ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

(((อาถรรพ์ป่าดิบ))) ตอน "ขวานอสูร" โดย ฟ้า พนมฉัตร (พนมฉัตร)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=8&t=25957
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  พรายจักรวาล [ 01 ต.ค. 2009, 15:34 ]
หัวข้อกระทู้:  (((อาถรรพ์ป่าดิบ))) ตอน "ขวานอสูร" โดย ฟ้า พนมฉัตร (พนมฉัตร)

ตอน ขวานอสูร

หน้า 1
ขวานอสูร
อีกห้าวันก็จะหนึ่งเดือนแล้ว คณะธุดงค์โดยการนำของหลวงปู่แพงตา ยังเดินรอนแรมกันอยู่ในท่ามกลางป่าดิบดงทึบ ขุนเขาสลับซับซ้อนสูงเสียดฟ้า ฉันผลไม้ป่า ใบไม้ป่าบางชนิด อาหารทิพย์จากเทวดา น้ำดื่มจากสายธารน้ำตก พอจะป่วยอาพาธก็ขบฉันสมุนไพรแก้ไข้แก้ปวด ซึ่งหลวงปู่ผู้ชำนาญไพรช่ำชองเรื่องสมุนไพรเป็นเยี่ยม การได้อยู่ในป่านานๆทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงและแข็งแกร่งมาก คงจะเป็นด้วยอากาศที่บริสุทธิ์ กินของป่าที่ไร้สารพิษ ดวงจิตที่สงบเย็น วันๆก็เห็นแต่ดอกไม่ป่านาๆพันธุ์ สัตว์ป่านาๆชนิดเพลิดเพลินในสวนสัตว์ธรรมชาติ ที่แสนจะอัศจรรย์เหนือชั้นกว่าสวนสัตว์ที่หมู่มนุษย์สร้างขึ้นมาหลอกสัตว์หลอกเอาสตางค์คนเมืองที่ไม่เคยเห็นป่าจริงๆ โดยพากันออกล่าพรากลูกพรากแม่พรากครอบครัวของเหล่าสัตว์ป่า เอาไปคุมขังไว้ในกรงในป่าที่จำลองจำแลงกันขึ้นมา และการที่ได้เดินทางไกลๆ ขึ้นเขาลงห้วยบุกป่าฝ่าดงนั้นเป็นการออกกำลังกายชั้นสุดยอดเลยหละ
ดวงตะวันบ่ายหน้าสู่เบื้องทิศตะวันตก เหลือเวลาอีกสักสี่ชั่วโมง ดวงสุริยะขัยก็จะเข้าสู่แดนสนธยาแล้ว ท้องฟ้าในฤดูเหมันต์แสนปลอดโปร่งเย็นสบาย เส้นทางที่คณะธุดงค์กำลังเดินอยู่ในขณะนี้ เป็นที่ราบเชิงเขา สภาพของป่าเป็นป่าโปร่งแต่ก็ล้วนเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ ห้าหกคนโอบหรือมากกว่านั้นและน้อยกว่านั้นด้วยสลับกันไป ต้นไม่แต่ละต้นมีลำต้นตรงสูงแหงนคอตั้งบ่า มันเป็นลักษณะของต้นไม้ในป่าดงดิบ สัตว์ป่าที่เห็นชุกชุมมากๆในบริเวณป่าแห่งนี้จะเป็นกระต่ายตัวใหญ่ๆ เท่าลูกหมู เก้งกวาง เนื้อทราย กระจง กระซู่ สมัน (สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยนานแล้ว) แต่ที่ป่าแห่งนี้ยังมีอยู่ชุกชุม วัวกระทิงตัวใหญ่ๆ และฝูงควายป่าเขาโง้ง เห็นเป็นฝูงใหญ่ เสือได้ยินเสียงร้องอยู่ไม่ห่าง เสียงร้องแปร๋นๆของโขลงช้างดังอยู่ทางทิศตะวันตก คงเป็นโขลงใหญ่พอควร เพราะได้ยินเสียงเดินเหยียบย่ำป่าดังสวบๆได้ยินมาถึงคณะเดินธุดงค์ชัดเจน “เราจะไปนั่งพักกันบนเนินเขาลูกโน้น” หลวงพ่อแพงตาผู้เป็นพระอาจารย์ใหญ่พูดขึ้นพร้อมกับชี้มือไปยังเนินเขาข้างหน้าที่อยู่ไม่ไกลนัก เนินเขาลูกนั้นประดับประดาไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นาๆพันธุ์ที่รู้จักและไม่รู้จัก มีเครือเขาเถาวัลย์เครือใหญ่เท่าท่อนขาของหลวงพ่อใหญ่ และที่เล็กที่สุดก็เท่ากับลำไผ่ตง ขึ้นพันเป็นเกลียวเกี่ยวเหนี่ยวรั้งกันตามลำต้นและโคนต้นไม้ใหญ่สวยงามน่าขึ้นไปห้อยโหนและนั่งโล้ชิงช้าเล่น เหล่ากล้วยไม้ป่าหลากสีหลากพันธุ์ห้อยพวงระย้าลงมาจากค่าคบและตามลำต้นไม้ที่ยืนต้นอยู่ดาษดื่น ส่งกลิ่นหอมรัญจวนจรุงไปทั่วผืนป่า ดอกว่านป่าสีสวยสดพันธุ์ต่างๆออกสีเข้มจัดจ้านตัดกับใบสีเขียวสด เช่น สีแดงสด ชมพูสด เหลืองสด น้ำเงินสด ดำเข้มจัด สีแดงจัดเหลื่อมชมพูจัดผสมสีขาวเจิดจ้า และอีกมีอีกมากกว่าคำบรรยาย ขึ้นเกลื่อนกล่นดารดาษตามพื้นดิน เหมือนดั่งเทพยุดานำมาปลูกแทนผืนพรมปูรองรับฝ่าเท้าสามหน่อพุทธางกูร
ถึงยอดเชิงเขาแล้ว เลือกเอาโขดหินที่มีรูปร่างแปลกตาเป็นหมู่เป็นระเบียบคล้ายหมู่โต๊ะรับแขกในห้องรับแขกของบ้านมหาเศรษฐี ตั้งอยู่กันเป็นชุดภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมให้ร่มเงาเย็นสบายอยู่กลางเนินเขานั้น มองลงไปเบื้องหน้าเห็นภูเขาใหญ่น้อยยืนเรียงสลับซับซ้อน เหมือนนักจัดสวนหินมือหนึ่งของโลก มาจัดตั้งเรียงหมู่หินไว้เป็นแถวเป็นแนวได้ระเบียบสวยงามไม่มีที่ติไว้ในป่าใหญ่ดงดิบแห่งนี้ เบื้องล่างแห่งเชิงเขาที่มองเห็นอยู่ไม่ไกลนั้น เป็นเหมือนท้องทุ่งที่กว้างใหญ่มีต้นไม้ขึ้นล้อมรอบคล้ายเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ พื้นหญ้าสีเขียวสดมองคล้ายผืนพรมปูลาดเป็นบริเวณกว้างอยู่ด้านทิศตะวันออกของบึงใหญ่ ละอองหมอกสีขาวนวลลอยกระจายโอบกอดขุนเขา มองดูคล้ายภาพจิตรกรรมสีน้ำมันของนักจิตรกรระดับเอกของโลก “พวกเราจะพักกันตรงนี้สักครู่ รอให้เหตุการณ์บางอย่างผ่านไปแล้วพวกเราค่อยออกเดินทางกันต่อ” พระอาจารย์ใหญ่เอ่ยขึ้นหลังยกกระบอกน้ำขึ้นฉันแก้กระหาย สองศิษย์รู้ทันทีว่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ จะต้องมีอะไรที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นเป็นแน่แท้ เพราะโดยปกติแล้วเวลาเช่นนี้ไม่ใช่เวลาที่หลวงพ่อจะพานั่งพัก หลวงพ่อมักจะบอกกับผู้ติดตามอยู่ตลอดแทบทุกเวลาว่า “คืบก็ป่า วาก็ป่า ทุกเขตทุกแดนทุกพื้นที่และทุกรอยก้าวในป่า มันคือป่า การอดทนมุ่งหน้าเดินไปไม่หยุดพักคือสิ่งที่ต้องทำ” หลวงพ่อใหญ่เหมือนทราบถึงความสงสัยในใจของสองศิษย์ ท่านหันมายิ้มพร้อมใช้ผ้าขนหนูสีเหลืองหม่นผืนน้อยเช็ดเหงื่ออกจากใบหน้า มือซ้ายยกขึ้นชี้ไปข้างหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงปกติว่า “พวกเจ้ามองดูท้องฟ้าที่อยู่ข้างหน้าของพวกเราสินั่นมันคืออะไร” โอ...อะไรนั่น..บนท้องฟ้าตำแหน่งที่หลวงพ่อพระอาจารย์ใหญ่ชี้ให้ดูนั้น เมื่อตะกี้นี้มีหมู่เมฆสีขาวนวลใยลอยบางๆกระจายไปทั่วผืนฟ้า บัดนี้เห็นหมู่มหาเมฆม้วนตัวเข้าหากันแบ่งเป็นสองกลุ่ม เมฆกลุ่มหนึ่งม้วนตัวมาด้านทิศตะวันออกเป็นหมู่เมฆสีขาวปนทองเลื่อมแดงจางๆ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งมาจากทิศตะวันตกเป็นหมู่เมฆสีดำสนิทปนแดงเลือดสด ในระหว่างที่สองกองทัพแห่งหมู่มหาเมฆเคลื่อนตัวเข้าหานั้น ได้ก่อเกิดเสียงครืนๆเลื่อนลั่นกึกก้องสะท้านไปทั่วแผ่นฟ้าผืนป่าใหญ่และห้วงขุนเขา แลเมื่อพวกมันม้วนตัวเข้าปะทะกัน พลันก็เกิดเสียงดังกัมปนาทสะเทือนเลื่อนลั่นปานว่าผืนฟ้าด้านบูรพาทิศจะถล่มทลาย เกิดประกายสายฟ้าขนาดใหญ่มหึมาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต วาบเปรี๊ยะเกิดลำแสงเส้นมหึมาสีแดงส้มปนขาวพุ่งฟาดลงมายังกลางป่าที่เห็นอยู่ข้างหน้าไม่ไกล เกิดประกายไฟพวยพุ่งขึ้นที่ป่าแห่งนั้นวาบหนึ่ง แล้วตามด้วยกลุ่มควันสีขาวขุ่นค่อยๆลอยหมุนคว้างขึ้นแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้น เสียงครืนๆบึ่มๆคล้ายเสียงปืนครกกระแทกกระสุนพ้นออกจากปากกระอกๆดังสนั่นฟ้าติดๆกันสักครู่หนึ่ง แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เพียงไม่กี่อึดใจบรรยากาศก็เข้าสู่สภาวะปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไฟล์แนป:
คำอธิบาย: ในป่าดงดิบอันหนาทึบ เต็มไปด้วยอาถรรพ์ลี้ลับมากมาย ยากที่คนเมืองผู้หลงชื่นชมตนเองจะเข้าถึง
(watermarked).png
(watermarked).png [ 283.95 KiB | เปิดดู 3059 ครั้ง ]

เจ้าของ:  เจ้านาง [ 01 ต.ค. 2009, 18:25 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: (((อาถรรพ์ป่าดิบ))) ตอน "ขวานอสูร" โดย ฟ้า พนมฉัตร (พนมฉัตร)

:b17: :b17: :b17: :b17: :b17:

เจ้าของ:  เล็ก อจินไตย [ 02 ต.ค. 2009, 02:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: (((อาถรรพ์ป่าดิบ))) ตอน "ขวานอสูร" โดย ฟ้า พนมฉัตร (พนมฉัตร)

:b12: ดีใจจังได้อ่านต่อแล้ว รอติดตามผลงานอยู่ครับอาจารย์ . :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/