วันเวลาปัจจุบัน 09 ต.ค. 2024, 07:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2015, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5112

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร
วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร
แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ


ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาตอนที่ ๒๒๑
เรื่อง บุญ วาสนา บารมี
เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ วัดราชธรรมวิริยาราม ๓
นครเอ็ดมันตัน รัฐอัลเบอร์ต้า ประเทศเเคนาดา


:b44: :b44:

วันนี้ก็จะได้มาคุยกันถึงเรื่อง "บุญ-วาสนา-บารมี"
เราได้ยินคำนี้มาอยู่ตลอดแล้วเราก็คิดว่า
ใครที่เขามียศฐาบรรดาศักดิ์สูง ร่ำรวยเงินทอง
อะไรเหล่านี้ก็ว่าเขามีบุญ วาสนา บารมี

ถ้าหากว่าใคร..ยากๆ จนๆ
หรือว่าทำงานก็ไม่ค่อยก้าวหน้า
อะไรต่างๆ เหล่านี้เขาเรียกว่าเป็น
ไม่มีบุญ ไม่มีวาสนา ไม่มีบารมี
แล้วก็พูดกันมาเท่านี้เราก็พอเข้าใจ
แต่จะเข้าใจให้ละเอียดได้นั้น
ก็จำเป็นต้องรู้ว่า บุญนี้คืออะไร

อันดับแรก บุญก็คือ "ความดี"
ความดีที่เราได้ทำเอาไว้
ในแต่อดีตชาติหรือปัจจุบันชาติ

ความดีต่างๆ เหล่านั้น
เราจะใช้คำว่า "ทำบุญให้ทาน"
เหมือนกันกับเรามีลูกมีหลานบวช
ก็เรียกว่าบุญ ช่วยเป็นศาสนทายาท
หรือมีเงินทองข้าวของ
ก็บริจาคตามอัธยาศัย ตามความสามารถ

หรือว่ามีเรี่ยวมีแรงก็ไปช่วย
ในการทำสาธารณประโยชน์
หรือว่า มีอำนาจวาสนา
เราก็ใช้อำนาจวาสนานั้น
ไปทำประโยชน์ในทางที่สร้างบุญกุศล
เป็นวัดวาอารามบ้าง เป็นโรงเรียนบ้าง
เป็นโรงพยาบาลบ้าง
หรือว่าส่วนใดที่จะเป็นประโยชน์นั้นเราก็ทำ
อันนี้เรียกว่าเป็น "บุญ"

ทำมากเท่าไรก็เรียกว่า "สะสมบุญ"
บุญเหล่านี้แหละเมื่อทำมากเข้าๆ
มันก็กลายเป็น "วาสนา"

ยังไม่มากเท่าไรยังไม่ใช่ชื่อว่าเป็นวาสนา
แต่ถ้าหากว่าทำบุญบ่อยๆ
ถ้าบุญมากๆหลายภพหลายชาติ
ก็เรียกว่า วาสนา

เมื่อเป็นวาสนาแล้ว เมื่อวาสนามากเข้าๆ
เขาก็เรียกว่าเป็น "บารมี"


บารมีก็เช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี
พระองค์ทำทั้ง "บุญ" และทำทั้ง "วาสนา"
ในที่สุดก็เป็น "บารมี"

เมื่อบารมีเต็มที่ ปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น

เมื่อพระพุทธเจ้าปรารถนา
เมื่อก่อนแต่ที่พระองค์จะมาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์ก็ยังเป็นคนธรรมดา
เมื่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
พระองค์ก็สะสมบุญ เมื่อบุญมากเข้าๆ ก็เป็นวาสนา
เมื่อวาสนามากเข้าก็กลายเป็นบารมี
แล้วก็ทำให้พระองค์สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า

ที่เราได้พากันกราบไหว้อยู่ในปัจจุบัน

และพวกเราทั้งหลาย ในขณะนี้
เรามีพระพุทธศาสนาที่เป็นที่พึ่งทางใจ
ที่เราพากันพึ่งอยู่ในเวลานี้
เราก็จำเป็นที่จะต้องหา "ผลประโยชน์"
ในพระพุทธศาสนานี้ให้แก่เรา
การที่หาผลประโยชน์นั้น
ไม่ใช่ว่าไปคดไปโกง
หรือว่าไปหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
แต่เราหาผลประโยชน์ด้วยการที่เราสร้างบุญ

มีเงินมีทองมีข้าวมีของ มีกำลังสติปัญญา

เราแค่ใช้สิ่งเหล่านี้สร้างบุญขึ้นมา
เมื่อสร้างบุญขึ้นมาแล้วเนี่ย
ถึงแม้ว่าเราจะไม่ปรารถนา
หรือเราจะไม่ปรารถนาอะไร
แต่ว่าบุญก็จะต้องตามส่งเขาผู้นั้นอยู่ตลอด


:b44: :b44:

ที่มา : ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา
https://www.youtube.com/watch?v=AZQpiikTHGs


:b47: ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20338

:b47: รวมคำสอน “หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43841

:b47: มูลเหตุที่ทำให้ “หลวงพ่อวิริยังค์” อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=52667

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร