพุทธคยาถึงสารนาถ อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก เคยมีผู้ถามข้อข้องใจเกี่ยวกับพุทธประวัติหลายตอน ตอนหนึ่งว่า หลังจากตรัสรู้ พระพุทธเจ้าประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ใต้ต้นโพธิ์และบริเวณปริมณฑลกี่สัปดาห์ และเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง เพราะตำราเขียนต่างกัน ผมเรียนว่า ตำรามิได้เขียนต่างกัน เพียงแต่เราเอาตำรามาปนกันเลยสับสน ถ้าถือตำราหลัก (คือ พระไตรปิฎก) ก็จะได้ความอย่างหนึ่ง ถ้าถือตำรารอง (คือ อรรถกถา) ก็จะได้ความเพิ่มเติมไปอีกอย่างหนึ่ง พุทธประวัติมีเล่าทั้งในตำราหลักและตำรารอง ผู้ศึกษาต้องกำหนดเป็นเบื้องต้นก่อนว่า ข้อความใดมีในพระไตรปิฎก ข้อความใดเพิ่มเติมมาในอรรถกถา แล้วก็ใช้ข้อความหรือข้อมูลนั้นๆ เสริมกัน ขอยกข้อมูลจากพระไตรปิฎกมาเล่าก่อนดังนี้ ๑. หลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าประทับใต้ต้นไม้ที่ตรัสรู้ (ต้นไม้นี้เดิมชื่อ อัสสัตถะ ต่อมาเรียกต้นโพธิ์ เพราะพระพุทธเจ้าได้โพธิใต้ต้นไม้นี้) ๗ วัน ทรงพิจารณาธรรมที่ตรัสรู้แล้วคือ ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา กลับไปกลับมา ขณะพิจารณาพระพุทธองค์ทรงเปล่งพุทธอุทานว่า เมื่อธรรม (ปฏิจจสมุปบาท) ปรากฏชัดแก่ผู้เพียรเพ่งพินิจ ความสงสัยย่อมหมดไป และขจัดมารพร้อมเสนามารได้ เพราะรู้ธรรมพร้อมทั้งเหตุ และเพราะรู้การดับไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย ปฏิจจสมุปบาท กับ อิทัปปัจจยตา เป็นเรื่องเดียวกัน มิใช่สองเรื่องต่างกัน อ้อ ! พระพุทธองค์ตรัสรู้ อริยสัจ ๔ แต่เวลาพิจารณารายละเอียด ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทนี้ก็อย่าง เป็นเรื่องเดียวกันอีกนั่นแหละ มิใช่คนละเรื่องเดียวกันแต่ประการใด ๒. สัปดาห์ที่ ๒ เสด็จจากต้นโพธิ์ไปประทับใต้ต้นอชปาลนิโครธ ไทรย้อยต้นนี้ มักจะมีเด็กเลี้ยงแกะมาอาศัยอยู่เสมอ จึงชื่อ อชปาลนิโครธ ทรงโต้ตอบกับพราหมณ์ผู้มีทิฐิมานะคนหนึ่งที่ชอบตวาดคนอื่นที่มีวรรณะต่ำกว่าตน ๓. สัปดาห์ที่ ๓ เสด็จไปประทับใต้ต้นมุจลินท์ (แปลกันว่า ต้นจิก) ในช่วงเวลานี้มีฝนตกพรำๆ ตลอดสัปดาห์ พญามุจลินทนาคราชขึ้นมาขดและแผ่พังพานบังลมและฝนให้ เมื่อฝนหายแล้วก็คลายขนดจำแลงร่างเป็นมาณพน้อยยืนประคองอัญชลีนมัสการอยู่ พระพุทธองค์ทรงเปล่งพุทธอุทานความว่า “ความสงัดของผู้ยินดีในธรรม ผู้สดับธรรมและเห็นธรรมเป็นสุข การระมัดระวังไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย, การละกามคุณได้เป็นสุข, การละอัสมิมานะ (ความถือตัว) เสียได้เป็นสุขอย่างยิ่ง” ๔. สัปดาห์ที่ ๔ เสด็จไปประทับใต้ต้น ราชายตนะ (ต้นเกด) ณ ที่นี้มีพ่อค้าสองคนจากอุกกลาชนบท นามว่า ตปุสสะกับภัลลิกะ มาพบ ถวายสัตตุผง (มันถะ) และสัตตุก้อน (มธุปิณฑิกะ) เปล่งวาจาถึงพระรัตนะทั้งสอง คือ ถึงพระพุทธและพระธรรมเป็นสรณะ (ขณะนั้นยังไม่มีพระสงฆ์) ทั้งสองเรียกว่าเป็น เทฺววาจิกา อุบาสก (อุบาสกที่ถึงพระรัตนะทั้งสอง) เป็นคู่แรก ตามความในพระบาลีพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงเสวยวิมุติสุขใต้ต้นไม้ต่างๆ ๔ แห่ง ๔ สัปดาห์ เป็นเวลา ๒๘ วัน แต่ในอรรถกถาท่านเพิ่มเข้ามาอีก ๓ สัปดาห์ ช่วงที่เพิ่มก็คือระหว่างสัปดาห์แรกกับสัปดาห์ที่สอง (เพิ่มเหตุการณ์บางอย่างเข้ามาด้วย) เป็น ๔ สัปดาห์ แล้วก็เลื่อนสัปดาห์ที่ ๒-๓-๔ เดิม เป็นสัปดาห์ที่ ๕-๖-๗ ตามลำดับ ดังนี้ (๑) สัปดาห์ที่ ๑ อยู่ใต้ต้นโพธิ์ ดังในพระบาลีพระไตรปิฎก (๒) สัปดาห์ที่ ๒ เสด็จถอยไปทางทิศอีสานของต้นโพธิ์ ทรงยืนจ้องพระเนตรยังต้นโพธิ์ไม่กะพริบเป็นเวลา ๗ วัน ณ ที่นี้เองได้เกิดอนิมิสสเจดีย์ขึ้น (๓) สัปดาห์ที่ ๓ เสด็จดำเนินจงกรม (คือเดินกลับไปกลับมา) ระหว่างต้นโพธ์กับอนิมิสสเจดีย์นั้นเป็นเวลา ๗ วัน (๔) สัปดาห์ที่ ๔ ประทับขัดสมาธิ พิจารณาพระอภิธรรมตลอด ๗ วัน ณ เรือนแก้ว ที่มีเทวดานิรมิตให้อยู่ทางเหนือของต้นโพธิ์ สัปดาห์ที่ ๕-๖-๗ ข้อความเหมือนที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก แต่แทรกเหตุการณ์เข้ามาบางเรื่องบางราวให้มีสีสันขึ้น คือ เหตุการณ์ภายใต้ต้นอชปาลนิโครธ ได้แทรกเรื่องราวธิดามาร ๓ ตน นาม ตัณหา ราคา และอรดี ตามลำดับ รับอาสาพญามารนาม วสวัตตี ผู้พ่อ มายั่วยวนพระพุทธเจ้าหลังจากวสวัตตีพ่ายแพ้พระพุทธองค์ไป ธิดามารทั้ง ๓ มาร่ายรำยั่วยวนพระพุทธองค์อย่างไร ก็มิได้รับความสนพระทัยจากพระองค์แม้แต่น้อย จึงพ่ายแพ้อันตรธานไปในที่สุด ตรงนี้ทำให้ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแคลงพระทัยว่า ไม่สมเหตุสมผล เพราะเมื่อพญามารที่มาผจญเป็นสัญลักษณ์แทนกิเลส เมื่อกิเลสเป็นรากเหง้า คือ โลภ โกรธ หลง พ่ายแพ้ไปโดยสิ้นเชิง พระบรมโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้าทรงชนะมารได้เด็ดขาดแล้ว ไฉนยังมีฉากให้ธิดามาร ซึ่งเป็นกิเลสมายั่วยวนพระองค์อีก แต่หลวงพ่อพุทธทาส ได้เสนอแนวคิดในอีกทางหนึ่งว่า ฉากธิดามารมายั่วพระพุทธองค์ เป็นเพียงการทรงหวนรำลึกถึงความร้ายกาจของกิเลสที่ทรงเอาชนะแล้ว เพียงแต่ทรงย้อนนึกถึงความชั่วร้ายของกิเลสชั่วครู่เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ที่ธิดามารมายั่วชั่วประเดี๋ยวก็หายไปนั้น สมเหตุสมผลแล้ว ท่านว่าอย่างนั้น เหตุการณ์ใต้ต้นราชายตนะหรือต้นเกด อรรถกถาได้เพิ่มข้อความว่า พ่อค้าสองคนได้กราบทูลขออะไรสักอย่างเป็นที่ระลึก พระพุทธองค์ทรงประทานเส้นพระเกศาให้ สองพ่อค้าได้นำพระเกศธาตุนั้นไปบูชาในประเทศของตน ตรงนี้อรรถกถามิได้บอกว่า พ่อค้าสองคนนั้นเป็นใคร แต่พม่าได้อ้างว่า พ่อค้าสองคนนี้มาจากประเทศพม่า ได้นำพระเกศธาตุนั้นไปเมืองมาตุภูมิ ก่อพระเจดีย์บรรจุไว้บูชา พระเจดีย์นั้นคือ ชเวดากอง ในปัจจุบันนี้ ว่าอย่างนั้น นี่ก็ต่อเติมเสริมต่อกันไปไกลโข ฝากไว้พิจารณาด้วย จากหลักฐานในอรรถกถา พระพุทธเจ้าประทับใต้ต้นโพธิ์และบริเวณปริมณฑลเป็นเวลา ๗ สัปดาห์ รวม ๔๙ วัน เกือบ ๒ เดือน ถ้าถามว่าทำไมท่านจึงเพิ่มเวลาเข้ามาจาก ๒๘ วัน เป็น ๔๙ วัน คำตอบน่าจะเป็นดังนี้ด้วย (๑) จากวันตรัสรู้ถึงวันทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์ ๒ เดือนพอดี ระยะทางจากพุทธคยาไปยังสารนาถ (ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน สมัยโน้น) ประมาณ ๒๐๐ กว่ากิโลเมตร (๒๒๐ กิโลเมตรประมาณนั้น) ถ้าหากพระพุทธองค์เสด็จออกจากพุทธคยาหลังจากตรัสรู้ ๗ วัน ก็ไม่ทราบว่าจะให้พระพุทธองค์ไปประทับอยู่ที่ไหน จึงจะพอเหมาะพอดีกับเวลา ๕๓ วัน (เพราะในพระไตรปิฎกมิได้บอกว่าพระองค์ทรงแวะที่ไหนระหว่างทางก่อนจะถึงสารนาถ มีฉากเดียวคือ พบกับอุปาชีวก ซึ่งก็สนทนากันเพียงครู่เดียว แล้วก็เสด็จดำเนินผ่านไป) จึงเกณฑ์ให้พระพุทธองค์ประทับยับยั้งอยู่ ณ ตำบลพุทธคยา ๗ สัปดาห์ (๔๙ วัน) เหลือเวลา ๑๑ วัน สำหรับการเสด็จดำเนินด้วยพระบาทจากพุทธคยาไปสารนาถ (ให้พระพุทธองค์เสด็จดำเนินไปอย่างช้าๆ วันละประมาณ ๒๐ กิโลเมตร) ค่อยพอสมเหตุสมผลหน่อย คงเพราะเหตุนี้ประการหนึ่ง พระอรรถกถาจารย์จึงเกณฑ์ให้พระพุทธองค์ทรงยับยั้งอยู่ที่พุทธคยาเป็นเวลานานถึง ๔๙ วัน (๒) พิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ที่เพิ่มเข้ามาก็น่าคิดไม่น้อย ณ รัตนฆรเจดีย์ นั้น ให้พระพุทธองค์ทรงพิจารณาอภิธรรมตลอด ๗ วัน ตรงนี้นำมาสันนิษฐานได้ว่า ผู้แต่งอรรถกถาคือ พระพุทธโฆษาจารย์ ท่านต้องการจะหาเหตุผลมาแสดงว่า พระอภิธรรมปิฎกนั้นมิใช่เป็นพัฒนาการในยุคหลัง พระอภิธรรมปิฎกนั้นเป็นพุทธวจนะแน่นอน และมีมาพร้อมกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้าเมื่อประกาศพระศาสนา ทรงแสดงเฉพาะธรรมกับวินัย แต่อภิธรรมก็มีมาแล้ว และรวมอยู่ในคำว่า ธรรม นั้นเอง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในราวพุทธศตวรรษที่ ๙ ที่ ๑๐ เป็นต้นมา มีกระแสคัดค้านพระอภิธรรมปิฎกว่า ไม่ใช่พุทธพจน์ เป็นสิ่งที่เพิ่มเติมมาภายหลัง สมัยพุทธกาลนั้นมีแต่ธรรมกับวินัย พูดให้ชัดก็ว่า พระสุตตันตปิฎกกับพระวินัยปิฎกเก่าแก่และเป็นพุทธวจนะ ส่วนอภิธรรมปิฎกเพิ่มเติมมาภายหลัง พระพุทธโฆษาจารย์ ท่านเป็นพระสำนักอภิธรรม ท่านต้องการแสดงว่า พระอภิธรรมปิฎกนั้นเก่าแก่เช่นเดียวกัน จะว่าไปแล้วมีมาตั้งแต่ตอนที่พระองค์ตรัสรู้ด้วยซ้ำ เพราะพระพุทธองค์ทรงพิจารณาพระอภิธรรม ณ รัตนฆรเจดีย์ ในสัปดาห์ที่ ๓ หลังตรัสรู้ ท่านเพิ่มเข้ามาเอง ก็เป็นหลักฐานอ้างอิงในภายหลังได้สิครับ ดังฝ่ายเซนเพิ่มพระสูตรว่า พระพุทธเจ้าทรงประทาน “เซน” แก่พระมหากัสสปะ ณ เขาคิชฌกูฏ เพราะฉะนั้น “เซน” จึงเป็น “รหัส” ลับเฉพาะที่พระพุทธเจ้าประทานมา ถ้าใครถามหาหลักฐาน เขาก็บอกได้ว่า มีพูดไว้ใน “มหาพรหมปัญหสูตร” ตรัส ณ เขาคิชฌกูฏ แก่เหล่าสาวกอันมีพระมหากัสสปะเป็นหัวหน้า เมื่อฝ่ายเถรวาทอ้างหลักฐานได้ ฝ่ายเซนเขาก็มีสิทธิ์อ้างได้เช่นกัน จะไปหาว่าเขาแต่งพระสูตรขึ้นภายหลังได้อย่างไร ในเมื่ออรรถกถาของฝ่ายเถรวาทก็แต่งภายหลังเหมือนกัน ผมคิดว่าที่พระอรรถกถาจารย์ท่านเพิ่มเหตุการณ์ ให้พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาพระอภิธรรมหลังตรัสรู้ ก็เพื่อจะสร้างความชอบธรรมว่า พระอภิธรรมปิฎกก็เป็นพุทธพจน์และมีมาตั้งแต่ต้น เช่นเดียวกับธรรมและวินัย (ซึ่งต่อมากลายเป็นพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และอภิธรรมปิฎก) มองไม่เห็นเหตุผลอื่น หรือใครมองเห็นก็บอกมาก็แล้วกันครับ ![]() ![]() ![]() ![]() ศ. (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต หน้า ๑-๖ ![]() : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39377 ![]() กงล้อแห่งความจริงอันประเสริฐ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=57701 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=20815 ![]() ![]() ![]() ---------> ขอขอบคุณที่มาจากกระทู้ : สัตตมหาสถาน สถานที่เสวยวิมุตติสุขที่ยิ่งใหญ่ ๗ แห่ง http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39332 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |