ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
• นางสุมนาเทวี ลูกสาวคนสุดท้องของ “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=62067 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | น้องพลอย [ 23 พ.ค. 2022, 08:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | • นางสุมนาเทวี ลูกสาวคนสุดท้องของ “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” |
นางสุมนาเทวี ลูกสาวคนสุดท้องของ “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก เมื่อลูกกลายเป็นพี่ของพ่อ ลูกสาวคนโตและคนรองของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ชื่อ มหาสุภัททา และจุลสุภัททา ตามลำดับ สองคนนี้คัมภีร์พระพุทธศาสนาเล่าประวัติปะปนกัน จนแยกไม่ออกว่าใครเป็นสุภัททาผู้พี่ ใครเป็นสุภัททาผู้น้อง เพราะทั้งสองคนต่างก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน และทั้งสองก็ได้แต่งงานกับสามีที่คู่ควรกัน และได้ไปอยู่ที่ตระกูลสามีตามประเพณีของชาวชมพูทวีป ทั้งสองเป็นพระอริยบุคคลระดับพระโสดาบัน มีศรัทธาไม่คลอนแคลนในพระรัตนตรัย ไม่เหมือนปุถุชนยัง “แกว่ง” ไปมาอยู่ เมื่อเธอทั้งสองเป็นสาวิกาผู้แน่วแน่มั่นคง จึงไม่แปลกที่สามารถ convert ทั้งสามีและพ่อแม่สามี ให้ละทิ้งลัทธิคำสอนเดิมที่ตนเคยนับถือ หันมานับถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต เมื่อพี่สาวทั้งสองออกเรือนไปแล้ว หน้าที่ในการดูแลการถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ประจำก็ตกอยู่ที่สุมนาเทวี บุตรสาวคนเล็กของท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีนั้นคงไม่มีเวลามาดูแล เพราะต้องยุ่งกับธุรกิจค้าขาย และไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ดูแลวัดและความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ ตลอดถึงเป็นที่ปรึกษาในกิจการงานบุญที่ชาวบ้านอื่นๆ เขาทำด้วย นัยว่า เวลาชาวบ้านเขาจะทำบุญทำทาน เขาก็มักเชิญท่านเศรษฐีกับนางวิสาขามหาอุบาสิกาไปให้คำปรึกษาหารือ ทำนองมรรคนายก และมรรคนายิกา อะไรอย่างนั้นแหละ แล้วอย่างนี้ท่านจะมีเวลาที่ไหน ก็ต้องให้ลูกสาวรับหน้าที่ดูแลกิจการภายในบ้านแทน เมื่อพี่สาวทั้งสองคนออกเรือนไปแล้ว นางสุมนาเทวี น้องสาวคนเล็กก็ดูแลแทน ส่วนพี่ชายคนโต (นายกาละ) ในช่วงระยะเวลาที่กล่าวถึงนี้ คงเกเรเกตุง คุมผับบาร์ทั่วไป ไม่สนใจเรื่องทำบุญสุนทาน หรือเข้าวัดฟังธรรม ซึ่งก็เป็นธรรมดา ลูกชายโทนส่วนมากมักจะมีนิสัยออกมาแนวนี้ เพราะถูกเลี้ยงอย่างเอาอกเอาใจ เดชะบุญที่ในที่สุดท่านเศรษฐีผู้พ่อ “ดัดสันดาน” ได้สำเร็จ เรียกว่าถึงพ่อจะตายก็ตายตาหลับแล้ว ว่าอย่างนั้นเถอะ วิธีฝึกลูกชายของเศรษฐี (ดังได้เล่าไว้แล้วในตอนก่อน) คือจ้างลูกไปฟังธรรมให้มันแพงๆ มันอยากได้เงินเที่ยวผับเที่ยวบาร์มากๆ มันก็ไปฟังเอง ตอนแรกก็จ้างให้ไปวัดฟังธรรมเฉยๆ ต่อมาจ้างให้มันจดจำคำเทศน์มาด้วย จำได้มากจะให้มาก เมื่อมีเครื่องล่อใจ คนเรามันก็ทำสิครับ แต่เมื่อฟังไปๆ ได้ความรู้มากขึ้น ก็ได้สำนึกขึ้นมาเอง ดังกรณีนายกาละคนนี้ พ่อแม่ท่านใดที่ยังแก้ปัญหาลูกชายเกเรไม่ตก ลองเอาวิธีของอนาถบิณฑิกเศรษฐีใช้บ้างก็ได้ครับ หันมาพูดถึงสุมนาเทวี ขณะที่รับหน้าที่เป็นแม่งานการถวายภัตตาหารประจำแก่พระสงฆ์นี้ นัยว่าเธอได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบันแล้ว ต่อมาเธอก็ก้าวสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง คือเป็นพระสกทาคามี ต่อมาไม่นานเธอก็ล้มป่วยลง เป็นโรคอะไรไม่แจ้ง แต่ปรากฏว่าอาการทรุดลงทุกขณะ จนกระทั่งใกล้จะถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต พ่อไม่อยู่บ้าน เพราะมัวแต่ไปให้คำปรึกษาแก่ชาวบ้าน คนในบ้านไปตามพ่อ บอกว่าสุมนาเทวีอาการหนัก เศรษฐีรีบกลับมาหาลูกด้วยความเป็นห่วง มาถึงก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้างลูกพ่อ” “ไม่เป็นอะไรมากดอก น้องชาย” ลูกสาวตอบ ได้ฟังดังนั้น เศรษฐีก็ตกใจว่าลูกสาวอาการหนักจนเพ้อ ปลอบลูกว่า “อย่ากลัวเลยลูก พ่ออยู่นี่” “พี่ไม่กลัว น้องชาย” เรียกน้องเหมือนเดิม “ลูกพ่อเพ้อแล้ว” เศรษฐีหดหู่ใจอย่างยิ่ง “พี่ไม่ได้เพ้อนะ น้องชาย น้องชายอย่าเศร้าโศกเสียใจเลย พี่จะไปแล้ว” ว่าแล้วก็เงียบ ไม่พูดไม่จาอีกต่อไป จนกระทั่งสิ้นลมหายใจ เศรษฐีเศร้าโศกเสียใจมาก แทบไม่เป็นอันกินอันนอน เสียใจที่สูญเสียลูกน่ะมากโขอยู่แล้ว แต่เสียใจที่ว่าลูกสาวของตน “หลงทำกาละ” มากกว่าหลายเท่า เมื่อนึกว่าลูกสาวคงมีคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้าไม่ดีแน่ ก็ยิ่งรันทดใจหนักขึ้น ตรงนี้ต้องขยายสักเล็กน้อย คือ คนที่ทำบาปทำกรรมมากๆ จะได้รับผลทั้งทันตาเห็นในโลกนี้ และในชาติหน้า ดังนี้ครับ ๑. ย่อมเสื่อมจากโภคทรัพย์ คือ เสียเงินเสียทองเพราะการทำชั่วเป็นเหตุ เช่น ถูกจับกุมต้องเสียเงินประกัน เสียเงินจ้างทนายขึ้นโรงขึ้นศาล ถูกตัดสินริบทรัพย์สมบัติ ดังกรณีทรราชทั้งหลาย เป็นต้น ๒. ชื่อเสีย (ไม่มีตัว ง นับครับ) ขจรขยายไปทั่ว ถูกคนเขาสาปแช่งไปทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่มีอะไรดีเลย ถ้าชั่วมากจนแผ่นดินรับไว้ไม่ไหว ก็อาจถูกแผ่นดินสูบดังกรณีพระเทวทัต นางจิญจมาณวิกาในอดีต เป็นต้น ถ้าชั่วน้อยหน่อยก็ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน ไปไหนมาไหนคนก็สะกิดให้กันดู “นั่นไง คนเอางบประมาณแผ่นดินเข้าพกเข้าห่อตัวเอง” อะไรทำนองนี้ ๓. ไม่แกล้วกล้าในสมาคม เข้าสมาคมไหนก็จ๋องๆ หวาดๆ กลัวๆ เพราะตัวเองมีแผล กลัวจะโดนสะกิดแผลเข้า บางทีก็ลืมตัวไปว่าคนอื่น เพราะปากไว พอเขาสวนกลับเท่านั้น สะดุ้งแปดตลบ เพราะโดนแผลขี้เรื้อนตัวเองเข้า จำต้องสงบปากสงบคำ ๔. ย่อมหลงตาย หมายความว่าเวลาจะตายมักจะเพ้อไร้สติ เพราะนิมิตแห่งบาปกรรมที่ทำไว้มาปรากฏให้เห็น แล้วก็สะดุ้งหวาดกลัวร้องออกมา ว่ากันว่านายพลคนดังในอดีต สั่งประหารชีวิตคนจำนวนมาก บางทีก็ประหารผิด ผู้บริสุทธิ์ถูกประหารตายไปหลายคน พอถึงคราวจะตาย เพ้อ “เผามันเลย ประหารมันเลย” แล้วก็ร้องว่า “โอ๊ย ร้อนๆ” แล้วก็ขาดใจตาย นี่แหละเรียกว่าหลงตาย ๕. ตายแล้วไปสู่ทุคติ คือไปเกิดในแดนไม่ดี ตกนรกหมกไหม้ หรือไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย หรือแม้กระทั่งเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เห็นลูกสาวคนเล็กเพ้อไม่ได้สติก่อนที่จะสิ้นลม ท่านจึงรันทดใจมาก สงสัยว่าลูกสาวตัวเองก็ใจบุญสุนทาน ไม่ปรากฏว่าทำบาปทำกรรมอะไร ทำไมจึง “หลงตาย” ทำไมจึงต้องไปสู่ทุคติ ท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ ไม่วายตัดพ้อว่าเพราะเหตุใดคนที่ทำแต่ความดีอย่างลูกสาวตน จึงจะต้อง “หลงตาย” ด้วย หรือว่าบาปกรรมแต่ชาติปางไหน พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “ทำไมคหบดีจึงว่าอย่างนั้น” เศรษฐีกราบทูลว่า “เพราะลูกสาวข้าพระองค์เพ้อพูดกับข้าพระองค์ว่า “น้องชาย” แสดงว่าเธอหลงตาย พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์ตรัสว่า “สุมนาพูดถูกแล้ว เธอเป็นอริยบุคคลระดับสกทาคามีแล้ว สูงกว่าท่านตั้งหนึ่งขั้น เธอจึงเป็นพี่ท่านในทางคุณธรรม เธอหาได้เพ้อไม่” เศรษฐีเอามือป้ายน้ำตาด้วยความปลาบปลื้ม ความทุกข์โศกพลันสลายไปสิ้นแล ที่มา >>> สุทัตตะ อนาถบิณฑิกเศรษฐี
อุบาสกผู้มีอุปการคุณต่อพระศาสนา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=50333 อุบาสิกา ในสมัยพุทธกาล http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46456 นางมหาสุภัททา กับ นางจุลสุภัททา ลูกสาวคนโตและคนรองของ “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=50533 นายกาละ บุตรโทนของ “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=50642 สุทัตตะ อนาถบิณฑิกเศรษฐี http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=50333 |
เจ้าของ: | sirinpho [ 24 พ.ค. 2022, 10:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: • นางสุมนาเทวี ลูกสาวคนสุดท้องของ “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” |
เจ้าของ: | ดาราวรรณ [ 27 ก.พ. 2023, 22:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: • นางสุมนาเทวี ลูกสาวคนสุดท้องของ “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |