| ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/  | 
|
| กลอนเก่า http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=8&t=27218  | 
	หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | 
| เจ้าของ: | วรานนท์ [ 24 พ.ย. 2009, 16:12 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | กลอนเก่า | ||
        พ่อ-แม่ โย มาตรํ ปิตรํ วา ............ ชิณฺณกํ คตโยพฺพนํ ปหุสนฺ น ภรติ ................ ตํ ปราภวโต มุขํ ........( สุตตนิบาต ขุททกนิกาย ) ( หมายถึง : พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต ปราภวสูตร คำแปล... คนใดสามารถแต่ไม่เลี้ยงมารดาหรือบิดาผู้แก่เฒ่า ซึ่งผ่านวัยหนุ่มสาวไปแล้ว ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม ) o แม้มีทรัพย์ยิ่งทั้ง...........ยศถา พ่อแม่แก่ชรา.................บ่เลี้ยง เป็นสุขแต่อาตมา............บริโภค จัก"ฉ"หายวายเพี้ยง..........โทษท้าวลงทัณฑ์ ..( สำนวนเก่า ) o คนใดละพ่อทั้ง............มารดา อันทุพลชรา....................ภาพแล้ว ขับไล่ไป่มีปรา.................นีเนตร คนดั่งนี้ฤาแคล้ว..............คลาดพ้นไภยัน ....( สมเด็จพระเดชาฯ ) ธรรมทั้งหลาย มนสา เจ ปสนฺ ................ ภาสติ วา กโรติ วา ตโต นํ สุขมเนฺวติ ........... ฉายาว อนุปายินี ฯ มนสา เจ ปทุฎฺ เฐน ......... ภาสติ วา กโรติ วา ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ ......... จกฺกว วหโต ปทํ ฯ ....( ธรรมบท ) ... ( จาก พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ธรรมบท ยมกวรรค คำแปล... ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีใจอันประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม บุคคลนั้น ทุจริตนั้นเหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคผู้ลากเกวียนไป ) .... o ทำบุญบุญแต่งให้ ........ เป็นผล คือดั่งเงาตามตน ............ คิดแท้ ผู้ทำสิ่งอกุศล ................ กรรมติด ตามนา ดุจจักรเกวียนเวียนแล้ ..... ไล่ต้อนตีนโค .........( สมเด็จพระเดชาฯ ) สีโห นาม ชิฆจฺฉาปิ ............. ปณฺณาทีนิ น ขาทติ สีโห นาม กีโสจาปิ .............. นาคมํสํ น ขาทติ .....( โลกนิติ ) { โลกนิติปกรณ์ : สุชนกัณฑ์ บทที่ ๔๕ คำแปล....ขึ้นชื่อว่าราชสีห์ แม้อดอยาก ก็ไม่ยอมกินใบไม้ ขึ้นชื่อว่าราชสีห์แม้จะผอมหิว ก็ย่อมไม่กินเนื้อช้าง ( ไม่ขายชาติ / lek Isara ) } o ไกรสรมาตรแม้นอยาก........... อาหาร ฟางหญ้าใบไม้ตาล................... ไป่ต้อง ซูบกายกำลังราญ .................... โรยร่วง เนื้อช้างไป่ปองสร้อง ............... แต่เบื้องบรรพมา ..... ( สำนวนเก่า ) o หัวล้านไป่รู้มัก ..................... มองกระจก ผอมฝิ่นไป่อยากยก ................ ถอดเสื้อ นมยานไป่เปิดอก .................... ออกที่ ประชุมนา คนบาปไป่เอี้อเฟื้อ ................... สดับถ้อยธรรมกวี ........ ( สมเด็จพระเดชาฯ ) ( บาทที่สามนั้น คงหมายถึง การให้นมลูกน่ะครับ / อย่าคิดมาก ตอนผมเด็กๆ เคยเห็นบ่อยๆ แม้ตามที่สาธารณะ เช่นร้านค้าเป็นต้น ) o หัว หูดูชั่วช้า....................... ไฉไล ล้าน เลื่อมแลเงาใส ................. เกือบแก้ว ได้ ส่องกระจกใจ ................... เจียนขาด หวี แต่จับจ้องแล้ว ................. ลูบโอ้อายเอง ....... ( สมเด็จพระเดชาฯ ) ( บทนี้ขออภัย คนผมน้อยด้วยนะครับ เพียงอยากให้เห็นว่าโคลงโลกนิตินี้ จะใกล้ชิดกับสังคมรอบๆตัวเรามากครับ ) .. เกี่ยวกับความรักครับ o รูป ชั่วแต่ชอบแล้ว ............... ใดปาน รส รักผักว่าหวาน ................... หล่อนต้ม กลิ่น อบจบดินดาล ................. บ่ดุจ เจ้านา เสียง ก็จับใจหล้ม ................... โลกล้วนฤามี .............. ( สมเด็จพระเดชาฯ ) .... คำพังเพย o ไป่เห็นน้ำ หน้าด่วน ................ ชวนกัน ตัดกระบอก แบ่งปัน ................ ส่วนไซร์ ไป่เห็นกระรอก อวดขัน ............. มือแม่น ขึ้นหน้าไม้ ไว้ให้ ................... หย่อนแท้เสียสาย . ( สมเด็จพระเดชาฯ ) ถ้าเพื่อนๆ มีบทใดที่ประทับใจก็โปรดคัดมานำเสนอได้นะครับ... . การครองเรือน o เมียดีดุจทาสรู้ ..................... การเรือน รอบแฮ อายแก่สามีเหมือน ................... ดั่งน้อง เป็นที่ปรึกษาเตือน .................. ดัดดุจ มดายนา ..... ( มดาย = แม่ ) ยามเมื่อผัวเคืองข้อง .............. อดกลั้นกลัวเกรง . ( สมเด็จพระเดชาฯ ) : อิตถีกัณฑ์ บทที่ ๑๐๓ หญิงใดน่ารักเหมือนแม่ ในเวลาบริโภคอาหาร และในเวลาแต่งตัว มีความละอายดังน้องสาวเมื่ออยู่ในที่ลับ ประกอบกิจการเรียบร้อยดีเหมือนทาสีในการหางานและในการหาอาหาร เป็นที่ปรึกษาได้เวลามีภัย ชอบนอนเบื้องซ้ายในที่นอน ศึกษาในการแต่งตัว อดกลั้นในเวลาผัวโกรธ หญิงนั้นบัณฑิตกล่าวว่านางประเสริฐ เมื่อทำลายชีวิตินทรีย์ไปแล้ว พึงไปเกิดในสวรรค์ ภุตฺเตสุ มณฺเฑสุ ขนีว กนฺตินี คุยฺเหสุ ฐาเนสุ ภคินี ว หิรี กมฺเมสุ ภตฺเต สุกรีว ทาสินี ภเยสุ มนฺตี สยเนสุ รมฺมติ รูเปสุ สิกฺขี อุปฺปเนสุ รมฺมติ รูเปสุ สิกฺขี อุปฺปเนสุ ขมนี สา นารี เสฏฐีติ วทนฺติ ปณฺฑิตา กายสฺส เภทา จ ทิเว ภเวยฺย สา o วิชาควรรักรู้ ................. ฤาขาด อย่าหมิ่นศิลปศาสตร์ ........... ว่าน้อย รู้จริงสิ่งเดียวอาจ ................ มีมั่ง เลี้ยงชีพช้าอยู่ร้อย ............... ชั่วลื้อเหลนหลาน .. ( สมเด็จพระเดชาฯ ) ความคิดเห็นเพิ่มเติม : นาคีมีพิษเพื้ยง................สุริโย เลื้อยบ่ทำเดโช................แช่มช้า พิษน้อยหยิ่งโยโส.............แมลงป่อง ชูแต่หางเองอ้า...............อวดอ้างฤทธี บทนี้ก็เป็นอีกบทที่มีความหมายดีนะครับ ความคิดเห็นเพิ่มเติม : o เจ็บไฉนเพราะงูเงี้ยว......ขบสกนธ์ เจ็บยิ่งทุรชน ..............ปักษ์ร้าย เจ็บงูเคี่ยวยามนต์ .........พิษผ่อน พ่ายแฮ เจ็บเขี้ยวคนร้ายบ้าย .......แบ่งแก้กลไฉน ... ( สำนวนเก่า ) หามาให้อ่านประดับความรู้ครับ “วรานนท์ คนชนบท”        
		
			
  | 
	|||
| เจ้าของ: | มหาราชันย์ [ 24 พ.ย. 2009, 17:13 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: กลอนเก่า | 
โคลงใหม่   กาลใดกายจิตตั้ง      เป็นหนึ่ง   เดียวกัน กำหนดกายที่พึ่ง         จิตได้ อบรมจิตมาซึ่ง         นายแห่ง   กายา สองร่วมกายจิตไว้         แน่นแฟ้นหนึ่งเดียว   ตั้งกายในจิตไว้      กาลใด   พี่เฮย เป็นหนึ่งรวมกายใจ         ครบถ้วน ก้าวลงสู่สุขไว้         เร็วยิ่ง   ยวดแฮ เบาจิตเบากายล้วน         จิตตั้งอภิญญา   อภิญญาจิตผู้      ฝึกตน   ไว้ดี พละก่อกำลังดล         แก่กล้า อบรมยิ่งญาณตน         เกิดก่อ   ปัญญา รู้ยิ่งพิเศษอ้า            แจ่มแจ้งวิธี   ร่วมมือกายจิตได้      หนึ่งเดียว   นาพ่อ มิส่ายมิลดเหลียว         ซ่านฟุ้ง กายจิตมั่นคงเทียว         สองร่วม   มือกัน ญาณแจ่มดุจสีรุ้ง         เพริดแพร้วพรรณราย " กายก็ดีจิตก็ดีย่อมมีการกำหนดอย่างเดียวกัน ความเข้าใจว่าเป็นสุขและเร็วพลันมีอยู่ การทำกายและจิตให้เป็นอันหนี่งอันเดียวกัน เรียกว่า " อิทธิวิธีญาณ " ญาณนำมาซึ่งความสำเร็จ เจริญในธรรมครับ  | 
	|
| เจ้าของ: | มหาราชันย์ [ 24 พ.ย. 2009, 17:16 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: กลอนเก่า | 
  อินทรีย์แปดนี่ตั้ง      เป็นหนึ่ง   กาลใด พละเจ็ดย่อมถึง         แก่กล้า อินทรีย์ร่วมพละจึ่ง         ผูกแน่น   จิตกาย ฌานมั่นญาณสถิตอ้า         มั่นล้วนศิลา จิตที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวดั่งภูเขาศิลา ไม่กำหนัดในอารมณ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่โกรธในอารมณ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความโกรธ จิตของบุคคลใดอบรมได้ดั่งนี้ ความทุกข์จักมีมาจากที่ใดเล่า เจริญในธรรมครับ  | 
	|
| เจ้าของ: | วรานนท์ [ 24 พ.ย. 2009, 21:01 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: กลอนเก่า | 
        อนุโมทนาสาธุกับท่านมหาราชันย์ด้วยครับ เยี่ยมยุทธ จริง ๆ ครับ        
		
		 | 
	|
| หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง | 
| Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/  | 
|