วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 12:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2015, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ตอน “ข้อวัตรและการปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์”
จากกัณฑ์...คารวะ

:b50: :b49: :b50:

พระธรรมเทศนาพระครูอดิสัยคุณาธาร (หลวงพ่อสีทน สีลธโน)
วัดถ้ำผาปู่ ตำบลนาอ้อ อำเภอเมือง จังหวัดเลย
จากหนังสือ สีลธโนนุสรณ์ พระอาจารย์สีทน สีลธโน
หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ๗ เมษายน ๒๕๓๙


“ธรรม” เป็นคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนอย่างในครั้งพุทธกาล ที่บรรดาพวกภิกษุทั้งหลาย ที่อยู่ร่วมกันที่ละ ๕๐๐ ที่ติดตามพระพุทธเจ้า ที่ท่านมีความจงรักภักดีในกันและกัน ไม่แตกร้าวสามัคคีกัน ไม่ถกเถียงอะไรกันเหล่านี้ ก็ล้วนแล้วแต่ท่านเคารพในกันและกัน ก่อนท่านจะพูดอะไรเหล่านี้ ท่านก็พูดด้วยความเคารพ “ดูก่อนอาวุโสๆ” ท่านพูด พูดอย่างนี้ขึ้น ขึ้นหน้าเสมอ

บรรดาผู้ภันเตพูดกับผู้อาวุโส ในพระไตรปิฎก ท่านพูดไว้ ท่านกล่าวไว้นี้ ท่านพูดอย่างนี้ “ดูก่อนอาวุโส” นี้แสดงว่า ท่านเคารพอาวุโส ท่านจึงไม่มีการขัดแย้งกันและกันเวลาท่านอยู่ร่วมกัน เพราะฉะนั้นเราเป็นภิกษุสาวก สาวิกาของพระพุทธเจ้า เราก็ควรจะยึดเอาสิ่งดังกล่าวเป็นตัวอย่างเราจึงค่อยจะมีความสุข ในระหว่างที่พวกเราอยู่ร่วมกัน

ให้คิดดูสมัยหลวงปู่คำดี หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อน ท่านอยู่ร่วมกัน หลวงปู่อ่อนท่านเป็นนาคขวา บวชวันเดียวกัน เป็นนาคร่วมกัน แต่มีอยู่ซ้ายขวา แต่นั้นแหละ หลวงปู่ฝั้น ท่านก็เรียกเป็นครูบาอาจารย์ ท่านก็เรียกอย่างนี้ตลอด เมื่อท่านเห็นท่านก็ยกมือไหว้ ท่านก็กราบหลวงปู่อ่อนตลอด สำหรับครูบาอาจารย์สมัยก่อน ท่านมีความเคารพคารวะในกันและกัน ถึงขนาดนั้น อย่างหลวงปู่คำดีอย่างนี้แหละ ท่านเห็นครูบาอาจารย์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อน อายุท่านก็เท่าๆ กัน ท่านก็แสดงความเคารพคารวะ เวลาท่านพูดคุยกับครูบาอาจารย์ ท่านก็อาวุโสถึงขนาดนั้น คุณธรรมท่านก็สูงถึงขนาดนั้น ท่านก็ข่มมานะทิฐิของท่านไว้ก่อน ที่ท่านจะพูดแบบไม่แสดงความคารวะ เหมือนอย่างบรรดาพวกเราสมัยปัจจุบันนี้นั้น ที่ท่านมีคุณธรรมเกิดขึ้น เฉพาะภายในจิตใจท่านปฏิบัติกันมาอย่างนั้นจนกระทั่งท่านตายนะ

ท่านพูดกับครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่มหาบัว ท่านก็ไม่ได้มีทิฐิแข็งกระด้างเสียอย่างใด เพราะถือเนื้อถือตัว มันเป็นกิเลส ท่านเหยียบลงไปให้แหลกไม่ให้มีเหลือ ท่านก็ยกมือไหว้กราบหลวงปู่ ไหว้แล้วไหว้เล่า พูดแต่ละคำ แต่ละประโยค ท่านก็พนมมือขึ้นตอบๆ พร้อมนี้บรรดาครูบาอาจารย์ที่ท่านมีคุณธรรม ท่านเหยียบกิเลสท่านได้ ท่านทำอย่างนั้น คือหมายความว่าไม่มีอะไรเหลือแหละ สิ่งใดอันเป็นสิ่งที่ไม่เป็นศีลเป็นธรรม ท่านไม่ทำทั้งนั้นแหละ

อย่างเวลาพูดคุยกับครูบาอาจารย์ผู้อาวุโส ท่านก็เจียมเนื้อเจียมตัว การที่ท่านจะไปนั่งท้าวแขน อะไรเหล่านี้ ไม่มีเสียแล้ว ท่านก็วางมือของท่านไว้ระหว่างกัน สำรวมจักษุ ฟังครูบาอาจารย์ท่านพูด หากว่าประโยคใดท่านพูดท่านก็ลืมตาขึ้น พนมมือพร้อมกราบเรียนเหตุการณ์ต่างๆ นานาถวายครูบาอาจารย์ นั่นท่านข่มกิเลสของท่านได้ ท่านละกิเลสของท่านได้ เป็นไปทำนองนั้นที่ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมา

ท่านอยู่ด้วยกันมากๆ อย่างวัดป่าเหล่างาสมัยก่อน วัดป่าสาลวัน ราชสีมา นับเป็นร้อยพระที่อยู่ร่วมกัน ท่านก็ไม่มีอะไรทะเลาะเบาะแว้ง ขัดอกขัดใจซึ่งกันและกัน ท่านเคารพในกันและกัน

จนกระทั่งการไปหามน้ำอะไรเหล่านี้แหละ สมัยก่อนไม่ได้รับความสะดวกเหมือนปัจจุบันนี้ ท่านก็ไปหามน้ำ อายุพรรษา ๑๔-๑๕-๒๐ ก็ยังหามน้ำกันอยู่ หามน้ำมาใส่โอ่งล้างบาตร ใส่โอ่งล้างเท้า ใส่โอ่งสำหรับจะฉันประจำวัน สมัยก่อนเป็นไปอย่างนั้น ทำนองของวัดป่ามีบ่อน้ำ บ่อน้ำสมัยก่อนต้องปฏิบัติกันทุกวันๆ

ทีนี้บรรดาลูกศิษย์ลูกหา ผู้ภันเต เห็นครูบาอาจารย์อาวุโสท่านไปทำ คือท่านทำเอากิจวัตรของท่านต่างหาก เมื่อท่านทำสักพักแล้วเราก็ไปรับช่วงจากท่าน ไปรับจากมือท่าน หากสมมุติว่าท่านหามน้ำอยู่ ก็เข้าไปช่วยท่าน ขอโอกาสท่าน ช่วยหามน้ำแทนท่าน ท่านก็ได้เดินไปตามหลัง คือท่านได้หามสักนิดหน่อยพอเป็นกิจวัตรข้อวัตร

นั่นสมัยก่อน ท่านรักกิจวัตรข้อวัตรถึงขนาดนั้น หามน้ำก็ดี กวาดวัดก็ดี ท่านกวาดไปสักหน่อยพอเป็นกิจวัตร บรรดาลูกศิษย์ลูกหา ที่แสดงความเคารพคารวะในครูบาอาจารย์ผู้อาวุโส เห็นเข้า ก็วิ่งไปเลยแหละ วิ่งไปรับเอาตาด เอาอะไรต่ออะไร กระผมจะรับภาระแทนครูบาอาจารย์ นั่นสมัยก่อนนะ นี้ก็เป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพคารวะในครูบาอาจารย์เหมือนกัน

แต่มาในสมัยปัจจุบัน ก็รู้สึกว่ามันลดลงไประเบียบเหล่านั้น เพราะคนมีนิสัยแข็งกระด้าง ไม่แสดงความสัมมาคารวะในครูบาอาจารย์ อย่างครูบาอาจารย์ท่านปัดท่านกวาด อะไรอยู่แล้วนี้ ก็เฉย อย่างครูบาอาจารย์ท่านทำการทำงานอะไรอยู่ ก็รู้สึกว่าไม่กระปรี้กระเปล่ากับท่าน เฉย เป็นอย่างนี้ เป็นไปส่วนมาก ดีไม่ดีกุฏิของตนเองก็ไม่กวาดนะ ไม่กวาด ไม่ปัด รกรุงรัง ให้ครูบาอาจารย์ท่านไปปัดไปกวาดให้ อย่างนี้ก็มีนะ

สมัยนี้มันร้ายแรงถึงขนาดนั้น แล้วมันจะมีอะไรเกิดขึ้นบัดนี้ โอ้ย มันก็มีแต่บาปเกิดขึ้น เราไม่ปัดกวาดเช็ดถูกุฏิที่อยู่ที่อาศัยของเรา ปล่อยให้มันสกปรกรกรุงรังทั้งข้างบนและข้างล่าง มันก็เป็นอาบัติทุกกฎซิ เป็นโทษเพราะเราไม่รักษาของสงฆ์ เราก็เป็นโทษ เป็นอาบัติ นอนจมอาบัติ นอนจมโทษอยู่ หรือจะว่านอนจมมูตรจมคูถอยู่ก็ได้นะ หากคนไม่ปฏิบัติกิจวัตรข้อวัตรดังกล่าว สิ่งเหล่านี้คือพูดถึงการขาดสัมมาคารวะในครูบาอาจารย์

โอ๋สมัยก่อน พวกผมติดตามครูบาอาจารย์ รู้สึกว่าท่านเอาอย่างละเอียดลออเด้ เรื่องกิจวัตร เรื่องข้อวัตร เรื่องความเคารพคารวะในกันและกัน จนกระทั่งเดินก่อนๆ อะไรเหล่านี้ ก็ไม่กล้าเดินก่อนอาวุโส ถ้าจะเดินก็รีบเดินไปให้ไกล หลีกไปไกลๆ โน้นแหละ เป็น ๑๐-๒๐ วาโน่นแหละ หากว่าเราจะเดินก่อน เวลาออกจากบ้านมาแล้ว บรรดาภิกษุผู้ภันเต ก็ชอบรับบาตรผู้อาวุโสตามลำดับ เว้นแต่ท่านองค์ใดองค์หนึ่ง ท่านไม่ยอมให้รับ หากท่านไม่ยอมให้รับ ก็ปล่อยตามเรื่องท่านซะ หากว่าเราไปรับ ท่านให้รับเราก็รับไป รับเอาบาตรแล้วก็เดินก่อนท่านไป ท่านก็เดินตามหลังเราไป นี่สมัยก่อนฝึกกันอย่างนั้น เพราะฉะนั้น บรรดาพวกเราก็ควรที่จะเอื้อเฟื้อในอาวุโส ใครไปสายไหนก็ดี บิณฑบาต เราก็ควรที่จะรับบาตรครูบาอาจารย์ เวลาเช้าก็สะพายบาตรเปล่า ครูบาอาจารย์ก็ไปด้วย ไปคอยอยู่ข้างหน้าที่จะเข้าบ้านโน้น ถึงเวลาครูบาอาจารย์ไปแล้ว ก็ยกบาตรถวาย ท่านออกไปบิณฑบาตในบ้าน ออกบ้านหมดคนผู้จะใส่แล้ว ก็รับบาตรจากท่าน เดินก่อนท่านมา เดินก็อย่าเดินด้วยความวุ่นวาย คิดนึกพูดคุยอะไรกันตามสายทาง ให้เดินมาด้วยความสงบ ให้เดินมาด้วยการมีสติ

เป็นอย่างนั้น สมัยครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมา ก็คือ ท่านฝึกสติตลอด สติไม่ได้มีเผลอแหละ ไม่ได้มีฟังเสียงใครแหละ ไม่มองหน้ามองตาใคร จนกระทั่งคนบางคน แหม พระวัดป่า บึ้งเหลือเกิน หน้าบึ้งตาตึง ไม่มียิ้มแย้มแจ่มใส จนกระทั่งเขาพูดอย่างนั้น เพราะว่าอะไร ก็เพราะว่า การกำหนดใจของท่าน ท่านไม่ได้ปล่อยปละละเลย ท่านตึงตลอด สำหรับครูบาอาจารย์ท่านฝึกกันสมัยก่อน

เพราะฉะนั้นเราก็ควรที่จะเอาเยี่ยงอย่างอันนี้ไว้ด้วย มันจึงค่อยจะเกิดผลเกิดประโยชน์ มันจึงค่อยจะสวยงาม มันจึงค่อยจะรับผลตามที่เราต้องการปรารถนา หากว่าเราแหวกแนวของครูบาอาจารย์แล้ว มันก็ไม่เกิดผลแหละ

ที่ผมพูดนี้จำเอาไว้ เผื่อได้เป็นครูบาอาจารย์ผู้คน เราจะได้ถ่ายทอดไปบอกลูกศิษย์ลูกหาเราต่อ ว่าเราเคยปฏิบัติครูบาอาจารย์มา ท่านเคยทำมาแบบไหนอย่างใด ท่านทำมาอย่างที่ผมพูดนั่น นั่นทำอะไรทุกอย่างก็แสดงความเคารพคารวะในอาวุโส

อย่างขึ้นศาลาอย่างนี้ หากว่าอาวุโสมา “เงียบปั้ง” นี่แสดงความเคารพ หากว่าเราพูดอะไรรบกวนท่าน ท่านถือว่าเราไม่แสดงความเคารพในผู้อาวุโส เราเคารพท่านถึงขนาดนั้น

สมัยหลวงปู่มั่นไปอยู่บ้านผมเหมือนกันๆ ภิกษุสามเณร ๕๐-๖๐ บิณฑบาตหลายๆ ท่านมารวมกัน พระภิกษุสามเณรเยอะๆ เหมือนกับว่าไม่มีพระ เวลาฉันอาหารก็เหมือนกับว่าไม่ฉันอาหาร ไม่มีเสียงอะไรดังป๊อกๆแป๊กๆ ไม่มีถึงขนาดนั้น ญาติโยมก็ไม่ให้มานั่งต่อหน้าต่อตา เวลาถวายอาหารบิณฑบาตเสร็จเรียบร้อย เขาก็ไปอยู่ข้างนอกไปนั่งทำอะไรของเขาอยู่ข้างนอก ตามเรื่องของเขา เขาไม่ได้มารบกวนหมู่พระสงฆ์ บรรดาพวกญาติโยมทั้งหลาย พระสงฆ์ทั้งหลายก็ฉันด้วยความสงบ ฉันด้วยการมีสติ ไม่ได้เผลอเลอ พระสงฆ์ฉันภัตตาหารก็ดี อันนี้ พูดสมัยครูบาอาจารย์สมัยก่อน

เพราะฉะนั้น เราก็ควรที่จะรักษาขนบธรรมเนียม อันนี้ไว้ด้วย ถึงหากว่ามีครูบาอาจารย์อยู่ ถึงจะพูดคุยก็พูดด้วยความระวัง พูดด้วยการมีสติ ไม่ได้พูดดังเกินขอบเขต เราจะพูดกันคุยกันเป็นไปอย่างนั้น นี่เป็นการแสดงความสัมมาคารวะในครูบาอาจารย์ผู้อาวุโส ท่านเคารพกันถึงขนาดนั้น

การเคารพกันนี้ ไม่ได้มีแต่ในบรรดาพวกหมู่พระสงฆ์เรานะ บรรดาพวกฆราวาสเขาก็เคารพกันและกัน เขาจึงค่อยมีความจงรักภักดีในกันและกัน ถ้าหากว่าไม่แสดงความเคารพคารวะในกันและกัน มันก็เกลียดกันแหละ อย่างบรรดาพ่อกับแม่อย่างนี้ หากบรรดาลูกเต้าไม่แสดงความเคารพคารวะในพ่อแม่ พ่อและแม่ก็เกลียดลูกเกลียดเต้า อย่างเป็นลูกสะใภ้เขา เป็นลูกเขยเขาเหล่านี้แหละ ไปอยู่กับพ่อตาแม่ยาย หากไม่แสดงความเคารพคารวะในพ่อตาแม่ยาย พวกบรรดาพ่อตาแม่ยายก็เกลียดซิ โอ้ คนนี้ใช้ไม่ได้ ไม่แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มีสัมมาคารวะ ในพ่อในแม่ใช้ไม่ได้ บุคคลนี้เขาว่าทันทีแหละ หากว่าคนใดเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ ในพ่อในแม่ในพ่อตาแม่ยาย บรรดาพ่อตาแม่ยายก็ชมชื่น โอ้ลูกคนนี้ดี น่าเมตตา น่ารัก น่าสงสารมีอะไรเขาก็ให้ อันนี้หากไม่มีสัมมาคารวะ ใครจะไปรัก ใครจะไปชอบ ใครจะไปเมตตาสงสาร ไม่ดูหน้าดูตา เวลาเดินผ่านไปผ่านมา เป็นหัวเป็นหางก็ไม่ฟังเสียงแหละ จะเหยียบไปทั้งนั้นแหละ การพูดการจาก็ไม่ระมัดระวัง พ่อแม่อยู่ก็ดีไม่ระมัดระวังนี้ ทางโลกยังใช้ไม่ได้ ยิ่งทางศาสนาก็ยิ่งละเอียดไปกว่านั้น เพราะฉะนั้นเราควรจะแสดงความสัมมาคารวะในครูบาอาจารย์ ตามอาวุโส อันนี้ไม่ได้พูดคนเดียวได้เด้ ตามอาวุโส อาวุโสเป็นขั้นๆ ไป เคารพไปเป็นขั้นๆ ไปจนกระทั่งผู้ประธานสงฆ์ ครูบาอาจารย์ผู้ประธานสงฆ์ เราก็ต้องแสดงความเคารพคารวะ

:b50: :b49: :b50:

:b44: ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อสีทน สีลธโน”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=21232

:b44: รวมคำสอน “หลวงพ่อสีทน สีลธโน”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=51337

:b44: ประมวลภาพ “หลวงพ่อสีทน สีลธโน” วัดถ้ำผาปู่
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=50349


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 57 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร