ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
สุปปพุทธะ อริยะขี้เรื้อน http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=50421 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Duangtip [ 02 ก.ค. 2015, 11:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | สุปปพุทธะ อริยะขี้เรื้อน |
สุปปพุทธะ อริยะขี้เรื้อน :: ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก ========================= คำว่า “ขี้เรื้อน” มักเป็นคำด่าที่รุนแรง เพราะคนได้ยินมักจะนึกถึงโรคเรื้อน หรือหมาขี้เรื้อน บุคคลที่กล่าวถึงนี้เป็นโรคเรื้อนจริงๆ โรคที่คนรังเกียจนั้นเอง แต่คนที่เป็นโรคสังคมรังเกียจคนนี้ ในท้ายที่สุดแห่งชีวิตมิใช่คนธรรมดา เขาได้กลายเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบันก่อนสิ้นชีวิต ที่พระท่านว่าคนเราเป็นไปตามกรรม (ที่ทำไว้) นั้นเป็นความจริง เรื่องราวของ สุปปพุทธะ ท่านนี้ พระอรรถกถาจารย์ขานไขให้เราทราบว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะกรรมที่เขาก่อไว้ทั้งสิ้น แล้วจะเล่าให้ฟังตอนท้าย วันหนึ่ง สุปปพุทธะ ไปฟังธรรมที่พระวิหารโดยแอบไปนั่งอยู่ท้ายบริษัท เพราะกลัวคนอื่นเขาเห็น เขาจะตะเพิดไล่ ได้บรรลุโสดาปัตติผล ต้องการจะกราบทูลให้พระพุทธองค์ทราบว่าเขาได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว (ความจริงเขาหารู้ไม่ว่าพระพุทธองค์ทรงทราบแล้ว) นั่งหลบรอให้คนอื่นเขากลับไปหมด ก่อนจะได้เข้าไปถวายบังคมได้สะดวก ขณะนั้นท้าวสักกเทวราช เข้ามากล่าวกับเขาว่า “สุปปพุทธะ ท่านเป็นคนทุกข์ยาก เราจะให้ทรัพย์แก่ท่านหาประมาณมิได้ ขอเพียงท่านบอกคืนพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์” สุปปพุทธะถามขึ้นว่า ท่านเป็นใคร เมื่อทราบว่าเป็นท้าวสักกเทวราช จึงตอบว่า “เจ้าคนอันธพาล ไร้ยางอาย ถึงข้าจะเป็นคนยากจนเพราะไร้ทรัพย์ แต่ข้าก็ร่ำรวยนะ” “รวยอะไร” ผู้มาเยือนถาม “รวยทรัพย์ภายใน (อริยทรัพย์) นั่นไง เจ้าคนอันธพาล ใครเป็นอย่างข้าไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าไร้ทรัพย์ เพราะทรัพย์ของเรามีค่ามากกว่าทรัพย์ภายนอกใดๆ แล้วเขาก็กล่าวคาถา (โศลก - อ่านว่า สะ-โหฺลก) บทหนึ่งดังนี้ ทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือโอตตัปปะ ทรัพย์คือสุตะ (การสดับตรับฟังมาก) ทรัพย์คือจาคะ และทรัพย์คือปัญญา ทรัพย์ทั้ง ๗ ประการนี้มีแก่ผู้ใดไม่ว่าชายหรือหญิง ผู้นั้นเรียกว่าคนไม่ยากจน และชีวิตของเขาก็ไม่สูญเปล่า” ท้าวสักกเทวราชได้ฟังดังนั้นก็หายวับไปกับตา มาเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลคำโต้ตอบกัน ระหว่างสุปปพุทธะกับตนให้พระพุทธองค์ทราบ พระพุทธองค์ตรัสว่า สักกะบุคคลเช่นท่าน ต่อให้ร้อยคนหรือพันคนก็ไม่สามารถให้สุปปพุทธะกล่าวปฏิเสธคุณพระรัตนตรัยได้ ![]() จะแปลความตามนั้นก็ไม่ว่ากระไร แต่ถ้ามองอีกแนวหนึ่ง การที่ทรงคิดได้อย่างนั้น เป็นหัวเลี้ยวสำคัญมากดุจดังเทพมาบอกทีเดียว พูดง่ายๆ ว่าทรงคิดขึ้นเอง แต่เมื่อเป็นการคิดที่ดีมาก จึงเรียกความคิดนั้นว่าดุจเทพมาบอก ดังเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้คิดเมื่อพระชนม์ได้ ๒๙ พรรษา ว่าคนเราย่อมแก่ ย่อมเจ็บ ย่อมตาย เป็นธรรมดา ชีวิตนี้เต็มไปด้วยทุกข์ จริงๆ ที่ต้องเวียนเกิดเวียนตายไม่รู้จบ ต่อมาเห็นสมณะแล้วได้คิดต่อไปว่า การครองเพศบรรพชิตอย่างท่านผู้นี้อาจเป็นทางพ้นทุกข์ได้ ความคิดที่ผุดขึ้นนี้เป็นความคิดที่ดี ที่อำนวยประโยชน์ ท่านเรียกว่า “ได้ข่าวดีจากเทพ” หรือเทวทูต พระอินทร์หรือท้าวสักกเทวราช ที่มาปรากฏต่อหน้าสุปปพุทธะ ผู้มั่นคงต่อพระรัตนตรัย ต้องการลองใจ จึงเอาทรัพย์หาประมาณมิได้มาล่อให้เลิกนับถือพระรัตนตรัย บังเอิญว่าสุปปพุทธะเธอไม่เล่นด้วย แปลความอย่างนี้ก็ไม่น่าเสียหายประการใด เมื่อปลอดคนแล้วเขาก็เข้าไปถวายบังคมพระพุทธองค์ กราบทูลให้ทราบว่าเขาได้บรรลุธรรมแล้ว พระพุทธองค์ตรัสอนุโมทนาในผลสำเร็จของเขา เขากราบทูลลากลับยังที่พำนัก ในระหว่างทางถูกแม่โคขวิดตายครับ ตายอย่างอนาถ แต่ชีวิตเขาไม่อนาถ คือ ไม่ไร้ที่พึ่ง เพราะมีอริยมรรคอริยผลเป็นที่พึ่ง ![]() ว่ากันว่าในอดีตชาติยาวนานโพ้น บุคคลทั้ง ๔ ดังกล่าวมาเป็นบุตรเศรษฐีเพื่อนรักกัน ได้ร่วมอภิรมย์กับโสเภณีนางหนึ่ง หลังจากอภิรมย์สมใจแล้ว จ่ายค่าชั่วโมงเสร็จแล้ว ก็แย่งทรัพย์ที่ให้แก่นางคืน ไม่แย่งเปล่าฆ่าหมกป่าด้วย นางโสเภณีนั้นก่อนที่จะขาดใจตาย ได้ผูกอาฆาตจองเวรกับเด็กหนุ่มสี่สหายนั้น หากตายจากชาตินั้นแล้ว จะตามฆ่าคนทั้ง ๔ นี้ไปอีกหลายร้อยชาติ กว่าจะสิ้นเวรสิ้นกรรมกัน นัยว่าสุปปพุทธะนี้ก็ถูกคู่เวรในร่างโคขวิดตายมาแล้วหลายร้อยชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่จะสิ้นเวร ส่วนที่เขากลายเป็นโรคเรื้อนนั้น เพราะกรรมเก่าของเขาเช่นกัน เขาเคยด่าพระปัจเจกพุทธะองค์หนึ่งว่า “ขี้เรื้อน” ด้วยคำพูดนั้นคำเดียว แต่บังเอิญพูดกับพระปัจเจกพุทธะ เขาจึงเกิดเป็นขี้เรื้อน หลังจากเสวยผลกรรมในนรกหลายร้อยชาติ สุปปพุทธะก็ได้ทำกรรมดีในอดีตเหมือนกัน จึงบันดาลให้เขาพบพระพุทธเจ้าขึ้นมา เป็น topic พระพุทธองค์ตรัสอธิบายถึงกรรมเก่าของเขาให้สงฆ์ฟัง แล้วตรัสโศลกธรรมบทหนึ่งว่า คนพาลปัญญาทรามทั้งหลายย่อมประพฤติเป็นศัตรูกับตนเอง ด้วยการทำบาปหยาบช้า ซึ่งจะนำวิบากอันเผ็ดร้อนภายหลัง พระธรรมเทศนาสั้นๆ เป็นการเตือนว่า คนเราเมื่อโง่เขลา (ไม่ว่าใครทั้งนั้น) ย่อมประพฤติเหมือนไม่รักตน คือ ก่อศัตรูแก่ตนด้วยการทำแต่ความไม่ดีใส่ตัว แล้วในที่สุดก็เดือดร้อนเพราะผลแห่งความชั่วที่ตัวทำเองนั้นแล พูดเป็นนัยๆ ว่า ถ้าไม่อยากให้ตัวเองเดือดร้อนภายหลังก็อย่าทำบาปนั้นเองขอรับ ชีวิตของนายสุปปพุทธะขี้เรื้อน มองในแง่เป็นบทเรียนก็คือ อย่าริทำชั่ว หรือสร้างเวรแก่คนอื่น ดุจดังที่เขาทำมา เมื่อเกิดมาเป็นขี้เรื้อนก็ถือว่าเพราะวิบากแห่งกรรมเก่า เขาก็ไม่ย่อท้อต่อชีวิต พยายามทำความดี จนในที่สุดได้เป็นพระอริยบุคคล นับว่าเกิดมาทั้งทีไม่เสียชาติเกิดแล้ว แม้ภายนอกจะเป็นคนน่าสงสารและสมเพช แต่ภายในเขาเปี่ยมไปด้วยคุณความดี ![]() ![]() ![]() ประมวลประวัติพระเถระพระเถรี อุบาสกอุบาสิกาสมัยพุทธกาล เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต =========================
![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46457 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |