ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ชาวฟ้าดาวดึงส์ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=8&t=31578 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | เมฆา [ 11 พ.ค. 2010, 04:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | ชาวฟ้าดาวดึงส์ |
ปณิธาน .........สิ้นสุดกรรมวิสัย ดาวดึงส์ จุติลงจากไตรตรึงส์ เมืองฟ้า กระจายกรรมลุถึง ธรรมรส จิตเดิมแท้ก้นบึ้ง หยุดนิ่ง สมบูรณ์. เวลาผันกาลผ่านไม่เคยหยุด ถึงที่สุดแห่งธรรมกันถ้วนหน้า เจอกันอีกครั้ง ณ สุธรรมาศาลา ขึ้นเทศนาสอนธรรมประจำวัน. ........สู่บ้านเราบ้านเก่า สรวงสวรรค์ ตระการตาผกาพรรณ ของทิพย์ จะสถิตย์อยู่ชั่วนิรันดร์ ใต้ร่มเงา ปาริชาต กลับไปโปรยธรรมทาน ธาตุนิพ พาน เฮย. ร่วมใจศิษย์สร้างสรรค์ยุคกรรมใหม่ ศิวิไลย์ศรีอาริย์ศาสนา ช่วยเก็บงานดาวดึงส์ดุสิตา ปรารถนาทุกดวงจิตเข้านิพพาน. สักกะ. |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 11 พ.ค. 2010, 06:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ชาวฟ้าดาวดึงส์ |
![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 11 พ.ค. 2010, 08:28 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชาวฟ้าดาวดึงส์ | ||
![]() ![]() ![]() อนุโมทนาสาธุด้วยครับ ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | กระบี่ไร้เงา [ 12 พ.ค. 2010, 21:20 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชาวฟ้าดาวดึงส์ | ||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() หอมเอย..หอมกลิ่นผกา ปาริชาติ งามผุดผาด พวงมาลา ผกาสวรรค์ ณ แดนดิน ดาวดึงส์ ตรึงจิตพลัน สรวงสวรรค์ แดนเทวา ฝากฟ้าไกล ครั้นเมื่อทรง แสดงฤทธา สง่าศักดิ์ อุรุเวลกัสสป ประจักษ์ ให้เห็นได้ เสด็จเก็บ ดอกผกา ณ แดนไกล ดาวดึงส์ภพ สยบไซร้ ในชฏิล เป็นหลักฐาน ให้สาธุชน ได้สดับ ใช่สวรรค์จับ อยู่ที่ใจ ให้ถวิล สวรรค์ในอก นรกในใจ ที่ได้ยิน พระภูมินทร์ ชี้ให้เห็น เด่นกับตา จะได้เลิก กล่าวตู่ พุทธพจน์ ให้สลด สังเวชใจ ในกถา ทรงตรัสเรื่อง สวรรค์ไว้ ใช่ลวงตา ธรรมกถา ตรัสไว้ ให้เห็นจริง Quote Tipitaka: เสด็จไปสู่ภพดาวดึงส์ ทรงเก็บดอกปาริฉัตตกะ แล้วมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน. ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งในโรงบูชาเพลิง ครั้นแล้วได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่มหาสมณะ ท่านมาทางไหน ข้าพเจ้ากลับมาก่อนท่าน แต่ท่านยังมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน?. พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรกัสสป เราส่งท่านแล้วได้ไปสู่ภพดาวดึงส์ เก็บดอกปาริฉัตตกะแล้ว มานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน ดูกรกัสสป ดอกปาริฉัตตกะนี้แล สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่น. ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | ฟ้าใสใส [ 18 ก.ค. 2011, 23:26 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชาวฟ้าดาวดึงส์ | ||
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์... สวรรค์ชั้นฟ้า สูงขึ้นจากชั้นจาตุมหาราชิกา ชื่อว่า ดาวดึงส์ ตั้งอยู่เหนือภูเขาสิเนรุ เป็นพระนครยิ่งใหญ่กว้างขวางมาก มีเนื้อที่ถึงหนึ่งหมื่นโยชน์ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วสูงสิบหกโยชน์ มีประตูเข้าออกถึง ๑๐๐๐ แห่ง อีกทั้งมีปราสาทยอดสุดสวยงามอยู่เหนือประตูทุกแห่ง ขณะที่เปิดประตูแต่ละครั้ง จะปรากฏเสียงดนตรีอันไพเราะเพราะพริ้งกังวานขึ้น และแสนเสนาะโสตยิ่งนัก ภายในนครอันยิ่งใหญ่สวยงามนี้ มีอุทยานใหญ่ ๆ ซึ่งดารดาษด้วย ดอกไม้แสนสวยงามสีสวย ระรื่นหอม อยู่ ๔ แห่งด้วยกัน คือ ทิศตะวันออก มีอุทยานใหญ่ ชื่อ นันทวัน ทิศตะวันตก มีอุทยานชื่อ จิตรลดาวัน ทิศเหนือ มีอุทยานชื่อ สักกะวัน ทิศใต้ มีอุทยานชื่อ ผรุสกวัน นอกจากนั้นยังมี สระโบกขรณี มีน้ำใสดังแผ่นกระจก รอบสระประดับด้วยก้อนหินมีรัศมีสีสวย มีแท่นที่นั่งเล่นขาวสะอาดสวยงาม เหล่าเทพบุตรเทพธิดาย่อมมาหาความสำราญ ณ สวนสวรรค์เหล่านี้เสมอ ณ ใจกลางพระนคร มีปราสาทอันงดงามที่สุดในสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ "ไพชยนต์มหาปราสาท" สร้างขึ้นด้วยแก้ว ๗ ประการ สูงถึงพันโยชน์ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว ๗ ประการ หาปราสาทใดในสามโลกมาเปรียบปานมิได้ และภายในไพชยนต์มหาปราสาทนั้น มีวิมานทองหลังหนึ่งสูง ๗๐๐ โยชน์ ประดับประดาด้วยแก้ว ๗ ประการ เช่นเดียวกัน ปราสาทไพชยนต์ นี้ เป็นที่ประทับขององค์เทพผู้เป็นเทวาธิราช พระนามว่า สมเด็จพระอมรินทราธิราช หรือเรียกตามภาษาชาวบ้านว่า "พระอินทร์" ![]() ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | ฟ้าใสใส [ 18 ก.ค. 2011, 23:30 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชาวฟ้าดาวดึงส์ | ||
นอกจากนั้น ยังมีปราสาทแก้วอันงดงามหลังอื่น ๆ ที่แวดล้อมไพชยนต์มหาปราสาท อยู่อีก ๓๒ หลัง เป็นที่อยู่ของเทพผู้ใหญ่สหายของพระอินทร์ ๓๒ องค์ มีสถานที่สำคัญที่สุดอยู่แห่งหนึ่ง ณ เมืองฟ้า ชั้นดาวดึงส์นี้ นั่นคือ พระจุฬามณีเจดีย์ ตั้งอยู่ด้านทิศอาคเนย์ หรือตะวันออกเฉียงใต้ของพระนคร เป็นเจดีย์ทรงสันฐานใหญ่ สร้างด้วยแก้วอินทนิล ตั้งแต่กลางองค์ถึงยอดเจดีย์ทำด้วยทองคำแท้ แล้วประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ พระจุฬามณีเจดีย์ นี้ มีส่วนสูงถึงแปดหมื่นวาล้อมรอบด้วยกำแพงทองคำล้วน และกำแพงแต่ละด้านยาวถึงหนึ่งแสนหกหมื่นวา นับว่าเป็นพระเจดีย์ที่งดงาม โอฬาริกที่สุด พระจุฬามณีเจดีย์ สร้างขึ้นโดยพระอินทร์ เทวาธิราชแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อเป็นที่บรรจุพระเกศโมลีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตัดขณะที่ เสด็จออกบรรพชา และยังมีพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องขวาของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระอินทร์ได้จาก โทณพราหมณ์ ผู้แบ่งพระบรมธาตุ หลังจากที่พระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว พระจุฬามณีเจดีย์นี้ นับว่าเป็นปูชนียสถานสำคัญของสวรรค์ชั้นฟ้า เทวดาทั่วหน้าและทุกชั้น ตั้งแต่ชั้นต่ำสุดจนถึงสูงสุด ต่างก็มากราบไหว้ นมัสการกันเป็นประจำ แม้แต่พระอินทร์และเทพบริวารของพระองค์ ต่างก็ถือดอกไม้ของหอมมากระทำประทักษิณ เวียนเทียน เสมอมิได้ขาด กระทั่งพระสาวกผู้มีฤทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังเหาะขึ้นไปนมัสการ พระจุฬามณีเจดีย์นี้ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นอกเมืองดาวดึงส์ออกไป ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีอุทยานใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ชื่อว่า ปุณฑริกวัน มีกำแพงล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน กลางสวนมีไม้ทองหลางใหญ่ต้นหนึ่ง เป็นไม้ทิพย์ชื่อว่า ปาริชาต ต้นปาริชาต นี้ จะมีดอกบานครั้งหนึ่ง ต่อเมื่อครบหนึ่งร้อยปี พูดง่าย ๆ ว่าร้อยปี จะดอกบานครั้งหนึ่งและขณะที่ดอกปาริชาตนี้บาน จะมีรัศมีเรืองไปไกลถึงแปดแสนวา และเมื่อลมพัดไปทางทิศใดย่อมมีกลิ่นหอมฟุ้งไปทิศนั้นไกลแสนไกล กลิ่นหอมนั้นจะตลบอบอวลอยู่ทั่วบริเวณสวรรค์ชั้นนี้นานเท่านาน กล่าวกันว่า ยามที่ดอกปาริชาตนี้บาน จะมีเหล่าเทพบุตรเทพธิดา มาเล่นสนุกสนานใต้ต้นปาริชาตนี้เป็นจำนวนมากและกลิ่นปาริชาต ที่โชยโรยรินมาต้องเทพบุตรเทพธิดาองค์ใด จะช่วยทำให้เทพบุตรเทพธิดาองค์นั้น ระลึกชาติได้อย่างอัศจรรย์ และหากเทพบุตรเทพธิดาองค์ใด ต้องการดอกปาริชาตมาทัดหูบ้าง เพียงแต่เข้าไปภายใต้ต้นและยื่นมือออกไป ดอกปาริชาตก็จะลงมาถึงมือเอง ราวกับรู้ใจของเขา แต่ถ้าเขายังรับไม่ทัน ดอกไม้ก็จะลอยอยู่บนอากาศ อยู่มิให้ตกถึงพื้นจนกว่าจะมีเทวดาผู้ต้องการยื่นมือมารับ ณ ใต้ร่มปาริชาตินี้เอง มีแท่นศิลาอันหนึ่งชื่อว่า บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีสีแดงดังดอกชบา และอ่อนนุ่มดังฟูกทิพย์ ขณะที่พระอินทร์นั่ง แผ่นศิลานี้จะอ่อนยุบลงและเมื่อพระองค์ลุกขึ้น แท่นศิลาก็จะคืนเต็มตามเดิม แท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เป็นแท่นที่มีชื่อเสียงชาวโลกรู้จักกันดี เพราะเวลามีเหตุเดือดร้อนในเมืองมนุษย์ แท่นนี้ขณะที่พระอินทร์นั่ง จะไม่อ่อนยุบลงเหมือนปกติ แต่จะแข็งกระด้างดังศิลา หรือร้อนระอุ ราวกับถูกเผาด้วยไฟ เป็นเครื่องหมายว่ามีเรื่องร้ายกับผู้มีบุญใน เมืองมนุษย์พระอินทร์ต้องลงมาช่วย ห่างจากต้นปาริชาตไม่เท่าใดนัก มีศาลาใหญ่หลังหนึ่งตั้งตระหง่านงดงามที่สุด นามว่า ศาลาสุธรรมมาเทวสถาน มีอาณาบริเวณกล้างขวางใหญ่โตมาก พื้นศาลาทำด้วยแก้วผลึก และประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ล้อมรอบ ด้วยกำแพงทองอันล้ำค่า ![]() ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | ฟ้าใสใส [ 18 ก.ค. 2011, 23:34 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชาวฟ้าดาวดึงส์ | ||
ที่ศาลาสุธรรมานี้ มีดอกไม้สวรรค์ชนิดหนึ่งชื่อว่า อสาพตี เป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมฟุ้งจรุงใจยิ่งกว่าดอกปาริชาต และนานหนักหนากว่าจะบานสักครั้ง กล่าวกันว่าต้องใช้เวลาเป็นพันปี จึงจะบานครั้งหนึ่ง ขณะที่ใกล้จะบานเทวดาทั้งหลายจะมาเปลี่ยนเวรกันเฝ้า รอการบานของดอกไม้สวรรค์นี้ ศาลาสุธรรมา ใช้เป็นที่ประชุมใหญ่ชของเทวดาบนสวรรค์ ภายในพื้นศาลาอันวิจิตร มีธรรมาสน์แก้วขนาดใหญ่หลายวาและสวยงามนักหนา เป็นธรรมาสน์ประจำ อยู่ที่ศาลา นอกจากนี้ มีทิพย์อาสน์ที่ประทับของพระอินทร์จอมเทพ และที่นั่งของเทพสหายของพระอินทร์ ๓๒ องค์ ต่อจากนั้นก็เป็นที่นั่งของเทพทั้งหลาย ลดหลั่นกันไปตามฐานะ กล่าวกันว่า ณ ศาลาสุธรรมานี้ นับเป็นที่น่ารื่นรมย์ ชวนชมกว่าแห่งอื่นในสวรรค์ชั้นฟ้าทั้งมวลจนเป็นที่พูดกันติดปากว่า "รื่นรมย์เหมือนศาลาสุธรรมา" ศาลาสุธรรมา จะมีการประชุมเทวดาทุกวันธรรมสวนะ หรือวันพระ โดยเหล่าทวยเทพจะมาประชุมพร้อมกัน ณ ศาลาสุธรรมา ต่อจากนั้นจะมีพรหมองค์หนึ่ง นามว่า พรหมกุมาร ซึ่งเป็นผู้ทรงธรรม เสด็จลงมาจากพรหมโลก มาประทับบนธรรมาสน์อันวิจิตร แสดงธรรมแก่บรรดาทวยเทพทั้งหลายเป็นประจำ บางครั้งก็จะมีองค์เทพผู้เชี่ยวชาญในการแสดงธรรม มาแจกแจงแทนพรหมกุมาร หรือมิฉะนั้น บางโอกาสจะเป็นการประชุมใหญ่ ของเทวสภา โดยพระอินทร์จอมเทพ จะเป็นผู้นำแผ่นทองที่จารึกชื่อมนุษย์ ผู้สร้างบุญกุศล และจะมาบังเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ในแต่ละครั้ง ซึ่งทำให้มลทวยเทพที่จารึกแซ่ซ้องสาธุการ ต้อนรับเพื่อนใหม่กัน อย่างเอิกเกริกและปิติยินดีเป็นที่สุดทุกครั้งไป อายุของเทวดาชั้นดาวดึงส์ เทวดาที่มาบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อันมีชื่อเสียง ภายใต้การปกครอง ของพระอินทร์นี้ จะมีอายุเสวยทิพย์สมบัติอยู่นาถึง ๑ พันปีทิพย์ หรือ สามล้านโกฏิปี หากนับปีของมนุษย์ และส่วนมาก สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ จะมีผู้มาบังเกิดมากเพราะเป็นสวรรค์ชั้นมาตรฐาน แม้เทพบางองค์ที่ทำบุญไว้มากมายก่อนที่จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นสูงกว่านี้ ยังต้องมาเกิดบนชั้นดาวดึงส์ก่อนพักหนึ่ง แล้วจึงไปอุบัติบนสวรรค์ชั้นสูงสูงต่อไป บุญกรรมของผู้จะไปบังเกิด ผู้ที่จะไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ต้องเป็นผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์ มีการงานสะอาดปราศจากทุจริตทั้งปวง นิยมการบริจาคทาน เคารพนับถือและเลี้ยงดูพ่อแม่ ตลอดจนญาติผู้ใหญ่ในตระกูล ด้วยจิตใจเปี่ยมไปด้วยกตัญญูรู้คุณอย่างแท้จริง มิใช่เลี้ยงดูเพื่อหวังสมบัติพัสถานที่ท่านมีอยู่ พอท่านแบ่งให้โอนให้แล้วก็เลิกเลี้ยงดูเสีย ผู้ที่ปฏิบัติได้เช่นนี้ เมื่อสิ้นชีวิตก็จะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อย่างแน่นอน ไม่เชื่อก็ลองดู จะได้รู้เอง... จาก "ภูมิวิลาสินี" โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) กราบขอบพระคุณที่มา :: วัดป่ามุจจลินท์ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | saovapa [ 22 ก.ย. 2011, 14:48 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชาวฟ้าดาวดึงส์ | ||
![]() ![]() ![]()
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |