ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ฌาน : สมเด็จพระญาณสังวรฯ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=48659 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | สยามนุภาพ [ 05 พ.ย. 2014, 13:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | ฌาน : สมเด็จพระญาณสังวรฯ |
ฌาน ����� สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร คัดจากเทปธรรมอบรมจิต อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระ ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจ ถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม อันจิตตภาวนาคือการอบรมจิตนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ในที่แห่งหนึ่งว่า ฌานคือ ความเพ่ง ปัญญาคือความรู้ทั่วถึง อันคำว่าฌานคือ ความเพ่งนั้นมี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิชฌาน แปลว่าเพ่งอารมณ์ กับ ลักขณูปนิชฌาน คือเพ่งลักษณะ อารัมมณูปนิชฌาน ข้อแรกการเพ่งอารมณ์นั้น ก็หมาย ถึงอารมณ์ของกรรมฐาน ที่ทำจิตให้สงบ (เริ่ม ๑๕๖/๒) อันเรียกว่าสมถกรรมฐาน ดังเช่นเพ่งลมหายใจ เข้าออก โดยถือเอาลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ คือ เป็นเรื่องที่จิตคิด จิตดำริ จิตตั้งไว้ อันเรียกว่าอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก หรือเพ่งกาย โดยเพ่งอาการของกาย มีผมขนเล็บฟันหนังเป็นต้น ถือเอาผมขนเล็บฟันหนัง เป็นต้นเป็นอารมณ์ คือเป็นเรื่องที่จิตคิดตั้ง หรือ เป็นเรื่องที่ตั้งจิตคิดกำหนด หรือว่าพิจารณากายนี้แยกออกเป็นธาตุดินน้ำไฟลม กำหนดที่ธาตุ ถือเอาธาตุเป็นอารมณ์ รวม ความว่าสมถกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ทุกข้อ เป็นอารมณ์ อารัมมณูปนิชฌาน เพ่งอารมณ์ องค์ฌาน คือในการปฏิบัติอบรมจิตในกรรมฐาน ส่วนนี้ อาศัยใช้จิตเพ่งกำหนด จับตั้ง อยู่ที่อารมณ์ของกรรมฐานทั้งปวง อาการที่เพ่งดั่งนี้ก็คือสมาธิ ความตั้งใจหรือ ความตั้งจิตกำหนด ซึ่งต้องอาศัยการปฏิบัติไปตามองค์ ๕ ของปฐมฌานคือความเพ่งที่ ๑ อันได้แก่ วิตก ที่แปลว่าตรึก แต่ในที่นี้หมายถึงความที่นำจิตมาตั้ง ไว้ในอารมณ์ของกรรมฐาน หรือ จะกล่าวว่านำอารมณ์ของกรรมฐานมาตั้งไว้ในจิตก็ได้ วิจาร ความตรอง ในที่นี้หมายถึงว่า ความประคองจิตไว้ ให้ตั้งอยู่ในอารมณ์ของกรรมฐานนั้น ไม่ให้พลัดตกไป วิตกวิจารดังกล่าวนี้ต้องใช้ในการปฏิบัติ ในเบื้องต้น หรือในเวลาเริ่มปฏิบัติที่เรียกว่าทำสมาธิ หรือว่าทำจิตตภาวนาเพื่อสมาธิ และในขั้นวิตกวิจารนี้จิต ยังไม่ได้สมาธิ จิตยังกระสับกระส่ายดิ้นรนกวัดแกว่ง คือเมื่อนำจิตมาตั้งไว้ในอารมณ์ของสมาธิ ให้จิตจับเพ่งอารมณ์ของสมาธิ กำหนดอารมณ์ของสมาธิ แม้จะคอยประคองจิตไว้ที่ เป็นวิจาร จิตก็มักจะดิ้นรนออกไปจากอารมณ์ของสมาธิ หรือกรรมฐาน ไม่ยอมตั้งอยู่ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัส ไว้ว่า เหมือนอย่างจับปลาจากน้ำอันเป็นที่อยู่ของปลา มาวางไว้บนบก ปลาก็จะดิ้นเพื่อลงน้ำ อัน เป็นที่อาศัยของปลา อาลัยของจิต จิตที่เริ่มปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน เมื่อยกจิตมาตั้งไว้ในกรรมฐาน หรือ ในอารมณ์ของสมาธิ หรือเรียกว่าของกรรมฐานก็ได้ จิตก็มักจะดิ้นรนไปสู่ที่ อยู่ของจิตอันเรียกว่าอาลัยเหมือนกัน คำว่าอาลัย นั้นแปลว่าที่อยู่ที่อาศัย ปลานั้นมีน้ำเป็นอาลัยคือเป็นที่ อยู่ที่อาศัย จิตสามัญนี้ก็มีกามคุณารมณ์ คืออารมณ์ที่รักใคร่ปรารถนาพอใจเป็นที่อยู่อาศัย จิตชั้นนี้เรียกว่ากามาพจร ที่แปลว่าเที่ยวไปในกาม หยั่งลงในกาม คือเรื่องที่รักใคร่ปรารถนาพอใจ ทั้งหลาย ประกอบด้วยความปรารถนารักใคร่พอใจ ทั้งหลาย หรือเรียกว่ากามคุณารมณ์ อารมณ์ที่ เป็นกามคุณ ไม่ใช่อารมณ์ที่เป็นกรรมฐาน ถ้าอารมณ์ที่ เป็นกรรมฐาน ก็เรียกว่าอารมณ์กรรมฐาน แต่จิต โดยปรกตินั้นอยู่กับอารมณ์ที่เป็นกามคุณ กามคุณ กามกิเลส อันคำว่า กามคุณ นั้นหมายถึงกามที่ เป็นกิเลส คือความรักใคร่ปรารถนาพอใจ กับกามที่ เป็นวัตถุ คือเป็นสิ่งที่รักใคร่ปรารถนาพอใจ กามที่ เป็นกิเลสกับกามที่เป็นวัตถุนี้ ย่อมประกอบอยู่ด้วยกัน วัตถุนั้นถ้าไม่มีกามที่เป็นกิเลสเข้ามาเกี่ยวเกาะ ก็ เป็นวัตถุเฉยๆ ต่อเมื่อมีกิเลสเข้ามาเกี่ยวเกาะ จึง เป็นวัตถุกาม เพราะฉะนั้น ที่ชื่อว่าวัตถุกามนั้น ก็ เพราะว่าเป็นวัตถุที่มีกิเลส คือตัวกามกิเลส เข้ามาเกี่ยวเกาะ กามทั้งสองนี้จึงต้องอาศัยกันไปดั่งนี้ และจิตที่เป็นชั้นกามาพจรนี้ก็อยู่กับกามคุณารมณ์ โดยปรกติ หรือเป็นปรกติ และที่เรียกว่า คุณ นั้นแปลว่ากลุ่มก้อนก็ ได้ กลุ่มก้อนของกิเลสกามและวัตถุกาม ที่ซับซ้อนกัน อยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน เหมือนอย่างกลุ่มด้าย เพราะว่ากามที่ตั้งอยู่ในจิตนั้นซับซ้อนกันอยู่มากมาย ลึกลงไปเป็นตะกอน คือเหมือนอย่างตะกอนที่นอนจม อยู่ก้นตุ่มน้ำก็มี ที่ฟุ้งขึ้นมาเหมือนอย่างตะกอนก้นตุ้ม นั้นฟุ้งขึ้นมา ทำให้น้ำในตุ่มขุ่น กิเลสที่เป็นตะกอนที่นอนอยู่ก้นจิตนั้น เมื่อถูกกระทบก็ฟุ้งขึ้นมาทำให้จิตขุ่น ปรากฏเป็นราคะ หรือโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง เป็นตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยาก ก็คือราคะโทสะโมหะนั้นเอง จึงทำให้จิตดิ้นรนทะยานอยากไปต่างๆ หรือว่าตัณหาคือความที่จิตดิ้นรนทะยานอยากนั้นเอง ทำให้จิตนี้ชอบบ้าง ชังบ้าง หลงบ้าง เป็นราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ดังกล่าว ทั้งหมดนี้เรียกว่ากามคุณ อีกประการหนึ่งมีความหมายว่ากามที่เป็น ส่วนให้คุณ อันทำให้จิตติด คุณมีความหมายตรง กันข้ามกับโทษ ดังที่มีพระพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ว่า กาม ทั้งหลายนี้มีคุณน้อย หรือว่ามี อัสสาทะ มี ส่วนที่น่าพอใจน้อย แต่ว่ามี อาทีนพ โทษมาก หรือว่ามีคุณน้อย มีโทษมากก็ได้ ถ้ากามไม่มีคุณเสียเลยจิตก็จะไม่ติด ในกาม เพราะ กาม มีคุณ หรือมี อัสสาทะ ส่วนที่น่าพอใจอยู่ด้วยจึงทำให้ติดจิต มี นันทิ คือ ความเพลิดเพลินอยู่ในกาม เพราะฉะนั้นเมื่อจิตได้สุข อยู่ในกาม ก็ติดสุขอยู่ในกาม อันนับว่าเป็นคุณของกาม หรือกามที่เป็นส่วนคุณ แต่เมื่อทุกข์โทษปรากฏขึ้นจึงจะทำให้เกิด ความหน่ายในกามได้ ถ้าทุกข์โทษยังไม่ปรากฏขึ้น ก็ ยังไม่ทำให้เกิดความหน่ายในกาม แต่ว่าทุกข์โทษที่ จะปรากฏขึ้นจนทำให้เกิดความหน่ายนั้น จะต้อง เป็นปรากฏทางปัญญา ถ้าปรากฏเพียงทุกขเวทนา เช่น ความโศกร่ำไรรำพัน ในเมื่อต้องพลัดพราก จากสิ่งที่รักใคร่ปรารถนาพอใจ หรือบุคคลที่รักใคร่ปรารถนาพอใจ เป็นทุกขเวทนา ก็ ยังไม่ทำให้เกิดความหน่ายได้ง่าย เพราะว่ายังมีสุขส่วนอื่นของกามทำ ให้จิตติดอยู่ เป็นทุกข์อยู่ในส่วนนี้ แต่ก็ยังเป็นสุขอยู่ใน ส่วนโน้น จิตจึงยังไม่หน่าย และแม้ทุกขเวทนานั้นเองก็มิ ใช่ว่าจะตั้งอยู่อย่างนั้น เมื่อมีเกิดก็มีดับ เช่นเดียว กับสุขเวทนามีเกิดก็มีดับ จึงผลัดกันไปผลัดกันมา สุขบ้างทุกข์บ้าง คนจึงอยู่กันด้วยความหวังอัน เป็นตัวตัณหา คือแม้ว่าจะพบทุกข์ในวันนี้ก็คิดว่าพรุ่งนี้ จะมีสุข พบทุกข์ในสิ่งนี้ก็คิดว่าจะมีสุขในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นอันว่ายังมีเพลิดเพลินอยู่ ในกามคุณารมณ์ กามสุข สมาธิสุข ฉะนั้นเมื่อยกจิตขึ้นจากกามคุณารมณ์อัน เป็นอาลัย คือที่อาศัยของจิตที่เป็นชั้นนี้ มาตั้งไว้ ในอารมณ์กรรมฐาน หรืออารมณ์ของสมาธิ จิตจึงไม่ ได้สุขในอารมณ์ของกรรมฐาน เมื่อไม่ได้สุขจิตอึดอัด ไม่ชอบไม่เพลิน จึง ได้ดิ้นรนออกไปลงน้ำคือกามคุณารมณ์ เหมือนปลาที่ดิ้นลงน้ำดังกล่าวนั้น ฉะนั้นจึง ต้องอาศัยวิตกวิจารทั้งสองนี้ คือคอยยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ของสมาธิ แล้วคอยประคองเอาไว้ เมื่อตกไปก็ยกขึ้นมาใหม่ ประคองไว้ใหม่ ตกไปก็ยกขึ้นมาใหม่ประคองไว้ใหม่ นิวรณ์ ๕ ฉะนั้นการเริ่มทำสมาธินั้นจึงรู้สึกว่า เป็นการยาก และสิ่งที่ เป็นอันตรายแก่สมาธิตั้งแต่เบื้องต้นนั้นก็ดังที่ได้กล่าวมา แล้ว ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสจำแนกออกไป เป็นนิวรณ์ ๕ นั้นเอง คือนิวรณ์นี้เอง ก็คือว่า เป็นตัวกามคุณารมณ์เป็นข้อสำคัญ อัน เป็นที่อาศัยของจิต ที่เป็นกามาพจร ซึ่งจะต้องดึงจิต ให้ตกลงไปสู่ที่อยู่ที่อาศัยดังกล่าวนี้ ซึ่งจิตก็มี ความเพลิดเพลิน มีความสุขที่จะอยู่อย่างนั้น ยังไม่ ได้สุขได้ความเพลิดเพลินที่จะอยู่กับสมาธิ วิธีปฏิบัติรักษาอารมณ์ของสมาธิ เพราะฉะนั้น พระอาจารย์จึง ได้แสดงวิธีที่สำหรับจะรักษาจิต ไว้ในอารมณ์ของสมาธิ ไว้มากมาย เป็นการปฏิบัติเสริมวิธีปฏิบัติสมาธิ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ตรงๆ ดังเช่นตรัสสอน ในอานาปานสติ ว่าผู้ปฏิบัติให้เข้าไปสู่ป่า หรือสู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง นั่งขัดสมาธิหรือขัดบัลลังก์ ตั้งกายตรงดำรงสติจำเพาะหน้า หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้ หายใจเข้ายาวก็รู้ว่าเราหายใจ เข้ายาว ออกยาวก็รู้ว่าหายใจออกยาว หายใจเข้าสั้นก็ ให้รู้ว่าเราหายใจเข้าสั้น ออกสั้นก็ ให้รู้ว่าเราหายใจออกสั้น เป็นต้น คือให้มีความรู้ อยู่ที่ลมหายใจ เพ่งอยู่ที่ลมหายใจ พระอาจารย์จึงได้มาอธิบาย เช่น ในวิสุทธิมรรคท่านก็สอน ให้กำหนดจุดที่ลมหายใจ เข้าหายใจออก ผ่านเข้าผ่านออก เป็น ๓ จุด ริมฝีปาก อุระ และนาภีหรือท้อง หายใจเข้าลมหายใจเข้า จะมากระทบอยู่ปลายจมูก แล้วผ่านอุระ หรือทรวงอกลงไปสู่นาภี ปรากฏเป็นพอง ออกก็จะออก จากนาภีปรากฏเป็นยุบ ผ่านอุระหรือทรวงอก และมาออกที่ปลายจมูก เพื่อให้เป็นที่ตั้งของจิต อันจะ ช่วยให้จิตตั้งได้สะดวกขึ้น และก็สอนให้ใช้วิธีนับ เช่นหายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๑ ไปจนถึง ๕ แล้วก็ตั้งต้นใหม่ ๑ จน ถึง ๖ ดั่งนี้เป็นต้น จนถึงนับตั้งต้น ๑ ถึง ๑๐ แล้วกลับมาตั้งต้นใหม่ ๑ ถึง ๕ แต่วิธีนับนี้ก็มีอาจารย์ อื่นก็สอนวิธีนับที่ต่างๆ ออกไป และท่านก็สอนให้นับเร็ว หายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๒ ไม่ใช่นับคู่ เอานับมา เป็นเครื่องช่วยที่จะให้จิตตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิ แต่เปรียบเหมือนอย่างว่า เรือที่พายผ่านไปถึงน้ำเชี่ยวต้องใช้ถ่อช่วย ลำพังพาย นั้นไม่สามารถจะนำเรือไปได้ ต้องใช้ถ่อ ก็คือว่าจิต ในที่แรกนั้น จิตในทีแรกนั้นเป็นจิตที่พล่าน ดิ้นรนพล่านอย่างน้ำเชี่ยว เพราะฉะนั้นจะ ใช้พายอย่างเดียวก็ดึงไว้ไม่อยู่ จึงต้องใช้ถ่อช่วย คือการนับช่วย แต่ว่าเมื่อถึงตอนที่น้ำไหล เป็นปรกติก็เลิกใช้ถ่อ ใช้พายต่อไป ฉะนั้น เมื่อ ถึงตอนที่จิตสงบลง ประคองให้จิตตั้งอยู่ ในอารมณ์ของกรรมฐานได้ เช่นตั้งอยู่ ในการกำหนดลมหายใจเข้าออกได้ ก็เลิกใช้การนับ เพียงแต่ทำสติ กำหนดอยู่เพียงจุดเดียว ที่ท่านสอนไว้ ในวิสุทธิมรรคนั้นคือให้กำหนดดูที่ปลายจมูก (เริ่ม ๑๕๗/๑) ลมกระทบ อันเป็นที่ๆ เกิดความสัมผัสจริง กำหนดที่ความสัมผัส วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ดั่งนี้จึงต้องอาศัยวิตกวิจาร เพราะว่าการนับก็ดี หรือวิธีอื่นก็ดี ก็รวมอยู่ ในวิตกคือตรึกทั้งนั้น ตรองทั้งนั้น คือตั้งจิตประคองจิต ทั้งนั้น และแบบที่ใช้พุทโธก็เช่นเดียวกัน หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ก็เป็นขั้นวิตกวิจาร อันเป็นเครื่องช่วย ให้จิตตั้ง และเมื่อจิตเริ่มตั้งได้ ก็จะเริ่มได้ปีติคือ ความอิ่มใจ สุขใจ ความซาบซ่านในใจ เกิดสุขคือ ความสบายกายสบายใจ และเมื่อได้ปีติได้สุขดั่งนี้จิตก็จะอยู่ตัว เพราะว่าจิตได้สุข ได้ปีติได้สุขจากสมาธิแล้ว ก็ไม่ ต้องดิ้นรนพล่านไปหากามคุณารมณ์ ในตอนที่ ยังดิ้นรนพล่านออกไปนั้นก็เพราะยังไม่ได้ปีติได้สุข จากสมาธิ เมื่อได้ปีติได้สุขจากสมาธิแล้วจิตก็ จะตั้งมั่นได้สงบได้อยู่ในอารมณ์ของสมาธิ จิตก็ เป็นเอกัคคตาคือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว ซึ่ง เป็นตัวสมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว ลักขณูปนิชฌาน อันนี้ต้องอาศัยฌานคือความเพ่ง เพ่งจิตลงไปที่อารมณ์ของสมาธิ หรือที่อารมณ์กรรมฐานดั่งที่กล่าวนั้น นี่คือฌาน ความเพ่ง เพ่งเพื่อให้จิตเป็นสมาธิคือตั้งมั่น อัน เป็นตัวฌานคือตัวความเพ่ง และเมื่อได้ฌานคือ ความเพ่งดั่งนี้ ต้องการจะเลื่อนชั้นของการปฏิบัติ เป็นวิปัสสนา ก็นำเอาความเพ่งที่ เป็นสมาธินี้มาเพ่งลักษณะ อันหมายถึงไตรลักษณ์ คือลักษณะที่ เป็นเครื่องกำหนดหมายว่าไม่เที่ยง มีเกิดดับ เรียกว่าอนิจจลักขณะ หรืออนิจจลักษณะ เพ่งที่ทุกข์ลักษณะหรือทุกขลักขณะ กำหนดหมายว่า เป็นทุกข์ ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เพ่งที่อนัตตลักขณะ หรืออนัตตลักษณะ เครื่องกำหนดหมายว่าอนัตตามิ ใช่อัตตาตัวตน ก็คือเพ่งที่องค์ฌาน หรือองค์ของสมาธิดังกล่าวแล้วนั้นเอง เพ่งดู วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เมื่อรวมเข้าแล้วก็เป็นนามรูป สิ่งที่รู้ เป็นรูป รู้เป็นนาม เพราะว่าทั้งหมดนั้นก็รวมอยู่ใน ความรู้ของจิต ตัวความเพ่งเอง หรือตัวสมาธิเอง ก็อยู่ ในความรู้ของจิต และความรู้ของจิตนั้นก็แยกได้เป็น ๒ คือเป็นสิ่งที่รู้อัน ๑ ตัวความรู้อัน ๑ สิ่งที่รู้นั้นก็เป็นรูป ตัวความรู้ก็เป็นนาม หรือว่าแยกออกไปเป็นขันธ์ ๕ คือสิ่งที่รู้นั้นก็เป็นรูปขันธ์กองรูป อันหมายถึงรูปที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ หรือว่ารูปที่เป็นสิ่ง คือสิ่งที่รู้ แม้จะไม่ใช่เป็นรูปจริงๆ แต่เป็นสิ่งที่รู้ อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่รู้ ก็เป็นรูปทั้งนั้น และนามนั้นก็แยกออกไป เป็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เป็นขันธ์ ๕ รวมเข้าก็ เป็นสิ่งที่รู้คือรูป ความรู้คือนาม ก็เพ่งดูลักษณะของรูปนามดังกล่าวมานี้ว่า เป็นสิ่งที่เกิดดับ อันเรียกว่าไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่ไม่ตั้งอยู่ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เป็นทุกข์ และเป็นสิ่งที่ ไม่ควรจะยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา เพราะเหตุว่า เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ จึงไม่ควรจะยึดถือ เป็นตัวเราของเรา และก็พิจารณารวมเข้ามาว่า สิ่งใด ไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เป็นอันว่าอนิจจะทุกขะอนัตตารวมอยู่เป็นจุดเดียวกัน รวมอยู่เป็นเกิดดับ รวมอยู่เป็น ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ไม่ตั้งอยู่คงที่ รวมอยู่ เป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน ดั่งนี้ก็เรียกว่าเพ่งลักษณะ ลักขณูปนิชฌาน ทำให้ได้ปัญญาคือความรู้ทั่วถึง ในลักษณะ อันเป็นเครื่องกำจัดความยึดถือ ทำให้เกิด ความปล่อยวาง (ตทังค) วิมุติหลุดพ้นจากกิเลส และกองทุกข์ เพราะว่าเมื่อรู้ในลักษณะที่เรียกว่าตาม เป็นจริงคือธรรมตามที่เป็นแล้ว ก็ย่อมจะเกิด ความหน่ายไม่เพลิดเพลินติดอยู่ในสิ่งที่รู้นั้น เมื่อหน่ายก็สิ้นความติดใจยินดี เมื่อสิ้น ความติดใจยินดีก็หลุดพ้นเป็นวิมุติ นี่เป็นการปฏิบัติ ในทางลักขณูปนิชฌานอันเป็นทางปัญญา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอา ไว้ว่า ฌานคือความเพ่งย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีฌานคือความเพ่ง ฌาน ความเพ่งและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าปฏิบัติ ใกล้นิพพาน ดั่งนี้ ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจทำ ความสงบสืบต่อไป |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |